การลงทุนในปีวอก (2016)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

การลงทุนในปีวอก (2016)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ตลาดทุนเปิดทำการวันแรกเมื่อวันจันทร์ 4 ม.ค. ก็ได้เห็นตลาดหุ้นจีนปรับลดลง 5% ในภาคเช้า ทำให้หยุดการซื้อขายไปพักหนึ่งตามกฎใหม่ที่กำหนดขึ้นเพื่อลดความผันผวน แต่เมื่อเปิดการซื้อขายอีกครั้ง ราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลงไปอีกเกือบ 3% ทำให้ต้องยุติการซื้อขายในวันนั้น และต่อมาการปรับตัวลดลงของหุ้นจีนก็ได้ทำให้หุ้นในตลาดอื่นๆ ปรับตัวลดลงกันโดยถ้วนหน้า

โดยสรุปตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลง 1.5-2.0% ตลาดหุ้นยุโรปลดลง 2% โดยตลาดหุ้นเยอรมัน (ซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะจีนมากกว่าประเทศยุโรปอื่นๆ ) ปรับตัวลดลงถึง 4.3% กล่าวโดยรวมตลาดหุ้นทั่วโลกวัดจากดัชนี MSCI All Country World Index ปรับลดลง 2.1% ในวันทำการแรกของปีวอก 2016 ซึ่งมูลค่าหุ้นทั่วโลกทั้งหมดน่าจะประมาณ 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แปลว่าในวันแรกก็จนลงไปแล้ว 1.47 ล้านล้านดอลลาร์ เท่ากับ 3 เท่าของมูลค่าของจีดีพีไทย

ต่อมาวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม ราคาหุ้นตลาดจีนปรับตัวลงไป 7% อีกครั้งทำให้ต้องปิดตลาดหลังการซื้อขายไม่ถึง 1 ชม. ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงกันอย่างถ้วนหน้าอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็มีนักวิเคราะห์ออกมาให้กำลังใจว่า การที่หุ้นปรับขึ้นหรือลงในวันแรกของการทำการของปีนั้นมิได้เป็นลางร้ายแต่ อย่างใดเพราะในอดีตนั้นในกรณีของตลาดหุ้นสหรัฐ (ซึ่งยังเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก) นั้น หากวันแรกหุ้นขึ้นหรือลงก็จะไม่ได้กำหนดทิศทางของตลาดหุ้นในปีนั้นเป็นอย่าง ใด หากดูจากสถิติของการปรับตัวของราคาหุ้นในอดีต แต่หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงในเดือนมกราคม (ทั้งเดือน) ก็อาจต้องเป็นห่วงมากขึ้น เพราะจากสถิติของ Bloomberg ตั้งแต่ปี 1927 พบว่าหากหุ้นปรับตัวขึ้นหรือลงในเดือน ม.ค. ราคาหุ้นทั้งปีก็จะปรับในทิศทางเดียวกันมากถึง 72.4 ครั้งใน 100 ครั้ง ดังนั้นคงจะต้องมาลุ้นกันว่าราคาหุ้นที่ปิดในวันที่ 29 ม.ค.นั้นจะพลิกฟื้นจากระดับปัจจุบันได้หรือไม่

คำถามต่อมาคือ การปรับลดลงของหุ้นอย่างรุนแรงในวันที่ 4 ม.ค.นั้น เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานหรือเพราะปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆ ที่ไม่น่าจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว เช่น ในกรณีของตลาดหุ้นจีนนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนเห็นว่า มาตรการที่กำหนดให้นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นจีนไม่สามารถขายหุ้นได้เป็น เวลา 6 เดือน นับจากวันที่ตลาดเริ่มปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากำลัง จะครบกำหนดในวันศุกร์ที่ 8 มกราคม ทำให้นักลงทุนรายย่อยรีบทยอยขายหุ้นออกมาก่อน และรับผลกระทบจากการกู้เงินมาซื้อหุ้น (margin loan) แม้ว่า margin loanจะลดลงไปกว่า 17% จากที่เคยสูงสุดที่ 2.3 ล้านล้านหยวนในเดือนมิ.ย. 2015 ก็ตาม กล่าวคือเป็นไปได้ว่ามีการ “ตกใจขายและถูกบังคับขาย” มากเกินควรจาก 2 ปัจจัยที่กล่าวถึงข้างต้น

แต่ก็ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้นักลงทุนกังวลกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม ได้แก่

1. การที่ธนาคารกลางจีนกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่สูงกว่า 6.5 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้เงินหยวนอ่อนค่าเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจีนต้องการให้เงินหยวนอ่อนตัวลงไปอีกมากน้อยเพียงใด เพราะ ได้เคยมีการเก็งกันว่าเงินหยวนอาจจะอ่อนตัวลงไปที่ 6.9 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ หรืออ่อนกว่านั้นอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง กำลังซื้อสินค้าต่างประเทศของจีนก็จะลดลงไปและจีนจะส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลในโลกที่อุปสงค์กำลังขาดแคลน เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ตกต่ำอย่างผิดคาด เช่นราคาน้ำมันซึ่งนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ผิดพลาดอย่างหน้ามือ เป็นหลังมือ กล่าวคือคาดการณ์กันว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตอนปลายปี 2015 แต่ราคากลับตกลงไปที่ 35-37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

2.ดัชนีวัดการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนทั้ง อุตสาหกรรมใหญ่และอุตสาหกรรมโดยรวมสำหรับเดือน ธ.ค.ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ และต่ำกว่า 50 ซึ่ง แปลว่าการผลิตยังหดตัวอยู่ นอกจากนั้นตัวเลขของสหรัฐ (สำหรับเดือน ธ.ค.เช่นกัน) ก็ปรับตัวลดลงสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาด ทำให้นักลงทุนกังวลกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวของยุโรปออกมาในทิศทางที่ดีตามคาด

3.ความตึงเครียดที่รุนแรงขึ้นระหว่างประเทศซาอุดิอารเบียกับอิหร่าน จาก กรณีที่ประเทศซาอุดิอารเบียประหารชีวิตครูสอนศาสนานิกายชีอะพร้อมกับผู้ก่อ การร้ายซูนีพร้อมกันทั้งสิ้น 47 คน ซึ่งชาวอิหร่านตอบโต้โดยการเดินขบวนประท้วงและได้โยนระเบิดและบุกเข้าไปใน สถานทูตของซาอุดิอารเบียที่อิหร่าน ทำให้ซาอุดิอารเบียประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน โดยเหตุการณ์ซึ่งเกิดในช่วง 2-4 มกราคมนั้น ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงระยะสั้น ต่อมาเมื่อมีปัจจัยลบจากจีนซึ่งสะท้อนความอ่อนแอของอุปสงค์ก็ทำให้ราคา น้ำมันปรับตัวลดลง แต่ทั้งนี้ปัญหาระหว่างชาวซูนีกับชาวชีอะนั้น น่าจะยังยืดเยื้อต่อไปอีกหลายปี เพราะต่อมาประเทศบาห์เรน ยูเออีและซูดาน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับซาอุดิอารเบียก็ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับ อิหร่านเช่นกัน

นอกจากนั้นก็มีข้อมูลออกมาจากสหรัฐว่าสต็อกน้ำมันที่ศูนย์กลางการค้า-ขาย น้ำมันที่ Cushing มลรัฐโอกลาโฮมานั้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 63 ล้านบาร์เรลสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.และการผลิตของสหรัฐ (ซึ่งควรจะปรับลดลง) กลับเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 สัปดาห์ที่ 9.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเดิมทีนักวิเคราะห์ประเมินว่าหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผลผลิตก็จะปรับลดลงอย่างฉับพลัน แต่ปัจจุบันระดับการผลิตก็ยังมิได้ปรับลดลงมากนัก

ประเด็นสำคัญในส่วนของการผลิตน้ำมันดิบ คือความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในส่วนของการลดอุปทาน (เช่นอิหร่านและซาอุดิอารเบียเผชิญหน้ากัน และมีการปิดกั้นช่องแคบ Hormuz ทำให้การขนส่งน้ำมันปกติ 17 ล้านบาร์เรลต่อวันได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ) กับความอ่อนแอของการฟื้นตัวของอุปสงค์ของโลกนั้น ปัจจัยใดจะมีน้ำหนักมากกว่า ซึ่ง หากความเสี่ยงด้านอุปทานมีน้ำหนักมากกว่าความอ่อนแอด้านอุปสงค์ ราคาน้ำมันดิบโลกก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม ราคาน้ำมันก็น่าจะอยู่ที่ระดับปัจจุบันหรือปรับตัวลดลงไปได้อีก

ในส่วนนี้ธนาคารโลกได้เคยทำการวิเคราะห์เมื่อปีที่แล้ว (The Great Plunge in Oil Price March 2015) อุปทาน (การผลิต) มีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยด้านอุปสงค์ (ความต้องการ) ทั้งในด้านบวกและด้านลบ ตัวอย่างเช่นแม้จะมีความกังวลว่าการสู้รบในลิเบีย ความแตกแยกในอิหร่านและการคว่ำบาตรรัสเซียกรณีปัญหายูเครน แต่การผลิตน้ำมันดิบก็ไม่ได้ปรับลดลงมากดังที่คาด

แต่ทั้งนี้ การที่โอเปคเปลี่ยนท่าที (นำโดยซาอุดิอารเบีย) จากการรักษาเสถียรภาพของราคา (โดยการยอมลดการผลิต) มาเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาด (โดยการเพิ่มหรือไม่ลดการผลิตแม้ราคาจะลดลง) เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าซาอุดิอารเบียเป็นผู้กำหนดทิศทางของราคาน้ำมัน แม้จะมีกำลังการผลิตเป็นที่ 2 ของโลกรองลงมาจากรัสเซียครับ
[/size]
โพสต์โพสต์