โพสต์ยอดนิยม

อวสานของการลงทุนหุ้นต่างประเทศ?/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
IndyVI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 17370
ผู้ติดตาม: 0

Re: AUCT

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ใน 13.5 ล้านล้านบาท ของหนี้ในระบบสถาบันการเงินทั้งหมดของประเทศไทย
- 1 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสีย
- อีกห้าแสนล้านบาท เป็นหนี้ที่กำลังจะไหลเข้ามา และมีปัญหา (SM)
- และอีก 1 ล้านล้านบาท กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่ (TDR)
- มีบัญชีอยู่ในขั้นของ SM หนี้ที่กำลังจะไหลเป็นหนี้เสียราวๆ 1 ล้านลูกหนี้
- และคนไทยที่เป็น NPL อยู่ตอนนี้ 5 ล้านลูกหนี้
- ประชากรไทยตอนนี้มี 71.6 ล้านคน
- แปลว่า 71 คนเดินมา จะมี 5-6 คน กำลังเป็นหนี้หนักหน่วง
- แต่ก็ใช่ว่า 65 คนที่เหลือจะสบายนะครับ / ราว 64 คนนั้น เงินก็กำลังตึงมือ อย่างมากๆ
- แนวโน้มตอนนี้ สิ้นปีนี้และปีหน้า หนี้รถยนต์เพิ่มขึ้นมาแตะ ราวๆ สองแสนล้านบาท / ทำท่าจะมีรถโดนยึด เข้าลานประมูลเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร
- แปลว่า ใครที่ทำเต๊นรถมือสอง น่าจะเหนื่อยหน่อยในปีหน้า / Stock รถเดิม อาจจะเจอ De-Value / แต่ใครรอซื้อรถมือสอง ปีหน้า น่าจะเจอรถมือสองถูกลง
- จากการประมาณการณ์ของพี่สุรพล Credit Bureau, เค้าคาดว่า มีรถรอยึด ที่จะไหลเข้าลานประมูล 200,000 คัน จ่อคิวอยู่ต่อไป
- และตัวเลขหนี้ครัวเรือน หนี้ส่วนบุคคล ของประเทศเราตอนนี้ก็แทบจะตึงมากๆ แล้ว / เวลานี้คนไทย เหมือนหาได้เท่าไหร่ ก็ไหลจ่ายออกหมดเท่านั้น
- ดูแล้ว SET คงเหนื่อยๆ หน่อย และคงเหลือแค่หุ้นไม่กี่ตัวที่จะฝ่ามรสุมนี้ไปได้ แต่บริษัทส่วนมาก และคนส่วนใหญ่ของประเทศ คงอ่อนแรงเต็มทีมากๆแล้วครับ / แต่ Outlook คาดการณ์จาก นลท รายใหญ่บ้านเรา หลายๆ ท่านก็บอกอยากให้ทุกคนมองแง่ดีว่า ... ปีหน้าหุ้นไทยเราน่าจะดีขึ้น (แต่จะชั่วคราวหรือไม่ ติดตามต่อกลางปีหน้าอีกที)
- แจก 10,000 บาท ที่จะเข้ามาคงช่วยได้ชั่วคราว .. แต่ก็เหมือนเป็น ผักชีโรยหน้าชั่วคราว / แต่จังหวะนี้ ก็คงเหมือนคนกำลังจะสำลักน้ำจมน้ำ ขอแค่มีแผ่นไม้ผุๆ กลางทะเลลึก ให้เกาะชั่วคราว ก็ยังดี ...
- กลุ่มคน Gen-Y ในตอนนี้ แบกภาระหนี้สูงที่สุด และตัวเลขเพิ่มขึ้นตลอด
- ทุกวันนี้ "ภาพสวยๆ บน IG" .. ส่วนมาก เบื้องหลังของหลายๆ คน ไม่เป็นแบบที่เห็นนะครับ มีแค่ส่วนน้อยมากๆ ของสังคมเท่านั้น ที่ยังสบายดีอยู่ แต่ถ้ามากางคุยกันจริงๆ หลายคน ชักหน้าไม่ถึงหลังกันเยอะมากๆ ..
- สรุปคือ .. ถ้าเราทำให้ “คนไทยทั้งประเทศ” โดยเฉลี่ยแล้ว มีรายได้ที่ดีขึ้นได้ + มีประสิทธิผล เพิ่มขึ้นโดยรวม จนมีศักยภาพ ที่แข่งขันกับประเทศอื่นได้มากขึ้น ... ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนนี่แก้ยากมากๆ ครับ .. ก็เหลือคือ ต้องใช้ “ระยะเวลา” เข้าสู้เท่านั้น ..
.
เครดิตภาพและข้อมูล : รายการ MoneyChat, พี่สุรพล Credit Bureau

https://www.facebook.com/10000060186289 ... eEXVNMFyl/
IMG_6749.jpeg
IMG_6750.jpeg
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
Feudalz
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1109
ผู้ติดตาม: 0

Re: XO

โพสต์ที่ 2

โพสต์

คลิปล่าสุดวันนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่คุณคิดมั่นใจ order q1/24 ว่าจะดีมากนะครับ

ถ้าลองคิดดูแกเคยบอกในรายการลงทุนกล้วยๆ ว่าดิสฯ ที่สหรัฐเจ้าเดียวใหญ่มากมี depo 6 แห่ง อยู่ทั่วประเทศ ถ้าการที่แกมั่นใจ order q1/24 มาจากการออเดอร์ของดิสฯ เจ้านี้เจ้าเดียวแบบต่อเนื่อง (เพราะแกบอกว่าเห็น order ล่วงหน้าไม่เกิน 4-6 wk) ปีหน้าสัดส่วนยอดขายในสหรัฐจะต้องมากทีเดียว เพราะในรายการลงทุนกล้วยๆ ยังบอกด้วยว่ามีลิส modern trade ไหนที่จะเข้าบ้างอยู่แล้ว ที่ตอนแรกยังไม่ไปเพราะกลัวมีของส่งไม่พอ เดี๋ยวจะมีปัญหาโดน modern trade ปรับ ว่าง่ายๆ แค่ส่งของไปวางให้ทั่วประเทศสหรัฐก็น่าจะทำให้โตไม่น้อยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
pop5888
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1236
ผู้ติดตาม: 0

Re: TPAC

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ตัวแทนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย
TPAC.jpg
Can do
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 566
ผู้ติดตาม: 0

Re: SAPPE

โพสต์ที่ 4

โพสต์

WHsmith ที่ลอนดอน

IMG_1191.jpeg
IMG_1201.jpeg
"A lot of times the question is harder than the answer. If you can properly phrase the question, then the answer is the easy part." Elon Musk
A57630
ผู้ติดตาม: 0

Re: AUCT

โพสต์ที่ 5

โพสต์

- จากข้อมูลข้างบน และที่คุยกับเต๊นท์รถ อาจต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่า Q4 อาจไม่ได้กำไรดีมากเพราะเต๊นท์ขายกันไม่ออกเลยไฟแนนซ์ไม่ปล่อยสินเชื่อ อัตราจบประมูลเลยอาจจะต่ำกว่าภาวะปกติ

- สิ่งที่ดีคือที่จอดรถยึดยังเหลือให้จอดอีกมากโดยบ.ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเลย และรถก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

- แต่สุดท้ายเชื่อว่าไฟแนนซ์และเต๊นท์รถต้องดิ้นรนอะไรบางอย่างให้ตัวเองอยู่รอด เพราะยิ่งจอดนานราคายิ่งตกไฟแนนซ์ไม่ได้เงินสักที ส่วนเต๊นท์ใหญ่ๆส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ คงต้องยอมขายขาดทุนเพื่อนำเข้ารถต้นทุนใหม่มาหมุน ให้เกิด price equilibrium ให้เร็วที่สุดจะได้เดินหน้ากันต่อไป
Investorist
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 45
ผู้ติดตาม: 0

Re: TPCH

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมจาก IR นะครับ (พูดคุยด้วยวาจาทางโทรศัพท์ โปรดระวังเรื่องการใช้ข้อมูลนะครับ)

1.) ผลกระทบของการปรับลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาล

IR แจ้งว่าผลกระทบค่อนข้างน้อย เพราะเกือบทุกโครงการของ TPCH มีสัญญาแบบ FiT ซึ่ง Fixed ค่าไฟฟ้าไว้แล้ว
ตัวที่ได้รับผลกระทบคือ PTG เพราะมีสัญญาแบบ ไฟฐาน+FT+Adder ดังนั้น ถ้า FT ลดลงก็จะกระทบ PTG ได้
อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าปัจจุบันของ PTG ยังอยู่ในระดับที่บริษัทมองว่ายังดีอยู่

*ปัจจุบันบริษัทมี ชีวมวล (FiT) 33.4 equity MW , ชีวมวล (Adder 1.3)/PTG 19.9 equity MW และ Waste to energy (FiT) 4 equity MW

2.) การขายกิจการ TPCH1,2,5 , PBB จบหรือยัง จะมี Extra item ใดๆ เกิดขึ้นในงบการเงิน Q4/66 อีกหรือไม่

IR แจ้งว่าในส่วนงบกำไรขาดทุน (Consolidated) ถือว่าจบแล้ว อาจมี Reverse รายการบางอย่างที่ตั้งมากไป
ถ้ามี Extra item จะเป็น positive โดย Q4/66 เป็นต้นไป งบการเงินของ TPCH คือ Performance ของโครงการที่เหลืออยู่
วัดความสามารถในการรันเครื่องจริงๆ สำหรับงบกระแสเงินสดอ้างอิงตาม MD&A คงมีการแบ่งงวดจ่ายระหว่าง Q4/66-Q1/67

3.) Facebook อัพผลการดำเนินงานล่าช้า แนวโน้มการรันเครื่องเดือน 11 ถึง ต้นเดือน 12 เป็นอย่างไรบ้าง

IR แจ้งว่ามีการเปลี่ยนคนดูแล จะรับไปปรับให้ไวขึ้น สำหรับการเดินเครื่อง ภาพรวม 6 โรงไฟฟ้าหลักยังรันได้ดี
ยกเว้น PTG ที่มี Shutdown ไปประมาณ 15 วัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเดินเกือบ 100% แล้ว ถ้ามองดูภาพรวมทั้งไตรมาส 4 การรัน PTG ก็ยังดีอยู่

4.) สยามเพาเวอร์เป็นอย่างไรบ้าง

ปัจจุบัน เดินเครื่องในระดับที่สูงขึ้น 70-80% แต่ยังต้องปรับประสิทธิภาพให้ได้ margin ที่ดีกว่านี้

ตรงนี้ส่วนตัว ผมยังให้ SP ขาดทุนไปก่อน จนกว่าจะเห็นการรันนิ่งๆ และมี margin ครับ

5.) โครงการในอนาคตเยอะ มีโอกาสเพิ่มทุนไหม
ในการประชุมบอร์ด ยังไม่มีการคุยเรื่องเพิ่มทุน คิดว่าบริหารจัดการได้

6.) นักลงทุนห่วงโครงการโซล่าร์ในลาว เพราะมีข่าวเรื่องการขาดแคลนดอลลาร์ และ ศก. ลาวที่ไม่แข็งแรง

้Concept คือ เป็น Solar farm จึงไม่มีคชจ ด้าน raw material การสร้างง่ายกว่าชีวมวลมาก
ผู้ซื้อไฟฟ้าคือ การไฟฟ้ากัมพูชา (EDC) โดย EDC จะจ่ายเงินค่าไฟฟ้าแยกเป็นสองบัญชี
คือ สำหรับ TPCH และ สำหรับ EDL กล่าวคือ ได้รับการชำระเงินเป็น USD โดยเข้า TPCH โดยตรง ไม่ต้องผ่าน EDL ก่อน

แล้วถ้า EDC ไม่ซื้อไฟฟ้าล่ะ?
มี Agreement ที่เซ็นต์ร่วมกัน รวมถึงพื้นที่บริเวณนั้นยังมีการขาดแคลนไฟฟ้า EDC จึงมีความต้องการจริงๆ
ส่วน EDL เคสนี้มีแต่ได้ เพราะ TPCH และ partner เข้าไปทำโครงการ รวมถึงทำสายส่ง ไปส่งไฟฟ้าให้(สายส่งเฉพาะพื้นที่ในลาว)
EDL รับค่าธรรมเนียม โดยไม่ต้องลงทุน พันธมิตรที่ร่วมลงทุนก็มี Solar Farm ในลาวอยู่แล้ว ปัจุบันเค้าก็ได้รับชำระค่าไฟฟ้าเป็น USD ปกติทุกงวด

*ส่วนตัว ผมไม่ได้รวมโครงการนี้ในประมาณการเช่นกันครับ เข้าใจความกังวลของทุกท่านว่าการลงทุนในลาว ไม่ง่าย
แต่ในมุมผู้ถือหุ้น ก็ต้องขอให้เค้าทำให้สำเร็จ และเกิด positive surprise นะครับ

ึ7.) ราคาหุ้นต่ำมาก เมื่อวานปิด 5.8 บาท (Market cap. 2,327 MB) เทียบกับโรงไฟฟ้าที่เสร็จและ COD แล้ว 57 equity MW
มี โครงการจะซื้อหุ้นคืนไหม

ยังไม่มีค่ะ

8.) ปีหน้า หวังว่าจะได้เห็นกำไรที่แท้จริงของบริษัทแสดงออกมาสักทีนะครับ (รอมานานแล้ว)

หวังว่าอย่างนั้นเช่นกันค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul Octopus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 804
ผู้ติดตาม: 0

Re: NTV

โพสต์ที่ 7

โพสต์

สิบปีก่อน นลท. ให้ PE Ratio ไว้สูงเพราะทิศทางการเติบโตที่มีการซื้อที่ดินด้านข้างพร้อมแผนการขยาย
ต่อมามี รพ. มาเปิดใหม่ และขยายหลายแห่ง ในพื้นที่ให้บริการและจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใกล้กัน
ต่อมา รพ. เลื่อนแผนการขยายฯ ออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่า Telemedicine และการผ่าตัดเล็กที่มาแรง ทำให้อัตราการมาโรงพยาบาลทั้ง OPD และ IPD ไม่น่าเป็นไปตามคาด
และในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยได้ขึ้นไป จนกระทั้ง อัตราผลตอบแทนจากการปันผลของ NTV ไม่ดึงดูดใจ PE Ratio ที่เคยสูงมาก ลดต่ำลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากการเติบโตของ รพ. ระยะ 20 ปี ไม่ได้มีอะไรที่ผิดไปจากแนวเดิม ถ้า ผู้ถือหุ้นตั้งใจถือระยะยาวมากๆ ผมว่าเป็นโอกาสสะสมเพิ่ม
Disclaimer & Disclosure: The articles posted only represent my personal view. They are by no means a guarantee to the stock performance. Have no plan to change my position to the stock mentioned over the next 72 hrs.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Thai VI Officer
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1457
ผู้ติดตาม: 1

Re: MEGA

โพสต์ที่ 8

โพสต์

★ Opportunity day Transcript 30 - by ThaiVI ★
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) - MEGA
Date: 8-Dec-23


Transcript 30 : https://bit.ly/3MEvZDV
PDF –MEGA : https://bit.ly/41cT1YN

--------------------------------------
การตอบคำถาม Oppday Q3/2023 บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) - MEGA

คุณสุจินตนา บุญวรภัทร กล่าวเปิด พร้อมกล่าวแนะนำ คุณวิเวก ดาวัน จากนั้นได้เริ่มกล่าวรายงานผลประกอบการบริษัทในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2566 เป็นลำดับถัดมา

ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 2 คน
ระยะเวลาทั้งหมด 29:00 นาที

------------------------------------------

เริ่มการตอบคำถาม

1. แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4 เติบโต YoY?
คุณวิเวก : อันนี้ตอบไปแล้ว ไตรมาส 4 ของปีที่แล้วมันก็เรียกว่ามัน Low อยู่แล้วเพราะว่าไตรมาส 3 มันสูงมาก แต่ว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้วมันไม่สูง เราคิดว่าน่าจะสูงกว่าไตรมาส 4 เทียบกับ 22 แต่ว่าเราพูดถึงทั้งปี เรากําลังมองว่ามันก็น่าจะน้อยกว่าหรือลดลง แต่ไม่มาก ลดลงอาจจะไม่มาก


2. บริษัทมีความสนใจในการ Promote Social Media เช่น TikTok, Instagram หรือไม่อย่างไร?
คุณวิเวก : อันนี้เป็นกลยุทธ์ครับ เพราะว่าส่วนใหญ่เรามีสินค้าที่เป็นสินค้ายานะครับ เราไม่มีใบอนุญาตที่จะขายสินค้าใน TikTok, Instagram เพราะว่าเราก็ยังถือว่าสินค้าที่มียอดขายอยู่ก็เป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้เภสัชกร ภายใต้คนเราที่จะให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เราก็เน้นอันนั้นอยู่แล้วครับ เพราะว่าเราขายเพื่อสุขภาพ เราก็บอกว่าทําไหมเราก็ทําครับ Social Media เราก็ทำหลายอย่าง อธิบายให้ความรู้ ทําอยู่หลายๆ วิธีครับ ก็วิธีแต่ละประเทศแล้วแต่กลยุทธ์ทางการตลาดนะครับ เพราะว่าเรามีบางสินค้าเป็นอาหารที่เราทําได้เราก็ทําบ้างนะครับ ลงโฆษณาออนไลน์ เพราะว่าเรามีทีม เรามีออนไลน์ทีมทุกประเทศครับ เรามี Digital Marketing Group แล้วก็ทีมที่เราทํางานในทุกประเทศแยกออกจากแค่ทำ Branding อันนี้มีอยู่แล้วครับ ก็ทําอยู่ครับ ทําอยู่ แต่ไม่ได้ว่าแค่ขายออนไลน์อย่างเดียว ออนไลน์เป็นวิธีการอันนึงที่ให้ความรู้ความเข้าใจ แต่ไม่ได้แค่ขายสินค้าออนไลน์อย่างเดียวนะครับ


3. คู่แข่งของ MEGA ในแอฟริกาคือใคร แล้วก็ใครเป็นเจ้าประหลาดอาหารเสริมในแถบนั้น?
คุณวิเวก : มีเยอะครับ ไม่ได้มีเจ้าเดียว เพราะว่าแถวนั้นจะมีหลายบริษัทมา อย่างอังกฤษก็มี มากจาก South Africa ก็มี เพราะว่าธุรกิจอันนี้ก็ยังมี ไม่ใช่ว่ามันไม่มีนะครับ เพราะว่าประเทศที่พัฒนาเยอะแล้ว มาจากอังกฤษก็มีเยอะ มีหลายบริษัท ไม่ใช่ว่ามีเจ้าเดียวนะครับที่เรียกว่าใหญ่สุด มีเยอะ เราก็ไม่ได้จอง Product Category เราก็ทําตลาด เราไม่ได้ทําแค่อาหารเสริม เพราะว่าเรามี Product เข้าโรงพยาบาล ให้หมอใช้ด้วย เรามีหลาย Product ที่เราคุยกับลูกค้าโดยตรง ดังนั้นวิธีการทําตลาดเราอาจจะไม่ได้ทําเป็นแค่ MEGA We Care 50 Product ลงใน Category อย่างเดียว เราไปในตลาด Category อื่นด้วย เราก็มี Brand ในแอฟริกาอยู่เหมือนกัน


4. ยา New Generic ทําไมถึงคู่แข่งน้อย แล้วก็บริษัทยาอื่นๆ ทําไมถึงทําแบบเราไม่ได้?
คุณวิเวก : คนอื่นก็ทําได้ครับ ทําอยู่ครับ ทุกคนทําอยู่ ในเมืองไทยก็หลายๆ คนนําเข้าเหมือนกัน แต่ทุกคนไม่ได้ทําทุกตัวครับ บางอย่างเราอาจจะทําก่อน บางอย่างเขาก็ทําก่อนครับ บาง Category เราเข้ามาก่อน แล้วก็บางครั้งก็อาจจะโฟกัสในโรคหัวใจมากกว่าโรคเบาหวาน มันก็ต่างคนต่างก็มีไอเดียที่เขา Explore แล้วก็บางคนเล่นหลายๆ Area แต่ว่าทุกคนไม่ได้ผลิตทุกอย่างเองนะครับ MEGA ก็ผลิตบางอย่างเอง นําเข้าบ้าง แล้วก็มีสัญญา Licensing แต่เราอาจจะเลือกสินค้าที่เราเชี่ยวชาญใน Category เรา แล้วก็เราอาจจะมีสินค้าที่อาจจะทํายากหน่อยด้วย เราก็หา Product เข้ามาทําบ้าง ก็เลยมองว่ามันแตกต่างกันบ้าง ไม่ใช่ว่าเราเป็นเจ้าเดียวนะครับที่ทําได้ คนอื่นก็ทําเหมือนกัน แต่คนที่เริ่มก่อน คนที่เข้าไปในตลาดก่อน บ้านเราก็มีหลายบริษัท บริษัทไทย บริษัทต่างชาติที่เป็น Generic ก็มีเยอะนะครับ ไม่น้อยครับ ทุกประเทศมาจากอินเดีย มาจากยุโรป แล้วก็ของในประเทศเองก็มีนะครับ เราก็มีด้วย ก็แล้วแต่ต่างคนต่างก็เล่นใน Product Category ไหนแล้วก็ออก Product อันไหนมาก่อนครับ บางทีเราก็แพ้ เราไม่ได้เป็นเบอร์ 1 นะครับ แต่บางไอเดียเราจะเริ่มก่อน เราอาจจะเบอร์ 1 ก็ได้ เราอาจจะ Launch ก่อนก็ได้ครับ อันนี้มันธรรมชาติของธุรกิจครับ เพราะว่ายาก็มี Category ตั้งแต่หยอดตา ยาฉีด ยามะเร็ง มีอีกหลายๆ Category ครับ หลาย Therapy เราก็เล่นได้หลาย Category เราก็เลือกหาสินค้าใน Category ที่เราเชี่ยวชาญด้วยครับ


5. Worst Case สำหรับธุรกิจเราในเมียนมาร์?
คุณวิเวก : เราไม่ได้มอง Worst Case ครับว่าประเทศรอบๆ เมื่อก่อนถ้าเรามองดูไป 30 ปีตอนที่เราไปพม่า สินค้าเข้าไปผ่านระยอง ระนอง แล้วก็แม่สาย แม่สอด แล้วก็ทําธุรกิจส่งออกนําเข้า ก็ขายเฉพาะในช่วง Area รอบๆ ก็มีปัญหา ตอนนั้นก็มีเหมือนกัน มันก็ Area ที่เราไปไม่ได้ ทําธุรกิจไม่ได้ ธุรกิจที่ปัจจุบันน่าจะอยู่ได้ แต่ Worst Cast อยู่ที่ว่ามันไม่โตครับ ยากที่จะโต เพราะฉะนั้น Big Issue ในพม่ามันอาจจะรายได้น้อยลง เราก็รู้สึกธุรกิจไม่มีอนาคต แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ แต่ว่าช่วงที่ตรงกลางเนปิดอว์ มัณฑะเลย์ ยังเป็น Main Area น่าจะ 70-80% ของธุรกิจ ที่เหลือ Area ที่มีอนาคตเราส่งสินค้าไปทั่วประเทศ อาจจะหายไปทําธุรกิจไม่ได้เพราะว่ามัน Trouble Area มีสงคราม มีทะเลาะกัน การส่งของเรายังทำงานในยูเครนก็ยังมีคนใช้ยา ก็ยังมีคนใช้อยู่นะครับ ถามว่ายอดขายเราตกในยูเครนไหม ไม่ตกนะครับ มันยังดีอยู่ เพราะว่าเขาได้เงินเข้ามาจากหลายๆ ประเทศ เราก็ยังทำงานอยู่ใน Area ก็ยังขายได้นะครับ ไม่มีปัญหาอะไร มีสงครามก็ยังขายได้ ยาก็ยังมีโอกาสที่จะอยู่ได้ แต่ถามว่ามันจะ Growth ได้ไหม ยาก โตไหม มันจะยาก มัน Maintain ได้ไหม น่าจะได้ Worst case ก็ Maintain อย่างเดียว สินค้าอื่น ๆ ก็เข้ามาด้วยถ้ามีคนต้องใช้ ใครจะมีสินค้าเข้ามาได้ก็ยังขายได้ Opportunity ก็ยังต้องมีครับ แต่ว่า Growth จะไม่มีครับใน Worst Cast


6. สัดส่วนรายได้ในแบรนด์ของเราในเมียนมาร์นี่มันประมาณกี่เปอร์เซ็นต์?
คุณวิเวก : สัดส่วนแบรนด์เรา มันก็ต้องแยกเป็นยา สัดส่วนของ MEGA เองในพม่าก็น่าจะไม่เกิน 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ครับ 20-30% ของแบรนด์ที่เหลือก็เป็น Distribution อื่น แล้วก็ส่วนใหญ่เป็นยาด้วย ข้อดีว่าเราก็ขายยาด้วย 60% ก็มาจากยาครับ


7. Double in 5 years กําไรโต 15% บน Topline 7% มาจากการปรับ Margin หลังจากปี 2025 จะมีวิธีเพิ่มกําไรจากการเพิ่ม Topline บ้างหรือไม่ กลยุทธ์อย่างไร แล้วก็มีการปรับ Topline มากน้อยแค่ไหน?
คุณวิเวก : เราคิดว่าเราจะต้อง Growth Business เราหลังจาก 2025 ไปนะครับตาม Strategy 2025-2030, 5-6 ปี เรามีหลายๆ ประเทศที่เรามองว่ามี Opportunity มีอนาคตสำหรับยอดขายเติบโต เวียดนาม อินโด เมืองไทย ฟิลิปปินส์ แล้วก็แอฟริกาครับ เพราะว่าดูบุคลากร ดู Product List ดูสินค้าที่เรามีอยู่ ถ้าแบรนด์เราโตในทุก Area ตอนนี้เราดูกําไรจาก 2 ส่วน ถ้าส่วนใหญ่ยอดที่โตมาจากแบรนด์เรานะครับ แบรนด์เรามี Gross Margin อยู่ที่ประมาณ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วแต่เดือน แล้วแต่ปีนะครับ 62-63 ถ้าแบรนด์โต โอกาสที่ Margin เราดีขึ้นมันก็สูงอยู่แล้วครับ ที่เราบอกว่ามัน Double ตรงนี้เราก็พูดถึงแบรนด์เราเองเพราะว่าตอนนี้มันก็มีพม่าส่วนใหญ่ 70% เพราะฉะนั้นพม่าเราไม่ได้บอกว่าไม่โตแล้ว พม่าจะยาก็โต ลูกค้าเราที่ขายยาก็โตได้ แต่ Major Growth มันก็ต้องมาจากแบรนด์เรา แบรนด์เราโตอย่างเท่าตัวได้ภายใน 5-6 ปีจาก 2026 ไปถึง 2031 ผมคิดว่ามันท้าทาย Bottomline น่าจะ Double ได้ด้วยครับ เราก็มองแบรนด์จากวันนี้ ถ้ายอดขายจากแบรนด์เราโต เข้า 80-100% ของ 2025 เราก็มั่นใจว่า Growth ของ Bottomline มันจะเท่าตัวได้ เพราะว่ารายจ่ายต่างๆ ทีมงานต่างๆ อาจจะไม่ได้เท่าตัวอยู่แล้วเพราะว่ารายจ่ายมัน Fix แล้ว เป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำแบรนด์ต่อไป นั่นเป็นทางเดียวที่เราคิดว่าจะมี Growth เข้ามา แล้วก็ Growth เข้ามาจากที่ไหน กำลังประเทศอินโดก็ไม่ได้ลดลงครับ ถ้าเราดูแค่ Projection แต่ละประเทศดูจากคนอื่นไม่ใช่ของเราเอง ถ้าเราอ่านดู Expect ต่อแต่ละคนที่ใช้ยามันน่าจะ Growth เป็น Double อย่างน้อย Double ในแต่ละประเทศพวกนี้ เพราะว่ายอดขายมันยังน้อยอยู่ MEGA ยัง Growth เท่ากับ Market ได้ อาจจะมากกว่า Market อีกนิดหนึ่งก็ได้ถึงที่เราคิดไว้อยู่ แอฟริกาคือ 6-8 ร้อยล้านคนเหมือนกัน ถ้าประเทศมัน Stable มากขึ้น อนาคตดีขึ้น เราจะเริ่มได้น้ำมัน Copper เข้ามาในหลายประเทศ ตอนนี้สหรัฐก็เริ่มหาเงินมาซื้อน้ำมัน รายได้เขาดีขึ้น ประเทศน่าจะเริ่มเจริญ ถ้าเขาบริหารประเทศเขาได้ดี ผมคิดว่าตลาดพวกนี้ค่อนข้างโตขึ้นแล้ว MEGA ก็มีทุกอย่างพร้อม Product ทีม We should also growth at least market rate ไม่ได้บอกว่าเร็วกว่าตลาด แต่ถ้าเราเก่ง เราอาจจะ Grow faster than market ก็น่าจะถึงครับ แต่เราทำให้ดีใน 2-3 Area ที่เรามี เปรู โคลัมเบีย แอฟริกา เอเชีย ถ้าพม่ายังดีขึ้นก็ดีมากเลย มันโชคดี But even after the market, I think this is a reasonable chance. โอกาสยังดีอยู่ครับ We can grow a business and double the bottom line. ภายใน 5-6 ปี But nothing is perfect. แต่เราไม่ได้บอกว่า 5 ปีเป๊ะๆ if we do that strategy เราก็น่าจะ 5-6 ปีเราก็น่าจะได้บวกลบ 20% มันโอกาสสูงครับ


8. BOI ที่จะหมดในปี 69 มีวิธีรับมืออย่างไร?
คุณวิเวก : ก็ไม่มีครับ BOI ก็มี Area ใหม่ๆ Innovation เรามีแผนที่จะลงทุน New Area เราลงทุนในหลายๆ Area ถ้าเรา Extent New Innovation, New Product เราจะขอเพิ่ม จาก 14-16% ก็อาจจะเปลี่ยนเป็น 14-20% หลังจาก 2-3 ปีนะครับ ถ้าลงทุนได้เราก็ขอ BOI เพิ่ม เรามีแผนอยู่แล้วว่าเราจะลงทุนใน Innovative ที่เราทำอยู่ มีเทคโนโลยีที่เราจะมาทำอีกนะครับ


9. ภาพรวมอุตสาหกรรมทิศทางเป็นอย่างไรในช่วง Q4 นี้ กําลังซื้อฟื้นตัวหรือไม่อย่างไร?
คุณวิเวก : อุตสาหกรรมยาจากที่เราอ่านนะครับ แล้วก็ข้อมูลที่เราได้เข้ามาคิดว่ายาก็ยังโอเคนะ ยาที่ขายในโรงพยาบาลก็ยังมี Growth อยู่นะครับ เพราะว่าโควิดผ่านมาก็ตก ปีนี้ก็มี Growth ในหลายๆ Area ของเราก็ไปรักษาโรคต่างๆ แล้วก็มีหลายอย่างที่เราไม่ได้ทํา Electric Surgery ที่พักไว้เราก็ไปทำต่อ ตอนนี้ก็น่าจะยังมี Growth ในทางด้านยา ตอนนี้ทางด้าน Health ตอนนี้สินค้า MEGA ไม่มีอะไรที่จะ Care สำหรับ Beauty เราขายแต่แค่ที่จำเป็น ถ้าเราตัดโควิดออกแล้วเราก็เห็น Growth ในสินค้าอื่นนะครับ เราโฟกัสใน Area ที่เรียกว่า Health สินค้าที่มี Scientific Backup นะครับ


10. คดี 3 คดีที่ปรากฏในงบ ขอทราบความคืบหน้า?
คุณวิเวก : ไม่มีอะไรครับ Legal Issue ส่วนใหญ่ก็น่าจะไปได้ตามปกติ ไม่ได้เป็น Worst Case เราไม่ได้ทําอะไรผิด คดีก็มีเรื่อง Brand Name ที่เราเป็นเจ้าของอยู่ เราก็ต้อง Protect ให้ได้ อันที่ 2 ก็สู้เรื่องทุจริต ก็ยังสู้ต่ออยู่ครับ ก็ไม่มีอะไร ก็ปกติ ไม่น่าจะห่วงอะไรครับ มันไม่ Impact กับ Financial เพราะว่าแค่ MEGA ไปสู้คดี Tax ก็มาเราก็ว่ามันก็ปกติอยู่แล้วครับ เราก็จ่ายภาษีทำทุกอย่างถูกต้องอยู่แล้ว


11. อยากสอบถามเกี่ยวกับมูลค่าของลูกหนี้ที่น้อยกว่า 3 เดือนมียอด 8,000 ล้าน แล้วก็ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ?
คุณสุจินตนา : ก็คือว่า AR ที่เพิ่มขึ้นมันจะเป็นในส่วนของที่เกี่ยวกับการ Convert ค่าเงินในประเทศเมียนมาร์ ทั้งส่วนของลูกหนี้ เพราะปกติแล้วการขายประเทศเมียนมาร์จะเป็นแบบ Consignment Sale นะคะ แล้วก็ทาง Importer เราก็จะ Deal กับเขาเป็น US Dollar แล้วก็ตอนที่เราขายในประเทศเมียนมาร์เราจะเก็บเป็นเงินจ๊าดนะคะ แล้วก็การเก็บเป็นเงินจ๊าดโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะเก็บเป็น Cash ก็ Credit Term โดย Average ประมาณแค่ 15 วัน แต่ว่าโดยรวมแล้วก็คือเราเก็บเป็น Cash ไว้แล้ว แต่ว่าการ Convert มันจะต้อง Convert จากจ๊าดเป็น US ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการ Convert ค่ะ ตรงที่มันแสดงตัวเลขที่มันเพิ่มขึ้น จริงๆ แล้วเงินมันมีอยู่ในบัญชีวเราแล้วที่ประเทศเมียนมาร์ เพียงแต่ว่ามันรอการ Convert เพราะว่าตามมาตรฐานบัญชีมันต้องมีการ Book ในส่วนของ AR ไว้แล้วก็ทาง AP ถ้าคุณดูทาง Other Payable มันก็จะสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงนี้เราได้เคลียร์รายการนี้แล้วในช่วงเดือน October ค่ะ ช่วงเดือนตุลาคมนะคะ ซึ่งตรงนี้คือมันเป็น Normal Process ที่จะต้องรอเวลาในการเคลียร์ตัวเงินจ๊าดเป็นเงินดอลลาร์ในการ Convert นะคะ
คุณวิเวก : อันนี้เป็นวิธีการบริหาร Dollar Exchange Rate เพราะว่าตาม Exchange ที่เราต้องซื้อขาย มันเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า AR ก็ไม่เพิ่มครับ ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกตินะครับ Innovation Cash ที่เราได้มาประมาณ 103% ของ Net Profit
คุณสุจินตนา : กระแสเงินสดที่ดิฉันรายงานไปบอกว่าประมาณ 102.7% ของ Net Profit คือกระแสเงินสดเราก็ยังแข็งแกร่งนะคะตรงนี้ ก็เรื่อง AR มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าในเรื่องเกี่ยวกับการรอ Convert ค่าเงินแค่นั้นเองนะคะ


12. Product ยา New Generic ใน Pipeline ทยอยได้รับอนุญาตแล้วหรือยัง?
คุณวิเวก : มีครับ เข้ามา Launch ไปด้วยครับ เยอะ Launch regularly ครับ ปีนี้ก็ Launch ไปที่บอกไปทั้ง 30 Product ก็ Launch ในเวลา 22-23 ก็ทยอย Launch อยู่ตลอดครับ เยอะ หลายๆ Product ค่อยๆ ทยอย Launch อยู่ ปีหน้าก็มี Launch หลาย Product ด้วย


13. แผนปีหน้า 2024 วางการเติบโตยังไง แล้วก็ประเมินในเรื่องของอุตสาหกรรมในปีหน้าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็สินค้าใหม่ในปีหน้าจะออกประมาณกี่รายการ รวมถึงงบลงทุนด้วยว่าเราจะใช้เท่าไหร่?
คุณวิเวก : ยังไม่ได้เตรียมไว้สําหรับปี 2024 แต่ว่าที่ผมอธิบายเมื่อกี้ครับ เราวางแผนไว้ว่าประมาณในช่วง Single high digit growth ระหว่าง 5-10% นะครับ แล้วก็ผมพูดถึง Revenue Growth, Bottom Line ก็น่าจะ Growth เหมือนกันนะครับเท่าตัวสำหรับปีหน้า แล้วก็เราพูดถึงแบรนด์เราเอง แล้วก็ Product ที่จะ Launch ตอนนี้ List ผมไม่ได้มีอยู่ในมือ แต่ว่า Launch ก็น้อยๆ 12-15 Product ในปีหน้าเหมือนกัน แต่ว่าอันนี้ก็ไม่ใช่แค่เมืองไทยนะครับ เราก็ Launch ในหลายๆ ประเทศ Product เรา Launch ทุกปีเยอะมาก 33 ประเทศ ถ้าเราเทียบดูทุกประเทศน่าจะประมาณ 70-80 Product ที่เรา Launch ในทุกประเทศ ถ้าดูทุกประเทศ เวียดนาม พม่า อินโด กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ตัว Product มันเยอะนะครับ Launch ทุกปีตามที่ทะเบียนออกมาครับ ทะเบียนยาแล้วก็วิตามิน พวก Probiotic สินค้าเรามีทุก Category ที่ตามแผนเราก็ Launch อยู่แล้วทุกปีนะครับ สถานการณ์ยาเราก็ยังมองว่ามันน่าจะดีขึ้นครับ เพราะว่าทุกคนมองว่าปีหน้าน่าจะดีขึ้นกว่า ที่ผ่านมา 2023 เพราะว่า Stocking สินค้าที่อยู่ในตลาด สินค้าที่อยู่ใน Shelf เราเอง สินค้าที่ร้านยาก็มี Stock ไว้อยู่ คนเราซื้อเก็บไว้เพื่อโควิด กว่าจะลดลงแล้วก็เริ่มกลับมาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ด้วย Expectation ไม่ว่าจะในสหรัฐหรือว่าทุกที่ Industry ที่ขายพวกอาหารเสริมวิตามินต่างๆ ก็น่าจะดีขึ้นในประเทศด้วย เพราะว่าเขาก็มียอดขายสูงสุดในโลก แต่ของเราก็จะมีฟื้นมาด้วยครับ เพราะว่าที่มัน Low ไปแล้ว Low สุดแล้วใน 2023 ตอนนี้จะเริ่มดีขึ้น อันนี้เป็นการมองของทุกคนที่ Predict ขึ้นมานะครับ เราก็มองด้วยเพราะว่าเราก็เห็นอยู่แล้วว่าสินค้าเราที่ไม่ได้เป็นโควิดมันก็เริ่มโตอยู่แล้วปีนี้ด้วย แล้วก็ปีถัดไปน่าจะมี Growth ด้วย


14. ความคืบหน้าของโรงงานในอินโดนีเซียแล้วก็แนวโน้มการขยายการลงทุนในเวียดนามเป็นอย่างไร และมีปัจจัยอะไร?
คุณวิเวก : อยากที่บอก เราลงทุน 510 ล้านในอินโด เราคิดว่าเริ่มทำขยายปีหน้า ใช้เวลา 2 ปี ช่วงนี้เราก็ยังขึ้นทะเบียนทําอะไรรออยู่แล้วครับเพื่อผลิตได้ หลังจากเราได้ทะเบียนภายใน 2 ปี ที่นําเข้าได้ก็นำเข้ามาขายอยู่แล้วครับ เราไม่ได้หยุดทํางานเรา แค่ว่าโรงงานใหม่เข้ามาเพื่อรับอนาคต รับยอดที่เราทําต่อได้ สินค้าใหม่ ๆ เราจะทําได้เพราะว่าโรงงานที่เรามีก็ไม่ได้ใหญ่เพื่อรับสินค้าที่เราอยากจะผลิตอีกหลายตัวที่ต้องผลิตในประเทศตามกฎเกณฑ์ของอินโดนะครับ เวียดนามเองไม่ได้คืบหน้า เดี๋ยวรายงานในประชุมไตรมาสถัดไปครับ เพราะว่าตอนนี้ในระหว่างการ Analyze บางอย่างครับ ที่เรายังไม่มีอะไรที่จะรายงานเพิ่ม ปัจจัยที่จะทําก็ต้องทําครับ เวียดนามก็มีกฎเกณฑ์ที่เขาก็อยากจะให้บริษัทที่ผลิตในประเทศเอาไปเสนอขายสินค้ากับรัฐได้ แล้วเราก็มียาหลายตัวที่เราขายอยู่นะครับ ส่วนใหญ่เป็น Universal ของเวียดนามเหมือนกันนะครับ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ Privet นะครับ เป็นของรัฐ ส่วนเราก็ต้องมาลงทุนผลิตในเวียดนาม อย่างน้อยต้องผลิตยาที่เวียดนาม อันนี้เป็นความจําเป็น เราก็ต้องลงทุนในเวียดนามด้วย เพราะว่ามันตลาดสําคัญสำหรับ MEGA นะครับ


15. เรามีความสนใจในการลงทุนหรือขยายตลาดไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่น ๆ ใหม่ ๆ นอกจากเวียดนามเพิ่มเติมมากน้อยแค่ไหน?
คุณวิเวก : ไม่มีครับ ผมก็มีแค่นี้ครับ มีเยอะแล้ว อาจจะมีลงลึกในแต่ละประเทศแล้วก็ขยายยอดขายในแต่ละประเทศนะครับอันนี้ก็นี้สําคัญ นอกจากแอฟริกาก็มีบางประเทศเราก็เริ่มเปิด คองโกเราก็พึ่งเปิด แล้วก็จะไปใกล้ๆ ประเทศไม่ได้ใหญ่ เล็กๆ ล้อมรอบ แล้วก็ในลาตินอเมริกา อเมริกาใต้เราก็มี อาจจะประเทศเล็กๆ เราก็มีรอทะเบียนอยู่ครับ ไม่ได้มีผลอะไรมากมาย ไม่มียอดขายอะไรมาก แต่แค่เปิดล้อมรอบประเทศเล็ก บราซิล อาร์เจนตินา เราไม่ได้ไปครับ ก็มีแค่นี้ เราคิดว่า Opportunity เราอยู่ในประเทศที่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ครับ


16. อยากสอบถามการเปรียบเทียบบริษัทอื่นในตลาด MEGA, BLC มีความเหมือนแตกต่างกันอย่างไร เป็นคู่แข่งหรือไม่?
คุณวิเวก : ต่างคนต่างก็ทำตลาดครับ ผมไม่ได้ไป Study เขา สินค้าอาจจะมีคนละแบบ แล้วเขาก็ทำตลาดในโรงพยาบาลเหมือนเราด้วย ก็น่าจะมีครับ ก็แข่งกันบางอย่าง บาง Area มันทุกธุรกิจครับแข่งกัน ธุรกิจยาก็มี 180 กว่าบริษัทในไทย ตอนนี้ผมจำไม่ได้ว่าเหลือเท่าไหร่เพราะไม่ได้ Update แล้วนอกจากนี้ก็มีบริษัทนําเข้า บริษัทต่างชาติก็มีเยอะครับ คู่แข่งธุรกิจยามีไม่น้อย มีเยอะ แต่ก็เป็น Business ต่างคนต่างมียอดขาย ไม่ได้มีใครเป็นหมื่น ๆ ล้านนะครับ แล้วเราก็มีช่อง Area ของเราเอง เราก็อยู่ได้ ทุกคนอยู่ได้ ก็ทำตลาดของเขาเอง


17. ค่าเงินที่เราบันทึกอยู่ในงบการเงิน กําไรขาดทุนจากค่าเงินอันนี้เป็นกําไรขาดทุนทางบัญชี?
คุณวิเวก : ครึ่งๆ ครับ แต่ว่าต้องทําตามบัญชี เพราะว่าเวลาค่าเงินเปลี่ยนในประเทศเราก็ต้องลงบัญชี

--------------------------------------------
***Oppday Q3/2023 – MEGA เป็นข้อมูลถาม-ตอบ Q&A โดยหวังว่าจะเป็นความรู้และให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่าน และกรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้ทุกครั้ง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทาง ThaiVI ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้***
ขอแสดงความนับถือ
สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
A57553
ผู้ติดตาม: 0

Re: XO

โพสต์ที่ 9

โพสต์

นาทีที่ 7 ทางผู้บริหารมีพูดว่าไตรมาส 4 มีโอกาสเห็นยอดขาย 800 ล้านบาท!!! ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนครับ

https://youtu.be/eBMLbLoghlc?si=RV4vzo4SqJ5lGMEW
nuy14k
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 20
ผู้ติดตาม: 0

Re: MC

โพสต์ที่ 10

โพสต์

1.jpg
A38850
ผู้ติดตาม: 0

Re: XO

โพสต์ที่ 11

โพสต์

phpBB [video]
sk_specialty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 126
ผู้ติดตาม: 0

Re: MEGA

โพสต์ที่ 12

โพสต์

phpBB [video]
"พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน"
Toro149
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 879
ผู้ติดตาม: 1

Re: AUCT

โพสต์ที่ 13

โพสต์

จากข้อมูล ณ วันนี้ ยังเหลือเวลาอีก 22วัน
ผมเดาว่า q4 รายได้ราว 365ล้าน

ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเยอะๆ กำไร น่าจะ 105ล้าน
eps 0.19 ชนะ q4 ปีที่แล้วได้

ปันผลรอบนี้น่าจะราวๆ 0.39-0.40

ผมประเมินจากข้อมูล Public นะครับ ไม่เคยคุยกับ IR
พึ่งเคยไป CV ครั้งเดียวกับสมาคมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผบหก็ไม่ได้พูดข้อมูลด้านการเงินอะไร
ข้อมูลเลยอาจจะผิดพลาดได้ ลองตรวจสอบหลายๆทางดูครับ

เดี๋ยวปิดเดือนแล้วผมมาสรุปอีกทีครับ ว่ายังตรงอยู่หรือเปล่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Thai VI Officer
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1457
ผู้ติดตาม: 1

Re: AURA

โพสต์ที่ 14

โพสต์

★ Opportunity day Transcript 30 - by ThaiVI ★
บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) - AURA
Date: 29-NOV-23


Transcript 30 : https://bit.ly/3MEvZDV
PDF –AURA : https://bit.ly/4aakoH5

--------------------------------------
การตอบคำถาม Oppday Q3/2023 บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) - AURA


คุณสุภสิทธิ์ รักกสิกร กล่าวเปิดพร้อมกล่าวแนะนำคุณอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม และคุณยศรัณย์ วัณณะพันธุ์ จากนั้นคุณอนิพัทย์ ได้เริ่มกล่าวชี้แจงรายงานผลประกอบการบริษัทในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2566 เป็นลำดับถัดมา


ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 3 คน
ระยะเวลาทั้งหมด 15:25 นาที

------------------------------------------

เริ่มการตอบคำถาม

1. ยอดขายและกำไรขั้นต้นของ Diamond & Design Gold ลดลง YoY ใน Q3 2023 ทั้งๆ ที่มีสาขามากขึ้น ไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด และมีแนวโน้มฟื้นตัวใน Q4 2023 หรือไม่?
คุณสุภสิทธิ : คือก่อนจะตอบคำถามนี้ อยากให้เห็นภาพ เราจะพยายามอธิบายให้เห็นว่าในอุตสาหกรรมค้าปลีกทองและเครื่องประดับ มันจะมี High Season อยู่ 2 รอบ ก็คือ Q1 และ Q4 Low Season ก็คือ Q2 และ Q3 Q3 จะ Low Season มากกว่า Q2 เพราะจะมีเรื่องของหน้าฝน ประกอบกับ Q3 ปีนี้โดนเด้งที่ 3 ก็คือเรื่องของราคาทองที่สูงขึ้น ก็ต้องบอกว่าเราคาดการณ์อยู่แล้วว่า Low Season มันจะมา ตอนที่เราอยู่ Q1 Q2 เราคาดการณ์ว่า Q3 Low Season จะมา แต่เราไม่สามารถคาดการณ์ว่าราคาทองที่มันสูงขึ้น มันจะมา เมื่อมันมา สิ่งที่เกิดขึ้น เราเห็นแล้วว่ากำลังซื้อ Traffic ของพื้นที่ที่เราไปเช่าร้าน เปิดร้าน Traffic ของการเข้าร้านมัน Low สิ่งที่บริษัททำก็คือว่าบริษัทมีอยู่ 2 วิธีก็คือกระตุ้นการขายให้ยอดขายมันกระเตื้องขึ้น หรือบริษัทมองแล้วว่าการกระตุ้นการขาย เมื่อดู Balance แล้ว มันอาจจะไม่สามารถที่จะเพิ่มยอดได้ขนาดนั้น ทำให้ Efficient ของการใส่เม็ดเงินลงไปไม่คุ้มค่า การไปลดกำไรก็อาจจะไม่สามารถกระตุ้นได้ กลายเป็นว่าไป Dilute ตัว Percentage ของ GP Margin รอบที่ผ่านมาบริษัทก็ตัดสินใจว่าเราจะไม่ไปกระตุ้นให้มันผิดปกติโดยการใส่ค่าใช้จ่ายการตลาดมากขึ้น ไปลดแลกแจกแถมมากขึ้น สิ่งที่สะท้อนกลับก็จะเห็นว่ายอด Q3 ใน High Margin Product ไม่ได้สูง ไม่ได้สูงตาม Low Season และอาจจะต่ำกว่า Q3 ปีก่อน Year on Year เพราะว่าราคาภาพรวมของทองมันสูงขึ้น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่กลับมาจากที่บริษัทตัดสินใจ คือจะเห็นว่าเรายังคง Gross Profit ของภาพรวมได้ดีขึ้น ดีขึ้นเยอะด้วย ดีขึ้นเท่า YoY คือดีขึ้นถึง 15% ผมว่าอันนี้น่าจะสำคัญกว่าการไปทำยอดขายข้างบนได้ Achieve ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายทางการตลาดก็สูง ไปลดราคาเลข GP ก็หายไป


2. ปัจจัยที่ราคาทองที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างไรบ้าง?
คุณสุภสิทธิ : บริษัทเจอแบบนี้มาตลอด มาตั้งแต่ 20,000 ต้นๆ จน 2 กลางๆ เราก็รู้สึกเครียด 2 ปลายๆ ก็เครียด ต้นปีเรายังไม่รู้เลยมันจะพ้น 3 ยังอยู่ 2 ปลายๆ ตอนนี้มา 3 อยู่ 3 เข้าไปแล้ว ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นรอบของมัน วันนี้ลูกค้าอาจจะรู้สึกว่าสภาวะแบบนี้ทองสูงไม่ควรจะซื้อ แต่พอถึงจุดๆ หนึ่งที่ราคาทองอยู่ตรงนี้ นิ่งไปนิ่งมา เราอาจจะเขยิบไป 34,000 อาจจะนะ 34,000 แล้วกลับมาอีก วันนั้นลูกค้าจะเข้ามาซื้อแล้ว แล้วก็จะรอรอบใหม่ของมัน แต่ถ้าวันนี้ทองมันนิ่งๆ ลูกค้าจะรู้สึกว่ามันจะทำอย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าแบบนี้ สิ่งที่ Aura ทำในการบริหารจัดการ เราก็จะมีแพทเทิร์นที่ผ่านมา ทำให้ทุกครั้งที่ราคาทองสูงขึ้น เราไม่ได้กลับมาด้วยยอดขายตกลง เราก็ยังขายได้มากขึ้น ราคาทองสูงขึ้น ไม่ได้ทำให้ Gross Profit เราหายไป ผมย้ำอีกครั้งนะ ธุรกิจหลักของ Aura GP เกิดจาก อันแรกก็คือค่ากำเหน็จ ไม่ได้เกิดจากสูง-ต่ำของราคาทองขึ้น-ลง GP อันที่สองเกิดจากตัวกลุ่ม High Margin Product และกลุ่มขายฝาก ทองมา เงินไป สัดส่วนพวกนี้คือสิ่งที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายกลยุทธ์พยายามจะทำเพื่อให้แต่ละไตรมาสสามารถส่งได้ สิ่งที่เรากำลังจะทำก็คือเราไม่ได้ตะบี้ตะบันลงกิจกรรมทางการตลาด เปิดสาขา ลดแลกแจกแถม เราจะดู Balance นี้ให้มันเหมาะสม สุดท้ายสิ่งที่เราบอกว่าไม่อยากให้ดูที่รายได้เป็นหลัก เพราะอย่างที่ผมเรียน ถ้าดูรายได้เป็นหลัก เราอาจจะไปเจอ GP มันต่ำลง เพราะเราไปลดแลกแจกแถมมหาศาลเลย ทั้งๆ ที่กำลังซื้อ มันไม่สามารถกระเตื้องได้ขนาดนั้น นี่คือสิ่งที่เราจะรับมือกับราคาทองที่สูงขึ้น
คุณอนิพัทย์ : เสริมเรื่องราคาทองอีกนิดหนึ่งว่าจริงๆ ที่บอกว่าราคาทองสูง แล้วเงินบาทแข็งค่า ถ้าดูดีๆ มันจะเป็นตัวที่ทำให้ราคาทองบาท มันค่อนข้าง Stable ขึ้น ราคาทองสูงมันขึ้น ตัวเงินบาทแข็งค่า เวลาคูณ Cross มันจะได้เป็นบาทที่ต่ำลง ทำให้ตัวเราสามารถบริหารต้นทุนแล้วก็บริหารความเสี่ยงได้แม่นยำ แล้วก็มั่นคงมากขึ้น


3. บริษัทตั้งเป้าสัดส่วน Selling Expense ต่อยอดขายทั้งปีประมาณกี่เปอร์เซ็นต์?
คุณสุภสิทธิ : เฉพาะ Selling Expenseจะมี 2 ตัว Selling Expense กับ Admin Expense Selling Expense เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์กว่าไล่ไปจนถึง 5% ถ้าลองไปดู Oppday ย้อนหลัง แต่ละ Q ก็จะไม่เท่ากัน บางช่วงที่เป็นช่วง Low Season Expense พวกนี้เราอาจจะใช้เยอะหน่อย หรือช่วง Low Season ก็จะเห็นว่ายอดขายมันตก พอนับเป็นเปอร์เซ็นต์ของ Selling มันก็เลยกลายเป็น จริงๆ Amount ของ Selling Expense ไม่ได้หนีกัน แต่พอยอดขายตกมันก็เลยดูสัดส่วนสูงขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจะตอบจริงๆ แล้ว ดูกลางๆ Selling Expense อยู่ประมาณ 4.5 - 5% ประมาณนี้


4. ทำไมการรับซื้อถึงไม่ Reflect Revenue?
คุณสุภสิทธิ : การรับซื้อไม่ได้ Reflect Revenue จะต้องดู 2 ภาพ ถ้าเรารับซื้อเข้ามาน้อยกว่าที่เราขายไป ตัวนี้ก็จะไม่ได้ Reflect ถ้ารับซื้อเข้ามามากกว่าที่เราขายไปในวัน ส่วนต่างตรงนี้เราก็จะขายคืนกลับไป ก็จะ Reflect Revenue


5. ยอดขายฝากทองใน Q4 2023 จะลดลงจาก Q3 2023 ไหม?
คุณสุภสิทธิ : ก็ถ้าเราดูแนวโน้มของภาพของปีที่ผ่านมาและ 2-3 ปี จริงๆ แล้วแนวโน้ม Q4 มันจะไปวัดกันตอนเดือน 12 ถ้าผมจำไม่ผิด เดือน 12 ที่จะมีการไถ่ถอน ก็ต้องบอกว่ามีการไถ่ถอนจริงๆ เพราะอะไร พฤติกรรมของผู้บริโภค เดือนนั้นเป็นเดือนกลับบ้าน เดือนนั้นเป็นเดือนที่จะต้องเข้าสังคม เดือนนั้นเป็นเดือนที่จะต้องมีหน้าตา จะต้องมีทองห้อยคอ จะต้องกลับบ้าน ก็จะมีการไถ่ถอน เพราะฉะนั้นถ้าดู AR ก็คือยอดในการปล่อยสินเชื่อ ดู AR ลดลงในเดือน 12 และจะกลับมาก็คือหลังจากปีใหม่กลับมา แต่ถ้าดูดอกเบี้ยบริษัทไม่ได้หายไปไหน ดอกเบี้ยที่เป็นรายได้รับรู้ยังมีอยู่ ดีด้วยนะ เขามา Transaction กับเรามากขึ้น อย่างเช่นอาจจะหายไปนานๆ กลางปี แต่พอเดือน 12 กลับมา เราก็รับรู้รายได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล ถ้าไปดูแพทเทิร์นจะเห็นว่าเป็นปกติ แต่ AR เดือน 12 ไม่ได้หมายถึงหายไปแล้วยอดซื้อตกลง แบรนด์มันไม่ดีแล้ว ไม่ใช่นะ มันเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค เดี๋ยว Q1 Q2 เขากลับมาหาเราเหมือนเดิม


6. บริษัทมีการเตรียมตัวในการเปิดสาขาปีหน้าไปบ้างแล้วหรือยัง หาคนและทำเลไว้พร้อมสักกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว?
คุณอนิพัทย์ : ก็ตัวสาขา ตอนนี้ก็มีการคุยทั้งตัวทองมาเงินไปเองก็ดี ทั้งตัว Aurora เองก็ดี ก็มีการมอนิเตอร์กับห้างแล้ว แล้วเดี๋ยวบังเอิญปีนี้มันยังไม่จบบอร์ด แต่ว่ามีการมอนิเตอร์แล้วก็เตรียมแผนใน Q1 ที่จะเปิดอยู่พอสมควรแล้ว
คุณสุภสิทธิ : มีการศึกษาพื้นที่แล้วก็ Concept ใหม่ๆ ไว้ แต่ในแง่งบประมาณคงต้องขอเข้าคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติอีกครั้ง
คุณอนิพัทย์ : ก็ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดว่ามีปัญหาต่อการเปิดสาขา คิดว่าน่าจะทำได้ค่อนข้างดี แล้วก็น่าจะ Meet เป้าที่เคยให้ไว้ตอนเข้า IPO ด้วย
คุณสุภสิทธิ : ก็เป็นภาพปกติที่เราเปิดอย่างนี้ทุกปีๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นช่วงโควิด เราก็มีชะลอบ้าง แต่มันก็ไม่หายไป ก็ยังเปิดอยู่


7. เพราะอะไร Same Store Sales Growth จึงไม่สามารถใช้มอนิเตอร์ Performance ของ Aurora ได้?
คุณสุภสิทธิ : อันนี้มีคำถามเข้ามา อันนี้บ่อยมาก อยากจะบอกว่าอย่าดู Performance ของตัวรายได้ ถ้าจะวัด Performance ของตัวรายได้ Same Store Sales Growth พวกเราก็จะ บางพาร์ท พวกเราก็จะเล่าว่า Same Store Sales Growth ช่วงนี้ขึ้นนะ ช่วงนี้ลง อย่างที่เรียนว่าถ้าดู มันมีปัจจัยหลายๆ เรื่อง เราไม่ได้ขายสินค้าที่ราคาขายค่อนข้างจะคงที่หรือค่อยๆ ขึ้นไป ปีหนึ่งปรับราคาทีหนึ่ง สินค้าเราบางรอบราคาขึ้น บางรอบราคาลง แต่ละรอบที่ราคาขึ้น กำลังซื้อในขาขายก็อาจจะลดลง แต่ขณะที่ขาเรารับซื้อเข้าก็จะดีขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ ต่อมาหลายๆ ครั้ง พอดู Same Store Sales Growth ในแต่ละช่วงเวลา เช่นไปดูช่วง Q1 Q4 แล้วไปดูช่วง Q2 Q3 มันก็จะมีช่วงแพทเทิร์นของ Peak of Peak กลับหลายๆ ครั้งอย่างที่ผมเรียน บางครั้งประกาศตัวเลขออกมา อย่าง Q นี้ รายได้ลดลง Year on Year Q3 ปีนี้เทียบกับ Q3 ปีก่อน แต่ GP ดีขึ้น บางครั้ง Year on Year Q เดียวกัน ขายได้มากขึ้นแต่ GP เปอร์เซ็นต์ลดลง ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่กำลังซื้ออย่างเดียว มันอยู่ที่บริษัทกำลังกระตุ้นกิจกรรมทางการตลาดให้สอดคล้องกับสภาวะและการแข่งขันขนาดไหน แต่สิ่งที่บริษัทถือเป็น Commit ก็คือว่าการเติบโตทางด้านกำไรขั้นต้น กำไรสุทธิก็จะต้องดีขึ้นทุกปีและทุกปี


8. จริงๆ ตอนนี้เหลือเวลาน้อย ตอบเรื่อง Book Stock Loss หน่อยดีไหมว่าราคาทองขาขึ้น-ขาลง เรา Book อย่างไรบ้าง?
คุณยศรัณย์ : ผมไม่รู้ว่า Stock Loss ของเขาหมายถึงอะไรบ้าง ผมขออนุญาตเป็น Stock Loss ของทองที่มีไว้ขายหน้าร้านกับ Stock ทองที่รับขายฝากจากลูกค้าก่อน จะขอแบ่งเป็น 2 ส่วน ถ้าเป็น Stock ทองที่เราเตรียมไว้ขายหน้าร้าน ซึ่งเป็นทองรูปพรรณ อันนี้เรามีการทดสอบราคาทุกงวดอยู่แล้วว่าราคาต้นทุน เพราะเวลาเรา Book สินค้าคงเหลือด้วยราคาต้นทุนอยู่แล้ว เทียบกับราคาตลาด ณ สิ้นงวดว่ามีการขาดทุนหรือกำไรเท่าไหร่บ้าง ปรากฏว่าทุกไตรมาสที่เราทำกันมา ปรากฏว่าผลขาดทุน มีไหม มันมีเกิดขึ้นบ้าง แต่เล็กน้อย อย่างเช่นว่าเราซื้อทองวันที่ 30 ตุลาคมอย่างนี้ 30 กันยายนอย่างนี้ ที่ 33,000 บาท วันที่ 1 ทองลงมา 50 บาท เราอาจจะมีการเกิดผลขาดทุนเกิดขึ้นแค่ 50 บาทจากทอง ซึ่งภาพรวมของทองเรามีประมาณ 7 พันล้าน ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นมีประมาณไม่ถึง 50,000 บาท อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นมูลค่าที่ไม่มีนัยยะสำคัญต่องบการเงิน ส่วนของ Stock ของขายฝาก เราต้องมีการเช็กอีกว่าของขายฝากที่เรารับเป็นหลักประกันทั้งหมดแล้ว เทียบกับราคา Market เทียบกับมวลหนี้แล้วเกิดว่าเป็นกำไรหรือขาดทุนขึ้นเท่าไหร่ เพื่อมาดูว่าเราควรตั้ง Impairment ของลูกหนี้ขายฝากหรือเปล่าด้วย ปรากฏว่าเรามีการพิสูจน์แล้วว่าเรามีส่วน แยกเป็น 2 ส่วนคือกำไรที่เกิดจากหลักประกันกับขาดทุนจากหลักประกัน ปรากฏว่าส่วนที่เป็นกำไร ส่วนต่างที่เป็นกำไร ที่เป็น Initiative ก็ประมาณ 12% ของมูลค่าต่างๆ แต่ส่วนขาดทุนมีไหม มี อยู่ที่ประมาณศูนย์จุดกว่าๆ เปอร์เซ็นต์เอง ซึ่งค่อนข้างจะน้อยมาก ซึ่งไม่มีนัยยะสำคัญ จึงทำให้ไม่มีการตั้ง Impairment เกิดขึ้น
คุณอนิพัทย์ : หรือพูดในอีกนัยหนึ่งก็สามารถบอกได้อย่างนี้ได้ไหมว่า NPL ของเรา ส่วนใหญ่แล้วเป็นบวก ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่อง NPL Non-performing Loan ก็คือต่อให้ลูกค้าปล่อยหลุดมา ก็เป็นบวก ทรัพย์สินที่มีอยู่ที่บริษัทเก็บไว้ ตอนนี้ก็ประมาณ 2,700 ล้าน เมื่อเทียบกับราคาตลาดแล้ว
คุณยศรัณย์ : ก็ยังเป็นบวก ก็ยังมากกว่า 10% ซึ่งจะบอกว่าถ้าหลุดแล้ว เรายังไม่รับรู้กำไรส่วนต่างนี้นะ ต้องบอกว่าจากสินค้าที่หลุดแล้ว เรายังรับรู้สินค้าทุกชิ้นเป็นสินค้าของบริษัทหรือเป็น Raw Material เมื่อนำ Raw Material ตัวนี้ไปแปลงสภาพไปเป็นสินค้า FG ตัวใหม่ เอาไปหลอม ไปเปลี่ยนเป็นสินค้าตัวใหม่กลับมา แล้วค่อยไปขาย ถึงรับรู้เป็นรายได้และกำไรที่เกิดขึ้น
คุณอนิพัทย์ : ก็คือต้องขายขึ้นจริงแล้วถึงจะรับรู้ ก็เบื้องต้นก็ประมาณนี้ Process
คุณยศรัณย์ : มันแปลง่ายๆ ว่าเราไม่มีการรับรู้ Unrealized ที่เป็นกำไรของสินค้าในงบการเงินของเรา


9. กรุณาอธิบายวิธีการรับรู้กำไรกรณี AURA รับซื้อทองจากลูกค้า?
คุณยศรัณย์ : ก็คืออย่างที่ตอบไปเมื่อกี้คือเรารับซื้อทองมาเสร็จ เรารับรู้เป็นสินค้าของบริษัท เราไม่ได้รับรู้เป็นรายได้
คุณอนิพัทย์ : ก็จะต้องเอาไป Barterก็คือไปแลกเป็นสินค้าใหม่ พอได้สินค้าใหม่มา เอาไปขาย ขายแล้งถึงจะเริ่มรับรู้ส่วนต่าง Margin ของขาที่เอาไป Barter แล้วถึงจะได้เงิน
คุณสุภสิทธิ : เวลาเราเอาไปแลกก็เป็นน้ำหนักชนน้ำหนักนะ ราคาต้นทุนที่เรารับซื้อมันจะวิ่งตาม แต่พอขายไป เรารับมาถูก ส่วนต่างก็จะเยอะตรงนั้น


10. ตอนนี้ต้นทุนทางการเงินของทองมาเงินไปเป็นเท่าไหร่ เพราะอะไร?
คุณอนิพัทย์ : จริงๆ ต้องบอกว่าของทั้งบริษัทแล้วกัน เพราะว่ามันจะยังเป็นก้อนเดียวกันอยู่
คุณยศรัณย์ : ประมาณ 4 - 5%
คุณอนิพัทย์ : ก็มีเหตุผลเพราะว่าดอกเบี้ยมันค่อยๆ เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
คุณยศรัณย์ : ใช่ จากปีก่อนคืออยู่ที่ประมาณ 3 - 4% ปีนี้ก็อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 4 - 5%


11. ส่วน AURA มีการจัดการต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างไร?
คุณยศรัณย์ : เราก็มีการจัดการเพิ่มรายการหนึ่งคือหาแหล่งเงินทุนเพิ่ม อย่างเช่น แบงก์ต่างชาติ ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า แล้วก็มามองว่าจะมีแหล่งไหนที่สามารถให้สินเชื่อที่ถูกกว่าเดิมได้ไหม แล้วยังมีการต่อรองของสถาบันการเงินเดิมอยู่แล้ว ที่เรากู้ยืมอยู่ว่าสามารถลดดอกเบี้ยลงได้อีกไหม ซึ่งตอนนี้ ต้องบอกว่ามีการต่อรอง และอยู่ในการพิจารณาอยู่ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยทั้งวงเงินใหม่และวงเงินเดิมที่เราใช้อยู่ด้วยเหมือนกัน
คุณสุภสิทธิ : หลักๆ คำถามก็น่าจะประมาณนี้นะครับ ยังไม่มีคำถามเข้ามาใหม่ ก็วันนี้ก็ขอขอบคุณในนามของบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ ก็ยังหวังว่ายังได้รับความสนใจจากนักลงทุนว่าเราเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่เราตั้งใจจริงๆ แล้วเราก็เน้นเรื่องการเติบโตของบริษัทในเชิงของตัวคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ ก็ถือโอกาสลา แล้วเราพบกันใหม่ตอนงบปี ขอบคุณนะครับ
คุณอนิพัทย์ : ใช่ครับ ขอบคุณครับ
คุณยศรัณย์ : สวัสดีครับ

--------------------------------------------
***Oppday Q3/2023 – AURA เป็นข้อมูลถาม-ตอบ Q&A โดยหวังว่าจะเป็นความรู้และให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่าน และกรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้ทุกครั้ง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทาง ThaiVI ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้***
ขอแสดงความนับถือ
สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
namelessky
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 407
ผู้ติดตาม: 0

Re: MASTER

โพสต์ที่ 15

โพสต์

รู้สึกว่าผู้บริหารของ master รู้เสมอว่าต้องทำอย่างไรให้นักลงทุนพอใจ ผมติดตามมาสักพักก็ยังรู้สึกเคลิ้มตาม
กิจการที่ซื้อมาก็ดูดีมีอนาคต หาอะไรติไม่ได้จริงๆ
:wall:
yuyu353
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 645
ผู้ติดตาม: 0

Re: BBIK

โพสต์ที่ 16

โพสต์

FB_IMG_1702019254800.jpg
FB_IMG_1702019259267.jpg
ภาพประจำตัวสมาชิก
bz_birth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2
ผู้ติดตาม: 0

Re: MASTER

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ดีลนี้ส่วนตัวคิดว่า​ใช้กำไรจากที่แจ้งสรรพากร​คงไม่น่าจะใกล้เคียง​ ถ้าเทียบแล้วเทียบกับ Kliniq​ (30สาขา) ที่มีอัตรากำไรประมาณ​ 12.5% จากยอดขาย​ V-square​ ปี​ 65 ที่แปดร้อยกว่าล้าน​ จาก​24สาขา อาจจะได้​ PE ที่สัก​ 17-18 เท่า​ ดูจะสมเหตุสมผลในการเข้ามากกว่าไหมครับ​ และจากหลายดีลก่อนหน้าก็ซื้อมาที่​ PE.ไม่ถึง10 เท่าทั้งนั้น​ ท่านอื่นๆคิดเห็นอย่างไรครับ
V​ square​ เท่าที่หารีวิวก่อนหน้านี่ก็ถือว่าค่อนข้างดี​ และผลประกอบการรายได้โตดี​ แต่กำไรไม่ค่อยมา ถ้า​ Master​ มาช่วยเสริมหรือจัดการจุดนี้ได้น่าจะเป็น​ ดีลที่น่าสนใจมาก​ๆ​ เลยครับ​
ภาพประจำตัวสมาชิก
SCGLOBAL
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 488
ผู้ติดตาม: 0

Re: PRI

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ประกาศล่าสุดมีการร่วมทุนตั้งบริษัทกับ FORVIZ ซึ่งเป็นบริษัท UX Design & Digital Solution
.
+ ซึ่งเท่าที่เข้าไปดู ผลงาน Forviz มีโปรเจคหลักอยู่ใน Field ของธุรกิจอสังหาอยู่เดิมแล้ว ซึ่งทำหน้าที่พัฒนา App แนะนำข้อมูลโครงการให้ DEV ใช้นำเสนอข้อมูลโครงการ เรียกว่า "Digital Sales Kit" และยังมีงานรับทำ Website ของโครงการต่างๆ ให้ DEV ที่เห็นตัวอย่างก็มี โครงการหลายโครงการของ Raimon Land และกลุ่ม Gaysorn
.
+ นอกจากงานด้านอสังหา Forviz ยังมีงาน ออกแบบ UX/UI ของ Website และ Application ให้ CarFinn ที่ทำสินเชื่อรถยนต์ด้วย ถ้าดูสรุปดังนี้ เหมือนว่า Forviz จะมีความเชี่ยวชาญด้านการ ออกแบบและวางระบบ ให้งานด้าน Website และ Mobile apps ซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าเป็น ธุรกิจใด ธุรกิจหนึ่ง
.
+ ความคาดหวังการการ ตั้งบริษัทร่วมของ PRI และ Forviz น่าจะเป็นการ Synergy กันของ ทั้ง 2 กลุ่ม คือ PRI มีหน้าที่ Manage โครงการของลูกค้ากลุ่ม Condo และ Hotel น่าจะได้ ทีมงานของ Forviz เข้ามาเสริมในส่วนงาน Apps Design และรองรับงานของโครงการใหม่ๆ ในกลุ่ม Origin และ One Origin(Hotel) ที่ต้องการ "Digital Sales Kit" และ Website สำหรับ โครงการใหม่ๆ ที่จะออกมา และ ยังรับงานของ Developer เจ้าอื่นได้อีก ซึ่งมองแล้ว เข้ามาแก้ Pain Point ที่แต่เดิม กลุ่ม Origin จะต้องใช้ Outsource ในการออกแบบหรือปรับปรุง Apps และ Sale kits ก็สามารถ เทงานทั้งหมดมาที่ PRI+Forviz รับได้โดยตรง ซึ่งประเมิน แล้ว ไม่น่าใช้ BU ที่เป็น Recurring Income เป็น ก็เป็น Bu ใหม่ของ PRI ที่ใช้เงินลงทุนต่ำ แต่สามารถ รับงานที่ไม่เคยทำได้ทั้งหมด โดยอาศัย ศักยภาพร่วมกัน ของ PRI ที่มีกลุ่มลูกค้าในมือ และ Forviz ที่มีทีมงาน ออกแบบ วิศวะกร ด้าน Digital และ UI/UX ในมือ
.
https://weblink.set.or.th/dat/news/2023 ... 40364T.pdf
Capture.JPG
.
x1.JPG
.
03.JPG
.
05.JPG
.
06.JPG
.
07.JPG
"ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณจะได้รับ เมื่อถึงวันที่คุณไม่ได้สิ่งที่ต้องการ" - Howard Marks
“I like to say, “Experience is what you got when you didn’t get what you wanted.”
emperors.t
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2
ผู้ติดตาม: 0

Re: CHAYO

โพสต์ที่ 19

โพสต์

จากที่ผมดูงบกระแสเงินสด ผมพบว่า ดอกเบี้ยที่จ่ายโตเร็วกว่าเงินที่เก็บได้ ถ้ามองความสามารถในการชำระหนี้บริษัทคงยังไม่มีปัญหาอะไรกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย แต่การกระทำเช่นนี้คือการใช้ financial leverage เพื่อเร่งการเติบโตผมจึงมีความกังวลว่าบริษัทจะสะดุดกับการเติบโตในระยะยาว ผมจึงอยากจะสอบถามว่ามีปัจจัยไหนบ้างที่จะลดความเสี่ยงดังกล่าว หรือว่ามันเป็นปกติของธุรกิจผมแค่กังวลไปเอง

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Thai VI Officer
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1457
ผู้ติดตาม: 1

Re: EKH

โพสต์ที่ 20

โพสต์

★ Opportunity day Transcript 30 - by ThaiVI ★
บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) - EKH
Date: 21-NOV-23


Transcript 30 : https://bit.ly/3MEvZDV
PDF –EKH : https://bit.ly/3R7Oimo

--------------------------------------
การตอบคำถาม Oppday Q3/2023 บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) - EKH


คุณสุทธิพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์ กล่าวเปิดพร้อมกล่าวแนะนำ นพ.อำนาจ เอื้ออารีมิตร จากนั้นคุณสุทธิพงศ์ ได้เริ่มกล่าวชี้แจงรายงานผลประกอบการบริษัทในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2566 เป็นลำดับถัดมา

ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 2 คน
ระยะเวลาทั้งหมด 21:29 นาที

------------------------------------------

เริ่มการตอบคำถาม

1. โรงพยาบาลคูนมีกำไรหรือยัง เท่าไหร่ รายได้เท่าไหร่?
คุณสุทธิพงศ์ : โรงพยาบาลคูนก็มีกำไร เราเปิด 9 เดือน 9 จริงๆ เปิดไปได้ 4 เดือน เราก็มีกำไรสุทธิแล้ว รายได้ตอนนี้อยู่เฉลี่ยประมาณ เดือนหนึ่งประมาณ 6 ล้าน แล้วก็กำไรสัก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ จริงๆ ต้องเรียนว่าเรายังรับคนไข้ได้ไม่เต็มศักยภาพของคูน เรามีอยู่ประมาณ 30 เตียง ตอนนี้เรารับคนไข้อยู่ประมาณ 20 เตียง เพราะว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลคูนยัง Concern เรื่อง Quality ของการให้บริการอยู่ ก็ขอทดลองก่อน แต่ว่าปีหน้าเราเชื่อว่าเราน่าจะเปิดได้เต็มศักยภาพ แล้วก็จะรับคนไข้ได้มากขึ้น แล้วเราก็เชื่อว่ารายได้และกำไรของคูนในปี 24 จะดีกว่าปี 23 ซึ่งรายได้ทั้งหมดที่ได้มาก็ Rely กับ Forecast ที่เราทำเอาไว้ก่อนจะเปิด อาจจะดีกว่าด้วยนิดหนึ่ง


2. งบลงทุนที่เยอะในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนจะนำเงินจากไหนมาใช้ในการลงทุน?
คุณสุทธิพงศ์ : ต้องเรียนว่าตอนนี้เรายังมีเงินสดอยู่ในมือประมาณสัก 6-7 ร้อยล้าน ก็เพียงพอกับ Project ที่เรามีอยู่ ณ ปัจจุบัน แล้วก็เรายังมี EKH-W1 ซึ่ง ท่านผู้ถือหน่วยก็ยังไม่ได้ Exercise เข้ามาครบ ถ้า Exercise เข้ามาครบ เราก็น่าจะได้เงินอีกก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะพอสำหรับ Project ปัจจุบัน แต่ว่าถ้าเกิดว่ามี Project อื่นๆ เข้ามา ก็ยังมีวิธีการหาเงินอยู่ เพราะว่าอย่างที่เรียนว่าเราก็ยังไม่มีเงินกู้ เรายังกู้ได้อยู่


3. รายได้ IVF ปีนี้พลาดเป้าหรือไม่ ถ้าพลาด จากสาเหตุใด หลักๆ ลูกค้าจะเป็นชาวจีนหรือไม่?
นพ.อำนาจ : ใช่ รายได้ IVF ปีนี้ก็เท่าที่เราตั้งเป้าไว้ตอนแรกเมื่อตอนต้นปี เราคาดว่าเราจะได้ประมาณปีละ 300 เคส ซึ่งมาถึงตอนนี้ 9 เดือนที่ผ่านมาก็ได้ประมาณสัก 200 ปีนี้สิ้นปีคิดว่าอาจจะไม่ถึง 300 นะ แต่ก็ไม่ถึงก็คงขาดไปไม่มาก ก็เป็นเพราะว่าเราคาดการณ์เรื่องของการเดินทางของคนจีนที่จะเข้ามาในเมืองไทยพลาดไป เราคิดว่าเขาปล่อยฟรี แต่จริงๆ แล้วการเดินทางที่ออกจากประเทศจีนยังมีข้อจำกัดอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นคนที่จะเดินทางก็ยังไม่ค่อยสะดวกนักเมื่อเทียบกับปี 62 เมื่อเทียบกับก่อนโควิด เพราะฉะนั้นก็อาจจะติดขัดนิดหน่อย แต่ในแง่ของความต้องการที่จะมีบุตร ผมเชื่อว่าปริมาณไม่ได้ลดลง เพียงแต่การเดินทางอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่านั้นเอง ปีหน้าถ้าทุกอย่างกลับไปสู่ภาวะปกติ ทางการจีนไม่ได้ห้ามอะไรมากมาย หรือวีซ่าออกไม่ยากนัก ผมว่าก็น่าจะไม่มีปัญหา


4. IVF เราจะมีโอกาสทำร่วมกับโรงพยาบาลอื่น เช่น WPH หรือไม่ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ?
นพ.อำนาจ : คือ IVF เราก็ไม่ได้ปิดกั้น ที่ไหนที่มีศักยภาพ เราก็ยินดี ถ้าคิดว่าเราพอจะช่วยอะไรได้บ้าง เพราะเรามีทีมงาน มีทีมนักวิทยาศาสตร์ มีทีมแพทย์ ซึ่งก็ไม่ขาดแคลนเลย พอ Capacity ของเรา ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลเอกชัยหรือว่าที่ IVF ที่พระราม 9 เราสามารถทำได้เดือนละ 100 อย่างต่ำเลย สบายๆ ฉะนั้น 2 ที่ ได้เดือนละ 200 แน่ๆ เลย เพียงแต่ว่าตอนนี้ก็อยู่ที่การเดินทาง แล้วก็ที่โรงพยาบาลเอกชัยก็ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทย ซึ่งคนไข้คงไม่ถึง เพราะฉะนั้น Capacity เหลือเฟือ ถ้าสมมติต้องขยายไปที่อื่น เช่น ตามต่างจังหวัดตามหัวเมือง ก็อยู่ที่ทีมงานแล้วก็พาร์ทเนอร์ว่าแค่ไหน คงต้องคุยกัน เราไม่ได้จำกัดอะไร


5. ตัวโรงพยาบาลคูน ปัจจุบันได้ BOI เหมือนกับ Project โรงพยาบาลจิตเวชหรือไม่?
คุณสุทธิพงศ์ : ตัวคูน ตอนเราเริ่ม Project เมื่อปี 2563 ตอนนั้น BOI ยังไม่ได้มีการให้สนับสนุนเรื่องโรงพยาบาลผู้สูงอายุ ก็เลยไม่ได้ Apply แต่ว่าคูนอ่าวนางกับจิตเวช ได้ทั้ง 2 Projects


6. ปัจจัยใดที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของ EKI-IVF บ้าง และ EKI-IVF มีจุดเด่นอะไรบ้าง หากเทียบกับผู้ให้บริการ IVF รายอื่นๆ เช่น VFC กับ SAFE?
นพ.อำนาจ : ก็โดยปกติแล้ว เราเชื่อว่าเราก็เป็นศูนย์ที่คนจีนพอ Search เข้ามา เราก็อยู่ในอันดับต้นๆ ที่เขารู้จัก ทีนี้ศักยภาพของเราก็คือตอนนี้เราก็พัฒนาตัวเราเราเองอยู่ตลอด ไม่ได้นิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเอเจนซี่ที่มาติดต่อเราเพิ่มขึ้น หรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรต่างๆ เรายังจะลงเครื่องมือที่ทันสมัยกว่านั้น แล้วก็ครบวงจรมากขึ้น ที่กำลังจะลงเร็วๆ นี้นะ ที่ EKI ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะพลาดเป้าอะไร ส่วนการเปิดศูนย์ IVF ต่างๆ ที่กล่าวมาแต่ละศูนย์ก็มีจุดเด่นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอ ไม่ว่าจะเป็น Location ต่างๆ ผมเชื่อว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร คนไทยตอนนี้ก็เริ่มมีความสนใจในการใช้เทคโนโลยีในการช่วยเจริญพันธุ์มากขึ้น โดยใช้ IVF เนื่องจากตอนนี้มีลูกกันน้อย เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่อยากมีลูก เขาก็จะระวัง แล้วก็เตรียมมีการวางแผน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บไข่หรือฝากไข่ไว้ก่อน หรือการที่จะตรวจความสมบูรณ์ของเด็ก ก่อนที่จะได้คลอดลูก ก็คือเทคโนโลยีของ IVF จะช่วยได้หมด ผมเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา เท่าที่ทราบจากทางกระทรวงตอนนี้ ศูนย์ IVF ที่ทำเรื่องเด็กหลอดแก้ว ทั้งหมดในประเทศไทยมีอยู่ 110 ศูนย์ ซึ่งผมเชื่อว่าอย่างไรมันก็ไม่พอ ถึงแม้ตอนนี้การคลอดจะน้อย แต่ว่าคนที่ต้องการมีบุตร ส่วนใหญ่เขาก็เน้นเรื่องคุณภาพของลูกของตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ Search หาข้อมูลกันพอสมควร เทคโนโลยีนี่ช่วยได้แน่


7. โรงพยาบาลคูนมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ และประมาณการรายได้ในอนาคตอย่างไร?
คุณสุทธิพงศ์ : ตอนนี้อยู่ประมาณ 6,000,000 บาท ปีหนึ่งก็ประมาณ 70 ล้าน ถ้าในระดับนี้นะ แต่เราเชื่อว่าปีหน้าน่าจะต้องโตจากจำนวนห้องที่เราจะรับมากขึ้น
นพ.อำนาจ : จริงๆ ตอนนี้คูนมันมี Waiting List อยู่แล้ว มีคนไข้กลุ่มหนึ่งที่อยู่ในประเภทระยะท้าย ที่ต้องการมาที่เรา เพียงแต่ว่าการดูแลของเรา เราไม่ได้ดูแลแบบ Nursing Home เราดูแลเหมือน ICU เลย กึ่งๆ ICU เพราะฉะนั้นบุคลากรที่คูน แต่ละท่าน พยาบาลต้องมีการส่งไปอบรม ต้องผ่านการอบรม ICU หรือภาวะวิกฤติทุกๆ ราย ทุกคน เราก็เลยรับอาจจะไม่ได้เต็มที่นัก ตอนนี้เรามี 33 ห้อง แต่เรารับได้ตอนนี้ 20 ห้องหรือ 22 ห้อง เต็มที่ แต่ถ้าจะมาฝากเป็นแบบ Nursing Home อันนี้เรารับเพิ่มได้ แต่ตอนนี้ถ้าเราได้บุคลากรเพิ่มอีกสัก 1-2 คน เราก็สามารถรับได้เพิ่มอีก 2-4 เตียง ตอนนี้ก็ขอให้เราฝึกบุคลากรให้ได้เพิ่มขึ้นก่อน


8. ขอทราบกลยุทธ์และเหตุผลที่ทำให้ผู้บริหารเชื่อมั่นว่ารายได้จาก IVF ของบริษัทจะกลับมาเท่ากับปี 2019?
นพ.อำนาจ : จริงๆ กลยุทธ์ ตั้งแต่เราเริ่มต้นในการทำ IVF ที่พระราม 9 แล้ว เราเชื่อว่าตอนนั้นความต้องการของคนจีน โดยเฉพาะคนจีนเน้นๆ เลย มีสูงมาก ซึ่งผมเชื่อว่ารัฐบาลจีนก็ยังสนับสนุนอยู่ ผมว่าทั่วโลกแล้วตอนนี้ อยากให้มีเด็กเกิดมากขึ้น แม้แต่ในประเทศไทยนะตอนนี้ ทั่วโลกตอนนี้อัตราการเกิดน้อยมาก เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าการทำ IVF เป็นส่วนช่วยให้เด็กที่เกิดมามีคุณภาพที่ดีขึ้น แล้วก็ช่วยให้คนที่มีลูกยากตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะมาทำ IVF เพราะฉะนั้นผมไม่ค่อยห่วง กลยุทธ์ต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม ถ้าเป็นที่พระราม 9 ลูกค้าเราส่วนใหญ่เป็นคนจีน ซึ่งเรามีเอเจนซี่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว


9. ศูนย์ IVF ของเรามีการพึ่งพาเอเจนซี่ที่พาลูกค้าชาวจีนเข้ามาอยู่กี่ราย เรามีอำนาจการต่อรองกับเอเจนซี่เหล่านี้มาก-น้อยแค่ไหน และปกติเราจะจ่ายค่า Commission ให้กับเอเจนซี่เหล่านี้ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์?
นพ.อำนาจ : เอเจนซี่ที่เริ่มต้นกับเราตั้งแต่เริ่มเปิดก็ยังอยู่กับเราตลอด เนื่องจากมีความสัมพันธ์กันในแง่ธุรกิจอย่างอื่นด้วย แล้วก็มีมาถือหุ้นเราด้วย เพราะฉะนั้นเอเจนซี่กลุ่มตั้งต้นเลยก็ไม่ได้ไปไหน ขณะเดียวกันก็มีเอเจนซี่ใหม่ๆ ที่เริ่มรู้จักเรา ก็เข้ามาติดต่อกับเราเพิ่มขึ้น อันนี้ผมเชื่อว่าก็คงช่วยได้เยอะในการที่จะเพิ่มผู้ป่วยได้ Commission ต่างๆ มันอยู่ที่เคส แล้วแต่ตกลงกันกับเอเจนซี่ว่าเอเจนซี่ระดับไหน หลักๆ เอเจนซี่จะเป็นคน Control เรื่อง Commission เอง เรามีเพดานของ Commission อยู่แล้ว ก็ให้เขาไปคุยกันว่าเท่าไหร่ อย่างไร ลดหลั่นกันไป


10. อยากทราบ Patient Mix ของรายได้ของ IVF?
คุณสุทธิพงศ์ : คนจีนประมาณ 90 อาจจะเริ่มลดลงมา 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าตอนนี้เรามีคนไทยเข้ามา แล้วก็เรามีกลุ่มลูกค้าใหม่จากฮ่องกงเข้ามา อินเดียเข้ามา เวียดนามเข้ามา ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทางตัวคลินิกเองก็พยายามหาลูกค้าจากหลายๆ ประเทศเข้ามา เพราะเราก็รู้ว่าการที่เรา Rely on ลูกค้าประเทศเดียว ก็คือความเสี่ยง ถ้าเกิดว่ามีปัญหากัน แล้วเดินทางเข้ามาไม่ได้ ก็เราพยายามจะ Mix ให้สัดส่วนคนจีนน้อยลง ลดการพึ่งพาคนจีนชาติเดียว เพราะว่าอินเดียก็เป็นตลาดใหม่ซึ่งเรายัง Explore อยู่ ก็กำลัง Working อยู่
นพ.อำนาจ : กลุ่มลูกค้าชาวไทยก็เหมือนกัน ตอนนี้เราเริ่มมีโปรโมชั่นของคนไทยแล้ว แล้วก็ตอนนี้เพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่หลังโควิดมา เรามีกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนั้นเราไม่ได้ทำการตลาดกับคนไทยเลย ตอนนี้คนไทยมาเยอะขึ้น มาตรวจเหตุผลของการไม่มีลูกบ้าง มาฝากไข่บ้าง


11. ขอทราบจำนวนเคส IVF ทั้งหมดในงวด 9 เดือนของปี 66 และสัดส่วนลูกค้าไทยและต่างประเทศ?
คุณสุทธิพงศ์ : 200 นิดๆ 9 เดือน
นพ.อำนาจ : 200 200 นิดๆ แล้วก็สัดส่วนก็ยังคงเป็นต่างชาติ คนจีนส่วนใหญ่ 90%


12. สัญญาณลูกค้า IVF ไตรมาส 4 และต้นปีหน้าเป็นอย่างไร ปีมังกรจะมีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้ามาก-น้อยแค่ไหน?
นพ.อำนาจ : คือตอนนี้ลูกค้า IVF ก็มีติดต่อมาเรื่อยๆ มีมาปรึกษาอยู่ตลอดเวลา คือระดับความสนใจของคนที่ติดต่อไม่ได้ลดลง ผมเชื่อว่ามันอยู่ที่การเดินทาง เห็นฟังๆ มา มันยังไม่ค่อยสะดวกนักในการที่เขาจะเดินทางเข้ามา ปีมังกรก็ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการมีลูก จริงๆ ถ้าอยากจะมีลูก ต้องตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนเมษายน ในไตรมาส 1 ให้รีบมีบุตรได้ ซึ่งจริงๆ ตอนนี้มีคิวที่ติดต่อมาแล้วก็อยากเกิดปีมังกรค่อนข้างเยอะ ก็คิดว่าในไตรมาส 1 น่าจะมีลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น


13. อัตราครองเตียงในไตรมาส 3 และเดือนตุลาคมเป็นเท่าไหร่?
นพ.อำนาจ : อัตราครองเตียงใน Q3 ที่ผ่านมา อย่างที่คุณสุทธิพงศ์เขารายงานไป ก็ถือว่าเป็น High จริงๆ เป็นไตรมาสที่เราเหนื่อยมากในการบริหารเตียง มีคนไข้รอเตียงอยู่ตลอด มี Queuing รอเตียงทุกวัน เต็มไตรมาสเลย แต่พอเริ่มตุลาคม พฤศจิกายนก็เริ่มดรอปลง ตุลาคมนี่เนื่องจากเด็กปิดเทอม คนไข้ก็จะลดลงบ้าง แต่ขณะลดลง ครองเตียงก็เกิน 80% อยู่แล้ว เดือนพฤศจิกายนก็อยู่ในช่วงนี้แหละ 80 ถึง 80 กว่าเปอร์เซ็นต์


14. แนวโน้ม Q4?
นพ.อำนาจ : Q4 ก็เป็นช่วงที่เริ่มดรอปลง เป็นช่วงที่เริ่มมีเทศกาล คนเขาอยากไปเที่ยว ก็จะไม่ค่อยอยากจะป่วยกัน ป่วยก็ทนเอา ก็ส่วนใหญ่ทุกๆ ปี ก็พอเดือนธันวาคมก็จะเป็นเดือนที่คนไข้น้อยลง แต่เชื่อว่าอย่างไรปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้วแน่ จากการที่ครึ่งหนึ่งของไตรมาส 4 เดือนครึ่งที่ผ่านมา เราก็ดูตัวเลขก็มากกว่าปีที่แล้วอยู่แล้ว


15. อยากทราบความคืบหน้าของเอเจนซี่ IVF รายใหม่?
นพ.อำนาจ : คือรายใหม่มีทั้งเอเจนซี่รายย่อยแล้วก็เอเจนซี่รายใหญ่ ซึ่ง Contact กับกลุ่มลูกค้า Hi-end ซึ่งเขาก็มาติดต่อเราอยู่หลายครั้ง แล้วก็สรุปแล้ว เขาก็มาช่วยเราหาลูกค้าอยู่ที่พระราม 9 EKI-IVF เขามาตั้งเป็นเหมือนกับออฟฟิศเล็กๆ ของเขาเลย เชื่อว่าลูกค้าน่าจะมากขึ้น


16. คาดว่าโรงพยาบาลจิตเวชจะทำกำไรภายในกี่ปี?
นพ.อำนาจ : คือจริงๆ เทรนด์ของโรงพยาบาลที่จะดูแลเรื่องสุขภาพจิต ตอนนี้ผมว่าดูจาก 4 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยสุขภาพจิตของเรา ที่รายงาน เพิ่มขึ้นเท่าตัว จริงๆ เรามองมานานแล้ว แล้วก็เมื่อเราได้ทีมจิตแพทย์ซึ่งคิดว่าตอนนี้มาถือหุ้นกับเราหลายท่าน เทรนด์ต่อไปในการที่จะดูแลเรื่องจิตเวช ผมว่าแต่ละคนไม่ค่อยอายที่จะไปปรึกษาหมอจิตเวชแล้ว เพราะฉะนั้นการที่มีโรคซึมเศร้าแล้วปล่อยไว้เฉยๆ แล้วไม่ไปปรึกษาใคร ผมว่าเกิดปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในวัยทำงาน เพราะฉะนั้นการที่เกิดโรงพยาบาลอันนี้ขึ้นมา ผมเชื่อว่าจะรองรับกลุ่มลูกค้าได้มากพอสมควร อีกกลุ่มหนึ่งที่เราคิดว่ามีปัญหากับสังคมมาก ก็คือเรื่องของการใช้ยาเสพติดซึ่งไม่มีการบำบัด คอยหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ เราเชื่อว่าเราก็จะทำ แล้วก็ช่วยเรื่องปัญหาเรื่องของยาเสพติดได้พอสมควร เรามีทีมแพทย์ที่ผ่านโรงพยาบาลประเภทนี้มาครบเลยกำไรภายในกี่ปี
คุณสุทธิพงศ์ : ประมาณปีที่ 2 ของธุรกิจ Bottom Line ต้องเป็นบวกแล้ว แล้วก็เปิดช่วงไหน เราอยากจะเปิดปลายปี 68 จะพยายามเร่งให้เสร็จ แล้วก็รับรู้ค่าเสื่อมเท่าไหร่ อาคาร จริงๆ เราตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 300 กว่าล้าน แล้วก็สัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี ก็ถ้าตีง่ายๆ ก็ค่าเสื่อมก็เดือนละล้าน ประมาณนะ แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ก่อสร้างกับ Equipment แต่ว่าก็ประมาณเดือนละล้านได้อยู่


17. ปีหน้ารายได้ EKH จะโตจากอะไร?
คุณสุทธิพงศ์ : ก็จริงๆ เราเชื่อว่าโตหมด EKH ตัวโรงพยาบาลเอกชัยก็โต แล้วก็ IVF ก็คิดว่าน่าจะต้องโตประมาณสัก 20% เราอยากกลับไป Base ที่ปี 62 ส่วนคูนยังเหมือนเด็กซึ่งยังโตได้อีกเยอะ ทั้งจำนวนคนไข้แล้วก็ Billing ที่จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นก็เชื่อว่าโตหมดทั้ง 3 ตัว แต่ว่า Impact ของคูนกับ IVF ด้วยความที่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่องบรวม มันอาจจะยังไม่เยอะ แต่ก็เชื่อว่าก็โตทั้ง 3 อย่าง


18. อาคาร C?
นพ.อำนาจ : อาคาร C ก็จริงๆ ตอนนี้ ใน 1 ปีจะมี 4-5 เดือนที่เราค่อนข้างวิกฤตในการที่ห้องเต็ม เตียงเต็ม ตอนนี้เราก็พยายามหาพื้นที่ที่ว่าง ที่เราจะเป็นที่ให้คนไข้นอน ได้พักได้ชั่วคราวเพื่อจะรอห้อง ก็คิดว่าอีกปีเดียว ปีกว่าๆ ผมเชื่อว่าเราเร่งอาคาร C อยู่ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของ EIA ซึ่งคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร เราน่าจะก่อสร้างได้หลังเมษายน ประมาณนั้น


19. อยากให้เราแจ้ง Core Profit ของไม่รวมคลินิก?
คุณสุทธิพงศ์ : เดี๋ยวใน Oppday ครั้งต่อไป จริงๆ เราก็อยากจะ Present เป็น Core Profit มากกว่า แต่ว่าเราก็ต้องรายงานรายได้ตามตัวหน้างบเหมือนกัน เดี๋ยวก็จะแยกให้ท่านนักลงทุนทราบแล้วกัน อย่างชัดเจนในการ Present ครั้งต่อไป


20. การได้รับมาตรฐาน AACI มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเท่าไหร่ บันทึกในไตรมาสไหน?
คุณสุทธิพงศ์ : บันทึกไปเรียบร้อยแล้ว ค่าใช้จ่าย เกิดขึ้นในไตรมาส 3 จริงๆ ทำมาตลอดตั้งแต่ต้นปี มันก็จ่ายเป็นงวดๆ ไป แต่ว่าไม่เยอะ ไม่ถึง 1 ล้านบาท บันทึกไปเรียบร้อยแล้ว


21. อยากให้อธิบายเรื่องโรงพยาบาลจิตเวชเพราะลงทุนเยอะ คาดหวังอย่างไร ทำไมถึงเปิดโรงพยาบาลด้านนี้ เห็นโอกาสอย่างไร?
นพ.อำนาจ : ก็อย่างที่เรียนให้ทราบ ผู้ป่วยจิตเวช ถ้าเราไปศึกษาจริงๆ มีกลุ่มคนที่ป่วยทางนี้มาก เพิ่มขึ้นแบบชัดเจน เพิ่มขึ้นชัดเจน อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่มีใครกล้ารายงาน ไม่มีใครกล้าที่จะไปปรึกษาว่าเขาเป็นโรคทางซึมเศร้าหรือโรคทางจิตเวช เพราะฉะนั้นก็คิดว่าเรามองถึงโอกาสในการที่จะช่วยดูแลอันนี้ภาครัฐไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางทางนี้ สมเด็จเจ้าพระยา โรงพยาบาลกัลยาณ์ราชนครินทร์อะไรพวกนี้ ที่พวกนี้เต็มหมด เราเห็นแล้วว่าภาครัฐรองรับคนไข้กลุ่มนี้น้อย ไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ แล้วก็ถ้าเราปล่อยให้คนไข้กลุ่มนี้ปิดตัวอยู่เรื่อยๆ ผมว่าเราก็จะเจอข่าวต่างๆ กระโดดตึกบ้าง ฆ่าตัวตายบ้าง พวกโรคซึมเศร้า ซึ่งจริงๆ แก้ได้นะ แก้ได้ พอดีเรามีทีมแพทย์ซึ่งคิดว่าครบเลย ไม่ว่าจะเป็นทางจิตเวช การใช้จิตบำบัด หรือการใช้ยาต่างๆ มาช่วยเป็นที่ปรึกษา แล้วก็มาช่วยดูแลบริหารให้ได้เลย ไม่ว่าจากโรงเรียนแพทย์ก็มี เพราะฉะนั้นเรามองว่าอย่างน้อยที่สุด ผมไม่ได้มองเรื่องว่าต้องได้กำไรมากแค่ไหน ผมไม่ทราบ รู้แต่ว่าคนไข้กลุ่มนี้มีมาก แล้วก็คนยุคนี้ไม่อายที่จะเดินเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์แล้ว เพราะฉะนั้นผมมองเป็นโอกาสที่เราจะทำอันนี้เพื่อรองรับคนไข้กลุ่มนี้ได้


22. Breakeven Payback Period?
คุณสุทธิพงศ์ : ปีที่ 2 ต้องกำไรแล้ว แล้วก็ Payback ของเราก็ที่ทำไว้ประมาณ 7 ปีกว่าๆ เพราะเราได้ BOI ประมาณ 5 ปี


23. Occupancy คูน ไตรมาส 3?
คุณสุทธิพงศ์ : ก็อย่างที่บอกเรามี 30 กว่าห้อง คนไข้นอนอยู่ประมาณสัก 20 เตียง แต่ว่าอย่างที่บอกคือด้วย Capacity ของเรา มันมีอยู่เท่านี้ แต่ว่า Demand ยังมีอยู่ ปีหน้าเราจะเพิ่ม Capacity ให้เพิ่มมากขึ้น อาจจะเพิ่มไปถึงประมาณสัก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์


24. น่าจะได้อีก 1 คำถาม ประเด็นขาดแคลนพยาบาล?
คุณสุทธิพงศ์ : ตอนนี้เรากำลังหาอยู่ น่าจะได้พยาบาลมาช่วยที่คูนเพิ่มขึ้น


25. โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวช?
คุณสุทธิพงศ์ : ตัวจิตเวชเดี๋ยวอย่างไรจะมีแถลงข่าววันพรุ่งนี้ แล้วก็พวกตัวเลขต่างๆ จะแจ้งตามเข้าไป


26. เป้าหมาย 2023?
คุณสุทธิพงศ์ : เป้าหมาย 2023 จริงๆ เราก็ Achieve จริงๆ เราก็ตั้งเป้ากำไร Core Business โตประมาณ 10% ก็คิดว่าน่าจะได้


27. เมืองไทยให้ Free Visa สำหรับคนจีนแล้ว ทำไมยังมีข้อจำกัดอยู่?
คุณสุทธิพงศ์ : จริงๆ ก็การเดินทางมาไทยไม่ได้ง่ายเหมือนก่อนปี 62 ทางคนจีน
นพ.อำนาจ : ทางจีนยังไม่ปล่อยเต็มที่
คุณสุทธิพงศ์ : ใช่ครับ เอกสารต่างๆ สำหรับต้นทางทางจีนที่จะออกมา ยังไม่ง่ายเหมือนเดิม


28. คูนเปิด 30 ห้องได้ครบภายในปี 67 ไหม?
นพ.อำนาจ : ก็ถ้าเราได้บุคลากรครบ ก็เปิดได้ ตอนนี้เรา 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ที่ครองเตียงอยู่ ก็น่าจะ 70% ขึ้น ปีหน้าแน่ๆ อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว ตอนนี้บุคลากรกำลังจะเพิ่มมาอีกแล้ว
คุณสุทธิพงศ์ : ขอบคุณนะครับสำหรับคำถามทั้งหมดในวันนี้
นพ.อำนาจ : มีอย่างอื่นไหม หมดเวลาใช่ไหมครับ โอเค ขอบคุณมากครับ

--------------------------------------------
***Oppday Q3/2023 – EKH เป็นข้อมูลถาม-ตอบ Q&A โดยหวังว่าจะเป็นความรู้และให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่าน และกรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้ทุกครั้ง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทาง ThaiVI ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้***
ขอแสดงความนับถือ
สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
nuaythebest
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 245
ผู้ติดตาม: 1

Re: ORI

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ไม่แน่ใจใช่ที่นี่ไหมครับ จากตำแหน่งเหมือนใกล้ๆอยู่
https://www.matichon.co.th/region/news_4323713
AreeAnna
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 13
ผู้ติดตาม: 0

Re: MEGA

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ธุรกิจที่พม่านี่มีการจัดการความเสี่ยงเรื่องค่าเงินยังไงครับ ผมเกรงว่าเงินพม่าจะอ่อนค่าแรง
A59764
ผู้ติดตาม: 0

Re: ORI

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เห็นมีคนโพสว่าส่งหลังไมค์เข้าไปถาม เป็นของที่นี่ครับ
S__59261013.jpg
nuaythebest เขียน:
อาทิตย์ ธ.ค. 10, 2023 6:13 am
ไม่แน่ใจใช่ที่นี่ไหมครับ จากตำแหน่งเหมือนใกล้ๆอยู่
https://www.matichon.co.th/region/news_4323713
superwright
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: AURA

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ผมสงสัยเรื่องสภาพคล่องเหมือนกันครับ ว่าบริษัทจะมีวิธีรับมือยังไง

ถ้าราคาทองสูงขึ้นเรื่อยๆ ดอกเบี้ยสูงขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบคือ

1.ต้องใช้เงินในการขยายสาขาที่มากขึ้น (stock ทอง)
2.ขายฝากยิ่งต้องใช้เม็ดเงินมากขึ้นตามราคาทอง
3.คนมาแห่ขายทองมากขึ้น ก็ต้องใช้เงินสดมารับซื้อ (อันนี้ผมเดาว่า sentiment คนจะแห่มาขายทองมากขึ้นถ้าราคาขึ้นเยอะๆ ไม่แน่ใจว่าคิดถูกไหม)
4.แหล่งเงินกู้มีดอกเบี้ยสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมเข้าใจว่าใช้เงิน IPO ปล่อยสินเชื่ออยู่ ถ้า IPO หมดเห็นบอกว่าจะหาเงินจาก bank แบบนี้ก็ต้องจ่ายดอกให้ bank แล้ว margin ขายฝากก็จะบางลง

อีกความเสี่ยงนึงคือทองลงแรงๆ อันนี้มีคลิปนึงผู้บริหารเคยบอกไว้เองว่ากังวลเรื่องนี้ สมมติว่าวันใดวันหนึ่งมันเกิด
ตามที่ผมคิดคือน่าจะส่งผลเสียต่อธุรกิจขายฝาก ลูกค้าสนใจน้อยลง เม็ดเงินที่ได้น้อยลง ขยายพอร์ตยากขึ้น พอร์ตเดิม ถ้าทองลงมากลูกค้าอาจทิ้งสัญญาไปเลย แล้วได้ทองยึดมามูลค่าต่ำกว่ามูลหนี้

ผิดพลาดประการใดหรือมีความเห็นเพิ่มเติมรบกวน ชี้แนะหน่อยนะครับ
narongthb
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2972
ผู้ติดตาม: 0

Re: KKP

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ยินดีด้วย บวค คงไม่ส่วนทำให้หุ้นไทยแย่ลงเนาะ รับโบนัสเยอะเยอะไปเลยรูปภาพ
แนบไฟล์
1702167457722.jpg

CutlossX7
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 245
ผู้ติดตาม: 0

Re: MASTER

โพสต์ที่ 26

โพสต์

Organic = เพิ่มห้องผ่าตัดรัวๆ
Inorganic = ซื้อบริษัทอื่นรัวๆ
---------
แล้วเป็นธุรกิจที่ต้นทุนคงที่สูง

บ้าคลั่งดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4425
ผู้ติดตาม: 0

Re: SECURE

โพสต์ที่ 27

โพสต์

คำสาปจากกระสือ (Krasue): Group-IB ตรวจพบ Linux Remote Access Trojan ชนิดใหม่ มุ่งโจมตีธุรกิจในประเทศไทย
https://www.techtalkthai.com/curse-from ... oGRG_S_WhQ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Thai VI Officer
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1457
ผู้ติดตาม: 1

Re: AURA

โพสต์ที่ 28

โพสต์

Opportunity day Q3/2023 บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน)
Date: 29-Nov-23

phpBB [video]
ขอแสดงความนับถือ
สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 288
ผู้ติดตาม: 0

Re: BA

โพสต์ที่ 29

โพสต์

eng_newspg.png

Again, this isn't the first time...
ภาพประจำตัวสมาชิก
RnD-VI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 6092
ผู้ติดตาม: 0

Re: ONEO

โพสต์ที่ 30

โพสต์

วันออริจิ้นผนึกโตคิวแลนด์ผุดมิกซ์ยูสแห่งใหม่ย่านบางนา
08 ธ.ค. 2566 เวลา 9:29 น.55
https://www.bangkokbiznews.com/property/1102601

วันออริจิ้นผนึกโตคิวแลนด์เนรมิต "โครงการ วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68" มูลค่ากว่า 1,700 ล้านมิกซ์ยูส แห่งใหม่ย่านบางนา มีทั้งชูแบรนด์โรงแรมระดับพรีเมียมจากแอคคอร์ กรุ๊ป "แกรนด์ เมอร์เคียว" ออฟฟิศสไตล์ Urban Resort พร้อมพื้นที่ค้าปลีก
นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือออริจิ้นเผยว่า "ONEO" บรรลุข้อตกลงร่วมทุน (Joint venture) กับบริษัท ทีแอลทีเอช จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ โตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น เพื่อร่วมพัฒนา "โครงการวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68" โครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส ผสมผสานระหว่างโรงแรม พื้นที่ค้าปลีก และอาคารสำนักงาน มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,700 ล้านบาท

ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 จำกัด ที่ ONEO ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และบริษัท ทีแอลทีเอช จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 49% นอกจากนี้ ยังได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับแอคคอร์ กรุ๊ป มาเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมในโครงการวันออริจิ้น สุขุมวิท 68 อีกด้วย



ทั้งนี้ การร่วมทุนดังกล่าวเกิดจากการที่ ONEO และทีแอลทีเอช มีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการ ด้วยความมุ่งมั่น และสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า และขับเคลื่อนพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ของ ONEO ให้มีความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ประจำเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง

รวมทั้งได้มองเห็นศักยภาพการเติบโตในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งบางนาถือเป็นทำเลหน้าด่านเชื่อมต่อสู่พื้นที่ EEC ซึ่งที่ผ่านมา ทีแอลทีเอช ได้ร่วมทุนกับ ONEO พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูสมาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ วัน ออริจิ้น สนามเป้า และวัน ออริจิ้น พญาไท

โครงการ วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 เป็นโครงการมิกซ์ยูส ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ติดถนนใหญ่บนถนนสุขุมวิท 68 ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ สามารถเข้าออกได้หลายทาง เช่น ถนนสุขุมวิท และบางนา-ตราด รวมถึงอยู่ใกล้กับบีทีเอส สถานีอุดมสุข เพียง 200 เมตร และห่างจากไบเทค บางนา เพียง 750 เมตร ประกอบด้วย 1. โรงแรมระดับพรีเมียม 339 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำคัญ

อาทิ พื้นที่จัดประชุมขนาดประมาณ 1,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดไมซ์ (MICE) หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุม การท่องเที่ยว และการจัดแสดงสินค้าหรือบริการ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และ 2. อาคารสำนักงานให้เช่า สไตล์ Urban Resort พื้นที่ประมาณ 6,000 ตารางเมตร และ 3. พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า พื้นที่รวมโดยประมาณ 1,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าในส่วนของโรงแรมจะเริ่มก่อสร้างไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และเปิดดำเนินการภายในไตรมาส 4 ปี 2569

"บางนา เป็นทำเลที่มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลาย ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นแหล่งชอปปิง และท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างชาติ เนื่องจากปี 2567 จะมีห้างสรรพสินค้า Bangkok Mall มิกซ์ยูสขนาดใหญ่กว่า 100 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ห่างจากโครงการวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 เพียง 500 เมตร "

จากปัจจัยดังกล่าวสนับสนุนให้กับโครงการวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 เป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นว่าวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 จะกลายเป็นมิกซ์ยูสที่มีความโดดเด่นที่สำคัญย่านบางนา พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้พักอาศัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนเป็นพื้นที่สำหรับคนวัยทำงานยุคใหม่ และยังเป็นส่วนช่วยยกระดับทำเลบางนาให้กลายเป็นทำเลทองที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ EEC

ด้าน นายฮิเดทาสึ อิเคดะ กรรมการ บริษัท ทีแอลทีเอช จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ตลอดจนเป็นประเทศศูนย์กลางที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในตลาดไมซ์ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์การประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศกาลในทุกระดับอย่างครบครัน ทำให้ ทีแอลทีเอช ยังคงพิจารณาโครงการร่วมทุนใหม่ๆ ที่มีศักยภาพรองรับการเติบโตในอนาคตของตลาดไมซ์ในไทยอย่างต่อเนื่อง

วัน ออริจิ้น นับเป็นพันธมิตรรายสำคัญของ ทีแอลทีเอชในประเทศไทย จากประสบการณ์ที่ได้ร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในโครงการมิกซ์ยูสที่จะเริ่มก่อสร้างใหม่ ได้แก่ โครงการวัน ออริจิ้น สนามเป้า และโครงการวัน ออริจิ้น พญาไท และกลุ่มโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ โรงแรมไอบิส ภูเก็ต กะตะ โรงแรมไอบิส หัวหิน โรงแรมไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง

"เราตระหนักดีกว่า วัน ออริจิ้น คือ พันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันในการส่งมอบโครงการบนทำเลศักยภาพ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และบริการเหนือระดับ ตอบโจทย์ผู้บริโภค เมื่อประกอบกับคอนเซปต์ และที่ตั้งบนทำเลศักยภาพของวัน ออริจิ้น สุขุมวิท 68 ทำให้เรามั่นใจในการร่วมทุนในครั้งสำคัญนี้" นายฮิเดทาสึ กล่าว









พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์
วินัย + แผนการ + ลงรายละเอียด => ขุดหุ้น
โพสต์โพสต์