ตลาดหุ้นกับการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2019/ดร.ศุภวุฒิ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1890
ผู้ติดตาม: 311

ตลาดหุ้นกับการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2019/ดร.ศุภวุฒิ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เมื่อปลายปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างค่อนข้างรุนแรงทั่วโลก เพราะมีข้อกังวลมากมาย เช่นความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน (ซึ่งแก่นแท้ของความขัดแย้งนั้น ผมตีความว่าเป็นเรื่องของการที่สหรัฐไม่ต้องการให้จีนมีความเท่าเทียมกับสหรัฐในด้านเทคโนโลยีมากกว่าข้อพิพาททางการค้าเพียงอย่างเดียว) การชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ความขัดแย้งในอังกฤษเกี่ยวกับการถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะของอิตาลีและการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวลงนั้น ธนาคารกลางสหรัฐไม่ควรปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (ซึ่งประธานาธิบดีทรัมพ์ก็ออกมาตำหนินาย Jerome Powell ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอยู่บ่อยครั้งในเรื่องนี้) ดังนั้นนักลงทุนจึงมองว่าธนาคารกลางสหรัฐควรจะทบทวนแนวคิดนี้อย่างจริงจัง

ต่อมานาย Jerome Powell ก็มีท่าทีที่ผ่อนปรนลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงปลายปี 2018 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 4 ม.ค.นั้น ได้ทำให้นักลงทุนพึงพอใจอย่างมาก โดยนาย Powell บอกว่าพร้อมจะ “รับฟัง” สิ่งที่ตลาดทุนพยายามจะสื่อสาร (โดยขายหุ้นทำให้ราคาตกต่ำ) และนอกจากความพร้อมที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยแล้วก็ยังพร้อมที่จะพิจารณาทบทวนการลดทอนงบดุล (การปล่อยให้พันธบัตรที่ธนาคารกลางสหรัฐถืออยู่หมดอายุลงไปประมาณ 50,000 ล้านเหรียญต่อเดือน) ที่กำลังดำเนินการอยู่ หากมีความจำเป็นเกิดขึ้น โดยอธิบายว่าธนาคารกลางสหรัฐจะสามารถดำเนินนโยบายการเงินอย่าง patient (อดทน สุขุม หรือใจเย็น) เพราะเงินเฟ้อของสหรัฐยังอยู่ที่ระดับต่ำและยังไม่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่อย่างใด

ดูเหมือนว่าตลาดทุนพึงพอใจกับการส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐเพื่อชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ราคาหุ้นในตลาดสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจาดจุดต่ำสุดก่อนวันคริสมาสปีที่แล้ว ดังเห็นได้จากตารางข้างล่าง ทั้งนี้แม้ว่าข้อกังวลอื่นๆ ที่กล่าวข้างต้นยังเป็นปัจจัยที่ค้างคาอยู่

จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือน อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีการนำเสนอข่าวดีเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับจีน แต่หากมองอีกทางหนึ่ง เรื่องนี้น่าจะเป็นข่าวดีให้กับตลาดจีนมากกว่าตลาดสหรัฐ (เพราะหุ้นจีนและเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบมากกว่า) แต่ปรากฏว่าหุ้นจีนนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3.4% และหุ้นฮ่องกงก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 6.7% หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการปรับขึ้นของหุ้นสหรัฐ นอกจากนั้นแล้วหุ้นของเยอรมัน (ซึ่งผมใช้เป็นตัวแทนของหุ้นยุโรป) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าหุ้นที่สหรัฐ ดังนั้นจึงน่าจะสรุปว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างมาก จึงน่าจะเป็นการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปี 2019 นี้ แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐจะยังประเมินว่าจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ เรื่องนี้ผมจะเขียนถึงอีกในตอนหน้าครับ

รูปภาพ

ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือการที่ปัญหา Brexit นั้นยังมีความสับสนอลเวงอย่างมาก แต่ตลาดก็ดูเพิกเฉยไม่เป็นห่วงสถานการณ์มากนัก เห็นได้จากการที่ค่าเงินปอนด์ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ แม้ว่าข้อเสนอการถอนตัวของนายกรัฐมนตรี May จะแพ้คะแนนในรัฐสภาอย่างย่อยยับ (432 ต่อ 202) ในวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมาและยังมีความสับสนอย่างมากว่าจะเดินต่อไปอย่างไร ในขณะที่เส้นตายที่อังกฤษจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปก็ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คือวันที่ 29 มีนาคม ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะว่าตลาดเชื่อว่าอังกฤษจะขอชะลอการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปหากถึงทางตันตามที่ศาลยุโรปได้ตีความเปิดทางเอาไว้ให้เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ผมก็ยังมองว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความเสี่ยงสูง แม้ตลาดที่เลือกจะไม่ให้ความสำคัญในขณะนี้ ดังนั้นจึงอาจกลับมาสร้างปัญหาได้อีกในอนาคต

ในส่วนของหุ้นไทยนั้นต้องยอมรับว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในช่วง 24 ธ.ค. 2018 ถึง 18 ม.ค. 2019 คือเพิ่มขึ้นเพียง 1.7% ซึ่งหาพยายามมองในแง่ดี ก็ต้องบอกว่าทำให้หุ้นไทยยังราคาถูกมากในเชิงเปรียบเทียบ นอกจากนั้นเงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้นมากกว่าการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นไทยเสียอีก ทำให้ต่างชาติที่ถือหุ้นไทย (ที่คิดผลตอบแทนเป็นเงินดอลลาร์) ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าคนไทยกว่า 4% แต่การแข็งค่าของเงินบาทย่อมจะทำให้การส่งออกยากขึ้นและการแข็งค่าของเงินก็จะทำให้เงินเฟ้อในประเทศลดลง ซึ่งเปรียบเสมือนการปรับขึ้นของดอกเบี้ย นอกจากนั้นข่าวเกี่ยวกับการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นหัวใจของโครงการอีอีซีของรัฐบาล ตลอดจนการขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นใจของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในปี 2019 ครับ
โพสต์โพสต์