ความสุขศาสตร์/วีระพงษ์ ธัม

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

ความสุขศาสตร์/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    สองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในสแกนดิเนเวีย ตั้งแต่ก้าวแรกที่สนามบินโคเปนเฮเกน จนได้แวะเวียนเมืองใหญ่น้อยยาวไปตลอดทะเลบอลติก ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศและผู้คนที่ต่างจากประเทศอื่นในยุโรป ในเชิงสถิติ ดินแดนแถบนี้ได้รับการจัดอันดับคุณภาพชีวิตที่ดีที่ในโลกอย่างต่อเนื่อง ระบบการศึกษามีมาตรฐานสูง ที่น่าสนใจที่สุดคือดัชนี “ความสุข” ที่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ชวนตั้งคำถามว่าอะไรคือศาสตร์แห่งของความสุขของผู้คนในแถบนี้ วิถีการลงทุนในความสุขพวกเขาเป็นอย่างไร

    อันที่จริงทฤษฎีเรื่องความสุขมีการพูดถึงยาวนาน ทั้งในหลักชีวิตและหลักศาสนา และเป็นหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าและค้นหา เราทำงานหนัก ลงทุน ทำกิจกรรมทุกอย่างโดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารความสุขของชีวิต มีนักคิดตั้งแต่ยุคปรัชญากรีก จนกระทั่งทฤษฎีในยุคคลาสสิกของมาสโลว์ ไปจนถึงการพัฒนาไปสู่ทฤษฎีสมัยใหม่อย่าง Positive Psychology แต่ผมอยากจะมาสรุปแง่คิดที่เรียบง่ายของชาวสแกนดิเนเวีย แชมป์ความสุขโลก ดังนี้ครับ

    1. ความมั่นคงระยะยาว ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนียเวียอย่างเดนมาร์คซึ่งเป็นประเทศต้นแบบรัฐสวัสดิการ ประชาชนชาวเดนิชไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการแพทย์ การศึกษา การเกษียณซึ่งใช้ได้ “ฟรีตลอดชีวิต” โดยรัฐหักภาษีสูงสุดถึง 57% ของรายได้ นอกจากนั้นยังเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 25% โดยระบบภาษีก็ “ส่งเสริม” คุณภาพชีวิตประชาชน เช่นถ้า ซื้อหนังสืออ่านสามารถนำมาหักภาษีได้ การปั่นจักรยานเพื่อส่งเสริมคุณภาพอากาศในเมืองและสุขภาพคนก็หักภาษีทางอ้อมได้ นอกจากนั้นดัชนีการคอรัปชั่นที่ต่ำมากก็ส่งเสริมให้ประชาชนรู้สึกมั่นคงในชีวิต แต่สำหรับระบบในประเทศไทย เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “จ่ายภาษีให้ตัวเอง” หรือหมายถึงการเก็บเงินอย่างน้อย 25% และนำไปบริหารลงทุนเองเพื่อให้ได้คุณภาพชีวิตความมั่นคงให้เทียบเท่า เพราะความสุขพื้นฐานควรจะเริ่มต้นโดยการที่ไม่ต้อง “กังวล” ถึงอนาคตในระหว่างทาง

    2. คุณภาพความสัมพันธ์และอิสระทางความคิด เดนิชให้ความสัมพันธ์กับ “คุณภาพ” ความสัมพันธ์เหนือ “ปริมาณ” พวกเขามีกลุ่มเพื่อนสนิทที่เล็กแต่คุณภาพสูง เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งรายได้ที่มากขึ้นไม่มีผลต่อความสุขเท่าระดับสัมพันธภาพที่ยอดเยี่ยมกับคนรอบข้าง นอกจากนั้นพวกเขามีอิสระในการทำสิ่งที่อยากทำ โดยไม่เปรียบเทียบกับผู้อื่น สังคมไม่ตัดสินชีวิตผู้คนอื่น ๆ ที่แตกต่าง เป็นแรงบวกสัมพันธภาพต่อคนรอบข้างดีทำให้เกิดความสุขและส่งเสริมในทางกลับกัน เหนือสิ่งอื่นใดในทุกวันพวกเขายังแบ่งเวลาให้กับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทในตอนกลางคืน พวกเขาทำงานเต็มที่และเลิกงานตรงเวลา มุ่งตรงกลับบ้านไปทำกับข้าวร่วมกันกับครอบครัว หรือไปนั่งร้านเล็ก ๆ ที่อบอุ่นกับเพื่อนรู้ใจ

    3. การชื่นชมกับสิ่งง่าย ๆ รอบตัว ความสุขเริ่มต้นตั้งแต่กระถางดอกไม้เล็ก ๆ หน้าบ้าน การเฉลิมฉลองกับสิ่งธรรมดา ๆ ให้เป็นวันที่พิเศษ การอบขนม ทำอาหารมื้อง่าย ๆ ร่วมกัน หนังสือดี ๆ หนึ่งเล่มก็เพียงพอกับความสุขระดับเดียวกับโรงแรมห้าดาวได้ การรับมือกับทัศนคติก็เป็นสิ่งสำคัญ อากาศที่สแกนดิเนเวียแปรปรวนฝนอาจตกวันละห้าครั้ง ฤดูหนาวก็มืดมิดและยาวนาน แต่สำนวนโบราณพวกเขาบอกว่า “ไม่มีอากาศที่แย่หรอก มีแต่เสื้อผ้าที่ใส่ไปไม่เหมาะสม”

    4. ทฤษฎีความสุขสบาย หรือ “Hygge” ภาษาเฉพาะของชาวเดนิช พวกเขารู้จักหา “รายละเอียดความสุข” มากมาย ถ้าไปถึงโคเปนเฮเกนจะพบว่าไม่บ่อยที่จะเจอเมืองหลวงที่ออกแบบรายละเอียดความสุขโดยมีสวนสนุกขนาดยักษ์อยู่กลางเมือง Tivoli Garden เป็นสวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในสวนสนุกแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเด็กเล็ก แต่มีทั้งคนแก่ที่มานั่งดูดอกไม้ คนหนุ่มสาวมานั่งจีบกันใต้พลุทุก ๆ คืน มีนักธุรกิจเจรจางานในห้องอาหารในสวนสนุก และที่นี่คือจุดเริ่มต้นและเป็นแรงบันดาลใจ ให้ชายหนุ่มที่ชื่อว่า วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ สร้างสุดยอด “สวนสนุกแห่งความสุขของโลก” หรือ Disney Land ก็มีจุดเริ่มต้นจากโคเปนเฮเกนนี่เอง

    รายละเอียดความสุขนั้นมีตั้งแต่ที่ทำงานไปถึงที่บ้าน เดนิชชอบ ชาร้อน ๆ ในบรรยากาศสลัว ๆ กลางแสงเทียน บ้านพวกเขาจะมืดในมาตรฐานชาวเอเชีย การนั่งโซฟาดี ๆ ริมเตาผิง ทุกสิ่งในบ้านจะกลมกลืนกับธรรมชาติ ชิมเค้กอร่อย ๆ นั่งเล่นเกมกระดานกระดาษกันในมุมโปรด ไม่มี Ipad ไม่มีโทรศัพท์ มีแต่บทสนทนาที่มีแต่ความหมาย นี่คือ Hygge ของพวกเขา

    5. การช่วยเหลือผู้อื่นและ Sense of Purpose ผลวิจัยบอกว่าในหนึ่งเดือนมีเดนิชถึง 67% ของประชากรทั้งหมดที่ช่วยเหลือบุคคลแปลกหน้า ผมไม่แปลกใจเพราะนี่เป็นประเทศในไม่กี่แห่งที่ผมได้รับการยื่นมือหลาย ๆ ครั้งก่อนที่ผมจะร้องขอเสียอีก พวกเขามีอัตราการบริจาคคืนสู่สังคมสูงในระดับ 20% ของรายได้ พวกเขาจะเต็มไปด้วย “Sense of Purpose” ของงานที่ทำเสมอ ๆ พวกเขาตะหนักว่างานของพวกเขานั้น มีความหมายกับชีวิตผู้อื่น เป็นรายละเอียดที่ “ใส่ใจ” ลงไป ความสุขและความหมายของชีวิตจึงส่งถึงกันและกันตลอดเวลา และนี่คือการลงทุนในความสุขที่เป็นประจักษ์แก่ชาวโลกแล้วว่า พวกเขาได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
[/size]
โพสต์โพสต์