โพสต์ยอดนิยม
อวสานของการลงทุนหุ้นต่างประเทศ?/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 18
Re: MC
โพสต์ที่ 1
เพื่อให้เห็นภาพและทิศทางคร่าวๆของแต่ละแบรนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ จึงได้ทำสรุปยอดขายและยอดผู้ติดตาม โดยไม่ได้รวม Website หลักที่เป็นของตัวแบรนด์เอง ยอดขายนี้จะเป็นยอดของ Official Brand เท่านั้น ไม่รวมยอดจากร้านค้าอื่นๆ บางแบรนด์มียอดน้อยจนแท่งกราฟขึ้นนิดเดียวและบางแบรนด์ที่ไม่มียอดเลย อาจมาจากที่แบรนด์ยังไม่ได้เริ่มขายใน Tiktok
***ดังนั้น ข้อมูลนี้จึงไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่องทางออนไลน์ครับ***
.
รูปแรกเป็นยอดขายตามจำนวนชิ้นที่ขายได้ทั้งหมด As of Date 30/11/2023 ในแพลตฟอร์ม TIKTOk
.
เดือนหน้าผมจะมา Update ยอดผู้ติดตามและยอดขายว่าแต่ละแบรนด์เพิ่มขึ้นเป็นกี่เปอร์เซนต์เทียบ MoM ครับ
.
หากข้อมูลผิดพลาดอย่างไร ทักแจ้งได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ
***ดังนั้น ข้อมูลนี้จึงไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่องทางออนไลน์ครับ***
.
รูปแรกเป็นยอดขายตามจำนวนชิ้นที่ขายได้ทั้งหมด As of Date 30/11/2023 ในแพลตฟอร์ม TIKTOk
.
เดือนหน้าผมจะมา Update ยอดผู้ติดตามและยอดขายว่าแต่ละแบรนด์เพิ่มขึ้นเป็นกี่เปอร์เซนต์เทียบ MoM ครับ
.
หากข้อมูลผิดพลาดอย่างไร ทักแจ้งได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 206
- ผู้ติดตาม: 27
Re: AURA
โพสต์ที่ 2
หลังจากอ่าน Annual/quarterly report กับ THAIVI Forum และ ได้ไปพูดคุยลึกๆกับเถ้าแก่ตระกูลร้านทอง/โรงรับจำนำมา (จนเถ้าแก่สงสัย ถึงกับถามว่า จะเปิดร้านทองแข่งเหรอ?)
ความเห็นส่วนตัว AURA เป็นธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งเงินทุนตั้งต้น และสภาพคล่องทางการเงินสูงมาก (ไปดู Cash Cycle ยาวมาก และยาวขึ้นจาก 75 วัน ปีที่แล้ว เป็น 108 วัน ไตรมาสล่าสุด) ซึ่ง ปัจจัยที่น่าจับตา คือ การจัดหาสภาพคล่องทั้ง manage/expand กิจการ
การที่ร้านทองทยอยหายไปจากตลาด (ซึ่งจริง) อาจดีในแง่ลด competitive supply และจริงๆคือเป็นปัญหาด้าน demand และ consumer behavior ที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ระดับฐานราก (lifestyle แม่ค้า และหนี้นอกระบบ) และรวมไปถึงนักลงทุน ที่มีทางเลือกที่มากขึ้น (ตัวเองสมัยก่อนนู้น เคยไปยืนเข้าแถวซื้อ gold bar ที่ร้านทอง แล้วไปเก็บที่ธนาคาร ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว และร้านทองถ้าไม่ใหญ่จริง ก็ไม่อยากจะขาย bar เพราะไม่คุ้ม)
ในแง่ธุรกิจ มี Macro headwind ที่เห็นคือ
ปีหน้า ที่อาจจะมีแนวโน้มราคาทองคำขึ้น จาก Fed อาจจะลดดอกเบี้ย และการเพิ่มสัดส่วนทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศ ผลกระทบโดยตรง ทำให้ บ. ต้องเตรียมสภาพคล่องเพิ่มอีก, การไม่สามารถปรับค่ากำเหน็จขึ้นตามราคาทองได้เพราะแข่งขันสูง และ การออกหุ้นกู้ช่วงนี้ ไม่ง่ายเหมือนก่อน (ออกก็ยาก ขายให้หมดยิ่งยาก)
ส่วนนักลงทุนมองว่า ราคาทองขึ้น ทำให้ BV จะเพิ่มขึ้น แต่นั่นคือ asset play แต่ถ้าไม่คิดจะเลิกกิจการในเร็วๆนี้ การที่ทองคำราคาขึ้น ทำให้ต้นทุนในการเติม stock ใหม่แพงขึ้น
ส่วน tailwind น่าจะเป็นแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง ต้นทุนทางเงินลดลงครับ (ตอนนี้ cost of fund ก็ยังเพิ่มขึ้น แม้แต่หลัง IPO)
ถ้าเข้าใจตรงไหนผิด แก้ไขได้ครับ
ปล. ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ThaiVI ที่ช่วยสรุป CV มาให้อ่านด้วยครับ
ความเห็นส่วนตัว AURA เป็นธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งเงินทุนตั้งต้น และสภาพคล่องทางการเงินสูงมาก (ไปดู Cash Cycle ยาวมาก และยาวขึ้นจาก 75 วัน ปีที่แล้ว เป็น 108 วัน ไตรมาสล่าสุด) ซึ่ง ปัจจัยที่น่าจับตา คือ การจัดหาสภาพคล่องทั้ง manage/expand กิจการ
การที่ร้านทองทยอยหายไปจากตลาด (ซึ่งจริง) อาจดีในแง่ลด competitive supply และจริงๆคือเป็นปัญหาด้าน demand และ consumer behavior ที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ระดับฐานราก (lifestyle แม่ค้า และหนี้นอกระบบ) และรวมไปถึงนักลงทุน ที่มีทางเลือกที่มากขึ้น (ตัวเองสมัยก่อนนู้น เคยไปยืนเข้าแถวซื้อ gold bar ที่ร้านทอง แล้วไปเก็บที่ธนาคาร ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว และร้านทองถ้าไม่ใหญ่จริง ก็ไม่อยากจะขาย bar เพราะไม่คุ้ม)
ในแง่ธุรกิจ มี Macro headwind ที่เห็นคือ
ปีหน้า ที่อาจจะมีแนวโน้มราคาทองคำขึ้น จาก Fed อาจจะลดดอกเบี้ย และการเพิ่มสัดส่วนทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศ ผลกระทบโดยตรง ทำให้ บ. ต้องเตรียมสภาพคล่องเพิ่มอีก, การไม่สามารถปรับค่ากำเหน็จขึ้นตามราคาทองได้เพราะแข่งขันสูง และ การออกหุ้นกู้ช่วงนี้ ไม่ง่ายเหมือนก่อน (ออกก็ยาก ขายให้หมดยิ่งยาก)
ส่วนนักลงทุนมองว่า ราคาทองขึ้น ทำให้ BV จะเพิ่มขึ้น แต่นั่นคือ asset play แต่ถ้าไม่คิดจะเลิกกิจการในเร็วๆนี้ การที่ทองคำราคาขึ้น ทำให้ต้นทุนในการเติม stock ใหม่แพงขึ้น
ส่วน tailwind น่าจะเป็นแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง ต้นทุนทางเงินลดลงครับ (ตอนนี้ cost of fund ก็ยังเพิ่มขึ้น แม้แต่หลัง IPO)
ถ้าเข้าใจตรงไหนผิด แก้ไขได้ครับ
ปล. ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ThaiVI ที่ช่วยสรุป CV มาให้อ่านด้วยครับ
- IndyVI
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 17370
- ผู้ติดตาม: 877
Re: AUCT
โพสต์ที่ 3
ใน 13.5 ล้านล้านบาท ของหนี้ในระบบสถาบันการเงินทั้งหมดของประเทศไทย
- 1 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสีย
- อีกห้าแสนล้านบาท เป็นหนี้ที่กำลังจะไหลเข้ามา และมีปัญหา (SM)
- และอีก 1 ล้านล้านบาท กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่ (TDR)
- มีบัญชีอยู่ในขั้นของ SM หนี้ที่กำลังจะไหลเป็นหนี้เสียราวๆ 1 ล้านลูกหนี้
- และคนไทยที่เป็น NPL อยู่ตอนนี้ 5 ล้านลูกหนี้
- ประชากรไทยตอนนี้มี 71.6 ล้านคน
- แปลว่า 71 คนเดินมา จะมี 5-6 คน กำลังเป็นหนี้หนักหน่วง
- แต่ก็ใช่ว่า 65 คนที่เหลือจะสบายนะครับ / ราว 64 คนนั้น เงินก็กำลังตึงมือ อย่างมากๆ
- แนวโน้มตอนนี้ สิ้นปีนี้และปีหน้า หนี้รถยนต์เพิ่มขึ้นมาแตะ ราวๆ สองแสนล้านบาท / ทำท่าจะมีรถโดนยึด เข้าลานประมูลเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร
- แปลว่า ใครที่ทำเต๊นรถมือสอง น่าจะเหนื่อยหน่อยในปีหน้า / Stock รถเดิม อาจจะเจอ De-Value / แต่ใครรอซื้อรถมือสอง ปีหน้า น่าจะเจอรถมือสองถูกลง
- จากการประมาณการณ์ของพี่สุรพล Credit Bureau, เค้าคาดว่า มีรถรอยึด ที่จะไหลเข้าลานประมูล 200,000 คัน จ่อคิวอยู่ต่อไป
- และตัวเลขหนี้ครัวเรือน หนี้ส่วนบุคคล ของประเทศเราตอนนี้ก็แทบจะตึงมากๆ แล้ว / เวลานี้คนไทย เหมือนหาได้เท่าไหร่ ก็ไหลจ่ายออกหมดเท่านั้น
- ดูแล้ว SET คงเหนื่อยๆ หน่อย และคงเหลือแค่หุ้นไม่กี่ตัวที่จะฝ่ามรสุมนี้ไปได้ แต่บริษัทส่วนมาก และคนส่วนใหญ่ของประเทศ คงอ่อนแรงเต็มทีมากๆแล้วครับ / แต่ Outlook คาดการณ์จาก นลท รายใหญ่บ้านเรา หลายๆ ท่านก็บอกอยากให้ทุกคนมองแง่ดีว่า ... ปีหน้าหุ้นไทยเราน่าจะดีขึ้น (แต่จะชั่วคราวหรือไม่ ติดตามต่อกลางปีหน้าอีกที)
- แจก 10,000 บาท ที่จะเข้ามาคงช่วยได้ชั่วคราว .. แต่ก็เหมือนเป็น ผักชีโรยหน้าชั่วคราว / แต่จังหวะนี้ ก็คงเหมือนคนกำลังจะสำลักน้ำจมน้ำ ขอแค่มีแผ่นไม้ผุๆ กลางทะเลลึก ให้เกาะชั่วคราว ก็ยังดี ...
- กลุ่มคน Gen-Y ในตอนนี้ แบกภาระหนี้สูงที่สุด และตัวเลขเพิ่มขึ้นตลอด
- ทุกวันนี้ "ภาพสวยๆ บน IG" .. ส่วนมาก เบื้องหลังของหลายๆ คน ไม่เป็นแบบที่เห็นนะครับ มีแค่ส่วนน้อยมากๆ ของสังคมเท่านั้น ที่ยังสบายดีอยู่ แต่ถ้ามากางคุยกันจริงๆ หลายคน ชักหน้าไม่ถึงหลังกันเยอะมากๆ ..
- สรุปคือ .. ถ้าเราทำให้ “คนไทยทั้งประเทศ” โดยเฉลี่ยแล้ว มีรายได้ที่ดีขึ้นได้ + มีประสิทธิผล เพิ่มขึ้นโดยรวม จนมีศักยภาพ ที่แข่งขันกับประเทศอื่นได้มากขึ้น ... ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนนี่แก้ยากมากๆ ครับ .. ก็เหลือคือ ต้องใช้ “ระยะเวลา” เข้าสู้เท่านั้น ..
.
เครดิตภาพและข้อมูล : รายการ MoneyChat, พี่สุรพล Credit Bureau
https://www.facebook.com/10000060186289 ... eEXVNMFyl/
- 1 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสีย
- อีกห้าแสนล้านบาท เป็นหนี้ที่กำลังจะไหลเข้ามา และมีปัญหา (SM)
- และอีก 1 ล้านล้านบาท กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่ (TDR)
- มีบัญชีอยู่ในขั้นของ SM หนี้ที่กำลังจะไหลเป็นหนี้เสียราวๆ 1 ล้านลูกหนี้
- และคนไทยที่เป็น NPL อยู่ตอนนี้ 5 ล้านลูกหนี้
- ประชากรไทยตอนนี้มี 71.6 ล้านคน
- แปลว่า 71 คนเดินมา จะมี 5-6 คน กำลังเป็นหนี้หนักหน่วง
- แต่ก็ใช่ว่า 65 คนที่เหลือจะสบายนะครับ / ราว 64 คนนั้น เงินก็กำลังตึงมือ อย่างมากๆ
- แนวโน้มตอนนี้ สิ้นปีนี้และปีหน้า หนี้รถยนต์เพิ่มขึ้นมาแตะ ราวๆ สองแสนล้านบาท / ทำท่าจะมีรถโดนยึด เข้าลานประมูลเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร
- แปลว่า ใครที่ทำเต๊นรถมือสอง น่าจะเหนื่อยหน่อยในปีหน้า / Stock รถเดิม อาจจะเจอ De-Value / แต่ใครรอซื้อรถมือสอง ปีหน้า น่าจะเจอรถมือสองถูกลง
- จากการประมาณการณ์ของพี่สุรพล Credit Bureau, เค้าคาดว่า มีรถรอยึด ที่จะไหลเข้าลานประมูล 200,000 คัน จ่อคิวอยู่ต่อไป
- และตัวเลขหนี้ครัวเรือน หนี้ส่วนบุคคล ของประเทศเราตอนนี้ก็แทบจะตึงมากๆ แล้ว / เวลานี้คนไทย เหมือนหาได้เท่าไหร่ ก็ไหลจ่ายออกหมดเท่านั้น
- ดูแล้ว SET คงเหนื่อยๆ หน่อย และคงเหลือแค่หุ้นไม่กี่ตัวที่จะฝ่ามรสุมนี้ไปได้ แต่บริษัทส่วนมาก และคนส่วนใหญ่ของประเทศ คงอ่อนแรงเต็มทีมากๆแล้วครับ / แต่ Outlook คาดการณ์จาก นลท รายใหญ่บ้านเรา หลายๆ ท่านก็บอกอยากให้ทุกคนมองแง่ดีว่า ... ปีหน้าหุ้นไทยเราน่าจะดีขึ้น (แต่จะชั่วคราวหรือไม่ ติดตามต่อกลางปีหน้าอีกที)
- แจก 10,000 บาท ที่จะเข้ามาคงช่วยได้ชั่วคราว .. แต่ก็เหมือนเป็น ผักชีโรยหน้าชั่วคราว / แต่จังหวะนี้ ก็คงเหมือนคนกำลังจะสำลักน้ำจมน้ำ ขอแค่มีแผ่นไม้ผุๆ กลางทะเลลึก ให้เกาะชั่วคราว ก็ยังดี ...
- กลุ่มคน Gen-Y ในตอนนี้ แบกภาระหนี้สูงที่สุด และตัวเลขเพิ่มขึ้นตลอด
- ทุกวันนี้ "ภาพสวยๆ บน IG" .. ส่วนมาก เบื้องหลังของหลายๆ คน ไม่เป็นแบบที่เห็นนะครับ มีแค่ส่วนน้อยมากๆ ของสังคมเท่านั้น ที่ยังสบายดีอยู่ แต่ถ้ามากางคุยกันจริงๆ หลายคน ชักหน้าไม่ถึงหลังกันเยอะมากๆ ..
- สรุปคือ .. ถ้าเราทำให้ “คนไทยทั้งประเทศ” โดยเฉลี่ยแล้ว มีรายได้ที่ดีขึ้นได้ + มีประสิทธิผล เพิ่มขึ้นโดยรวม จนมีศักยภาพ ที่แข่งขันกับประเทศอื่นได้มากขึ้น ... ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนนี่แก้ยากมากๆ ครับ .. ก็เหลือคือ ต้องใช้ “ระยะเวลา” เข้าสู้เท่านั้น ..
.
เครดิตภาพและข้อมูล : รายการ MoneyChat, พี่สุรพล Credit Bureau
https://www.facebook.com/10000060186289 ... eEXVNMFyl/
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1109
- ผู้ติดตาม: 279
Re: XO
โพสต์ที่ 5
คลิปล่าสุดวันนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่คุณคิดมั่นใจ order q1/24 ว่าจะดีมากนะครับ
ถ้าลองคิดดูแกเคยบอกในรายการลงทุนกล้วยๆ ว่าดิสฯ ที่สหรัฐเจ้าเดียวใหญ่มากมี depo 6 แห่ง อยู่ทั่วประเทศ ถ้าการที่แกมั่นใจ order q1/24 มาจากการออเดอร์ของดิสฯ เจ้านี้เจ้าเดียวแบบต่อเนื่อง (เพราะแกบอกว่าเห็น order ล่วงหน้าไม่เกิน 4-6 wk) ปีหน้าสัดส่วนยอดขายในสหรัฐจะต้องมากทีเดียว เพราะในรายการลงทุนกล้วยๆ ยังบอกด้วยว่ามีลิส modern trade ไหนที่จะเข้าบ้างอยู่แล้ว ที่ตอนแรกยังไม่ไปเพราะกลัวมีของส่งไม่พอ เดี๋ยวจะมีปัญหาโดน modern trade ปรับ ว่าง่ายๆ แค่ส่งของไปวางให้ทั่วประเทศสหรัฐก็น่าจะทำให้โตไม่น้อยนะครับ
ถ้าลองคิดดูแกเคยบอกในรายการลงทุนกล้วยๆ ว่าดิสฯ ที่สหรัฐเจ้าเดียวใหญ่มากมี depo 6 แห่ง อยู่ทั่วประเทศ ถ้าการที่แกมั่นใจ order q1/24 มาจากการออเดอร์ของดิสฯ เจ้านี้เจ้าเดียวแบบต่อเนื่อง (เพราะแกบอกว่าเห็น order ล่วงหน้าไม่เกิน 4-6 wk) ปีหน้าสัดส่วนยอดขายในสหรัฐจะต้องมากทีเดียว เพราะในรายการลงทุนกล้วยๆ ยังบอกด้วยว่ามีลิส modern trade ไหนที่จะเข้าบ้างอยู่แล้ว ที่ตอนแรกยังไม่ไปเพราะกลัวมีของส่งไม่พอ เดี๋ยวจะมีปัญหาโดน modern trade ปรับ ว่าง่ายๆ แค่ส่งของไปวางให้ทั่วประเทศสหรัฐก็น่าจะทำให้โตไม่น้อยนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2880
- ผู้ติดตาม: 223
Re: ICHI
โพสต์ที่ 6
ดูตัวเลขของ Ichi นี้เห็นว่า ที่ผ่านๆ มา ยอดขายในประเทศ เค้าโตได้เรื่อยๆ เลยนะครับ
แม้ว่าช่วงโควิด ยอดในประเทศ เค้าก็ไม่ได้ลดลงอะไร แถมยังเพิ่มขึ้นอีก
เข้าใจว่า โตทั้งช่องทาง MT และ TT นะครับ
โดยเฉพาะช่องทาง TT ที่โตแรงมาก
อย่าง สินค้า SKU ที่ขายดีสุดใน TT อย่าง ichitan honey lemon 280 ml 10 บาท
สมัยปี 2018 มี penetration rate แค่ 25% ตอนนี้ล่าสุด บอกว่าเจาะร้านค้า TT ไปได้ 61% แล้ว
ยอด order ต่อร้านค้า ก็เพิ่มขึ้นราวๆ 2 เท่าด้วย
ช่วงโควิด อาศัยไปขยายฐาน ร้านค้า TT ได้เยอะเลยครับ เปิดเมืองมาฐานร้านค้ามีอยู่แล้ว order เลยล้นเลย
คิดว่า ถ้าสินค้า ของเค้าติดตลาด TT ไปได้ demand ชาเขียวน่าจะยืนระยะอยู่ได้ยาวนะครับ
อนาคตที่ต้องติดตาม
1. บริษัทจะเจาะ ขยาย ตลาด TT จะขยายไปได้อีกขนาดไหน ตัว honey lemon เจาะร้านค้าไปได้แล้ว 61% น่าจะสบายๆแล้ว แต่ตัว SKU อื่นๆ รสชาติอื่นๆ นี้เหมือนยังจะค่อนข้างไปได้ช้า กว่าตัวนี้มาก ทำอย่างไรให้ ร้านค้าซื้อตัวอื่นๆ ไปขายด้วย ถ้าทำได้ market size ใน TT ก็จะเยอะกว่านี้
2. ที่ผ่านมายอดขายต่างประเทศ หายไปเยอะ หายไปปีละ 800-900 ล้านบาทได้ แต่เห็นว่าแก้ไขปัญหา เรื่อง packsize และ ราคา ที่กัมพูชาอยู่ ซึ่งคงใช้เวลา (เดาว่าคงต้องรอให้ สินค้าเดิม ค่อยๆ ขายออกไปจากตลาดให้ได้ก่อน มั้ง) ก็ต้องรอดูต่อไป ว่าสินค้าใหม่ออกไปแล้ว จะได้ market share คืนมาขนาดไหน
3. บริษัทที่ JV ที่อินโด ที่ปีนี้ส่วนแบ่งกำไรหายไปหมด ก็เป็นเรื่องการแข่งขัน การตั้งราคาเช่นกัน อันนี้ก็ต้องใช้เวลาแก้ ถ้าทำได้ ก็จะเป็น upside
แม้ว่าช่วงโควิด ยอดในประเทศ เค้าก็ไม่ได้ลดลงอะไร แถมยังเพิ่มขึ้นอีก
เข้าใจว่า โตทั้งช่องทาง MT และ TT นะครับ
โดยเฉพาะช่องทาง TT ที่โตแรงมาก
อย่าง สินค้า SKU ที่ขายดีสุดใน TT อย่าง ichitan honey lemon 280 ml 10 บาท
สมัยปี 2018 มี penetration rate แค่ 25% ตอนนี้ล่าสุด บอกว่าเจาะร้านค้า TT ไปได้ 61% แล้ว
ยอด order ต่อร้านค้า ก็เพิ่มขึ้นราวๆ 2 เท่าด้วย
ช่วงโควิด อาศัยไปขยายฐาน ร้านค้า TT ได้เยอะเลยครับ เปิดเมืองมาฐานร้านค้ามีอยู่แล้ว order เลยล้นเลย
คิดว่า ถ้าสินค้า ของเค้าติดตลาด TT ไปได้ demand ชาเขียวน่าจะยืนระยะอยู่ได้ยาวนะครับ
อนาคตที่ต้องติดตาม
1. บริษัทจะเจาะ ขยาย ตลาด TT จะขยายไปได้อีกขนาดไหน ตัว honey lemon เจาะร้านค้าไปได้แล้ว 61% น่าจะสบายๆแล้ว แต่ตัว SKU อื่นๆ รสชาติอื่นๆ นี้เหมือนยังจะค่อนข้างไปได้ช้า กว่าตัวนี้มาก ทำอย่างไรให้ ร้านค้าซื้อตัวอื่นๆ ไปขายด้วย ถ้าทำได้ market size ใน TT ก็จะเยอะกว่านี้
2. ที่ผ่านมายอดขายต่างประเทศ หายไปเยอะ หายไปปีละ 800-900 ล้านบาทได้ แต่เห็นว่าแก้ไขปัญหา เรื่อง packsize และ ราคา ที่กัมพูชาอยู่ ซึ่งคงใช้เวลา (เดาว่าคงต้องรอให้ สินค้าเดิม ค่อยๆ ขายออกไปจากตลาดให้ได้ก่อน มั้ง) ก็ต้องรอดูต่อไป ว่าสินค้าใหม่ออกไปแล้ว จะได้ market share คืนมาขนาดไหน
3. บริษัทที่ JV ที่อินโด ที่ปีนี้ส่วนแบ่งกำไรหายไปหมด ก็เป็นเรื่องการแข่งขัน การตั้งราคาเช่นกัน อันนี้ก็ต้องใช้เวลาแก้ ถ้าทำได้ ก็จะเป็น upside
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
- pop5888
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1236
- ผู้ติดตาม: 503
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1409
- ผู้ติดตาม: 262
Re: NTV
โพสต์ที่ 8
ิebitda และ กำไร
เทียบเท่าเงินสด 1300 ล้านบาท
รายได้ new high ไปแล้วแต่กำไรยังไม่ new high
ค่าเสื่อมจะลดลงเมื่อตึกตัดหมดน่าจะไม่กี่ปี
น่าจะเหมาะกันเหล่านักลงทุน passive ครับ
รายได้ และ ebitda
เทียบเท่าเงินสด 1300 ล้านบาท
รายได้ new high ไปแล้วแต่กำไรยังไม่ new high
ค่าเสื่อมจะลดลงเมื่อตึกตัดหมดน่าจะไม่กี่ปี
น่าจะเหมาะกันเหล่านักลงทุน passive ครับ
พูดคุยกันได้ https://www.facebook.com/value.investing.freedo
-
- ผู้ติดตาม: 19
Re: AUCT
โพสต์ที่ 9
- จากข้อมูลข้างบน และที่คุยกับเต๊นท์รถ อาจต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่า Q4 อาจไม่ได้กำไรดีมากเพราะเต๊นท์ขายกันไม่ออกเลยไฟแนนซ์ไม่ปล่อยสินเชื่อ อัตราจบประมูลเลยอาจจะต่ำกว่าภาวะปกติ
- สิ่งที่ดีคือที่จอดรถยึดยังเหลือให้จอดอีกมากโดยบ.ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเลย และรถก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- แต่สุดท้ายเชื่อว่าไฟแนนซ์และเต๊นท์รถต้องดิ้นรนอะไรบางอย่างให้ตัวเองอยู่รอด เพราะยิ่งจอดนานราคายิ่งตกไฟแนนซ์ไม่ได้เงินสักที ส่วนเต๊นท์ใหญ่ๆส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ คงต้องยอมขายขาดทุนเพื่อนำเข้ารถต้นทุนใหม่มาหมุน ให้เกิด price equilibrium ให้เร็วที่สุดจะได้เดินหน้ากันต่อไป
- สิ่งที่ดีคือที่จอดรถยึดยังเหลือให้จอดอีกมากโดยบ.ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเลย และรถก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- แต่สุดท้ายเชื่อว่าไฟแนนซ์และเต๊นท์รถต้องดิ้นรนอะไรบางอย่างให้ตัวเองอยู่รอด เพราะยิ่งจอดนานราคายิ่งตกไฟแนนซ์ไม่ได้เงินสักที ส่วนเต๊นท์ใหญ่ๆส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ คงต้องยอมขายขาดทุนเพื่อนำเข้ารถต้นทุนใหม่มาหมุน ให้เกิด price equilibrium ให้เร็วที่สุดจะได้เดินหน้ากันต่อไป
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 45
- ผู้ติดตาม: 8
Re: TPCH
โพสต์ที่ 11
อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมจาก IR นะครับ (พูดคุยด้วยวาจาทางโทรศัพท์ โปรดระวังเรื่องการใช้ข้อมูลนะครับ)
1.) ผลกระทบของการปรับลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาล
IR แจ้งว่าผลกระทบค่อนข้างน้อย เพราะเกือบทุกโครงการของ TPCH มีสัญญาแบบ FiT ซึ่ง Fixed ค่าไฟฟ้าไว้แล้ว
ตัวที่ได้รับผลกระทบคือ PTG เพราะมีสัญญาแบบ ไฟฐาน+FT+Adder ดังนั้น ถ้า FT ลดลงก็จะกระทบ PTG ได้
อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าปัจจุบันของ PTG ยังอยู่ในระดับที่บริษัทมองว่ายังดีอยู่
*ปัจจุบันบริษัทมี ชีวมวล (FiT) 33.4 equity MW , ชีวมวล (Adder 1.3)/PTG 19.9 equity MW และ Waste to energy (FiT) 4 equity MW
2.) การขายกิจการ TPCH1,2,5 , PBB จบหรือยัง จะมี Extra item ใดๆ เกิดขึ้นในงบการเงิน Q4/66 อีกหรือไม่
IR แจ้งว่าในส่วนงบกำไรขาดทุน (Consolidated) ถือว่าจบแล้ว อาจมี Reverse รายการบางอย่างที่ตั้งมากไป
ถ้ามี Extra item จะเป็น positive โดย Q4/66 เป็นต้นไป งบการเงินของ TPCH คือ Performance ของโครงการที่เหลืออยู่
วัดความสามารถในการรันเครื่องจริงๆ สำหรับงบกระแสเงินสดอ้างอิงตาม MD&A คงมีการแบ่งงวดจ่ายระหว่าง Q4/66-Q1/67
3.) Facebook อัพผลการดำเนินงานล่าช้า แนวโน้มการรันเครื่องเดือน 11 ถึง ต้นเดือน 12 เป็นอย่างไรบ้าง
IR แจ้งว่ามีการเปลี่ยนคนดูแล จะรับไปปรับให้ไวขึ้น สำหรับการเดินเครื่อง ภาพรวม 6 โรงไฟฟ้าหลักยังรันได้ดี
ยกเว้น PTG ที่มี Shutdown ไปประมาณ 15 วัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเดินเกือบ 100% แล้ว ถ้ามองดูภาพรวมทั้งไตรมาส 4 การรัน PTG ก็ยังดีอยู่
4.) สยามเพาเวอร์เป็นอย่างไรบ้าง
ปัจจุบัน เดินเครื่องในระดับที่สูงขึ้น 70-80% แต่ยังต้องปรับประสิทธิภาพให้ได้ margin ที่ดีกว่านี้
ตรงนี้ส่วนตัว ผมยังให้ SP ขาดทุนไปก่อน จนกว่าจะเห็นการรันนิ่งๆ และมี margin ครับ
5.) โครงการในอนาคตเยอะ มีโอกาสเพิ่มทุนไหม
ในการประชุมบอร์ด ยังไม่มีการคุยเรื่องเพิ่มทุน คิดว่าบริหารจัดการได้
6.) นักลงทุนห่วงโครงการโซล่าร์ในลาว เพราะมีข่าวเรื่องการขาดแคลนดอลลาร์ และ ศก. ลาวที่ไม่แข็งแรง
้Concept คือ เป็น Solar farm จึงไม่มีคชจ ด้าน raw material การสร้างง่ายกว่าชีวมวลมาก
ผู้ซื้อไฟฟ้าคือ การไฟฟ้ากัมพูชา (EDC) โดย EDC จะจ่ายเงินค่าไฟฟ้าแยกเป็นสองบัญชี
คือ สำหรับ TPCH และ สำหรับ EDL กล่าวคือ ได้รับการชำระเงินเป็น USD โดยเข้า TPCH โดยตรง ไม่ต้องผ่าน EDL ก่อน
แล้วถ้า EDC ไม่ซื้อไฟฟ้าล่ะ?
มี Agreement ที่เซ็นต์ร่วมกัน รวมถึงพื้นที่บริเวณนั้นยังมีการขาดแคลนไฟฟ้า EDC จึงมีความต้องการจริงๆ
ส่วน EDL เคสนี้มีแต่ได้ เพราะ TPCH และ partner เข้าไปทำโครงการ รวมถึงทำสายส่ง ไปส่งไฟฟ้าให้(สายส่งเฉพาะพื้นที่ในลาว)
EDL รับค่าธรรมเนียม โดยไม่ต้องลงทุน พันธมิตรที่ร่วมลงทุนก็มี Solar Farm ในลาวอยู่แล้ว ปัจุบันเค้าก็ได้รับชำระค่าไฟฟ้าเป็น USD ปกติทุกงวด
*ส่วนตัว ผมไม่ได้รวมโครงการนี้ในประมาณการเช่นกันครับ เข้าใจความกังวลของทุกท่านว่าการลงทุนในลาว ไม่ง่าย
แต่ในมุมผู้ถือหุ้น ก็ต้องขอให้เค้าทำให้สำเร็จ และเกิด positive surprise นะครับ
ึ7.) ราคาหุ้นต่ำมาก เมื่อวานปิด 5.8 บาท (Market cap. 2,327 MB) เทียบกับโรงไฟฟ้าที่เสร็จและ COD แล้ว 57 equity MW
มี โครงการจะซื้อหุ้นคืนไหม
ยังไม่มีค่ะ
8.) ปีหน้า หวังว่าจะได้เห็นกำไรที่แท้จริงของบริษัทแสดงออกมาสักทีนะครับ (รอมานานแล้ว)
หวังว่าอย่างนั้นเช่นกันค่ะ
1.) ผลกระทบของการปรับลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาล
IR แจ้งว่าผลกระทบค่อนข้างน้อย เพราะเกือบทุกโครงการของ TPCH มีสัญญาแบบ FiT ซึ่ง Fixed ค่าไฟฟ้าไว้แล้ว
ตัวที่ได้รับผลกระทบคือ PTG เพราะมีสัญญาแบบ ไฟฐาน+FT+Adder ดังนั้น ถ้า FT ลดลงก็จะกระทบ PTG ได้
อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าปัจจุบันของ PTG ยังอยู่ในระดับที่บริษัทมองว่ายังดีอยู่
*ปัจจุบันบริษัทมี ชีวมวล (FiT) 33.4 equity MW , ชีวมวล (Adder 1.3)/PTG 19.9 equity MW และ Waste to energy (FiT) 4 equity MW
2.) การขายกิจการ TPCH1,2,5 , PBB จบหรือยัง จะมี Extra item ใดๆ เกิดขึ้นในงบการเงิน Q4/66 อีกหรือไม่
IR แจ้งว่าในส่วนงบกำไรขาดทุน (Consolidated) ถือว่าจบแล้ว อาจมี Reverse รายการบางอย่างที่ตั้งมากไป
ถ้ามี Extra item จะเป็น positive โดย Q4/66 เป็นต้นไป งบการเงินของ TPCH คือ Performance ของโครงการที่เหลืออยู่
วัดความสามารถในการรันเครื่องจริงๆ สำหรับงบกระแสเงินสดอ้างอิงตาม MD&A คงมีการแบ่งงวดจ่ายระหว่าง Q4/66-Q1/67
3.) Facebook อัพผลการดำเนินงานล่าช้า แนวโน้มการรันเครื่องเดือน 11 ถึง ต้นเดือน 12 เป็นอย่างไรบ้าง
IR แจ้งว่ามีการเปลี่ยนคนดูแล จะรับไปปรับให้ไวขึ้น สำหรับการเดินเครื่อง ภาพรวม 6 โรงไฟฟ้าหลักยังรันได้ดี
ยกเว้น PTG ที่มี Shutdown ไปประมาณ 15 วัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเดินเกือบ 100% แล้ว ถ้ามองดูภาพรวมทั้งไตรมาส 4 การรัน PTG ก็ยังดีอยู่
4.) สยามเพาเวอร์เป็นอย่างไรบ้าง
ปัจจุบัน เดินเครื่องในระดับที่สูงขึ้น 70-80% แต่ยังต้องปรับประสิทธิภาพให้ได้ margin ที่ดีกว่านี้
ตรงนี้ส่วนตัว ผมยังให้ SP ขาดทุนไปก่อน จนกว่าจะเห็นการรันนิ่งๆ และมี margin ครับ
5.) โครงการในอนาคตเยอะ มีโอกาสเพิ่มทุนไหม
ในการประชุมบอร์ด ยังไม่มีการคุยเรื่องเพิ่มทุน คิดว่าบริหารจัดการได้
6.) นักลงทุนห่วงโครงการโซล่าร์ในลาว เพราะมีข่าวเรื่องการขาดแคลนดอลลาร์ และ ศก. ลาวที่ไม่แข็งแรง
้Concept คือ เป็น Solar farm จึงไม่มีคชจ ด้าน raw material การสร้างง่ายกว่าชีวมวลมาก
ผู้ซื้อไฟฟ้าคือ การไฟฟ้ากัมพูชา (EDC) โดย EDC จะจ่ายเงินค่าไฟฟ้าแยกเป็นสองบัญชี
คือ สำหรับ TPCH และ สำหรับ EDL กล่าวคือ ได้รับการชำระเงินเป็น USD โดยเข้า TPCH โดยตรง ไม่ต้องผ่าน EDL ก่อน
แล้วถ้า EDC ไม่ซื้อไฟฟ้าล่ะ?
มี Agreement ที่เซ็นต์ร่วมกัน รวมถึงพื้นที่บริเวณนั้นยังมีการขาดแคลนไฟฟ้า EDC จึงมีความต้องการจริงๆ
ส่วน EDL เคสนี้มีแต่ได้ เพราะ TPCH และ partner เข้าไปทำโครงการ รวมถึงทำสายส่ง ไปส่งไฟฟ้าให้(สายส่งเฉพาะพื้นที่ในลาว)
EDL รับค่าธรรมเนียม โดยไม่ต้องลงทุน พันธมิตรที่ร่วมลงทุนก็มี Solar Farm ในลาวอยู่แล้ว ปัจุบันเค้าก็ได้รับชำระค่าไฟฟ้าเป็น USD ปกติทุกงวด
*ส่วนตัว ผมไม่ได้รวมโครงการนี้ในประมาณการเช่นกันครับ เข้าใจความกังวลของทุกท่านว่าการลงทุนในลาว ไม่ง่าย
แต่ในมุมผู้ถือหุ้น ก็ต้องขอให้เค้าทำให้สำเร็จ และเกิด positive surprise นะครับ
ึ7.) ราคาหุ้นต่ำมาก เมื่อวานปิด 5.8 บาท (Market cap. 2,327 MB) เทียบกับโรงไฟฟ้าที่เสร็จและ COD แล้ว 57 equity MW
มี โครงการจะซื้อหุ้นคืนไหม
ยังไม่มีค่ะ
8.) ปีหน้า หวังว่าจะได้เห็นกำไรที่แท้จริงของบริษัทแสดงออกมาสักทีนะครับ (รอมานานแล้ว)
หวังว่าอย่างนั้นเช่นกันค่ะ
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 804
- ผู้ติดตาม: 2
Re: NTV
โพสต์ที่ 12
สิบปีก่อน นลท. ให้ PE Ratio ไว้สูงเพราะทิศทางการเติบโตที่มีการซื้อที่ดินด้านข้างพร้อมแผนการขยาย
ต่อมามี รพ. มาเปิดใหม่ และขยายหลายแห่ง ในพื้นที่ให้บริการและจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใกล้กัน
ต่อมา รพ. เลื่อนแผนการขยายฯ ออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่า Telemedicine และการผ่าตัดเล็กที่มาแรง ทำให้อัตราการมาโรงพยาบาลทั้ง OPD และ IPD ไม่น่าเป็นไปตามคาด
และในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยได้ขึ้นไป จนกระทั้ง อัตราผลตอบแทนจากการปันผลของ NTV ไม่ดึงดูดใจ PE Ratio ที่เคยสูงมาก ลดต่ำลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากการเติบโตของ รพ. ระยะ 20 ปี ไม่ได้มีอะไรที่ผิดไปจากแนวเดิม ถ้า ผู้ถือหุ้นตั้งใจถือระยะยาวมากๆ ผมว่าเป็นโอกาสสะสมเพิ่ม
ต่อมามี รพ. มาเปิดใหม่ และขยายหลายแห่ง ในพื้นที่ให้บริการและจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใกล้กัน
ต่อมา รพ. เลื่อนแผนการขยายฯ ออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่า Telemedicine และการผ่าตัดเล็กที่มาแรง ทำให้อัตราการมาโรงพยาบาลทั้ง OPD และ IPD ไม่น่าเป็นไปตามคาด
และในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยได้ขึ้นไป จนกระทั้ง อัตราผลตอบแทนจากการปันผลของ NTV ไม่ดึงดูดใจ PE Ratio ที่เคยสูงมาก ลดต่ำลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากการเติบโตของ รพ. ระยะ 20 ปี ไม่ได้มีอะไรที่ผิดไปจากแนวเดิม ถ้า ผู้ถือหุ้นตั้งใจถือระยะยาวมากๆ ผมว่าเป็นโอกาสสะสมเพิ่ม
Disclaimer & Disclosure: The articles posted only represent my personal view. They are by no means a guarantee to the stock performance. Have no plan to change my position to the stock mentioned over the next 72 hrs.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2041
- ผู้ติดตาม: 211
Re: BLC
โพสต์ที่ 13
https://www.youtube.com/watch?v=e4dD4aLpJW0
จาก Clip Oppday ช่วง Q&A ผบพูดถึง generic drugs ที่บริษัทจะ launch หรือ launch ไปแล้ว เท่าที่จดได้ที่แกพูดมีตัวอย่างสี่ตัวนี้ครับ
- เอนเทคคาเวียร์ (Entecavir) เป็นยาออกฤทธิ์ยับยั้ง hepatitis B.... BLC เริ่มขาย ต้นปี 67 Original ผู้ผลิตคือ Bristol-Myers Squibb (Baraclude) มี TEVA ทำ generic drugs เป็นรายแรกซึ่งไวมากจนโดน BMS ฟ้อง ผู้ผลิตในไทยก็มีทำ generic อยู่ เช่น บริษัท ยูนีซัน
- finasteride ตัวนี้เป็นยาปลูกผม BLC เริ่มขาย Q4 ปีนี้ ตัว Original คือ Propeic by Merk คนที่ใช้ทานไปตลอดถ้าไม่อยากกลับมาผมร่วง บริษัทที่เข้ามาทำ generic มีหลายรายทั้ง Sterzar (Mega) Harrifin (T.O Chem) Firide (Siam Bhesach)
- อิทอริค็อกซิบ (Etoricoxib) ยารักษาอาการปวดและอักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ ตัวนี้ขายมาซักระยะแล้ว ชื่อการค้าคือ NACOXIB และเห็น list อยู่ในบัญชียานวัตกรรมมาซักระยะแล้วครับ
- Pegabalin ตัวนี้ไม่ค่อยมีข้อมูล เป็นยาในกลุ่มยากันชัก
ถ้าดูแผนงานตาม filing แล้วสองตัวที่พูดใน oppday น่าจะเป็นตัวที่อยู่ในตาราง ซึ่งระยะเวลาในการ launch ดูยังห่างจากจุดที่ patent หมดอยู่ คาดว่าตัวถัดๆไป หรือพอได้เงินจาก IPO มาจะ launch ได้ใกล้กับวันที่ patent original หมดมากขึ้นครับ และดูจากกลุ่มของยาแล้วคงจะมาเน้นในช่องทางโรงพยาบาล ที่จะมีข้อได้เปรียบที่ผลิตในประเทศไทยและเป็นยาในบัญชีนวัตกรรม ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยให้ zuellig pharma เข้ามาจัดการเรื่องการเก็บเงินจากรพแทน
จาก Clip Oppday ช่วง Q&A ผบพูดถึง generic drugs ที่บริษัทจะ launch หรือ launch ไปแล้ว เท่าที่จดได้ที่แกพูดมีตัวอย่างสี่ตัวนี้ครับ
- เอนเทคคาเวียร์ (Entecavir) เป็นยาออกฤทธิ์ยับยั้ง hepatitis B.... BLC เริ่มขาย ต้นปี 67 Original ผู้ผลิตคือ Bristol-Myers Squibb (Baraclude) มี TEVA ทำ generic drugs เป็นรายแรกซึ่งไวมากจนโดน BMS ฟ้อง ผู้ผลิตในไทยก็มีทำ generic อยู่ เช่น บริษัท ยูนีซัน
- finasteride ตัวนี้เป็นยาปลูกผม BLC เริ่มขาย Q4 ปีนี้ ตัว Original คือ Propeic by Merk คนที่ใช้ทานไปตลอดถ้าไม่อยากกลับมาผมร่วง บริษัทที่เข้ามาทำ generic มีหลายรายทั้ง Sterzar (Mega) Harrifin (T.O Chem) Firide (Siam Bhesach)
- อิทอริค็อกซิบ (Etoricoxib) ยารักษาอาการปวดและอักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ ตัวนี้ขายมาซักระยะแล้ว ชื่อการค้าคือ NACOXIB และเห็น list อยู่ในบัญชียานวัตกรรมมาซักระยะแล้วครับ
- Pegabalin ตัวนี้ไม่ค่อยมีข้อมูล เป็นยาในกลุ่มยากันชัก
ถ้าดูแผนงานตาม filing แล้วสองตัวที่พูดใน oppday น่าจะเป็นตัวที่อยู่ในตาราง ซึ่งระยะเวลาในการ launch ดูยังห่างจากจุดที่ patent หมดอยู่ คาดว่าตัวถัดๆไป หรือพอได้เงินจาก IPO มาจะ launch ได้ใกล้กับวันที่ patent original หมดมากขึ้นครับ และดูจากกลุ่มของยาแล้วคงจะมาเน้นในช่องทางโรงพยาบาล ที่จะมีข้อได้เปรียบที่ผลิตในประเทศไทยและเป็นยาในบัญชีนวัตกรรม ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยให้ zuellig pharma เข้ามาจัดการเรื่องการเก็บเงินจากรพแทน
Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1457
- ผู้ติดตาม: 372
Re: MC
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับ
ผมลองเข้าไปดูใน Google trends พบว่า มีการ search top MC jeans เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.ครับ โดยมาจากจังหวัดส่วนใหญ่ในภาคอีสานนำโดยโคราช
พอเข้าไปดูใน websites เข้าใจว่า สินค้าที่ขายดีอย่างนึง อาจจะเป็นเสื้อ jacket ซึ่ง price point ถือว่าสูงอยู่ ตัวละพันกลางๆ ซึ่งก็น่าจะเรียกได้ว่า ทีมงาน design ทำออกมาได้ดีครับ
อีกข้อสังเกตุคงเป็นเรื่อง pricing ผมคิดว่า ราคาที่เห็น promotion -50% (เฉพาะ jacket ตามในรูป) น่าจะเป็นกลยุทธ์การตลาดมากกว่าการทำ promotion เพราะราคาเต็มอาจจะแพงไปหน่อย แบบนี้ผมอยากเรียกว่า ขายราคาเต็มมากกว่า promotion ครับ
ประเด็นที่น่าติดตาม ถ้าสมมติฐานผมถูก ไตรมาสถัดไป อาจจะเป็น sssg กลับไป ปกติ และอาจมีการชะลอ QoQ ตาม season ของประเภทสินค้า
อีกอย่างคงเป็นเรื่องของ brand royalty ในปีหน้า ว่า sssg ที่ถูกดันขึ้นมาในไตรมาสนี้ จะสามารถ maintain หรือเติบโตในปีหน้าระดับไหนอย่างไร
ผมอ่านประมาณนี้ก่อน จากข้อมูลที่เห็นตอนนี้นะครับ ผิดถูกอย่างไร ท่านที่ติดตามมาไกล้ชิด ช่วยชี้แนะให้ด้วยครับ อยากเข้าใจธุรกิจมากขึ้น ขอบคุณมากครับ
ผมลองเข้าไปดูใน Google trends พบว่า มีการ search top MC jeans เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.ครับ โดยมาจากจังหวัดส่วนใหญ่ในภาคอีสานนำโดยโคราช
พอเข้าไปดูใน websites เข้าใจว่า สินค้าที่ขายดีอย่างนึง อาจจะเป็นเสื้อ jacket ซึ่ง price point ถือว่าสูงอยู่ ตัวละพันกลางๆ ซึ่งก็น่าจะเรียกได้ว่า ทีมงาน design ทำออกมาได้ดีครับ
อีกข้อสังเกตุคงเป็นเรื่อง pricing ผมคิดว่า ราคาที่เห็น promotion -50% (เฉพาะ jacket ตามในรูป) น่าจะเป็นกลยุทธ์การตลาดมากกว่าการทำ promotion เพราะราคาเต็มอาจจะแพงไปหน่อย แบบนี้ผมอยากเรียกว่า ขายราคาเต็มมากกว่า promotion ครับ
ประเด็นที่น่าติดตาม ถ้าสมมติฐานผมถูก ไตรมาสถัดไป อาจจะเป็น sssg กลับไป ปกติ และอาจมีการชะลอ QoQ ตาม season ของประเภทสินค้า
อีกอย่างคงเป็นเรื่องของ brand royalty ในปีหน้า ว่า sssg ที่ถูกดันขึ้นมาในไตรมาสนี้ จะสามารถ maintain หรือเติบโตในปีหน้าระดับไหนอย่างไร
ผมอ่านประมาณนี้ก่อน จากข้อมูลที่เห็นตอนนี้นะครับ ผิดถูกอย่างไร ท่านที่ติดตามมาไกล้ชิด ช่วยชี้แนะให้ด้วยครับ อยากเข้าใจธุรกิจมากขึ้น ขอบคุณมากครับ
"Because nobody wants to get rich slow."-Warren Buffett-
เพจ "ชีพจรลงทุน"
เพจ "ชีพจรลงทุน"
- IndyVI
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 17370
- ผู้ติดตาม: 877
Re: AUCT
โพสต์ที่ 15
มหกรรมเบี้ยวหนี้ รถรอยึด 200,000 คัน บ้านจ่อไหล NPL พุ่ง 37% - Money Chat Thailand
https://www.youtube.com/watch?v=qiYGoiSyN6E
https://www.youtube.com/watch?v=qiYGoiSyN6E
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
-
- ผู้ติดตาม: 1
Re: MASTER
โพสต์ที่ 16
ดีลนี้โหดมาก สงสัยหมอเสริฐ จะเป็นไอดอลของหมอเส แกเป็นปลาเร็วเหมือนที่คุยไว้จริงๆ 

- ThekopChamp
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 377
- ผู้ติดตาม: 118
-
- ผู้ติดตาม: 15
Re: XO
โพสต์ที่ 18
นาทีที่ 7 ทางผู้บริหารมีพูดว่าไตรมาส 4 มีโอกาสเห็นยอดขาย 800 ล้านบาท!!! ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนครับ
https://youtu.be/eBMLbLoghlc?si=RV4vzo4SqJ5lGMEW
https://youtu.be/eBMLbLoghlc?si=RV4vzo4SqJ5lGMEW
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 109
- ผู้ติดตาม: 11
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1044
- ผู้ติดตาม: 29
Re: ICHI
โพสต์ที่ 20
คลังพร้อม 'ยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า-ลดภาษีเครื่องดื่ม' หนุนท่องเที่ยวไทย
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ตนได้เรียกกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตเข้าหารือถึงมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พ.ย.นี้ เพื่อสรุปเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด
โดยในส่วนของกรมศุลกากรนั้น จะพิจารณาออกประกาศการยกเลิกการจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า(ดิวตี้ฟรี)ทุกสนามบิน เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาซื้อสินค้าในประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้ให้เช่าพื้นที่และบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด ในฐานะผู้เช่าพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกรมสรรพสามิต จะต้องไปดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีสินค้าให้สอดคล้อง เบื้องต้นจะพิจารณาเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องดื่ม เพื่อให้ราคาเครื่องดื่มในประเทศจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยจับจ่ายซื้อสินค้าเครื่องดื่มในประเทศได้มากขึ้น
“เมื่อเรายกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า นักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้าในประเทศแทน และเมื่อเราพิจารณาลดภาษีเครื่องดื่ม ก็จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อเครื่องดื่มตามร้านค้าในประเทศ ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจด้วย ขณะเดียวกัน เมื่อโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มเป็นอัตราที่เหมาะสม คนไทยก็จะได้ซื้อสินค้าเครื่องดื่มในราคาที่เหมาะสมด้วย
เขากล่าวด้วยว่า การปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่ม ต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งกระทรวงการคลัง ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบ ส่วนการยกเลิกร้านดิวตี้ฟรี ขาเข้า กรมศุลกากร ต้องออกระเบียบเพื่อยกเลิก ให้เกิดความชัดเจน โดยมาตรการดังกล่าว จะเสนอครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง โดยมาตรการดังกล่าว เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคัก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อคิดจะเที่ยว ให้คิดถึงประเทศไทยด้วย
นอกจากนั้น กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการภาษีส่งเสริมสินค้าที่ถือเป็น Soft power ของไทย ซึ่งขณะนี้มีหลายอุตสาหกรรมภายในประเทศได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.นี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายในประเทศและจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบิน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้น และสร้างงานให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business ... ic/1101222
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ตนได้เรียกกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตเข้าหารือถึงมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พ.ย.นี้ เพื่อสรุปเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด
โดยในส่วนของกรมศุลกากรนั้น จะพิจารณาออกประกาศการยกเลิกการจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า(ดิวตี้ฟรี)ทุกสนามบิน เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาซื้อสินค้าในประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้ให้เช่าพื้นที่และบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด ในฐานะผู้เช่าพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกรมสรรพสามิต จะต้องไปดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีสินค้าให้สอดคล้อง เบื้องต้นจะพิจารณาเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องดื่ม เพื่อให้ราคาเครื่องดื่มในประเทศจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยจับจ่ายซื้อสินค้าเครื่องดื่มในประเทศได้มากขึ้น
“เมื่อเรายกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า นักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้าในประเทศแทน และเมื่อเราพิจารณาลดภาษีเครื่องดื่ม ก็จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อเครื่องดื่มตามร้านค้าในประเทศ ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจด้วย ขณะเดียวกัน เมื่อโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มเป็นอัตราที่เหมาะสม คนไทยก็จะได้ซื้อสินค้าเครื่องดื่มในราคาที่เหมาะสมด้วย
เขากล่าวด้วยว่า การปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่ม ต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งกระทรวงการคลัง ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบ ส่วนการยกเลิกร้านดิวตี้ฟรี ขาเข้า กรมศุลกากร ต้องออกระเบียบเพื่อยกเลิก ให้เกิดความชัดเจน โดยมาตรการดังกล่าว จะเสนอครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง โดยมาตรการดังกล่าว เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคัก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อคิดจะเที่ยว ให้คิดถึงประเทศไทยด้วย
นอกจากนั้น กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการภาษีส่งเสริมสินค้าที่ถือเป็น Soft power ของไทย ซึ่งขณะนี้มีหลายอุตสาหกรรมภายในประเทศได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.นี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายในประเทศและจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบิน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้น และสร้างงานให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business ... ic/1101222
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 18
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 162
- ผู้ติดตาม: 13
Re: SYMC
โพสต์ที่ 26
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2880
- ผู้ติดตาม: 223
Re: ICHI
โพสต์ที่ 27
เรื่องนี้ น่าสนใจนะครับ เข้าไปดูในเวปไซด์ กรมสรรพสามิต ดู เข้าใจว่าuntrataro25 เขียน: ↑พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2023 11:10 amคลังพร้อม 'ยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า-ลดภาษีเครื่องดื่ม' หนุนท่องเที่ยวไทย
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ตนได้เรียกกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตเข้าหารือถึงมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พ.ย.นี้ เพื่อสรุปเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด
โดยในส่วนของกรมศุลกากรนั้น จะพิจารณาออกประกาศการยกเลิกการจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า(ดิวตี้ฟรี)ทุกสนามบิน เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาซื้อสินค้าในประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้ให้เช่าพื้นที่และบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด ในฐานะผู้เช่าพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกรมสรรพสามิต จะต้องไปดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีสินค้าให้สอดคล้อง เบื้องต้นจะพิจารณาเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องดื่ม เพื่อให้ราคาเครื่องดื่มในประเทศจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยจับจ่ายซื้อสินค้าเครื่องดื่มในประเทศได้มากขึ้น
“เมื่อเรายกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า นักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้าในประเทศแทน และเมื่อเราพิจารณาลดภาษีเครื่องดื่ม ก็จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อเครื่องดื่มตามร้านค้าในประเทศ ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจด้วย ขณะเดียวกัน เมื่อโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มเป็นอัตราที่เหมาะสม คนไทยก็จะได้ซื้อสินค้าเครื่องดื่มในราคาที่เหมาะสมด้วย
เขากล่าวด้วยว่า การปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่ม ต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งกระทรวงการคลัง ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบ ส่วนการยกเลิกร้านดิวตี้ฟรี ขาเข้า กรมศุลกากร ต้องออกระเบียบเพื่อยกเลิก ให้เกิดความชัดเจน โดยมาตรการดังกล่าว จะเสนอครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง โดยมาตรการดังกล่าว เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคัก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อคิดจะเที่ยว ให้คิดถึงประเทศไทยด้วย
นอกจากนั้น กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการภาษีส่งเสริมสินค้าที่ถือเป็น Soft power ของไทย ซึ่งขณะนี้มีหลายอุตสาหกรรมภายในประเทศได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.นี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายในประเทศและจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบิน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้น และสร้างงานให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business ... ic/1101222
ตอนนี้ พวก ชาเขียวพร้อมดื่ม เสียภาษีขั้นต่ำ เริ่มต้นราวๆ 11% ของราคาแนะนำขาย ถ้าสินค้าตัวไหน มีน้ำตาลก็จะมีเสียเพิ่มตามเรต on top ขึ้นไปอีก
แต่พวกเย็น เย็น นี้น่าจะเสียแค่ ตามปริมาณน้ำตาลอย่างเดียว
ไม่รู้ว่า ที่จะลดภาษีเครื่องดื่มนั้น จะลดตัวไหนบ้าง และ ลดไปที่เท่าไหร่
https://www.excise.go.th/cs/groups/%E0% ... 369962.pdf
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 407
- ผู้ติดตาม: 15
Re: MASTER
โพสต์ที่ 28
รู้สึกว่าผู้บริหารของ master รู้เสมอว่าต้องทำอย่างไรให้นักลงทุนพอใจ ผมติดตามมาสักพักก็ยังรู้สึกเคลิ้มตาม
กิจการที่ซื้อมาก็ดูดีมีอนาคต หาอะไรติไม่ได้จริงๆ
กิจการที่ซื้อมาก็ดูดีมีอนาคต หาอะไรติไม่ได้จริงๆ

- bz_birth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 1
Re: MASTER
โพสต์ที่ 29
ดีลนี้ส่วนตัวคิดว่าใช้กำไรจากที่แจ้งสรรพากรคงไม่น่าจะใกล้เคียง ถ้าเทียบแล้วเทียบกับ Kliniq (30สาขา) ที่มีอัตรากำไรประมาณ 12.5% จากยอดขาย V-square ปี 65 ที่แปดร้อยกว่าล้าน จาก24สาขา อาจจะได้ PE ที่สัก 17-18 เท่า ดูจะสมเหตุสมผลในการเข้ามากกว่าไหมครับ และจากหลายดีลก่อนหน้าก็ซื้อมาที่ PE.ไม่ถึง10 เท่าทั้งนั้น ท่านอื่นๆคิดเห็นอย่างไรครับ
V square เท่าที่หารีวิวก่อนหน้านี่ก็ถือว่าค่อนข้างดี และผลประกอบการรายได้โตดี แต่กำไรไม่ค่อยมา ถ้า Master มาช่วยเสริมหรือจัดการจุดนี้ได้น่าจะเป็น ดีลที่น่าสนใจมากๆ เลยครับ
V square เท่าที่หารีวิวก่อนหน้านี่ก็ถือว่าค่อนข้างดี และผลประกอบการรายได้โตดี แต่กำไรไม่ค่อยมา ถ้า Master มาช่วยเสริมหรือจัดการจุดนี้ได้น่าจะเป็น ดีลที่น่าสนใจมากๆ เลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2041
- ผู้ติดตาม: 211
Re: MINT
โพสต์ที่ 30
เบอร์เกอร์คิงเผยทิศทางการตลาดปี 2567 มุ่งปั้นแบรนด์-สร้างไวรัลต่อเนื่อง ด้วย 3 กลยุทธ์หลักรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งสปีดแผนเก็บ-วิเคราะห์บิ๊กดาต้าช่วยปั้นบริการ-โปรโมชั่นรายบุคคล พร้อมต่อยอดแคมเปญสร้างไวรัล-เมนูสไตล์ไทย หวังขยายฐานลูกค้าชาวไทยนอก กทม.-จังหวัดท่องเที่ยว ลั่นตั้งเป้าเติบโตระดับ 2 ดิจิตต่ออีกปี…
ทั้งนี้เชื่อว่า กลยุทธ์และสินค้าใหม่ที่จะออกมาจะผลักดันให้ยอดขายของเบอร์เกอร์คิงเติบโตในระดับเลข 2 หลักในปี 2567 เช่นเดียวกับปี 2566 นี้ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 20% จากรายได้ 2.4 พันล้านบาทเมื่อปี 2565
อ่านรายละเอียดทั้งหมด https://www.prachachat.net/marketing/news-1453529
ทั้งนี้เชื่อว่า กลยุทธ์และสินค้าใหม่ที่จะออกมาจะผลักดันให้ยอดขายของเบอร์เกอร์คิงเติบโตในระดับเลข 2 หลักในปี 2567 เช่นเดียวกับปี 2566 นี้ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 20% จากรายได้ 2.4 พันล้านบาทเมื่อปี 2565
อ่านรายละเอียดทั้งหมด https://www.prachachat.net/marketing/news-1453529
Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.