20 ปี หุ้น P/E ร้อยเท่า Netflix โดย คนขายของ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
always24
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 854
ผู้ติดตาม: 10

20 ปี หุ้น P/E ร้อยเท่า Netflix โดย คนขายของ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

20 ปี หุ้น P/E ร้อยเท่า Netflix

“Netflix” เกิดจากวิศวกรด้านคอมพิวเตอร์ 2 คนชื่อ Reed Hastings และ Marc Randolph ร่วมกันก่อตั้งบริษัทให้บริการเช่าแผ่น DVD ทางอินเทอร์เน็ตพร้อมส่งแผ่นถึงบ้านทางไปรษณีย์ หลังจากใช้เวลาเตรียมการเกือบ 1 ปี Netflix.com ได้เปิดตัวครั้งแรกวันที่ 14 เมษายน ปี 1998 หลังจากให้บริการแบบคิดค่าบริการตามจำนวนแผ่นหนังที่ให้ยืมแบบร้านให้เช่าทั่วไปในสมัยนั้นไม่นาน

ปี 1999 Netflix ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานของการดำเนินธุรกิจ online streaming ในทุกวันนี้ คือ การเปิดให้สมัครสมาชิกซึ่งมีค่าบริการรายเดือน แต่สามารถดูหนังได้แบบไม่อั้น กลายเป็นจุดพลิกผันให้บริษัทเติบใหญ่ขึ้น จากที่เคยมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปี 2002 ซึ่งเป็นปีแรกที่นำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาด จนมีมูลค่าในปัจจุบันมากกว่า 5.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่าเกือบ 30% ของตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด ทำไมบริษัทสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างสูงทั้งที่ถูกรายล้อมด้วยคู่แข่งมากมาย ? ในอนาคตบริษัทจะยังสวยหรูอย่างที่ผ่านมาหรือไม่ ?

blockbuster (BBI) กิจการร้านให้เช่าม้วนวิดีโอและแผ่นดีวีดี ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท Viacom ยักษ์ใหญ่ด้านสื่ออเมริกา ทำการขายหุ้น IPO ในปี 1999 ทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 2.63 พันล้านเหรียญ ในปีนั้น Netflix เพิ่งเปิดดำเนินการได้ 1 ปี ผลการดำเนินงานยังขาดทุน ยิ่งเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีแตกในปี 2000 ทำให้บริษัทสตาร์ตอัพอย่าง Netflix ระดมทุนได้ยากยิ่งขึ้น ผู้ก่อตั้งจึงเริ่มคิดจะขายกิจการให้กับคู่แข่งที่แข็งแรงกว่ามากอย่าง BBI แต่ด้วยความที่ Netflix ยังเล็กมากในตอนนั้น และราคาหุ้นของบริษัทอินเทอร์เน็ตลงกันอย่างถล่มทลาย ทำให้ผู้บริหาร BBI ปฏิเสธการซื้อกิจการ Netflix ที่มูลค่าราว 50 ล้านเหรียญ เป็นเหตุให้ Netflix ต้องดิ้นรนหาทุน และได้ตัดสินใจเอาหุ้นออกขาย IPO ในปี 2002

เงินที่ได้จากการขายหุ้นราว 80 ล้านเหรียญ ได้ช่วยให้ Netflix ขยายงานได้อย่างรวดเร็วจนมีสมาชิกทะลุ 1 ล้านราย ในปี 2003 ซึ่งเป็นปีที่ Netflix มีกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกปี 2004 จำนวนสมาชิกโตก้าวกระโดดเป็น 3.3 ล้านราย ปิดปีด้วยรายได้ 500 ล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่ถึง 10% ของที่ BBI ทำได้ในปีเดียวกัน

แต่ทั้งลูกค้าและนักลงทุนเริ่มเห็นศักยภาพรายได้ของ Netflix ยังเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2006 จำนวนสมาชิกมีมากถึง 8.8 ล้านคน ในปี 2007 บริษัทประกาศให้บริการ streaming VDO ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น กำไรบริษัทไม่ค่อยโตแม้รายได้ยังคงเติบโตในปี 2010 เริ่มออกสู่ตลาดต่างประเทศโดยเริ่มที่แคนาดาเป็นประเทศแรก

ปัจจุบัน Netflix ให้บริการใน 190 ประเทศทั่วโลก กล่าวกันว่ามีเพียง 3 ประเทศที่ไม่มี Netflix คือ จีน เกาหลีเหนือ และซีเรีย ปัจจุบัน Netflix มีจำนวนสมาชิกถึง 130 ล้านคน ปี 2017 มีรายได้เกือบ 12,000 ล้านเหรียญ สำหรับในประเทศไทยประมาณว่าจำนวนสมาชิกน่าจะเกิน 2 แสนรายในปีนี้

การที่ Netflix โตเร็วขนาดนี้จะมีคู่แข่งบ้างไหม ? จากอดีต 20 ปีของ Netflix ชีวิตต้องต่อสู้มาตลอด เริ่มจากสู้กับ BBI จนกระทั่ง BBI ประกาศล้มละลายในปี 2010 แต่การจับมือของสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Fox, Comcast และ AT&T ร่วมกันก่อตั้งบริษัท online streaming ชื่อ Hulu ในปี 2007 และการกระโดดเข้าสู่บริการดูหนังและซีรีส์ออนไลน์ของ Amazon Prime ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้การต่อสู้ในตลาดเข้มข้นมากขึ้น ถึงกระนั้น ข้อมูล จาก CNBC เมื่อต้นปีนี้ แสดงให้เห็นว่าในสหรัฐอเมริกา Netflix ยังคงสามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 51% Amazon อยู่ที่ 33% และ Hulu อยู่ที่เพียง 14%

ทำไมคนส่วนใหญ่ชอบ Netflix ? ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า เหตุผลหลักคือ ความสะดวก และความง่ายของการใช้ระบบของ Netflix รองลงมาคือ เรื่องราคาที่ดูสมเหตุสมผล และอันดับสาม คือ มีหนังและซีรีส์ให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนเรื่องที่ Netflix สร้างคอนเทนต์เป็นของตนเองจนโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์เรื่องการเมืองอย่าง House of Cards หรือ Orange is the New Black กลับไม่ใช่ประเด็นหลักอย่างที่บางคนคาดการณ์

แต่ความแข็งแกร่งของ Netflix อาจเริ่มถูกสั่นคลอนบ้าง เมื่อ Disney ประกาศซื้อกิจการของ 21st Century Fox เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ขึ้นเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ชั้นนำจำนวนมาก นอกจากนั้น หุ้นของ Hulu ซึ่ง Fox ถืออยู่ 30% รวมกับของเดิมที่ Disney มีอยู่ก็จะเป็น 60% ทำให้ Disney มีสิทธิ์การบริหารเบ็ดเสร็จในกิจการ Hulu เราคงเห็นการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในไม่ช้า

แต่เนื่องจากตลาด online streaming ยังคงเติบโต และค่าสมาชิกที่แต่ละบริษัทเรียกเก็บเดือนละ 8-10 เหรียญก็นับว่าย่อมเยามาก ในยุคสมัยที่กาแฟแก้วละ 5 เหรียญ ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จึงคาดการณ์ว่ากำไรของทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงเติบโตต่อไป แต่ในระดับที่ P/E 166 เท่า ควรเข้าซื้อลงทุนไหม นักลงทุนคงต้องพิจารณาเอง
โพสต์โพสต์