โพสต์
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ช่วงวันหยุดต่อเนื่องยาวๆ หลายวันอย่างเทศกาลสงกรานต์ จะมีรายงานข่าวการเดินทางของผู้คนจำนวนมหาศาลออกจากกรุงเทพฯ ไปท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัดกันอย่างเนืองแน่นจนการจราจรหลายเส้นทางติดขัด และถึงกับต้องมีการจับตาอุบัติเหตุ “7 วันอันตราย” ของการเดินทางตั้งแต่ขาไปจนถึงขากลับ
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมเลือกปักหลักอยู่ที่กรุงเทพฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพฯ ค่อนข้างจะปลอดโปร่งจากผู้คน ถนนโล่ง เดินทางไปไหนมาไหนได้คล่องตัวและสะดวกสบายกว่าปกติ แต่ผมต้องประหลาดใจเมื่อได้ไปเดินในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใกล้ๆ บ้าน ซึ่งผมคิดว่าผู้คนน่าจะบางตา กลับปรากฏว่ามีผู้มาใช้บริการกันอย่างหนาแน่นมากมายเกินคาด
ที่เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าเป็นช่วงฤดูร้อน คนจึงหนีร้อนมาพึ่งแอร์เย็นๆในห้าง อีกส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่บริษัทหรือร้านค้าทั่วๆ ไปที่อยู่นอกห้างต่างปิดบริการเพื่อให้พนักงานได้ท่องเที่ยวพักผ่อนหรือกลับภูมิลำเนา การหาซื้อสินค้าหรือบริการหลายๆ อย่างนอกห้างจึงไม่สะดวกเท่ากับช่วงเวลาปกติ ในขณะที่ศูนย์การค้านั้นเปิดให้บริการโดยไม่มีวันหยุด
นอกจากนี้ในศูนย์การค้าหรือในห้างสรรพสินค้ายังมีสินค้าและบริการมากมายหลากหลายที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารเสริม หนังสือ เครื่องเขียน เครื่องกีฬา เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ไอที เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ซ่อมแซมตกแต่งบ้าน อุปกรณ์สำนักงาน อาหารแทบทุกประเภททั้งไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ รวมทั้งบริการอย่างธนาคาร โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส สถานเสริมความงาม สถาบันสอนภาษาและวิชาการ เพราะฉะนั้นการเดินห้างจึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการหลายๆ อย่างได้ภายในที่เดียว
ในฐานะของนักลงทุน ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าสินค้าและบริการที่อยู่ในห้างจำนวนไม่น้อยเป็นผลผลิตมาจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การเดินห้างจึงทำให้เราได้สัมผัสกับสินค้าและบริการเหล่านั้นได้อย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองโดยตรง ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้พบสินค้าหรือบริการบางอย่างที่ “เข้าตากรรมการ” และสามารถที่จะเชื่อมโยงไปถึงการค้นหาหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนได้อีกทางหนึ่ง
ผู้จัดการกองทุนระดับโลกอย่าง “ปีเตอร์ ลินซ์” เคยเล่าว่าเขาได้หุ้นเด็ดๆ หลายตัวจากการ “เดินห้างหาหุ้น” โดยเขาสังเกตจากสินค้าที่ภรรยาของเขาชอบซื้อ ร้านค้าที่ลูกๆ ของเขาโปรดปราน และเขาสังเกตเห็นว่าลูกค้าคนอื่นๆ จำนวนมากก็ให้การตอบรับสินค้าหรือร้านค้าเหล่านั้นเป็นอย่างดี และมีแนวโน้มที่จะไปได้ดีต่อเนื่องในอนาคต ถ้านักลงทุนสามารถจับสัญญาณเช่นนี้ได้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่คนอื่นๆ ในตลาดหุ้นจะรับรู้และหันมาให้ความสนใจในวงกว้าง ก็จะเป็นโอกาสในการลงทุนที่จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่งดงามได้เช่นกัน
นอกจากนี้ถ้านักลงทุนจะ “ทำการบ้าน” เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่ “เข้าตากรรมการ” เหล่านั้นให้มากขึ้น โดยการสอบถามความคิดเห็นของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการคนอื่นๆ พูดคุยกับพนักงานขาย ผู้จัดการร้าน หรือแม้กระทั่งคู่แข่ง อย่างที่ปรมาจารย์ “ฟิลลิป ฟิชเชอร์” เรียกว่าวิธี Scuttlebutt ก็จะทำให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่รอบด้านขึ้น
และถ้าหากพบว่าข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมานั้นน่าสนใจ ก็สามารถนำไป “ขยายผล” ด้วยการหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบริษัทให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน และอื่นๆ ซึ่งสามารถสืบค้นข้อมูลทั้งในปัจจุบันและข้อมูลย้อนหลังไปได้หลายปี เพื่อดูพัฒนาการและและแนวโน้มของบริษัท ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายเป็นกิจการที่น่าสนใจ และมีระดับราคาที่เหมาะสม นั่นก็อาจเป็นโอกาสให้เข้าไปลงทุนได้
นักลงทุนหลายคนชอบถามหา “หุ้นเด็ด” จากคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว “หุ้นเด็ด” อาจอยู่ใกล้ๆ หรือรอบๆ ตัวเรา เพียงแต่จะสังเกตและมองเห็นมันหรือไม่ เท่านั้นเอง
บันทึกไม่สำเร็จ