อวสานของ Trader/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

อวสานของ Trader/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    Trader หรือนัก “ซื้อ-ขาย” หลักทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินอื่นในตลาดนั้น  พูดในทางวิชาการแล้วก็ไม่ใช่ “นักลงทุน”  แม้ว่าทั้งสองกลุ่มอาจจะเข้ามาซื้อขายหลักทรัพย์เช่น  หุ้น  ในตลาดเดียวกัน  การแบ่งแยกว่าใครเป็นเทรดเดอร์และใครเป็นนักลงทุนนั้น  บางทีก็ไม่สามารถแยกแยะได้อย่างเด็ดขาด  เพราะคน ๆ  เดียวกันอาจจะทำทั้งสองอย่าง  คือในบางครั้งบางเวลาก็เป็นเทรดเดอร์แต่ในบางเวลาก็เป็น Investor หรือนักลงทุน   ในอีกด้านหนึ่ง หลักทรัพย์และวิธีการซื้อขายหรือลงทุนแต่ละอย่างนั้นก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน  หลักทรัพย์บางอย่างนั้นการเข้าไปซื้อขายก็สามารถบอกได้ชัดเจนว่าคนที่เข้าไปทำคือ Trader แน่นอน เช่นการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ  แต่ในหลักทรัพย์บางอย่างเช่นหุ้นนั้น  บางทีก็เป็นการลงทุนแต่บางครั้งก็เป็นการเทรดขึ้นอยู่กับความตั้งใจและวิธีการของคนซื้อขาย   ลองมาดูกันว่าลักษณะแบบไหนเป็นการแสดงให้เห็นว่ามันเป็นการเทรดและคนที่ทำมากก็น่าจะเป็นเทรดเดอร์ไม่ใช่นักลงทุน

    เริ่มตั้งแต่เรื่องของความตั้งใจของคนที่ซื้อ  ถ้าเขาคิดว่าเขาซื้อหลักทรัพย์มาเพื่อที่จะขายในระยะเวลาอันสั้นเพื่อหวังผลกำไรจากส่วนต่างของราคา  ลักษณะนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเทรดเดอร์  ยิ่งสั้นเท่าไร  เช่น  ต้องการถือแค่ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์หรือบางทีเป็นวัน  แบบนี้ก็ชัดเจนว่าเขาน่าจะเป็นเทรดเดอร์  ถ้ายาวออกมาเป็น 2-3 เดือนขึ้นไป  บางทีก็อาจจะถือว่าเป็นนักลงทุนระยะสั้น  แต่ถ้าคิดว่าจะถือเป็นปีหรือหลายปี  แบบนี้ก็มักจะชัดเจนว่าเป็นการลงทุน

    หลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงินที่โดยปกติมีราคาผันผวนรุนแรงในระยะสั้น  อาจจะด้วยคุณลักษณะของตัวมันเองหรืออาจจะเป็นเพราะมันถูกออกแบบมาในลักษณะที่ความผันผวนถูกขยายให้มากขึ้นเป็นหลาย ๆ  เท่าผ่านการ Leverage หรือการกู้เงินเพิ่มมาก ๆ  ก็มักเป็นเรื่องของการเทรด  ตัวอย่างตราสารเหล่านี้ก็เช่น  การซื้อขาย Future,  Option,  Forex,  Derivative Warrant (DW) ของหุ้นต่าง ๆ  รวมถึงการทำ Block Trade ซื้อขายหุ้นบางตัวจำนวนมากด้วยการกู้เงินมหาศาล   ทั้งหมดนั้นมักจะมีความผันผวนของราคาสูงมาก  บางทีเป็น 10 เท่าของการผันผวนของหลักทรัพย์หรือตราสารการเงินที่เป็นตัวหลัก  ดังนั้น  คนที่เข้าไปเล่นหรือซื้อขายเครื่องมือทางการเงินเหล่านั้นก็มักจะเป็นเทรดเดอร์แน่นอน

    การซื้อขายสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรือกำไรด้วยตัวมันเอง  เช่น  ทอง  น้ำมัน และโภคภัณฑ์ต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง  ยางพารา  ข้าวโพด  ก็มีแนวโน้มว่าเป็นเรื่องของเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเหล่านั้นในตลาด  เพราะสิ่งเหล่านั้นเราไม่สามารถประเมินผลตอบแทนระยะยาวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการถือสินค้าเหล่านั้นได้  พูดง่าย ๆ  เราไม่สามารถประเมินหา  “มูลค่าพื้นฐานที่เหมาะสม” ของมันได้  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ซื้อผู้ขายซึ่งคาดการณ์ได้ยาก  นอกจากนั้น  ลักษณะของการซื้อขายสินค้าเหล่านั้นยังมักจะมีการใช้ Leverage สูงมาก  พูดง่าย ๆ  เช่น  การซื้อขายทองนั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องของการซื้อ Future ของทองซึ่งเป็นตราสารที่ใช้เงิน “มัดจำ”  อาจจะเพียง 10%  ส่วนที่เหลืออีก 90% นั้นเป็นการกู้  ซึ่งทำให้ราคาของ Future นั้นแกว่งขึ้นลงอาจจะเป็น 10 เท่าของราคาทองจริง ๆ   ดังนั้น  คนที่ซื้อขายเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้ก็เป็นเทรดเดอร์แน่นอน

    การซื้อขายอะไรก็ตามที่ผลรวมเป็น  “Zero-Sum Game”  หรือก็คือการซื้อขายที่มีคนได้ก็จะมีคนเสียเท่า ๆ  กัน  ในขณะเดียวกันทั้งคนที่ได้และคนที่เสียก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขายแต่ละครั้ง  ผลก็คือ  โดยเฉลี่ยแล้วคนที่เข้าไปซื้อขายจะขาดทุนเท่ากับค่าธรรมเนียมที่เสียไปซึ่งโดยปกติก็ค่อนข้างมากเพราะคนที่เข้าไปเล่นมักจะซื้อ ๆ  ขาย ๆ  บ่อยมากเช่น  เกือบทุกวัน  ผลก็คือ  คนที่เข้าไปเล่นในระยะยาวแล้วส่วนมากมักจะขาดทุน  คนที่ “เก่งมาก”  หรือว่าที่จริงอาจจะต้องบอกว่า  “โชคดีมาก”  ก็อาจจะยังได้กำไรบ้าง  แต่คนที่โชคไม่ดีนั้นร้อยละ 90 ขึ้นไปอาจจะขาดทุนหนัก  ตัวอย่างของ Zero-Sum Game ก็เช่นการเล่นพนันในกาสิโนและการเทรด Forex หรือการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ  เป็นต้น

    จากการสังเกตการเทรดดิ้งในตลาดหลักทรัพย์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดการเงินอื่น ๆ นั้น  ผมเองยังไม่เคยพบคนที่รวยจากการเทรดจริง ๆ  จะมีอยู่บ้างก็คือคนที่เทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่เน้นการซื้อขายหุ้นเป็นหลัก  ช่วงที่ผ่านมาซักประมาณ 10 ปีที่เป็น  “ยุคทองของหุ้นไทย”  นั้น  ผมคิดว่าคนที่รวยจากการเทรดโดยเฉพาะจากการใช้ Leverage สูง ๆ  นั้นน่าจะมีอยู่พอสมควร  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่แน่ใจว่าผลตอบแทนสูง ๆ  ที่ได้นั้นมาจากการเทรดเพียงอย่างเดียวหรือมีการ  “ปั่นหุ้น”  หรือใช้กลอุบายที่ได้เปรียบเช่น การใช้ข้อมูลภายในผสมผสานหรือไม่  แต่ในส่วนของการเทรดในกรณีที่ไม่สามารถทำราคาตราสารการเงินได้เช่น  การเทรดค่าเงินหรือ Forex นั้น  ผมไม่เห็นคนที่รวยหรือทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้จริง ๆ   คนที่พอจะได้เงินบ้างนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่บอกว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็น  “เซียน”  หรือในตอนหลังก็เรียกว่าเป็น  “โค้ช”  ที่เปิดคอร์สสอนการเทรดที่มีการคิดค่าเรียนสูงลิ่ว บางทีเป็นแสน ๆบาทต่อคอร์ส

    คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยถูกดึงดูดให้เข้ามาเรียนหรืออบรมเกี่ยวกับการเทรดตราสารการเงินที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมได้  ราคาของตราสารที่ผันผวนเปลี่ยนไปแบบ “เดาสุ่ม” นั้นแปลว่าบางช่วงบางตอนราคาก็อาจจะขึ้นได้แรงหรือตกได้แรงเนื่องจากคุณสมบัติของการ Leverage หรือการกู้เงินมหาศาลมาเทรด  สิ่งนี้ทำให้ในบางช่วงคนเล่นบางคนก็กำไรมากในเวลาอันสั้นซึ่งก็สามารถดึงดูดให้คนอื่นอยากเข้ามาเล่น  เพราะนี่เป็นจิตวิทยาสำคัญโดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาวสมัยปัจจุบันที่ต้องการ “รวยเร็ว” แต่ไม่ต้องการทำงานหนัก  ในด้านตรงกันข้าม  ในบางช่วงและบางคนก็อาจจะขาดทุนหนัก  แต่ข้อมูลนี้มักจะปรากฏให้เห็นน้อยกว่ามากเพราะคนที่แพ้หรือ “เจ๊ง” นั้นมักจะเก็บไว้กับตัวไม่อยากพูด  ผลก็คือ  ความนิยมในการเทรดโดยเฉพาะในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่ ๆ  จึงสูง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  การเทรดเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินมากแต่คุณ  “อาจจะรวยได้”  ดูตัวอย่างของ “อาจารย์” ที่โชว์ผลงาน  “ทำเงินจากหมื่นเป็นล้านบาทดูได้”  นี่คือคำโฆษณาที่ใช้ชักชวนให้คนมาเรียนและเทรดตราสารการเงินที่มีสภาพคล่องและความผันผวนของราคาสูงมาก

    แต่ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อความคึกคักในเรื่องของการลงทุนและการเทรดโดยรวมค่อย ๆ  ลดลงอานิสงค์จากการที่นักเทรดจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่สามารถทำผลตอบแทนได้และอาจจะขาดทุนอย่างหนัก  คนที่เคยทำกำไรได้สุดยอดเป็น  “เซียน”  หลายคนนั้น  เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าและด้วยกฎของค่าเฉลี่ยของตัวเลขขนาดใหญ่หรือ Law of Large Numbers ซึ่งบอกว่าถ้าคุณทำมากขึ้นเรื่อย  ในที่สุดโชคก็จะหายไปเหลือแต่ความเป็นจริงทางสถิติและทฤษฎีที่ว่าการเทรดโดยที่คุณไม่สามารถประเมินมูลค่าพื้นฐานได้นั้นโอกาสชนะต่ำมากเพราะคุณต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายตลอดเวลา  และนี่นำมาสู่ข้อสรุปของผมว่า  ความนิยมในเรื่องของการเทรดหุ้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทรดตราสารการเงินที่มีความเสี่ยงหรือความผันผวนสูงเช่น Forex ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  ถ้าจะพูดก็คือมันเป็น “อวสานของเทรดเดอร์”  แล้ว
[/size]
โพสต์โพสต์