รถยนต์ไร้คนขับอาจมาถึงเร็วเกินคาด?/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1890
ผู้ติดตาม: 311

รถยนต์ไร้คนขับอาจมาถึงเร็วเกินคาด?/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

บทความดังต่อไปนี้รวบรวมโดย น.ส. ณิชมน รุ่งโรจน์ ผู้ซึ่งมาฝึกงานกับผม และได้ช่วยในการหาข้อมูล และวิเคราะห์เกี่ยวกับพัฒนาการของเทคโนโลยี รถยนต์ไร้คนขับ ที่ผมเชื่อว่ากำลังเร่งตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เราอาจได้เห็นรถไร้คนขับได้ในเวลาอันใกล้นี้ครับ

แม้ว่าคนส่วนใหญ่ยังคิดว่ารถยนต์ไร้คนขับ (หรือ AV, Autonomous Vehicle) เป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก และแม้ว่ารถยนต์นั้น ก็มีการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มิได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ แต่ในอีกไม่ช้าโลกของรถยนต์อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็เป็นได้

ความพิเศษของ AV คือการใช้ GPS และเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence, AI) เพื่อขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ กล่าวคืออุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถ “มองเห็น” รอบด้าน รู้ถึงสถานการรอบตัว คาดเดาและตัดสินใจได้ว่าควรจะบังคับรถอย่างไรเพื่อให้ขับเคลื่อนอย่างปลอดภัยตลอดเวลา ทำให้สามารถลดความผิดพลาดที่เกิดจากคนขับ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการใช้รถยนต์พบว่า 94% ของอุบัติเหตุบนถนนเกิดจากความผิดพลาดของคน ดังนั้น AV จะสามารถช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น เพราะระบบ AV จะทำงานตลอดเวลาไม่รู้จักเหนื่อยและไม่ขาดสมาธิหรือเล่นมือถือ หรือโทรศัพท์คุยกับเพื่อน ฯลฯ นอกจากนี้ AV ยังมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ไม่สามารถขับรถเองได้เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ อีกทั้งยังสามารถทำหน้าที่ขับรถระยะทางไกล รับส่งลูก ฯลฯ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการพัฒนาระบบ AV ได้ก้าวหน้าอย่างมากมาย โดยในเดือนพฤษภาคม 2017 บริษัท Waymo ซึ่งมีบริษัทแม่เดียวกันกับ Google คือ Alphabet Inc. ได้ออกมาเปิดเผยผลของการทดลองระบบไร้คนขับบนถนนจริงมามากกว่า 2 ล้านไมล์ สิ่งที่น่าสนใจคือผลของการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ในกว่า 2 ล้านไมล์ที่วิ่งนั้น รถที่ใช้ระบบไร้คนขับเกิดความผิดพลาดน้อยมาก คือเป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุแค่ 1 ครั้ง ซึ่งอัตราอุบัติเหตุนี้ ต่ำกว่าผู้ขับขี่ที่เพิ่งเริ่มขับรถถึง 40 เท่า และต่ำกว่าผู้ขับขี่ในวัยที่ขับรถปลอดภัยที่สุด (อายุ 60-69 ปี) ถึง 10 เท่า ถึงแม้ว่า AV จะมีอัตราที่เป็นฝ่ายผิดต่ำ แต่ถ้าหากมองจากอัตราการเกิดอุบัติเหตุโดยรวม (ทั้งที่ AV เป็นฝ่ายผิดและไม่ผิด) แล้ว จะเห็นได้ว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุของ AV ยังสูงกว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุของผู้ขับขี่รถยนต์วัย 25 ปีขึ้นไปอยู่ซึ่ง เหตุเพราะ AV ถูกสร้างให้ขับตามระเบียบจราจรทุกอย่าง แต่คนขับรถอาจจะไม่คุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุชนท้าย AV บ่อยครั้ง (โดย AV ไม่ผิดแต่คนขับเป็นฝ่ายผิด)

ในขณะเดียวกัน ซีอีโอของ Tesla นาย Elon Musk ให้คำมั่นว่าระบบไร้คนขับใหม่จะสามารถขับเคลื่อนรถ Tesla จาก นครนิวยอรค์ ไปถึง นครลอสแอนเจลลิส (ระยะทาง2,800 ไมล์) โดยไม่ต้องใช้คนขับเลย

นอกจากบริษัทรถยนต์ที่มีชื่อเสียงแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple ก็เข้ามาร่วมพัฒนาระบบ AV ชื่อว่า Project Titan ซึ่งก่อนหน้านี้ Apple พยายามที่จะผลิตรถของตัวเองเป็นหลัก แต่หลังจากที่นำ นาย Bob Mansfield ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสินค้าหลักเช่น iPad และ MacBook ให้กับ Apple มาหลายปีมาเป็นผู้นำโปรเจ็คคนใหม่ Apple จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาพัฒนาที่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแทน โดยซีอีโอของ Apple นาย Tim Cook ได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของ AV, EV และระบบขนส่งส่วนบุคคล ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันและ AV จะมีศักยภาพในการทำให้มูลค่าบริษัทสูงขึ้นเหมือนกับที่ EV ทำให้บริษัท Tesla มีมูลค่าหุ้นเท่ากับ 61, 827 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะมียอดขายรถยนต์เพียง 25,418 คันในไตรมาส 1 ของปีนี้ ในขณะที่ General Motors ซึ่งมีมูลค่าหุ้นเท่ากับ 51,560 ล้านเหรียญสหรัฐ มียอดขายรถยนต์ 546,838 คันในช่วงเดียวกัน

ถึงแม้ว่าทั้ง 3 บริษัทจะแสดงความพร้อมในตลาด AV, EV แต่ในที่สุดแล้วทิศทางจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริโภคว่าจะยอมรับเทคโนโลยีใหม่ได้รวดเร็วแค่ไหนผลของการวิจัยจาก Deloitte พบว่า ¾ ของชาวอเมริกันยังไม่ให้ความไว้วางใจรถที่ไม่มีคนขับ บางคนไม่ชอบเพราะกลัวเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่หลายๆ คนก็เป็นห่วงผลกระทบในเชิงธุรกิจยกตัวอย่างเช่น ดีลเลอร์รถยนต์ แท็กซี่ หรือบริษัทประกัน ฯลฯ

ทางหนึ่งที่จะทำให้คนเชื่อถือในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติคือควรสร้างระบบ rating system ซึ่งสร้างโดยรัฐบาลเพื่ออธิบายว่าการใช้ AV ปลอดภัยมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับการใช้คนขับธรรมดา เนื่องจากระบบนี้ยังแปลกใหม่เกินไปกับความรู้สึกของคนในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องให้ข้อมูลอย่างเพียงพอและให้ทดลองใช้เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย อาจเปรียบเทียบได้กับช่วงเริ่มต้นของธุรกิจการบินที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าคนส่วนใหญ่จะหายกลัวการเข้าไปนั่งโดยสารในพาหนะที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยความเร็ว 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ปัจจุบันการเดินทางโดยเครื่องบินก็ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
[/size]
โพสต์โพสต์