Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ (4)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ (4)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ครั้งที่แล้วผมอาศัยรายงานข่าวของ Wall Street Journal วันที่ 28 เมษายน ซึ่งขอเล่าต่อจากครั้งที่แล้วครับ

WSJ รายงานว่า The government fears that Germany’s leadership is threatened by a massive change in the industry…the emergence of electric cars coming from Tesla and from Silicon Valley and Asia” สังเกตการณ์ใช้คำว่า “fear” “threatened” และ “massive” ซึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาลนายก Merkel คือนาย Sigmar Gabriel สรุปว่า “The reinvention of the automobile is mainly being driven by companies that do not have their headquarter in Germany” โดยกล่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีจำเป็นต้องให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์เหมือน กับการสนับสนุนบริษัทเครื่องบิน Airbus เพื่อให้ยุโรปสามารถแข่งขันและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินเพื่อต่อสู้กับบริษัท ผลิตเครื่องบินของสหรัฐเมื่อ 40 ปีก่อนหน้า

รายงานของ Wall Street Journal ทำ ให้มองได้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันและรัฐบาลเยอรมันเห็นถึงภัยอันตรายที่ อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหลักของเยอรมันได้ หากรถยนต์ไฟฟ้าทำได้ตามที่สัญญาเอาไว้กับผู้บริโภค คือ การผลิตรถออกมาขายเป็นจำนวนล้านคันที่ราคาถูกกว่า ค่าบำรุงซ่อมแซมต่ำกว่าและค่าเติม “น้ำมัน” ต่ำกว่า แต่ยังใช้งานได้ดีหรือดีกว่ารถยนต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

แต่บางคนอาจมองว่าเป็นการตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่า เพราะ ก็ยังเป็นการคาดเดาและปัจจุบันรถไฟฟ้า (หมายถึงที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าและที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน/ดีเซล ผสมกับเครื่องยนต์ไฟฟ้า) ก็ยังมียอดขายไม่ถึง 500,000 คันในปี 2015 ในขณะที่ยอดขายรถยนต์รวมทั้งสิ้นมีสูงถึง 74 ล้านคันทั่วโลก และในขั้นนี้ก็ต้องยอมรับว่ารถยนต์ “ลูกผสม” ที่นำมาขายในตลาดประเทศไทยในขณะนี้ ทำให้หลายคนยังมองไม่เห็นว่ารถเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะมาทดแทนรถเครื่องยนต์ ICE ได้อย่างไร

เช่น รถยี่ห้อหรูชั้นนำที่เสนอขายราคา 6-7 ล้านบาทในขณะนี้ มีที่เก็บของท้ายรถลดลงอย่างมาก เพราะต้องถูกกันเอาไว้เป็นที่เก็บแบตเตอรี่ ซึ่งนอกจากจะกินที่จนทำให้ไม่สามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ 3-4 ถุง เช่นรถปกติ (อันนี้เขาบอกว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับรถหรู) นอกจากนั้นยังทำให้รถมัน้ำหนักขึ้นอีกเป็นร้อยกิโลกรัม และเพิ่มความสลับซับซ้อนเวลาต้องซ่อมแซม (เพราะมีเครื่อง 2 ประเภท ระบบเชื้อเพลิง 2 ประเภท และระบบบริหารจัดการและประสานงานเครื่องยนต์ 2 ประเภทในรถคันเดียว) แต่หากใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน ก็จะขับได้เพียง 30-40 กิโลเมตรเท่านั้น ไม่พอที่จะใช้งาน 1 วันด้วยซ้ำ

ปัจจุบัน Tesla ก็ยังมียอดขายเพียงไม่กี่หมื่นคันและ ยอดขายรถที่มีเครื่องยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกนั้นก็มีไม่ถึง 500,000 คันในปีที่แล้ว ดังที่กล่าวข้างต้นและจำนวนรถไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งโลกก็เพิ่งเกิน 1 ล้านคันเมื่อปลายปีที่แล้ว ในขณะที่จำนวนรถยนต์ทั้งหมดในโลกนั้นน่าจะมีอยู่เกือบ 1 พันล้านคัน (รวมรถบรรทุกและรถโดยสารทั้งหมดด้วย) สำหรับคนไทยนั้นก็ได้สัมผัสรถประเภทลูกผสม (Hybrid) คือมีทั้งเครื่องเบนซิน/ดีเซลและเครื่องไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักเพราะราคายังสูงและมีข้อจำกัดเช่นทำให้ห้อง เก็บของเล็กลง รถมีน้ำหนักมากขึ้น และค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาก็สูงมากขึ้นไปอีกด้วย เพราะต้องดูแลทั้งเครื่อง ICE และเครื่องไฟฟ้า ตลอดจนระบบที่ควบคุมทั้งสองเครื่องยนต์ให้ทำงานร่วมกัน

หากจะตอบแบบหักมุม ก็ขอให้ดูข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกคือ GM Ford Benz และ BMW เมื่อเทียบกับข้อมูลหุ้นของบริษัท Tesla ซึ่งเพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่ถึง 15 ปี ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นแต่ละบริษัทมีอายุ 100 ปีหรือมากกว่านั้น ดังปรากฏในตารางข้างล่างครับ

ปกติราคาหุ้นที่ต่างกันคือ 30, 50 หรือ 200 ดอลลาร์ ไม่ได้บอกอะไร แต่ในกรณีนี้ราคาหุ้นของบริษัทรถยักษ์ใหญ่อยู่ที่ระดับนี้มาหลายสิบปี ในขณะที่ราคาหุ้น Tesla นั้นอยู่ที่ 20-35 ดอลลาร์ในช่วงแรกที่เข้าตลาด แต่ราคาปรับขึ้น 5-6 เท่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญคือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตรถยนต์มียอดขายบริษัทละเกือบ 10 ล้านคันต่อปี กลับมีมูลค่าหุ้นมากกว่าบริษัท Tesla เพียง 1 เท่าตัว (Tesla มีมูลค่าหุ้น 30,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Benz BMW Ford และ GM มีมูลค่าหุ้น 50,000-70,000 ล้านดอลลาร์) ทั้งๆ ที่ยอดขายของ Tesla นั้นมีเพียง 20,000-30,000 คันต่อปี

นอกจากนี้ Tesla ไม่มี P/E กล่าวคือขาดทุนมาโดยตลอดทุกปี ดังนั้น Tesla จึงมีแต่ขอเพิ่มทุน ไม่เคยมีกำไรมาแบ่งสรรให้กับผู้ถือหุ้น ในขณะเดียวกันบริษัทรถยักษ์ใหญ่นั้น P/E ต่ำเพียง 5-7 เท่า กล่าวคือราคาหุ้น 50 ดอลลาร์นั้นสามารถทำกำไรได้ 15-20% ของราคาหุ้น จึงมีเงินเหลือที่จะปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เกือบ 5% ทุกปี (ยกเว้น Volkswagen ซึ่งคงจะขาดทุนในช่วงนี้)

การที่ราคาหุ้น Tesla สูงมากกว่าราคาหุ้นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ แปลว่านักลงทุนคาดหวังในการขยายตัวของบริษัท Tesla และความสามารถของบริษัท Tesla ในการทำกำไรให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ไม่ แพ้บริษัทยักษ์ใหญ่ข้างต้น ซึ่งเป็นข้อสรุปเดียวกันกับรัฐบาลเยอรมันและบริษัทรถเยอรมัน แต่หากประเมินจากการคาดการณ์ของ Tesla เองว่าจะมียอดขายรถ Tesla model 3 ปีละ 500,000 คันในปี 2018 ก็ยังต้องตั้งคำถามว่าบริษัทรถยนต์ที่มียอดขายเท่ากับ 5% ของยอดขายของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ (Toyota, Volkswagen, GM, Nissan, Hyundai, Ford) จึงมีมูลค่าหุ้นประมาณ 40% ของมูลค่าหุ้นบริษัทดังกล่าว
[/size]
แนบไฟล์
638134_0_1467009807.jpg

โพสต์โพสต์