โพสต์ยอดนิยม
อวสานของการลงทุนหุ้นต่างประเทศ?/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- Pondtrade
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 151
- ผู้ติดตาม: 146
Re: AU
โพสต์ที่ 1
ข้อมูลที่ผมถาม IR มาวันนี้ครับ คุยทางโทรศัพท์ ขอสรุปตามที่ผมเข้าใจนะครับ ไม่ใช่คำพูดเป๊ะๆครับ
1. ปัจจุบันขนมปังเนยโสดไป 7-11 กี่สาขาครับ
- ประมาณเกือบๆ 8,000 สาขา (ของเดิม 6,600 สาขา) เพิ่มจากทางภาคใต้อีก 1,000 กว่าสาขา
2. ส่งไปภาคใต้จังหวัดไหนบ้างแล้วครับ
- อันนี้ไม่ทราบว่าไปจังหวัดไหนบ้างแล้ว แต่ศูนย์รับสินค้าของทาง 7-11 ภาคใต้เอง จะมีอยู่ 3 Zone คือ สุราษณ์, ภูเก็ต และหาดใหญ่ แต่ที่รู้ๆคือ ไปเซเว่นภาคใต้ประมาณ 1,000 กว่าสาขา
3. Cap. ที่ผลิตขนมปังเนยโสดให้ 7-11 ตอนนี้เท่าไหร่ครับ
- ตัวเลขอาจไม่เป๊ะมาก เพราะกำลังปรับพื้นที่ใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต อาจจะอยู่แถวๆ 13,000-15,000 กล่อง/ชิ้น/วัน (ไม่รวมกับ Cap. ที่ผลิตให้หน้าร้าน ประมาณ 6,000-7,000 กล่อง/ชิ้น/วัน)
4. มีแผนจะผลิตขนมปังเนยโสดให้ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขาในประเทศไหมครับ (14,000++ สาขา)
- มีค่ะ ทาง 7-11 ก็อยากให้ AU ผลิตให้ครบทุกสาขา ตอนนี้ AU ก็ปรับพื้นที่ใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตให้ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขาในไทย
5. มีแผนจะเอาขนมปังรสชาติอื่นเข้า 7-11 ไหมครับ
- มีค่ะ แต่อาจจะต้องรอให้ขนมปังเนยโสดผลิตให้ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขาในประเทศก่อน แล้วค่อยทำขนมปังไส้อื่นๆต่อไป อยากทำไส้เดียวให้ครบทุกสาขาก่อน จะได้ง่ายต่อการผลิต
6. GP ขนมปังเนยโสดบอกได้ไหมครับ
- บอกเป็นตัวเลขไม่ได้ค่ะ แต่ทางเราเป็นการขายขาดให้ 7-11 ทำให้ SG&A เราต่ำมาก
7. การผลิตขนมปังเนยโสดในปริมาณเยอะ ช่วยเรื่อง Economies of scale ไหมครับ
- ช่วยค่ะ การผลิตขนมปังเนยโสดเข้า 7-11 ช่วยทำให้ต้นทุนกลุ่มขนมปังทั้งหมดที่ type เดียวกันกับขนมปังเนยโสดที่ขายตามหน้าร้าน After you ลดลงด้วย เพราะได้ในเรื่องของ Fixed cost ที่คงที่หรือเพิ่มขึ้นไม่มาก พอผลิตเป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้นทุน/หน่วย ลดลง
8. การผลิตขนมปังเนยโสดเข้า 7-11 และใช้เงินลงทุนเยอะไหมครับ
- ที่ผลิตให้ 7-11 ที่ผ่านมา ไม่ได้ใช้เงินลงทุนเยอะ เพียงแค่เพิ่ม Shift ในการผลิตเท่านั้น แต่ถ้าขยายกำลังการผลิตอาจมีการซื้อเครื่องจักรใหม่มาเพิ่มบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงทุนเยอะเท่าไหร่
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ ลองโทรถาม IR อีกทีก็ได้ครับ เพื่อผมขาดตกข้อมูลใดไป หรือสื่อสารอะไรผิดพลาดไปครับ แต่โดยรวมก็ประมาณนี้ครับ
1. ปัจจุบันขนมปังเนยโสดไป 7-11 กี่สาขาครับ
- ประมาณเกือบๆ 8,000 สาขา (ของเดิม 6,600 สาขา) เพิ่มจากทางภาคใต้อีก 1,000 กว่าสาขา
2. ส่งไปภาคใต้จังหวัดไหนบ้างแล้วครับ
- อันนี้ไม่ทราบว่าไปจังหวัดไหนบ้างแล้ว แต่ศูนย์รับสินค้าของทาง 7-11 ภาคใต้เอง จะมีอยู่ 3 Zone คือ สุราษณ์, ภูเก็ต และหาดใหญ่ แต่ที่รู้ๆคือ ไปเซเว่นภาคใต้ประมาณ 1,000 กว่าสาขา
3. Cap. ที่ผลิตขนมปังเนยโสดให้ 7-11 ตอนนี้เท่าไหร่ครับ
- ตัวเลขอาจไม่เป๊ะมาก เพราะกำลังปรับพื้นที่ใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต อาจจะอยู่แถวๆ 13,000-15,000 กล่อง/ชิ้น/วัน (ไม่รวมกับ Cap. ที่ผลิตให้หน้าร้าน ประมาณ 6,000-7,000 กล่อง/ชิ้น/วัน)
4. มีแผนจะผลิตขนมปังเนยโสดให้ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขาในประเทศไหมครับ (14,000++ สาขา)
- มีค่ะ ทาง 7-11 ก็อยากให้ AU ผลิตให้ครบทุกสาขา ตอนนี้ AU ก็ปรับพื้นที่ใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตให้ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขาในไทย
5. มีแผนจะเอาขนมปังรสชาติอื่นเข้า 7-11 ไหมครับ
- มีค่ะ แต่อาจจะต้องรอให้ขนมปังเนยโสดผลิตให้ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขาในประเทศก่อน แล้วค่อยทำขนมปังไส้อื่นๆต่อไป อยากทำไส้เดียวให้ครบทุกสาขาก่อน จะได้ง่ายต่อการผลิต
6. GP ขนมปังเนยโสดบอกได้ไหมครับ
- บอกเป็นตัวเลขไม่ได้ค่ะ แต่ทางเราเป็นการขายขาดให้ 7-11 ทำให้ SG&A เราต่ำมาก
7. การผลิตขนมปังเนยโสดในปริมาณเยอะ ช่วยเรื่อง Economies of scale ไหมครับ
- ช่วยค่ะ การผลิตขนมปังเนยโสดเข้า 7-11 ช่วยทำให้ต้นทุนกลุ่มขนมปังทั้งหมดที่ type เดียวกันกับขนมปังเนยโสดที่ขายตามหน้าร้าน After you ลดลงด้วย เพราะได้ในเรื่องของ Fixed cost ที่คงที่หรือเพิ่มขึ้นไม่มาก พอผลิตเป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้นทุน/หน่วย ลดลง
8. การผลิตขนมปังเนยโสดเข้า 7-11 และใช้เงินลงทุนเยอะไหมครับ
- ที่ผลิตให้ 7-11 ที่ผ่านมา ไม่ได้ใช้เงินลงทุนเยอะ เพียงแค่เพิ่ม Shift ในการผลิตเท่านั้น แต่ถ้าขยายกำลังการผลิตอาจมีการซื้อเครื่องจักรใหม่มาเพิ่มบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงทุนเยอะเท่าไหร่
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ ลองโทรถาม IR อีกทีก็ได้ครับ เพื่อผมขาดตกข้อมูลใดไป หรือสื่อสารอะไรผิดพลาดไปครับ แต่โดยรวมก็ประมาณนี้ครับ
ดอกไม้ไม่บอกว่าจะบานตอนไหน เราต้องรอ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1936
- ผู้ติดตาม: 375
หุ้น VI รุ่นใหม่ไม่มี Moat/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
หุ้นที่ “Value Investor” เล่นหรือลงทุนนั้น มีหลายแบบและก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและหุ้นในขณะนั้น เพราะ VI โดยเฉพาะของไทยนั้น มีหลายแบบมาก ถ้าจะว่าไป เวลานี้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีพอร์ตขนาดใหญ่แทบทุกคนก็เป็นหรือเรียกตัวเองว่าเป็น “VI” แทบทั้งนั้น และพวกเขาต่างก็ยกคำจำกัดความของคำว่า VI ว่าคือการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือต่ำกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” และขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้ว
และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือ ประเมิน “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อบริษัทหรือกิจการแตกต่างกันมาก บางคนคาดการณ์หรือเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะ “โตแบบก้าวกระโดด” เพราะบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มี “S-Curve” หรือเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วใหม่ที่จะทำให้กลายเป็น “Global Brand” หรือเป็น “ยี่ห้อระดับโลก” เป็นต้น ดังนั้น มูลค่าของบริษัทก็ควรจะต้องสูงมาก ราคาหุ้นที่สูงจนทำให้ค่า PE สูงในระดับ 30-40 เท่าก็ไม่แพง ซื้อไว้แล้วเดี๋ยวราคาจะวิ่งขึ้นไปเองเมื่อกำไรในไตรมาสหน้าเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนั่นก็คือแนวคิดหรือแนวทางของ “VI รุ่นใหม่” หลาย ๆ คนที่คิดว่า โอกาสของการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยยัง “เปิดกว้าง” มีหุ้นที่จะลงทุนแบบ VI ได้อีกมากและยังน่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีอย่างที่เคยเป็นมานานใน “ยุคทองของ VI” จากช่วงปี 2552 หรือปีหลังวิกฤติซับไพร์ม ถึงประมาณปี 2562 ที่เป็นช่วงของปีวิกฤติโควิด-19 เป็นเวลาถึง 10 ปี
โดยที่พวกเขาคิดว่า สภาพหรือสถานะทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้กระทบกับสถานะของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นทั้งหมด ยังมีบริษัทในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อไปได้อีกมากในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” บริษัทเหล่านั้นมักจะเป็นบริษัทขนาดเล็กและอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” ของประเทศไทยที่แข่งขันได้ในระดับโลก เช่น การท่องเที่ยว การดูแลรักษาสุขภาพและความงาม และธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและขนมที่ไทยมีความโดดเด่น ไม่แพ้ใครในโลก!
ผมเองมีความเห็นว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทยนั้น ก็คงจะอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพราะนั่นคืออุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถไม่แพ้ประเทศอื่น เพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เน้นความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่คนไทยไม่ชำนาญ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นทางด้านการให้บริการและความสามารถทางด้านของศิลปะที่คนไทยไม่แพ้ชาติอื่นในโลก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อุตสาหกรรมดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีขนาดใหญ่และเติบโตมานานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติระดับหนึ่งมานานแล้ว การที่ประเทศไทยจะสร้างหรือเพิ่มการเติบโตอุตสาหกรรมเหล่านั้นต่อไปจึงมีความเป็นไปได้สูง
แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมนั้น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดว่าจะทำให้หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกบริษัทดีไปด้วย เหตุเพราะว่า ถ้ามีบริษัทใหม่ที่เข้ามาให้บริการ หรือมีคู่แข่งที่เข้ามาให้บริการเพิ่มมากยิ่งกว่าการเติบโตของความต้องการแล้ว การแข่งขันก็จะรุนแรง ราคาค่าบริการหรือสินค้าอาจจะลดลง หรือมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายจะลดลงจนอาจจะทำให้กำไรของกิจการลดลง ซึ่งนั่นก็จะทำให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น แทนที่จะดีขึ้น กลับแย่ลง ในบางกรณีที่มีผู้ให้บริการมากเกินไปมาก ก็อาจจะทำให้บริษัทจำนวนมากล้มละลายได้
ดังนั้น ธุรกิจที่จะดีหรือมีโอกาสที่จะเป็น ซุปเปอร์สต็อก จึงต้องมีอีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องมีความสามารถหรือความโดดเด่นบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่หรือคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเข้ามาแย่งลูกค้าได้ ในภาษาของ “VI” ก็คือ ธุรกิจหรือบริษัทมี “Moat” หรือมีป้อมค่าย-คูเมือง ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามายึดปราสาทหรือเมืองหรือธุรกิจของตนเองได้
ตัวอย่างของ Moat ที่เข้มแข็งมากที่สุดอย่างหนึ่งก็เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการรันคอมพิวเตอร์แทบทุกตัวในโลกของไมโครซอฟท์คือวินโดว์ ซึ่งต่อให้มีคนใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นแค่ไหน ทุกคนก็ต้องมาใช้โปรแกรมนี้ เป็นต้น และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไมโครซอฟท์นั้นเพิ่มขึ้นและครองอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านมูลค่ามาตลอดแม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
แต่ถ้าถามว่าหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่คาดว่าจะโตต่อไปเรื่อย ๆ เร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมนั้น มีตัวไหนหรือกลุ่มไหนบ้างที่มี Moat คำตอบที่ชัดเจนก็คือ มีตัวเดียว นั่นก็คือ หุ้นสนามบินที่มีผู้ให้บริการหลักเพียง 1 ราย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้น AOT จึงมีมูลค่ามหาศาลระดับ 1 ล้านล้านบาทและอยู่ในอันดับ 1-3 ของหุ้นใหญ่ที่สุดมานานต่อเนื่อง
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจอื่นทางด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมนั้น โอกาสที่จะเติบโต ทำกำไรได้ดีและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ผมกลับคิดว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับการที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เลย เหตุผลก็เพราะว่า ธุรกิจโรงแรมนั้น ไม่มี Moat ยิ่งอุตสาหกรรมโตเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้คู่แข่งเข้ามาให้บริการโดยการสร้างโรงแรมมากขึ้น ห้องพักมีโอกาสล้นมากขึ้น ราคาห้องลดลง กำไรของบริษัทก็จะหดตัวลง แล้วหุ้นจะไปทางไหน?
โรงแรมก็จะหนีไปลงทุนในต่างประเทศแทน แล้วก็ไปเจอกับคู่แข่งในต่างประเทศที่อาจจะน้อยกว่า ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ “ฝีมือ” ของผู้บริหาร ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก
ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศไทยที่คน “แก่ตัวลง” และต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้นนั้น พวกเขาก็อาจจะลืมไปว่า เด็กเกิดใหม่ซึ่งต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากเช่นกันนั้น ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมจึงอาจจะไม่ได้เติบโตอะไรนัก
โรงพยาบาลที่อาจจะโตได้มากกว่าก็คือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสามารถรักษาโรคซับซ้อนได้ดีที่สามารถดึงดูดให้คนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลของตน และต่างชาติก็จะมา เนื่องจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทยนั้น มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับระดับโลกแต่มีราคาค่าบริการต่ำกว่าคู่แข่งในย่านนี้ และเมื่อลูกค้ามาใช้บริการแล้ว ก็มักจะไม่หนีไปไหน เนื่องจากคนไข้ต้องรักษากับหมออย่างต่อเนื่อง ในภาษาของ VI ก็คือ ธุรกิจโรงพยาบาลมี “Exit Cost” ซึ่งคล้าย ๆ กับ Moat ที่กันไม่ให้ลูกค้าหนีไปหาคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลที่มีคุณสมบัติแบบนั้นในไทยก็มีไม่กี่โรง
ในช่วงหลัง ๆ เราเริ่มเห็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านความงาม โรงพยาบาลเฉพาะทางอย่างเช่นโรงพยาบาลฟัน หรือโรงพยาบาลช่วยให้ตั้งครรภ์ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ โรงพยาบาลเหล่านี้ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับโรงพยาบาลทั่วไปนั่นก็คือ ไม่มี Moat พอมีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น อานิสงค์จากการที่คนรุ่นใหม่ต้องการ “ความงาม” มากขึ้น ซึ่งก็อาจจะมีสาเหตุต่อเนื่องมาจากการที่ต้องออกสื่อสังคมมากขึ้น
แต่ประเด็นก็คือ คู่แข่งหรือ Supply ที่เป็นคลินิคหรือโรงพยาบาลแบบเดียวกันก็เพิ่มขึ้นได้แบบไม่จำกัด เมื่อใดก็ตามที่จำนวนผู้ให้บริการเพิ่มเกินกว่าผู้ต้องการใช้บริการ ธุรกิจก็จะตกต่ำลง ดังนั้น บริษัทที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันจึงไม่น่าจะเป็นธุรกิจที่ดีสุดยอดได้ ว่าที่จริง คลินิกเสริมความงามธรรมดานั้นล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว ในอนาคตผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนั้นอีกไหมกับธุรกิจโรงพยาบาลเฉพาะทางอื่น ๆ
ธุรกิจกลุ่มสุดท้ายที่เป็นความหวังของ VI รุ่นใหม่ก็คือ หุ้นที่ขายของกินของใช้ในชีวิตประจำวันให้แก่บุคคลทั่วไปที่ “ไม่ใช่สินค้าจำเป็น” เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำชา น้ำหวาน อาหารภัตตาคาร เครื่องสำอาง ทั้งหมดนั้น ถ้าจะดูเฉพาะในประเทศไทยก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัวเพราะจำนวนคนไทยโดยโดยเฉพาะที่อายุน้อยที่เป็นลูกค้าหลัก มีจำนวนลดลง
หุ้นที่ VI ชอบ มักจะเป็นบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการส่งออก หรือขายให้นักท่องเที่ยว หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเพราะบริษัท “มีความสามารถทางการตลาดเหนือกว่าคู่แข่ง” สตอรี่ก็มักจะบอกว่ายอดขายและกำไรจะโตต่อเนื่องยาวนาน แต่ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไปก็จะพบว่า บริษัทไม่มี Moat ที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
ประเด็นของผมก็คือ สินค้าเกี่ยวกับผู้บริโภคของไทยที่ส่งออกไปขายให้คนต่างชาตินั้น มักจะประสบปัญหาที่สำคัญก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ที่ว่า คนบริโภคนั้น มักจะ “มองขึ้น” คืออยากใช้สินค้าของประเทศที่พัฒนามากกว่าตนเอง ดังนั้น ถ้าตลาดของสินค้าอยู่ที่ประเทศที่พัฒนากว่าไทย เขาอาจจะซื้อน้อยลง ลองนึกถึงว่าคนไทยชอบสินค้าของประเทศไหนก็จะพบว่าเป็นสินค้าของประเทศที่พัฒนาสูงกว่าเราเป็นส่วนใหญ่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มากกว่ามาจากประเทศอย่างเวียตนาม เช่นเดียวกัน สินค้าของจีนในสมัยที่เขายังพัฒนาต่ำกว่าเรา เราก็ไม่ชอบใช้ แต่เวลานี้เราก็เริ่มใช้แล้วเพราะเขาพัฒนามากกว่าเราแล้ว
ดังนั้น ถ้าบริษัทไหนบอกว่าเขาจะขายของไปที่ตลาดไหนมากขึ้นมาก ๆ ก็ต้องระวังว่าจะทำได้แค่ไหน ถ้าประเทศนั้นพัฒนาไปมากกว่าเรา ซึ่งเวลานี้ก็รวมถึงตลาดจีนด้วย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ถ้าจะลงทุนในหุ้นที่อาจจะดูเหมือนว่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อาจจะกำลัง “โตเร็ว” และอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” ของไทย ก็พึงระวังว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะไม่มี Moat และจะมีความเสี่ยงว่า อยู่ ๆ ผลประกอบการก็ “เดี้ยง” ไปซะงั้น
และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือ ประเมิน “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อบริษัทหรือกิจการแตกต่างกันมาก บางคนคาดการณ์หรือเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะ “โตแบบก้าวกระโดด” เพราะบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มี “S-Curve” หรือเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วใหม่ที่จะทำให้กลายเป็น “Global Brand” หรือเป็น “ยี่ห้อระดับโลก” เป็นต้น ดังนั้น มูลค่าของบริษัทก็ควรจะต้องสูงมาก ราคาหุ้นที่สูงจนทำให้ค่า PE สูงในระดับ 30-40 เท่าก็ไม่แพง ซื้อไว้แล้วเดี๋ยวราคาจะวิ่งขึ้นไปเองเมื่อกำไรในไตรมาสหน้าเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนั่นก็คือแนวคิดหรือแนวทางของ “VI รุ่นใหม่” หลาย ๆ คนที่คิดว่า โอกาสของการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยยัง “เปิดกว้าง” มีหุ้นที่จะลงทุนแบบ VI ได้อีกมากและยังน่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีอย่างที่เคยเป็นมานานใน “ยุคทองของ VI” จากช่วงปี 2552 หรือปีหลังวิกฤติซับไพร์ม ถึงประมาณปี 2562 ที่เป็นช่วงของปีวิกฤติโควิด-19 เป็นเวลาถึง 10 ปี
โดยที่พวกเขาคิดว่า สภาพหรือสถานะทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้กระทบกับสถานะของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นทั้งหมด ยังมีบริษัทในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อไปได้อีกมากในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” บริษัทเหล่านั้นมักจะเป็นบริษัทขนาดเล็กและอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” ของประเทศไทยที่แข่งขันได้ในระดับโลก เช่น การท่องเที่ยว การดูแลรักษาสุขภาพและความงาม และธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและขนมที่ไทยมีความโดดเด่น ไม่แพ้ใครในโลก!
ผมเองมีความเห็นว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทยนั้น ก็คงจะอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพราะนั่นคืออุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถไม่แพ้ประเทศอื่น เพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เน้นความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่คนไทยไม่ชำนาญ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นทางด้านการให้บริการและความสามารถทางด้านของศิลปะที่คนไทยไม่แพ้ชาติอื่นในโลก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อุตสาหกรรมดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีขนาดใหญ่และเติบโตมานานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติระดับหนึ่งมานานแล้ว การที่ประเทศไทยจะสร้างหรือเพิ่มการเติบโตอุตสาหกรรมเหล่านั้นต่อไปจึงมีความเป็นไปได้สูง
แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมนั้น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดว่าจะทำให้หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกบริษัทดีไปด้วย เหตุเพราะว่า ถ้ามีบริษัทใหม่ที่เข้ามาให้บริการ หรือมีคู่แข่งที่เข้ามาให้บริการเพิ่มมากยิ่งกว่าการเติบโตของความต้องการแล้ว การแข่งขันก็จะรุนแรง ราคาค่าบริการหรือสินค้าอาจจะลดลง หรือมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายจะลดลงจนอาจจะทำให้กำไรของกิจการลดลง ซึ่งนั่นก็จะทำให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น แทนที่จะดีขึ้น กลับแย่ลง ในบางกรณีที่มีผู้ให้บริการมากเกินไปมาก ก็อาจจะทำให้บริษัทจำนวนมากล้มละลายได้
ดังนั้น ธุรกิจที่จะดีหรือมีโอกาสที่จะเป็น ซุปเปอร์สต็อก จึงต้องมีอีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องมีความสามารถหรือความโดดเด่นบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่หรือคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเข้ามาแย่งลูกค้าได้ ในภาษาของ “VI” ก็คือ ธุรกิจหรือบริษัทมี “Moat” หรือมีป้อมค่าย-คูเมือง ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามายึดปราสาทหรือเมืองหรือธุรกิจของตนเองได้
ตัวอย่างของ Moat ที่เข้มแข็งมากที่สุดอย่างหนึ่งก็เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการรันคอมพิวเตอร์แทบทุกตัวในโลกของไมโครซอฟท์คือวินโดว์ ซึ่งต่อให้มีคนใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นแค่ไหน ทุกคนก็ต้องมาใช้โปรแกรมนี้ เป็นต้น และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไมโครซอฟท์นั้นเพิ่มขึ้นและครองอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านมูลค่ามาตลอดแม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
แต่ถ้าถามว่าหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่คาดว่าจะโตต่อไปเรื่อย ๆ เร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมนั้น มีตัวไหนหรือกลุ่มไหนบ้างที่มี Moat คำตอบที่ชัดเจนก็คือ มีตัวเดียว นั่นก็คือ หุ้นสนามบินที่มีผู้ให้บริการหลักเพียง 1 ราย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้น AOT จึงมีมูลค่ามหาศาลระดับ 1 ล้านล้านบาทและอยู่ในอันดับ 1-3 ของหุ้นใหญ่ที่สุดมานานต่อเนื่อง
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจอื่นทางด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมนั้น โอกาสที่จะเติบโต ทำกำไรได้ดีและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ผมกลับคิดว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับการที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เลย เหตุผลก็เพราะว่า ธุรกิจโรงแรมนั้น ไม่มี Moat ยิ่งอุตสาหกรรมโตเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้คู่แข่งเข้ามาให้บริการโดยการสร้างโรงแรมมากขึ้น ห้องพักมีโอกาสล้นมากขึ้น ราคาห้องลดลง กำไรของบริษัทก็จะหดตัวลง แล้วหุ้นจะไปทางไหน?
โรงแรมก็จะหนีไปลงทุนในต่างประเทศแทน แล้วก็ไปเจอกับคู่แข่งในต่างประเทศที่อาจจะน้อยกว่า ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ “ฝีมือ” ของผู้บริหาร ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก
ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศไทยที่คน “แก่ตัวลง” และต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้นนั้น พวกเขาก็อาจจะลืมไปว่า เด็กเกิดใหม่ซึ่งต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากเช่นกันนั้น ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมจึงอาจจะไม่ได้เติบโตอะไรนัก
โรงพยาบาลที่อาจจะโตได้มากกว่าก็คือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสามารถรักษาโรคซับซ้อนได้ดีที่สามารถดึงดูดให้คนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลของตน และต่างชาติก็จะมา เนื่องจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทยนั้น มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับระดับโลกแต่มีราคาค่าบริการต่ำกว่าคู่แข่งในย่านนี้ และเมื่อลูกค้ามาใช้บริการแล้ว ก็มักจะไม่หนีไปไหน เนื่องจากคนไข้ต้องรักษากับหมออย่างต่อเนื่อง ในภาษาของ VI ก็คือ ธุรกิจโรงพยาบาลมี “Exit Cost” ซึ่งคล้าย ๆ กับ Moat ที่กันไม่ให้ลูกค้าหนีไปหาคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลที่มีคุณสมบัติแบบนั้นในไทยก็มีไม่กี่โรง
ในช่วงหลัง ๆ เราเริ่มเห็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านความงาม โรงพยาบาลเฉพาะทางอย่างเช่นโรงพยาบาลฟัน หรือโรงพยาบาลช่วยให้ตั้งครรภ์ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ โรงพยาบาลเหล่านี้ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับโรงพยาบาลทั่วไปนั่นก็คือ ไม่มี Moat พอมีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น อานิสงค์จากการที่คนรุ่นใหม่ต้องการ “ความงาม” มากขึ้น ซึ่งก็อาจจะมีสาเหตุต่อเนื่องมาจากการที่ต้องออกสื่อสังคมมากขึ้น
แต่ประเด็นก็คือ คู่แข่งหรือ Supply ที่เป็นคลินิคหรือโรงพยาบาลแบบเดียวกันก็เพิ่มขึ้นได้แบบไม่จำกัด เมื่อใดก็ตามที่จำนวนผู้ให้บริการเพิ่มเกินกว่าผู้ต้องการใช้บริการ ธุรกิจก็จะตกต่ำลง ดังนั้น บริษัทที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันจึงไม่น่าจะเป็นธุรกิจที่ดีสุดยอดได้ ว่าที่จริง คลินิกเสริมความงามธรรมดานั้นล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว ในอนาคตผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนั้นอีกไหมกับธุรกิจโรงพยาบาลเฉพาะทางอื่น ๆ
ธุรกิจกลุ่มสุดท้ายที่เป็นความหวังของ VI รุ่นใหม่ก็คือ หุ้นที่ขายของกินของใช้ในชีวิตประจำวันให้แก่บุคคลทั่วไปที่ “ไม่ใช่สินค้าจำเป็น” เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำชา น้ำหวาน อาหารภัตตาคาร เครื่องสำอาง ทั้งหมดนั้น ถ้าจะดูเฉพาะในประเทศไทยก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัวเพราะจำนวนคนไทยโดยโดยเฉพาะที่อายุน้อยที่เป็นลูกค้าหลัก มีจำนวนลดลง
หุ้นที่ VI ชอบ มักจะเป็นบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการส่งออก หรือขายให้นักท่องเที่ยว หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเพราะบริษัท “มีความสามารถทางการตลาดเหนือกว่าคู่แข่ง” สตอรี่ก็มักจะบอกว่ายอดขายและกำไรจะโตต่อเนื่องยาวนาน แต่ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไปก็จะพบว่า บริษัทไม่มี Moat ที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
ประเด็นของผมก็คือ สินค้าเกี่ยวกับผู้บริโภคของไทยที่ส่งออกไปขายให้คนต่างชาตินั้น มักจะประสบปัญหาที่สำคัญก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ที่ว่า คนบริโภคนั้น มักจะ “มองขึ้น” คืออยากใช้สินค้าของประเทศที่พัฒนามากกว่าตนเอง ดังนั้น ถ้าตลาดของสินค้าอยู่ที่ประเทศที่พัฒนากว่าไทย เขาอาจจะซื้อน้อยลง ลองนึกถึงว่าคนไทยชอบสินค้าของประเทศไหนก็จะพบว่าเป็นสินค้าของประเทศที่พัฒนาสูงกว่าเราเป็นส่วนใหญ่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มากกว่ามาจากประเทศอย่างเวียตนาม เช่นเดียวกัน สินค้าของจีนในสมัยที่เขายังพัฒนาต่ำกว่าเรา เราก็ไม่ชอบใช้ แต่เวลานี้เราก็เริ่มใช้แล้วเพราะเขาพัฒนามากกว่าเราแล้ว
ดังนั้น ถ้าบริษัทไหนบอกว่าเขาจะขายของไปที่ตลาดไหนมากขึ้นมาก ๆ ก็ต้องระวังว่าจะทำได้แค่ไหน ถ้าประเทศนั้นพัฒนาไปมากกว่าเรา ซึ่งเวลานี้ก็รวมถึงตลาดจีนด้วย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ถ้าจะลงทุนในหุ้นที่อาจจะดูเหมือนว่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อาจจะกำลัง “โตเร็ว” และอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” ของไทย ก็พึงระวังว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะไม่มี Moat และจะมีความเสี่ยงว่า อยู่ ๆ ผลประกอบการก็ “เดี้ยง” ไปซะงั้น
- SCGLOBAL
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 840
- ผู้ติดตาม: 457
Re: HTC
โพสต์ที่ 3
Key Highlight ที่เกี่ยวกับ HTC และ Key msg จาก Oppday Q2/2024 ในประเด็นต่างๆมีดังนี้
1.) คุณ พัชร รัตตกุล หากนับรวมจำนวนหุ้นที่ขายทั้งหมด ตามประกาศ 59-2 จาก 03/05/2024 ที่มีปริมาณหุ้นอยู่ 12,204,040 หุ้น ถ้านับจนถึง 09/09/2024 ตามประกาศล่าสุด จะเหลือหุ้นสุทธิ เพียง 4,504,040 หุ้น ***** อีกทั้งจากที่ผมได้ สังเกตุจากปริมาณการซื้อขาย 1 transaction ในวันที่ 11 /09/2024 มีการขาย สุทธิ อีก 460,000 หุ้น ปัจจุบัน คุณ พัชร รัตตกุล น่าจะเหลือหุ้นเพียง 3.9 ล้านหุ้นเศษ เท่านั้น ซึ่งแรงขายกดดันหุ้นจะค่อยๆลดลง
2.) ประเด็น SG&A ที่สูงขึ้นมาจาก 2 ส่วนคือ ผลตอบแทน ผู้บริหารและ พนักงานที่สูงขึ้น CFO ให้คำตอบว่า มาจากการขยาย Capacity ที่มากขึ้นและการ Promoting ผู้บริหารทั้งเก่าและ ใหม่ //// อีกส่วนคือค่า โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ที่มากขึ้นเพื่อรองรับ การท่องเที่ยว ใน Q2 Q3 Q4 ซึ่ง CFO ให้คำตอบเสริมว่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ Advertisement จะทะยอยเห็นผลใน ไตรมาสถัดๆไป ซึ่งคือ Q3 Q4 เพราะได้ลงทุนหนักไปใน Q2 แล้ว
3.) GPM% Q1 Q2 ดูเหมือนฉะลอตัวลง ผู้บริหารให้คำตอบว่า ผลมาจาก SUGAR lot เดือน NOV ที่ใช้ผลิตสินค้าใน Q1 Q2 มีราคา Peak สูง ทะยอยหมดไป ตอนนี้ Sugar ปรับตัวลงมาระดับต่ำ และ Aluminium ที่ใช้ผลิตกระป๋อง ใน ไตรมาส 2 ก็มี ราคาสูง ปัจจุบัน ราคาลดลงมา จึงคาดหวังว่า Q3 จะได้เห็น GPM% ที่ดีขึ้นกว่า Q1 Q2 /2024
4.) อีกประเด็นไม่ได้มีกล่าวใน Oppday แต่ ฐานของ Depreciation ของ Q1 Q2/ 2024 สูงขึ้นกว่า 2023 ราวๆ 13 ล้านจาก ไลน์ ผลิตใหม่ ใน Q3/2024 จะไม่มีผลต่างสูงระดับนั้น และคาดว่า Tax ต่อจากนี้จะ เป็น 20% เฉลี่ย ทั้งปี เป็นต้นไป
=================================================
ปล. HTC ที่ ปันผล 6.5% และอยู่ใน sSet / SETESG ระดับ AA น่าจะอยู่ในเกณฑ์ลงทุนของกอง Thai Esg ใหม่ และ วายุภักษ์
.
.
ปริมาณหุ้นที่ถูกขาย สุทธิ ของคุณ พัชร รัตตกุล และ ปริมาณ ซื้อขายผิดปกติ 11 /09/2024 มีการขาย สุทธิ อีก 460,000 หุ้น
.
.
.
ราคา Sugar ในเดือน NOV DEC 2023
. .
.
ฐานของ Depreciation ของ Q1 Q2/ 2024 สูงขึ้นกว่า 2023 ราวๆ 13 ล้านจาก ไลน์ ผลิตใหม่
. .
.
คำอธิบาย เรื่อง SG&A เกี่ยวกับ Advertisement ที่ลงทุนใน Q2 และ GPM ที่ลดต่ำลงจาก ราคาวัตถุดิบ ที่แพงสู.ผิดปกติ
.
.
1.) คุณ พัชร รัตตกุล หากนับรวมจำนวนหุ้นที่ขายทั้งหมด ตามประกาศ 59-2 จาก 03/05/2024 ที่มีปริมาณหุ้นอยู่ 12,204,040 หุ้น ถ้านับจนถึง 09/09/2024 ตามประกาศล่าสุด จะเหลือหุ้นสุทธิ เพียง 4,504,040 หุ้น ***** อีกทั้งจากที่ผมได้ สังเกตุจากปริมาณการซื้อขาย 1 transaction ในวันที่ 11 /09/2024 มีการขาย สุทธิ อีก 460,000 หุ้น ปัจจุบัน คุณ พัชร รัตตกุล น่าจะเหลือหุ้นเพียง 3.9 ล้านหุ้นเศษ เท่านั้น ซึ่งแรงขายกดดันหุ้นจะค่อยๆลดลง
2.) ประเด็น SG&A ที่สูงขึ้นมาจาก 2 ส่วนคือ ผลตอบแทน ผู้บริหารและ พนักงานที่สูงขึ้น CFO ให้คำตอบว่า มาจากการขยาย Capacity ที่มากขึ้นและการ Promoting ผู้บริหารทั้งเก่าและ ใหม่ //// อีกส่วนคือค่า โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ที่มากขึ้นเพื่อรองรับ การท่องเที่ยว ใน Q2 Q3 Q4 ซึ่ง CFO ให้คำตอบเสริมว่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ Advertisement จะทะยอยเห็นผลใน ไตรมาสถัดๆไป ซึ่งคือ Q3 Q4 เพราะได้ลงทุนหนักไปใน Q2 แล้ว
3.) GPM% Q1 Q2 ดูเหมือนฉะลอตัวลง ผู้บริหารให้คำตอบว่า ผลมาจาก SUGAR lot เดือน NOV ที่ใช้ผลิตสินค้าใน Q1 Q2 มีราคา Peak สูง ทะยอยหมดไป ตอนนี้ Sugar ปรับตัวลงมาระดับต่ำ และ Aluminium ที่ใช้ผลิตกระป๋อง ใน ไตรมาส 2 ก็มี ราคาสูง ปัจจุบัน ราคาลดลงมา จึงคาดหวังว่า Q3 จะได้เห็น GPM% ที่ดีขึ้นกว่า Q1 Q2 /2024
4.) อีกประเด็นไม่ได้มีกล่าวใน Oppday แต่ ฐานของ Depreciation ของ Q1 Q2/ 2024 สูงขึ้นกว่า 2023 ราวๆ 13 ล้านจาก ไลน์ ผลิตใหม่ ใน Q3/2024 จะไม่มีผลต่างสูงระดับนั้น และคาดว่า Tax ต่อจากนี้จะ เป็น 20% เฉลี่ย ทั้งปี เป็นต้นไป
=================================================
ปล. HTC ที่ ปันผล 6.5% และอยู่ใน sSet / SETESG ระดับ AA น่าจะอยู่ในเกณฑ์ลงทุนของกอง Thai Esg ใหม่ และ วายุภักษ์
.
.
ปริมาณหุ้นที่ถูกขาย สุทธิ ของคุณ พัชร รัตตกุล และ ปริมาณ ซื้อขายผิดปกติ 11 /09/2024 มีการขาย สุทธิ อีก 460,000 หุ้น
.
.
.
ราคา Sugar ในเดือน NOV DEC 2023
. .
.
ฐานของ Depreciation ของ Q1 Q2/ 2024 สูงขึ้นกว่า 2023 ราวๆ 13 ล้านจาก ไลน์ ผลิตใหม่
. .
.
คำอธิบาย เรื่อง SG&A เกี่ยวกับ Advertisement ที่ลงทุนใน Q2 และ GPM ที่ลดต่ำลงจาก ราคาวัตถุดิบ ที่แพงสู.ผิดปกติ
.
.
"ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณจะได้รับ เมื่อถึงวันที่คุณไม่ได้สิ่งที่ต้องการ" - Howard Marks
“I like to say, “Experience is what you got when you didn’t get what you wanted.”
“I like to say, “Experience is what you got when you didn’t get what you wanted.”
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2204
- ผู้ติดตาม: 304
Re: CREDIT
โพสต์ที่ 4
พอดีมีคนหลังไมค์มาถาม
ขอสรุปประเด็นของ CREDIT ดังนี้ครับ
1) โมเดลธุรกิจ : ถือ license แบงค์ปล่อยเงินฝากได้ CoF <2% แต่จับตลาดกลุ่ม SME loan ที่ทั้ง Bank/Non-Bank ไม่เล่น เลยมี บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกัน = Blue Ocean
2) เติบโตสูงมาต่อเนื่องและยาวนาน ยืนยันว่ากลยุทธ์ Blue ocean ได้ผล Cost-to-income ต่ำกว่าอุตฯ เพราะสร้างองค์กรจากการ focus ธุรกิจที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ไม่มี legacy พะรุงพะรัง
3) เข้า IPO ต้นปี24 ถ้าสังเกต คือ เข้ามาให้ PE exit บ.ไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น สามารถ self-finace การเติบโตได้เอง ได้จากกำไรสะสมและเงินฝาก
4) เกิด accident ใน งบ Q1 24 ซึ่งทำให้ต้องตั้งสำรองเป็นจำนวนมาก --> นักลงทุนมือแรกที่คาดหวังการโตแบบเส้นตรง +Qoq ทุกไตรมาสน่าจะเทขาย
5) ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกลุ่ม Non-bank และสภาพตลาดหุ้นไทยที่ไม่ค่อยดี ประกอบกับ สภาพคล่องที่น้อย ทำให้ราคาลงมาเร็วจากราคา IPO 29 บาท มาแถว 16 บาท (ผู้บริหารทยอยซื้อกลับตั้งแต่ราคาต่ำ 20 บาท)
ุ6) ในกำไรที่ดูแย่ ถ้าเข้าไปทำความเข้าใจงบ Q1 จะพบว่า ECL นั้นมากผิดปกติ สาเหตุคือเรื่องการหย่อนเกณฑ์การนับ NPL โดย ธปท. หมดเขตลง ทำให้ NPL ไหลพรวดเข้ามาทีเดียว โดยที่ indicator อื่นยังค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับกลุ่ม non-bank อื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการเติบโตและ NIM
7) งบ Q2 ออกมา เป็นการเคลียร์ตัวเองเรื่อง ECL, NPL น่าจะเอาอยู่ที ่4.5% และ Loan Growth 2-digit+ (จับตาดู NIM ดีๆครับ บ.ปรับเป้าขึ้นอาจมี Surprise)
8) ราคาตลาดปัจจุบันกลับขึ้นมาบ้างตามตลาด แต่ยังไม่ค่อยสะท้อนงบที่ Back on track ถือว่า underperform กลุ่ม non-bank ที่หลายๆตัว งบยังไม่ได้ฟื้นกลับมาเลยด้วยซ้ำ
สำหรับผมถือว่าตัวนี้ Best of both world (ต้นทุน bank, Growth&Yield แบบ Non-bank) และอยู่ใน BlueOcean ซึ่งเป็น Sweetspot ของ Loan Growth อย่างแท้จริงครับ
ปล. เรื่อง Valuation ตัวนี้น่าจะ Out-of-radar อาจจะด้วยสภาพค่อง ถ้าใช้ GGM เทียบกับกลุ่มแบงค์ ก็ดูมี upside โดดเด่น ถ้าใช้ PE เทียบ growth กับ non-bank ก็ไม่แพ้ตัวอื่นครับ
ขอสรุปประเด็นของ CREDIT ดังนี้ครับ
1) โมเดลธุรกิจ : ถือ license แบงค์ปล่อยเงินฝากได้ CoF <2% แต่จับตลาดกลุ่ม SME loan ที่ทั้ง Bank/Non-Bank ไม่เล่น เลยมี บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกัน = Blue Ocean
2) เติบโตสูงมาต่อเนื่องและยาวนาน ยืนยันว่ากลยุทธ์ Blue ocean ได้ผล Cost-to-income ต่ำกว่าอุตฯ เพราะสร้างองค์กรจากการ focus ธุรกิจที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ไม่มี legacy พะรุงพะรัง
3) เข้า IPO ต้นปี24 ถ้าสังเกต คือ เข้ามาให้ PE exit บ.ไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น สามารถ self-finace การเติบโตได้เอง ได้จากกำไรสะสมและเงินฝาก
4) เกิด accident ใน งบ Q1 24 ซึ่งทำให้ต้องตั้งสำรองเป็นจำนวนมาก --> นักลงทุนมือแรกที่คาดหวังการโตแบบเส้นตรง +Qoq ทุกไตรมาสน่าจะเทขาย
5) ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกลุ่ม Non-bank และสภาพตลาดหุ้นไทยที่ไม่ค่อยดี ประกอบกับ สภาพคล่องที่น้อย ทำให้ราคาลงมาเร็วจากราคา IPO 29 บาท มาแถว 16 บาท (ผู้บริหารทยอยซื้อกลับตั้งแต่ราคาต่ำ 20 บาท)
ุ6) ในกำไรที่ดูแย่ ถ้าเข้าไปทำความเข้าใจงบ Q1 จะพบว่า ECL นั้นมากผิดปกติ สาเหตุคือเรื่องการหย่อนเกณฑ์การนับ NPL โดย ธปท. หมดเขตลง ทำให้ NPL ไหลพรวดเข้ามาทีเดียว โดยที่ indicator อื่นยังค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับกลุ่ม non-bank อื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการเติบโตและ NIM
7) งบ Q2 ออกมา เป็นการเคลียร์ตัวเองเรื่อง ECL, NPL น่าจะเอาอยู่ที ่4.5% และ Loan Growth 2-digit+ (จับตาดู NIM ดีๆครับ บ.ปรับเป้าขึ้นอาจมี Surprise)
8) ราคาตลาดปัจจุบันกลับขึ้นมาบ้างตามตลาด แต่ยังไม่ค่อยสะท้อนงบที่ Back on track ถือว่า underperform กลุ่ม non-bank ที่หลายๆตัว งบยังไม่ได้ฟื้นกลับมาเลยด้วยซ้ำ
สำหรับผมถือว่าตัวนี้ Best of both world (ต้นทุน bank, Growth&Yield แบบ Non-bank) และอยู่ใน BlueOcean ซึ่งเป็น Sweetspot ของ Loan Growth อย่างแท้จริงครับ
ปล. เรื่อง Valuation ตัวนี้น่าจะ Out-of-radar อาจจะด้วยสภาพค่อง ถ้าใช้ GGM เทียบกับกลุ่มแบงค์ ก็ดูมี upside โดดเด่น ถ้าใช้ PE เทียบ growth กับ non-bank ก็ไม่แพ้ตัวอื่นครับ
แนบไฟล์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 9
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1915
- ผู้ติดตาม: 323
Re: ICHI
โพสต์ที่ 6
จริงๆตอนนี้คุณตันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ CEO เต็มๆแล้วแหละครับผมว่านะ ทีมบริหารของคุณตันก็ทำงานเก่งกันทั้งนั้น คุณตันอาจจะเป็นคนให้ direction และการมองโอกาสต่างๆจากภายนอกมากกว่าครับ ฟังคลิปสัมภาษณ์ของลงทุนแมนคุณตันพูดไว้bbshambles เขียน: ↑อาทิตย์ ก.ย. 15, 2024 12:02 pmเคยฟังคลิปนึงสองปีก่อน คุณตันบอกถ้ายอดขายหมื่นล้านแล้วอยากเกษียณ(ลาออกจากCEO เป็นบอร์ดอย่างเดียว) เลยอยากถามพี่ๆนักลงทุนว่า ลูกของคุณตันได้มีเข้ามาร่วมบริหารบ้างไหมครับ หรือแกเตรียมsuccessorเป็นใคร อย่างไรบ้างครับ
The most inefficient is "Stock market"
The best investment asset is "Knowledge"
The most valuable thing is "Time"
3 Powerful paths to have financial freedom.
The best investment asset is "Knowledge"
The most valuable thing is "Time"
3 Powerful paths to have financial freedom.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 342
- ผู้ติดตาม: 44
Re: KAMART
โพสต์ที่ 7
ร้าน Tsuruha drug store สาขา สยามสแควร์ ซอย7 มี สินค้า kamart หลาย sku เลย ครับ.. (ร้าน อยู่ ติดกับ beautrium สยาม )
แนบไฟล์
"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
- Pondtrade
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 151
- ผู้ติดตาม: 146
Re: AU
โพสต์ที่ 9
ผมคุยกับคนๆนึงใน 7-11 มาครับ ผมอยากเอาข้อมูลเกี่ยวกับขนมปังเนยโสดมาบอกมาก แต่ผมไม่สามารถบอก Public ได้ เพราะเป็นข้อมูลค่อนข้างภายใน เขาไม่ให้บอกคนอื่น
เอาเป็นว่า เดือนตุลาคม รอดูการขยายตัวของขนมปังเนยโสดใน 7-11 ครับ ว่าไปได้กี่สาขา
ส่วนข้อมูลที่ผมสามารถบอกได้ก็คือ 7-11 ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวคุณเมย์ ว่าคุณเมย์เป็นคนคิดเมนูเก่ง และแบรนด์ AU เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สามารถขายแพงได้ ถ้าเกิดยอดขายของขนมปังเนยโสดเริ่ม drop ลง คุณเมย์น่าจะหาสินค้าตัวอื่นมาทดแทนได้ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ คิดสินค้าตามเทรนด์ว่าคนชอบกินอะไร ถ้าคุณเมย์คิดเมนูใหม่ไปได้เรื่อยๆ ก็คงจะเป็นไปได้ยากที่ 7-11 จะแยกทางกับ AU
ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจาก IR แต่ได้มาจาก Connection ของเพื่อนผมครับ
เอาเป็นว่า เดือนตุลาคม รอดูการขยายตัวของขนมปังเนยโสดใน 7-11 ครับ ว่าไปได้กี่สาขา
ส่วนข้อมูลที่ผมสามารถบอกได้ก็คือ 7-11 ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวคุณเมย์ ว่าคุณเมย์เป็นคนคิดเมนูเก่ง และแบรนด์ AU เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สามารถขายแพงได้ ถ้าเกิดยอดขายของขนมปังเนยโสดเริ่ม drop ลง คุณเมย์น่าจะหาสินค้าตัวอื่นมาทดแทนได้ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ คิดสินค้าตามเทรนด์ว่าคนชอบกินอะไร ถ้าคุณเมย์คิดเมนูใหม่ไปได้เรื่อยๆ ก็คงจะเป็นไปได้ยากที่ 7-11 จะแยกทางกับ AU
ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจาก IR แต่ได้มาจาก Connection ของเพื่อนผมครับ
ดอกไม้ไม่บอกว่าจะบานตอนไหน เราต้องรอ
- Andy Dufresne
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 76
- ผู้ติดตาม: 23
Re: MOSHI
โพสต์ที่ 11
มีเพื่อนไปดู HELLO KITTY Exhibition: Celebration of Friendship ที่ MOSHI จัดมาครับ ที่ central world ชั้น 7
มี 2 exibition คือ kitty และ รวมตัวการ์ตูน sanrio ราคาบัตรงานละ 590 บาท ถ้าซื้อ2งาน 1100 บาท จะมีส่วนของหน้างานที่เป็นสินค้าเกี่ยวกับkitty และ sanrio ส่วนนี้ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าไปซื้อได้ คนเยอะพอสมควร
ภายในงาน แสง สี เสียง ถือว่าใช้ได้ครับ มีทั้งหมด 8 ห้อง ทำเป็นธีมต่างๆ มีกิจกรรมให้เล่น เช่น ระบายสี สไลเดอร์
โดยรวมถือว่าโอเคเลย แต่อาจจะโปรโมตน้อยไปหน่อย
Cr.คุณหมูหวาน
มี 2 exibition คือ kitty และ รวมตัวการ์ตูน sanrio ราคาบัตรงานละ 590 บาท ถ้าซื้อ2งาน 1100 บาท จะมีส่วนของหน้างานที่เป็นสินค้าเกี่ยวกับkitty และ sanrio ส่วนนี้ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าไปซื้อได้ คนเยอะพอสมควร
ภายในงาน แสง สี เสียง ถือว่าใช้ได้ครับ มีทั้งหมด 8 ห้อง ทำเป็นธีมต่างๆ มีกิจกรรมให้เล่น เช่น ระบายสี สไลเดอร์
โดยรวมถือว่าโอเคเลย แต่อาจจะโปรโมตน้อยไปหน่อย
Cr.คุณหมูหวาน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2833
- ผู้ติดตาม: 254
Re: NER
โพสต์ที่ 12
ภัยธรรมชาติ ทำให้supplyยางลด ราคาขึ้น สอบถามIrมาว่ากระทบsupplyของnerไหม irบอกว่ารอบนี้nerไม่กระทบนะครับ มีของขายอยู่
Rubber futures rose toward 184 US cents per kg, their highest since early June, driven by mounting supply concerns in key Southeast Asian production areas. Heavy rainfall, triggered by super typhoon Yagi, is expected to continue in northern Thailand and the upper Northeast, while northern Vietnam, China’s Hainan, and the Philippines have also been impacted, potentially disrupting rubber production. Meanwhile, the demand outlook remains subdued as China, the world’s largest buyer, continues to report weak economic data, casting uncertainty over future demand.
Rubber futures rose toward 184 US cents per kg, their highest since early June, driven by mounting supply concerns in key Southeast Asian production areas. Heavy rainfall, triggered by super typhoon Yagi, is expected to continue in northern Thailand and the upper Northeast, while northern Vietnam, China’s Hainan, and the Philippines have also been impacted, potentially disrupting rubber production. Meanwhile, the demand outlook remains subdued as China, the world’s largest buyer, continues to report weak economic data, casting uncertainty over future demand.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2833
- ผู้ติดตาม: 254
Re: AAI
โพสต์ที่ 14
USA-China trade warมีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดขึ้นภาษีถุงมือยาง อนาคตถ้าจีนโดนขึ้นภาษีpet food, Pet food exporterของไทยเราน่าจะได้ประโยชน์สูงมากครับ
STA Update - การไต่ระดับขึ้นของ STGT +15% และแนวโน้มกำไรของ STGT ที่ดีขึ้น หลังสหรัฐฯเตรียมปรับเพิ่มภาษีนำเข้าถุงมือยางจากจีน ส่งผลบวกให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น ทั้ง 2 ปัจจัยเป็นบวกต่อ STA ด้วยเช่นกัน
#YuantaResearch
STA Update - การไต่ระดับขึ้นของ STGT +15% และแนวโน้มกำไรของ STGT ที่ดีขึ้น หลังสหรัฐฯเตรียมปรับเพิ่มภาษีนำเข้าถุงมือยางจากจีน ส่งผลบวกให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น ทั้ง 2 ปัจจัยเป็นบวกต่อ STA ด้วยเช่นกัน
#YuantaResearch
Re: KAMART
โพสต์ที่ 15
A561938 เขียน: ↑อาทิตย์ ก.ย. 15, 2024 12:15 pmMoat ของ kamart คืออะไรหรอครับผบห. ปรับตัวเก่าสินค้าใช้แล้วแตกต่างจากคนอื่นหรือว่าเพราะราคา
คิดว่าอุตสาหกรรมที่ kamart อยู่มันมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็วนะครับ
เช่น
ในยุค social media แบบนี้ ผู้บริโภคมีช่องทาง สามารถรับรู้ และ เข้าถึงสินค้าได้ หลากหลายและรวดเร็วมากขึ้นกว่าในอดีตเยอะ
จนทำให้ คูเมือง หรือ Moat ของบริษัทใหญ่ๆ ที่ใช้มาอย่างยาวนาน นั้นมัน เสื่อม ลงได้
บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม ที่เคยใช้ playbook อัดเม็ดเงิน โฆษณา ที่เหนือกว่าคู่แข่ง จน Dominate ช่องทาง โฆษณา ทางฟรีทีวี
ผูกขาดการรับรู้ สินค้าใหม่ๆ ของผู้บริโภค ในการสร้าง Moat ให้เหนือกว่าคู่แข่งไปได้เรื่อยๆ ตอนนี้วิธีการสร้าง moat แบบนี้ มันใช้ไม่ได้แล้ว
บริษัทที่อยู่รอด และ แข่งขันได้ในระยะยาว ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะต้อง "มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับ การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว"
ผมเจอบทความที่น่าสนใจของ HBR ที่เขียนถึงเรื่องนี้เอาไว้ ใน link ข้างล่างนี้นะครับ
Adaptability: The New Competitive Advantage
https://hbr.org/2011/07/adaptability-th ... -advantage
คร่าวๆ คือต้อง อ่านสัญญาณจากผู้บริโภคได้เร็ว และตอบสนองได้เร็ว / ทดลอง ลองผิดลองถูกได้เร็ว / คิดนอกกรอบของบริษัท ให้มองการใช้ประโยชน์ของ ecosystem ที่มี / และทำวัฒนธรรมองค์กร คนในองค์กรมีแนวคิดในการปรับตัวให้รวดเร็ว
ส่วนตัวคิดว่าบริษัท kamart ปรับตัวได้ดีใน 2-3 ปีที่ผ่านมานะครับ น่าจะมาได้ถูกทาง
แต่จะบอกว่าว่า kamart มี competitive advantage เรื่องนี้แล้วหรือไม่
อาจจะต้องใช้ เวลาในการพิสูจน์มากกว่านี้
ว่าในระยะยาวนั้นจะสามารถปรับตัวได้แบบนี้ได้เรื่อยๆ หรือไม่ ?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 345
- ผู้ติดตาม: 21
Re: HL
โพสต์ที่ 16
ผมลองประมาณค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อสาขา
1.ค่าเช่า 100k บาท
2.ค่าเภสัช 2 คน 140k บาท
3.ค่าผู้ช่วย 4 คน 80k บาท
4.ค่าเสื่อม 60k บาท
5.utility 20k บาท
รวมค่าใช้จ่าย ต่อ สาขา ประมาณ 400k บาท/เดือน
ฉะนั้น ถ้ามาจิ้น 23% ต้องทำรายได้ 1.8m บาท/เดือนต่อสาขา หรือรายได้ต้องปีละ 22 ล้าน/สาขา
กรณีเปิด 20 สาขา บริษัทต้องทำรายได้ 440 ล้านถึงจะ breakeven ได้ ซึ่ง ระยะเวลาในการ breakeven ประมาณ 1-1.5 ปี ถ้าดูเทียบกับการเติบโตของรายได้ ณ ปัจจุบัน เป้าหมายปีนี้ ต้องติดตามว่า รายได้จะถึง 2,000 ล้านหรือไม่ ในปีนี้
ผมลองวิเคราะห์เล่นๆ จิงๆ gpm บริษัทก้ไม่ำด้สุงมากนะครับถ้าเทียบกับร้ายยาทั่วไปอาจจะเพราะว่า ร้านทั่วไป ไม่มี vat 7% แถมค่าใช้จ่ายด้านเภสัช บริษัทก็สูงกว่าร้าน local ที่ขนาดเล็ก จุดแข็งคงเป็นความหลากหลายของสินค้าและการที่เภสัชกรอยู่ให้บริการตลอดซึ่งทำให้มีความน่าเชื่อถือกว่าร้านทั่วไป ร้านยาปกติจะเป็นลักษณะค่อยๆสร้างฐานลูกค้าและฐานรายได้ ผมเชื่อว่าด้วยราคาสิ้นค้าที่ไม่แพงและความน่าเชื่อถือของเภสัชกร ความครบของสินค้า น่าจะทำให้บริษัทยังขยายฐานลูกค้าไปได้เรื่อยๆและกินแชร์ร้านใก้ลเคียงได้ ซึ่งก้ต้องติดตามจาก sssg เป็นหลักและรายได้รวม business model ยังต้องพิสูจน์ เนื่องจากก็ไม่ต่างจากคู่แข่งมากและเรื่องอำนาจการต่อรองผมก็ว่าได้ระดับนึง เพราะยังไงเจ้าของสินค้าเค้าก็ใหญ่กว่า ร้านเยอะถ้าเทียบสเกล
จิงๆคอสบางสาขา รายได้อาจจะไปไม่ถึง ผบหก็ควรจะลดเภสัชเหลือ 1 คนปิดในวันที่เภสัชลา และต่อรองค่าเช่าเพื่อให้ ใก้ลเคียงกับรายได้หากรายได้สาขานั้นๆเรอ่มสเตเบิ้ล
ต้องติดตามต่อไประยะเวลาน่าจะเฉลย หวังว่าจะมีคนแลกเปลี่ยนมุมมองกันนะครับ
1.ค่าเช่า 100k บาท
2.ค่าเภสัช 2 คน 140k บาท
3.ค่าผู้ช่วย 4 คน 80k บาท
4.ค่าเสื่อม 60k บาท
5.utility 20k บาท
รวมค่าใช้จ่าย ต่อ สาขา ประมาณ 400k บาท/เดือน
ฉะนั้น ถ้ามาจิ้น 23% ต้องทำรายได้ 1.8m บาท/เดือนต่อสาขา หรือรายได้ต้องปีละ 22 ล้าน/สาขา
กรณีเปิด 20 สาขา บริษัทต้องทำรายได้ 440 ล้านถึงจะ breakeven ได้ ซึ่ง ระยะเวลาในการ breakeven ประมาณ 1-1.5 ปี ถ้าดูเทียบกับการเติบโตของรายได้ ณ ปัจจุบัน เป้าหมายปีนี้ ต้องติดตามว่า รายได้จะถึง 2,000 ล้านหรือไม่ ในปีนี้
ผมลองวิเคราะห์เล่นๆ จิงๆ gpm บริษัทก้ไม่ำด้สุงมากนะครับถ้าเทียบกับร้ายยาทั่วไปอาจจะเพราะว่า ร้านทั่วไป ไม่มี vat 7% แถมค่าใช้จ่ายด้านเภสัช บริษัทก็สูงกว่าร้าน local ที่ขนาดเล็ก จุดแข็งคงเป็นความหลากหลายของสินค้าและการที่เภสัชกรอยู่ให้บริการตลอดซึ่งทำให้มีความน่าเชื่อถือกว่าร้านทั่วไป ร้านยาปกติจะเป็นลักษณะค่อยๆสร้างฐานลูกค้าและฐานรายได้ ผมเชื่อว่าด้วยราคาสิ้นค้าที่ไม่แพงและความน่าเชื่อถือของเภสัชกร ความครบของสินค้า น่าจะทำให้บริษัทยังขยายฐานลูกค้าไปได้เรื่อยๆและกินแชร์ร้านใก้ลเคียงได้ ซึ่งก้ต้องติดตามจาก sssg เป็นหลักและรายได้รวม business model ยังต้องพิสูจน์ เนื่องจากก็ไม่ต่างจากคู่แข่งมากและเรื่องอำนาจการต่อรองผมก็ว่าได้ระดับนึง เพราะยังไงเจ้าของสินค้าเค้าก็ใหญ่กว่า ร้านเยอะถ้าเทียบสเกล
จิงๆคอสบางสาขา รายได้อาจจะไปไม่ถึง ผบหก็ควรจะลดเภสัชเหลือ 1 คนปิดในวันที่เภสัชลา และต่อรองค่าเช่าเพื่อให้ ใก้ลเคียงกับรายได้หากรายได้สาขานั้นๆเรอ่มสเตเบิ้ล
ต้องติดตามต่อไประยะเวลาน่าจะเฉลย หวังว่าจะมีคนแลกเปลี่ยนมุมมองกันนะครับ
"เมื่อผลลัพธ์ยังมาไม่ถึง เราจำเป็นต้องมีศรัทธา"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1194
- ผู้ติดตาม: 30
Re: AU
โพสต์ที่ 20
เสาร์ที่ 14 กย ไปสำรวยสาขาท่าม่วง เมืองกาญมาครับ ทั้ง2สาขาเป็น stand alone มีสาขาหนึ่งติด T3 ด้วย ได้ลองสอบถามน้องพนักงานได้ความว่า แรกๆขายดี คนน่าจะเห่อ ตอนนี้คนมาสนใจตัวเลเยอร์มากกว่า (ผมสังเกตหน้า7ติดป้ายโฆษณาตัวนี้เป็นหลัก) ตอนนี้เนยโสดก็ขายได้เรื่อยๆ ของเข้ามาครั้งละ 2-3 ชิ้นต่อรอบ ผมลืมถามไปว่าสั่งของบ่อยขนาดไหน เดียวรอบหน้าจะกลับไปคุยใหม่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 192
- ผู้ติดตาม: 10
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 249
- ผู้ติดตาม: 18
Re: NEO
โพสต์ที่ 22
กำลังซื้อของกลุ่มเปราะบาง จำนวนมหาศาล กว่า 1.4 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มเข้าสู่ระบบตั้งแต่ 25 ก.ย.67 คงจะเข้ามาใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ยังไง NEO ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ไม่ใช่น้อยในฐานะผู้ผลิตสินค้า ซึ่ง gross margin น่าสูงกว่าบรรดาร้านค้าปลีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2930
- ผู้ติดตาม: 296
Re: ICHI
โพสต์ที่ 25
ฟัง oppday เห็นว่า ปัจจุบันนี้ ยอดขายในช่องทาง Traditional Trade นี้ทำได้ ราวๆ 50% แล้ว อีก 50% ขายในช่องทาง Modern Trade
สังเกตว่า การขายผ่านช่องทาง Traditional trade นี้ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และโตค่อนข้างแรง เป็น Growth Driver ที่สำคัญในช่วง 2-3 ปีหลังมานี่
ซึ่ง สัดส่วนช่องทางการขาย TT:MT หากเปรียบเทียบกับ Coke ที่เป็นที่นิยม มายาวนาน
ดูอย่าง HTC (สมัยปี 2020) ที่มีสัดส่วนการขายผ่าน Modern Trade อยู่แค่ 20% เท่านั้น ส่วนใหญ่ 80% จะเป็นช่องทาง TT สัดส่วนนี้ ยังต่างกันพอสมควร
อนาคต ICHI จะทำให้ ชาเขียว ขยายไปในตลาด TT ได้ขนาดไหน ??
สัดส่วน MT/TT ของชาเขียวพร้อมดื่ม จะเป็นไปได้เต็มที่ขนาดไหน ??
อันนี้คงต้องตามดูกันไปครับ
สังเกตว่า การขายผ่านช่องทาง Traditional trade นี้ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และโตค่อนข้างแรง เป็น Growth Driver ที่สำคัญในช่วง 2-3 ปีหลังมานี่
ซึ่ง สัดส่วนช่องทางการขาย TT:MT หากเปรียบเทียบกับ Coke ที่เป็นที่นิยม มายาวนาน
ดูอย่าง HTC (สมัยปี 2020) ที่มีสัดส่วนการขายผ่าน Modern Trade อยู่แค่ 20% เท่านั้น ส่วนใหญ่ 80% จะเป็นช่องทาง TT สัดส่วนนี้ ยังต่างกันพอสมควร
อนาคต ICHI จะทำให้ ชาเขียว ขยายไปในตลาด TT ได้ขนาดไหน ??
สัดส่วน MT/TT ของชาเขียวพร้อมดื่ม จะเป็นไปได้เต็มที่ขนาดไหน ??
อันนี้คงต้องตามดูกันไปครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 342
- ผู้ติดตาม: 44
Re: KAMART
โพสต์ที่ 26
มีทำ แปะจุก ด้วย ครับ (ถ่าย ที่ eve and boy สาขา สยาม)
แนบไฟล์
"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
- panuwaww
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 373
- ผู้ติดตาม: 52
Re: AU
โพสต์ที่ 27
ทำไม mikka ถึงไม่ประสบความสำเร็จ
เห็นมีสาขามาเปิดแถวคอนโด ย่านคนทำงาน อาทิตย์แรกๆคนเยอะ หลังจากนั้นเงียบ ตอนนี้ปิดไปแล้ว
แล้วตอนนี้มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่แทน ช่วงแรกขายแบบ 1แถม 1 ราคาไม่แรง คนเยอะตลอด ตอนนี้ ไม่ได้เป็น 1แถม1 แล้ว แต่คนก้อยังมาซื้อเรื่อยๆ เท่าที่ลองทานดู รสชาตกาแฟดีราคาไม่แรง
เห็นมีสาขามาเปิดแถวคอนโด ย่านคนทำงาน อาทิตย์แรกๆคนเยอะ หลังจากนั้นเงียบ ตอนนี้ปิดไปแล้ว
แล้วตอนนี้มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่แทน ช่วงแรกขายแบบ 1แถม 1 ราคาไม่แรง คนเยอะตลอด ตอนนี้ ไม่ได้เป็น 1แถม1 แล้ว แต่คนก้อยังมาซื้อเรื่อยๆ เท่าที่ลองทานดู รสชาตกาแฟดีราคาไม่แรง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 9
Re: AU
โพสต์ที่ 28
มันเป็นสินค้าขายดีทางออนไลน์ (ไม่ได้ขายดีที่หน้าร้าน)
ไม่แน่ใจว่าเฉพาะแค่ช่วงนี้ที่มันถูกแนะนำเป็นสินค้าใหม่ใน appของ 7-11เลยขายดีรึป่าวนะครับ
ุถ้าถูกถอดออกจากสินค้าใหม่ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรครับ ต้องติดตามอีกทีครับ
ใครคิดเห็นยังไงบ้างครับ
ส่วน ปังชั้น ราคาเทียบกับใน shelf แล้วราคาก็แพงกว่าชาวบ้านพอสมควรเหมือนกัน
ลองชิมแล้วก็ อร่อยดี ไม่ได้ว้าวอะไร ที่อยากจะซื้อกินอีก ^^"
Re: KAMART
โพสต์ที่ 29
Moat ของ kamart คืออะไรหรอครับ
ผบห. ปรับตัวเก่า
สินค้าใช้แล้วแตกต่างจากคนอื่น
หรือว่าเพราะราคา
ผบห. ปรับตัวเก่า
สินค้าใช้แล้วแตกต่างจากคนอื่น
หรือว่าเพราะราคา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1915
- ผู้ติดตาม: 323
Re: OKJ
โพสต์ที่ 30
ผมชอบแนวธุรกิจของเจ้าของนะครับ แบรนด์ร้านโอ้กะจู๋ค่อนข้างดังตั้งแต่ในเชียงใหม่และกรุงเทพซึ่งมันเป็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่อร่อย อีกอย่างคือผมว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ ไซส์จากใหญ่อร่อยคุ้ม การขยาย 67 สาขาเข้าใจว่าน่าจะไปรอบนอกกรุงเทพด้วยเพราะถ้า 67 สาขาอัดแค่ในกรุงเทพน่าจะ cannibalize กันเอง เพราะงั้นอาจจะต้องมีระบบโลจิสติกส์และครัวกลางในการจัดการอย่างเป็นระบบครับ ส่วน oh juice ส่วนตัวรู้สึกราคาแรงไปครับถ้าประเภทแก้วละ 200 กว่าๆ เดี๋ยวก็จะมีแบรนด์อื่นๆเข้ามาตีตลาดนี้แล้วตัดราคาลงมา สุดท้ายผมว่าก็จะขายได้แค่แก้วราคาทั่วไปมากกว่า ข้อควรระวังผมว่าอุตสาหกรรมนี้แข่งขันกันรุนแรงครับ(ร้านอาหาร) switching cost ต่ำแล้วยิ่งจับตลาด mass ด้วยครับยังไงก็ห่ำหั่นกันแน่นอนในอนาคตครับ แล้วก็มีผู้เล่นใหม่ๆเข้ามาได้เสมอ บริษัทอาจจะต้องใช้แบรนด์ในการรักษา positioning and market share ให้ได้ครับซึ่งตรงนี้ผมก็ยังกลัวๆอยู่
The most inefficient is "Stock market"
The best investment asset is "Knowledge"
The most valuable thing is "Time"
3 Powerful paths to have financial freedom.
The best investment asset is "Knowledge"
The most valuable thing is "Time"
3 Powerful paths to have financial freedom.