เนสท์เล่/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

เนสท์เล่/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    หลังจากที่ดิฉันรวบรวมบทความพิมพ์แจก พบว่ามีผู้ชื่นชอบบทความเกี่ยวกับประวัติและตัวอย่างของธุรกิจต่างๆกันมาก และอยากให้เขียนถึงธุรกิจเหล่านั้นเพิ่มเติม ในวันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวของบริษัทที่ก่อตั้งมาครบ 150 ปีในปีนี้ คือบริษัทเนสท์เล่ ค่ะ

    เนสท์เล่ ก่อตั้งในปี 1866 โดยเกิดจากสองบริษัท บริษัทแรกคือ แองโกล-สวิส คอนเดนซ์มิลค์ ซึ่งก่อตั้งโดย สองพี่น้องชาวอเมริกันชื่อ ชาร์ลส์ และจอร์จ เพจ ได้ตั้งบริษัทขึ้นมาในเมือง ชาม (Cham) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อผลิตนมข้นหวานยี่ห้อ มิวค์เมด (Milk Maid) ท่านผู้อ่านที่มีวัยใกล้เคียงกับดิฉันคงพอจะจำกันได้ถึงนมข้นหวานที่คนไทยเรียกว่า “ตราแหม่มทูนหัว” ตามรูปที่ปรากฏบนกระป๋องนม

    ชาร์ลส์และจอร์จ เลือกตั้งบริษัทที่สวิสเซอร์แลนด์เพราะมีนมสดซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบมากมาย แต่ปัญหาของคนในสมัยที่ไม่มีตู้เย็นใช้คือ อายุของนมสดจะสั้น เก็บไว้ได้ไม่นาน ทั้งสองพี่น้องจึงผลิตนมข้นหวาน หรือที่เรียกกันว่า Condensed Milk ขึ้นมา โดยเป็นนมที่เก็บได้นานขึ้น

    ในขณะเดียวกัน ที่เมือง เวเว่ย์ (Vevey) ในสวิสเซอร์แลนด์ เภสัชกรชาวสวิส ซึ่งย้านถิ่นฐานมาจากเยอรมนี ชื่อ อองรี เนสท์เล่ (Henri Nestlé) ซึ่งมีชื่อเยอรมันว่า ไฮน์ริค เนสเทิล (Heinrich Nestle) ได้ก่อตั้งธุรกิจผลิตแป้งผสมนมโค เพื่อใช้เลี้ยงทารก ซึ่งไม่สามารถได้รับนมจากมารดา เพื่อแก้ปัญหาอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารก ตั้งชื่อบริษัทตามนามสกุลของตนเองว่า “เนสท์เล่” โดยใช้ตราสัญลักษณ์หรือโลโก้เป็นรูปรังนกกับนกสองตัว (ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโลโก้ของบริษัทในทุกวันนี้) และได้ผลิตนมข้นหวานเป็นสินค้าเพิ่ม

    ในปี 1875 อองรี เนสท์เล่ ได้ขายธุรกิจให้กับนักธุรกิจท้องถิ่น 3 คน และบริษัทมีการขยายงานต่อ โดยยังคงใช้ชื่อเดิมเพื่อเป็นเกียรติแก่ อองรี เนสท์เล่

    ปี 1878 การแข่งขันระหว่าง เนสท์เล่ และ แองโกล-สวิส คอนเดนซ์มิวค์ เป็นไปอย่างเข้มข้น โดยเนสท์เล่ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์อาหารธัญญพืชสำหรับเด็ก และในปี 1882 แองโกล-สวิส คอนเดนซ์มิวค์ ได้ขยายตลาดไปยังสหรัฐอเมริกา แต่จอร์จ เพจ ก็เสียชีวิตลง แผนการขยายงานของแองโกลฯจึงสะดุดและได้ขายกิจการในสหรัฐไปในปี 1902

    บริษัทเนสท์เล่ ได้มีบทบาทสำคัญในการร่วมคิดผลิตช็อคโกแลตนมตั้งแต่ปี 1875 และได้นำออกสู่ตลาดในปี 1904

    ในปี 1905 แองโกล-สวิส คอนเดนซ์มิวค์ ได้ควบรวมกิจการกับ เนสท์เล่ ใช้ชื่อบริษัทว่า Nestlé and Anglo-Swiss Condensed Milk Co. มีสำนักงานใหญ่ 2 แห่ง คือที่ เมืองชาม และ เวเว่ย์ และเปิดสำนักงานที่สามในกรุงลอนดอน เพื่อดูแลเรื่องการส่งออก ทั้งนี้มีการเพิ่มสินค้า นมข้นไม่หวาน และนมสเตอริไรส์ด้วย

    บริษัทใช้ชื่อ Nestlé and Anglo-Swiss Condensed Milk Co. มาจนถึงปี 1947 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Nestlé Alimentana S.A. หลังจากเข้าซื้อกิจการ แม้กกี้ (Maggi) ผู้ผลิตซุปและเครื่องปรุงอาหาร และเปลี่ยนชื่อเป็น Nestlé S.A. ในปี 1977

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีความต้องการนมข้นหวานและช็อคโกแลตเพิ่ม แต่บริษัทก็ประสบภาวะขาดแคลนน้ำนม ในยุโรป ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดได้มากนัก จึงเซ็นสัญญาซื้อน้ำนมดิบจากออสเตรเลีย เพื่อผลิตสินค้าขายให้กับเอเชีย ทั้งยังเข้าซื้อกิจการทำนมผงชื่อ Egron ของสวีเดน โดยเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง บริษัทมีการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว และมีโรงงาน 40 แห่ง รวมถึงในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

    บริษัทเข้าซื้อบริษัทช็อคโกแลต Peter-Cailler-Kohler ในปี 1929 เปิดตัวเครื่องดื่มช็อคโกแลตมอลต์ “ไมโล” ในออสเตรเลียในปี 1934 และเริ่มขายวิตามินในปี 1936

    สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทลดลงอย่างมาก แต่บริษัทก็ได้ขยายไปสร้างโรงงานในประเทศกำลังพัฒนา และเมื่อสินค้าใหม่ของบริษัทคือ เนสกาแฟ ซึ่งเป็นกาแฟผงสำเร็จรูปที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหากาแฟล้นตลาดในบราซิล ในปี 1929 ถูกนำออกวางตลาดในปี 1938 และได้รับคัดเลือกให้เป็นเครื่องดื่มในกองทัพสหรัฐ ยอดขายของบริษัทจึงเพิ่มขึ้น

    สินค้าอีกตัวหนึ่งคือ เนสที (Nestea) ได้นำออกวางตลาดในปลายทศวรรษ 1940

    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง คำสั่งซื้อจากรัฐบาลหมดไป บริษัทจึงต้องพยายามขายสินค้าใหม่อื่นๆ โดยช็อคโกแลต ได้กลายเป็นสินค้าสำคัญของบริษัท

    บริษัทขยายกิจการไปมากมาย บางส่วนคิดค้นทำขึ้นเอง และบางส่วนเกิดจากการเข้าไปซื้อกิจการ เช่น เข้าซื้อกิจการที่เป็นคู่แข่ง เช่น คาร์เนชั่น และซื้อกิจการที่มีแนวโน้มจะเป็นสินค้าทดแทนสินค้าของบริษัท คือ คอฟฟี่เมต ในปี 1984

    ในปี 2015 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 88,785 ล้านสวิสฟรังก์ (ประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท) ถือเป็นบริษัทอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีกำไรสุทธิ 9,066 ล้านฟรังก์ (ประมาณ 326,376 ล้านบาท) คิดเป็นอัตรากำไร 10.2% มีกำไรต่อหุ้น 2.9 ฟรังก์ จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 2.25 ฟรังก์ ราคาหุ้น ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2559 เท่ากับ 74 ฟรังก์ คิดเป็น (P/E) 25.5 เท่าของกำไร

    บริษัทมีการจ้างงาน 335,000 คน ขายสินค้าใน 189 ประเทศทั่วโลก ว่ากันว่า ทุกๆวินาทีจะมีกาแฟของเนสท์เล่เสริฟทั่วโลกประมาณ 6,000 ถ้วยค่ะ

สินค้าของบริษัทมีมากมาย และในแต่ละประเภทก็มีหลายยี่ห้อ คือไม่ว่าท่านจะเลือกยี่ห้อไหน ก็อุดหนุนบริษัททั้งนั้น เช่น บริษัทเป็นเจ้าของทั้งน้ำแร่ Vittel  น้ำแร่อัดแก้ส ซานเปลลิกริโน และเปริเอ้ มีช็อคโกแลต เนสท์เล่ คิตแคท Cailler อาหารสัตว์ฟริสกี้ โปรแพลน และพูริน่า อาหารเด็กเกอร์เบอร์

    และที่ท่านอาจจะนึกไม่ถึงคือ บริษัทได้ซื้อเครื่องดื่มมอลท์คู่แข่งของไมโล คือโอวัลติน (Ovaltine) ด้วยในปี 2007

    เนสท์เล่ ถือเป็นตัวอย่างของกิจการที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป และในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ได้ใช้เงินลงทุนให้เป็นประโยชน์ต่อการรักษาตำแหน่งแชมป์ ด้วยการ “ซื้อ” กิจการ ปัจจุบันบริษัทเน้นทำธุรกิจ 3 ด้านคือ โภชนาการ สุขภาพ และสุขภาวะ โดยมีคำขวัญว่า “อาหารดี ชีวิตดี” (Good Food, Good Life)

หมายเหตุ : ข้อมูลหลักจากเว็ปไซต์ของบริษัท
[/size]
โพสต์โพสต์