ถนนการลงทุนเริ่มด้วยความผันผวน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1892
ผู้ติดตาม: 313

ถนนการลงทุนเริ่มด้วยความผันผวน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ตลาดทุนและตลาดโภคภัณฑ์ทั่วโลก เปิดปีใหม่มาด้วยความผันผวน และส่วนใหญ่ผันผวนในทางลง หากวัดความเสียหาย เพียงตลาดหุ้นสหรัฐประเทศเดียว ความมั่งคั่งของผู้ลงทุนนับจากต้นปี 2559 ถึง 15 มกราคม ก็หายไป 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 55 ล้านล้านบาท) และถ้าเปรียบเทียบกับจุดที่หุ้นสหรัฐขึ้นไปสูงสุดเมื่อ 21 พฤษภาคม 2558 แล้ว ณ วันศุกร์ที่ 15 มกราคม มูลค่าตลาดหุ้นลดลงไปถึง 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84 ล้านล้านบาท)  ยังไม่นับรวมตลาดหุ้นเอเชีย ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งต่างก็ปรับลดลงไปโดยถ้วนหน้า

    หุ้นที่ทำให้มูลค่าตลาดลดลงไปมากที่สุดคือ หุ้นของแอปเปิล (AAPL) ถ้าเปรียบเทียบกับจุดสูงสุดเมื่อ 21 พฤษภาคม 2558 แล้ว ณ วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2559 ราคาร่วงลงไป 26% ทำให้มูลค่าตลาดหายไปถึงประมาณ 218,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.9 ล้านล้านบาท)

    แม้ทุกคนจะคาดการณ์อยู่แล้วว่า ตลาดทุนในปี 2559 นี้จะมีความผันผวน ได้จัดพอร์ตเตรียมรับความผันผวนมาระดับหนึ่ง โดยมีเงินสด เงินฝาก และกองทุนรวมตลาดเงินเพิ่มขึ้นแล้ว  แต่ความผันผวนที่มีแต่ขาลง ต่อเนื่องกันหลายวัน มีเหวี่ยงกลับไปบ้างระหว่างวัน ระหว่างสัปดาห์ แต่ก็ปิดด้วยการลดลงนั้น ทำให้ใจห่อเหี่ยวได้มาก

    คำแนะนำแรกในสัปดาห์นี้คือ “ทำใจ” ให้รับกับความผันผวนและความไม่แน่นอนค่ะ  ทุกอย่างในโลก “สุดขั้ว” มากขึ้น ดินฟ้าอากาศ แปรปรวน ถ้าไม่ “น้อยไป” ก็ “มากไป” หาความพอดียาก  ถ้าเราทำใจได้ เราก็ไม่ทุกข์มาก

    แนะนำว่าหากทำใจไม่ได้นัก ก็อย่าติดตามราคาตลอดเวลา ตามทุกสิ้นวัน หรือ สิ้นสัปดาห์ก็ได้ค่ะ

    นักลงทุนที่ชำนาญ จะทราบว่าตลาดที่มีความผันผวน เป็นตลาดที่ต้อง “เทรด” คือต้องซื้อๆขายๆ  ซื้อแล้วถือนิ่งอยู่ อาจจะบาดเจ็บ แม้หลักทรัพย์ที่ซื้อจะเป็นหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีก็ตาม

    เมื่อจะ “เทรด” ซื้อขายทำกำไร ผู้ลงทุนควรมีความรู้ทางด้านเทคนิค (Technical Analysis) บ้างเล็กน้อย เพื่อจับจังหวะ “เข้า”ลงทุน และ “ออก”จากการลงทุน

    สำหรับปีนี้ น่าจะเป็นปีที่เราเห็นจุดต่ำสุดในรอบนี้ของสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้นทุน  และรวมไปถึงราคาของโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ เหล็ก ยาง โภคภัณฑ์อาหาร ฯลฯ

    ข้อดีก็คือ เป็นจุดเข้าลงทุนที่ดีค่ะ แต่ก็เหมือนอย่างที่ดิฉันเขียนไปเมื่อต้นปี คือ ต้องมีความระมัดระวัง ไม่พรวดพราดลงทุนหมดในคราวเดียว เพราะเราไม่ทราบว่าจุดที่เข้าไปลงทุนนั้น เป็นจุดต่ำที่สุดแล้วหรือยัง

    หากผู้ลงทุนใช้วิธีเฉลี่ยต้นทุน ก็จะแบ่งเงินลงทุนเป็นส่วนๆ และทยอยลงทุนเป็นช่วงๆ

    หากใช้วิธีทางเทคนิค เขาไม่ได้แนะนำให้เข้าซื้อเวลาที่ราคากำลังร่วงลงนะคะ คือเราจะไม่สามารถซื้อได้ในราคาต่ำที่สุด เพราะเวลาที่ควรจะเข้าซื้อ คือหลังจากราคาอยู่นิ่งและเริ่มขยับขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

    อย่าลืมที่จะประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ใหม่ ตามสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วยนะคะ ทุกอย่างเปลี่ยนไปรวดเร็ว และสิ่งที่เปลี่ยนไปอาจจะมีทั้งในทางลบและทางบวก เพราะฉะนั้น จะดูสัญญาณทางเทคนิคอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูพื้นฐานเป็นสำคัญ ถ้าปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน การคาดการณ์ราคาเปลี่ยน ราคาเข้าซื้อลงทุนก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย สัญญาณทางเทคนิค จึงควรเอาไว้ใช้ประกอบเท่านั้น

    ยกตัวอย่าง เมื่อเดือนธันวาคม หลังจากธนาคารกลางสหรัฐหรือ “เฟด” ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย และกล่าวเป็นนัยว่าจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2559 นี้ โดยตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะขึ้น 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25%

    ผ่านปี 2559 ไปเพียง 15 วัน ตลาดพันธบัตรเริ่มมองแตกต่างแล้วค่ะ มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้เติบโตราบรื่นร้อนแรงอย่างที่คาด  และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 1 หรืออย่างมากเพียง 2 ครั้งในปีนี้ หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยก็จะยังคงต่ำอยู่ ส่งผลให้เข้าไปซื้อพันธบัตรระยะกลางกันมากขึ้น จนทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงต่ำกว่า 2% จึงทำให้ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นวิตกว่า เศรษฐกิจจะไม่สดใสตามคาด และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดอาจจะลดลง

    ยิ่งไปกว่านั้น การที่ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ของสหรัฐคือวอลมาร์ท(WMT) ออกมาประกาศว่าจะปิดร้านสาขาถึง 269 แห่งในปีนี้ ซึ่งเป็นการปิดสาขาที่มากที่สุดในรอบ 20 ปี รวมถึงจะเลิกทำร้านขนาดเล็กแบบ Express เนื่องจากยอดค้าปลีกในสหรัฐในปี 2558 อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 หลังเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งดูจะแข็งแกร่งมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อาจไม่ได้แข็งแกร่งตามคาด

    สำหรับผู้ลงทุนที่ใช้บริการของมืออาชีพ การทบทวนพอร์ตการลงทุนตามประเภทสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่าจัด Asset Allocation ลดความเสี่ยงของพอร์ตลงในปีนี้ อาจจะเพียงพอแล้ว 

    แต่สำหรับผู้ลงทุนที่ลงทุนด้วยตนเอง อย่าลืมทบทวนพอร์ตการลงทุนรายหลักทรัพย์ด้วยนะคะ แม้หลักทรัพย์บางหลักทรัพย์จะมีราคาลงมาถึงจุดที่เราเคยตั้งเป้าหมายว่าอยากจะซื้อ หรือขึ้นไปไม่ถึงราคาที่เราเคยตั้งเป้าหมายว่าอยากจะขาย  แต่ถ้าปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน ราคาเดิมที่เคยอยากจะซื้อ อาจจะไม่ใช่ราคาที่ควรจะซื้อ หรือราคาเดิมที่อยากจะขาย อาจไม่ใช่ราคาที่ควรขายก็เป็นได้

    คาถาการลงทุนในปีนี้ คือ ตั้งเป้าหมายในการ “เข้า”ซื้อให้ดี หาจังหวะในการ “ขาย”ออกให้เหมาะสม

    ถนนทางลงทุนปีนี้ไม่ราบรื่น ผู้ลงทุนต้องทำการบ้าน ต้องศึกษากันหนักหน่อยค่ะ การลงทุนจึงจะได้ผลดี

    หวังว่าบทความในสัปดาห์นี้ จะทำให้ท่านผู้อ่านสามารถ “ทำใจ” รับความผันผวน และพอจะทราบถึง “กลยุทธ์” ที่อาจทำให้พอร์ตการลงทุนดีขึ้นบ้างนะคะ
[/size]
โพสต์โพสต์