TPP กับ RCEP/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

TPP กับ RCEP/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เมื่อสหรัฐถอนตัวจากข้อตกลง TPP ก็ทำให้มีการนำเสนอ RCEP ขึ้นมาแทนที่ โดยพูดว่า RCEP ซึ่งมีประเทศสมาชิกรวมถึง 16 ประเทศ ก็มีขนาดใหญ่และความสำคัญไม่แพ้ TPP ซึ่งมีสมาชิกรวม 12 ประเทศ

ผมจะไม่กล่าวถึงขนาดของ TPP เมื่อเทียบกับ RCEP ในเชิงของจีดีพีหรือประมาณการค้า เพราะได้มีการกล่าวถึงและให้ข้อมูลดังกล่าวอย่างกว้างขวางแล้ว แต่ประเด็นที่สำคัญคือการเร่งรัดการเจรจาให้ RCEP บรรลุข้อตกลงภายในปีนี้ ทั้งนี้เพราะเป็นที่เข้าใจกันว่า RCEP จะมาทดแทน TPP ได้ แต่ในความเห็นของผมนั้น TPP กับ RCEP แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญคือ RCEP นั้นมีแต่ประเทศที่อยากขายของ (ต้องการส่งออก) แต่ TPP นั้นมีความต้องการซื้อของ (มีการนำเข้ามากกว่าการส่งออก)

ผมจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการขาดดุล หรือเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศหลัก ในทั้งสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกัน ทั้งนี้ผมมิได้นำเอาตัวเลขทั้งหมดของ 12 ประเทศ TPP หรือตัวเลขของทุกประเทศสมาชิก RCEP นำเสนอ เพราะเพียงแต่คัดเอาตัวเลขการขาดดุลหรือเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงสุดประมาณ 10 กว่าประเทศในแต่ละกลุ่ม ก็สะท้อนข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ดีแล้วดังปรากฏในตารางข้างล่าง ซึ่งอาศัยตัวเลขข้อมูลของปี 2015 (พันล้านเหรียญสหรัฐ)

จะเห็นได้จากตารางข้างต้นว่ากลุ่ม TPP นั้นน่าเข้าร่วม เพราะสหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมาก (และสูงมาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา) นอกจากนั้นสหรัฐขาดดุลการค้ามากกว่าขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศอื่นๆ ที่อยากขยายการส่งออก (เช่นไทยตั้งเป้าส่งออกเพิ่มขึ้น 5% ปีนี้) นอกจากนั้นออสเตรเลียก็ยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างสูงและต่อเนื่องเช่นกัน เม็กซิโกและแคนาดาก็ขาดดุลาการค้าไม่น้อย โดยรวมกันแล้ว ขาดดุลการค้ากว่า 6 แสนล้านเหรียญ ในขณะที่ประเทศสมาชิก TPP ที่เกินดุลการค้านั้นรวมกันมีมูลค่าเพียง 201,000 ล้านเหรียญเท่านั้น

บางคนอาจแย้งว่าการขาดดุลมากๆ แปลว่าในอนาคตจะต้องลดการขาดดุลลง ซึ่งในกรณีของสหรัฐนั้นไม่จำเป็น เพราะการต้องลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดโดยฉับพลันนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเงินทุนไหลเข้ามาไม่เพียงพอ ทำให้ทุนสำรองของประเทศร่อยหลอลง (เช่นประเทศไทยในปี 1997) แต่ในกรณีของสหรัฐนั้น ธนาคารกลางสหรัฐจะพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ได้ เพราะทุกประเทศยอมรับ (โดยสมัครใจ) ให้เงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ดังนั้นสมาชิกของทีพีพีจึง “ยอม” เจรจากับสหรัฐมาโดยตลอดเพื่อหวังจะได้ขายของให้อเมริกาเพิ่มขึ้น แต่เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ถอนตัวสหรัฐจากทีพีพี ก็เหมือนกับละครเรื่อง Romeo and Juliet ที่ไม่มี Juliet แสดงร่วมด้วย

ในส่วนของตัวเลขการขาดหรือเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศสมาชิก RCEP ที่มีนัยสำคัญนั้น สรุปได้จากตารางข้างล่าง

จะเห็นได้ว่าตัวเลขแตกต่างจากสมาชิก TPP อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงจึงมีความต้องการนำเข้าสูง) มีเพียง 3 ประเทศและมูลค่าการขาดดุลรวมกันไม่ถึง 1 แสนล้านเหรียญ แต่ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวมีอยู่ 9 ประเทศมูลค่าเกินดุลบัญชีเดินสะพัดรวมกันมากถึง 764,000 ล้านเหรียญ ซึ่งหากไม่นับรวมฮ่องกงและไต้หวัน (ผมนำมารวมเพราะ “เป็นส่วนหนึ่งของจีน”) ก็ยังไม่ทำให้ข้อสรุปเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

นอกจากนั้นสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ความมั่นใจในการเป็นผู้นำขับเคลื่อนการค้าแบบเสรีของจีนถูกบั่นทอนลงไปมาก เพราะมีข่าวแพร่หลายว่ารัฐบาลจีนสั่งปิดร้านค้าปลีกของบริษัท Lotte ของเกาหลีใต้ 23 แห่งในจีน โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากเพลิงไหม้ (fire-safety related) โดยเป็นที่ทราบกันว่าสาเหตุที่แท้จริงคือการที่กลุ่ม Lotte ยอมแลกที่ดินให้กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ใช้เป็นฐานทัพในการติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ THAAD ของสหรัฐ เนื่องจากเกาหลีใต้เกรงภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ แต่จีนไม่พอใจเพราะระบบ THAAD นั้น อาจทำให้สหรัฐสามารถใช้สอดแนมและรับรู้การใช้ขีปนาวุธของจีนล่วงหน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นกระทรวงการท่องเที่ยวของจีน ยังได้สั่งการให้บริษัทท่องเที่ยวของจีนยุตติการส่งนักท่องเที่ยวไปเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม เป็นต้นไป ดังนั้นผลประโยชน์ที่ประเทศต่างๆ หวังจะได้รับจาก RCEP นั้น ก็คงจะต้องถูกลดทอนลงไปด้วย เพราะจีดีพีของจีนประเทศเดียวนั้นน่าจะเท่ากับจีดีพีของประเทศสมาชิก RCEP ที่เหลือทั้งหมด 15 ประเทศ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าประเทศในเอเชียจะไม่ถูกรังแก จากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ตรงกันข้ามผมมองว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง การดำเนินนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์ อาจจะย่ำแย่กว่าที่คาดคิดกันในขณะนี้ ดังนั้นจึงจะต้องเตรียมตัวและระวังตัวให้ดีครับ
[/size]
โพสต์โพสต์