เตือนสตินักลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1893
ผู้ติดตาม: 313

เตือนสตินักลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

   กลางสัปดาห์ที่แล้วดิฉันมีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา Thailand Focus 2013 ที่ตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้นร่วมกับ Bank of America Merrill Lynch และ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร ซึ่งมีผู้ลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากต่างประเทศทั่วโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีโอกาสรับฟังนโยบายรวมไปถึงยุทธศาสตร์การบริหารประเทศและองค์กรธุรกิจที่สำคัญจากผู้บริหารระดับสูงจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยในปีนี้แนวคิดของงานเน้นย้ำถึงความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อกลุ่มประเทศภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งด้านภาคการผลิต และภาคการเงิน  โดยมีบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคอินโดจีนร่วมประชุมและนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้ด้วย 
   ความรู้สึกโดยรวมของดิฉันที่ได้จากการเข้ารับฟังคือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เรามีประชากรที่มีประสิทธิภาพ มีการศึกษา ภาคเอกชนของเรามีความแข็งแกร่ง ทำเลที่ตั้งของเราดี และเราน่าจะได้ประโยชน์จากการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจและสังคมอาเซียน  แต่ยังติดประเด็นต่างๆ ซึ่งวิทยากรหลายท่านได้ให้ข้อคิดว่า เราคาดการณ์ เราเห็นว่าต้องทำ เรามีแผนที่จะทำ แต่เรายังไม่ได้ทำ เป็นอย่างนี้มาเป็นเวลาช้านาน
   ดิฉันเคยเล่าให้เพื่อนๆฟังหลายครั้งว่า ดิฉันศึกษาและพบว่า ประเทศไทยมีแนวคิดเกี่ยวกับการทำรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครมาตั้งแต่ ปี 2511 และมีการวางแผนโครงข่ายไว้หลายครั้งหลายครา  ประเทศจีนส่งคนมาดูงานในบ้านเราในช่วงประมาณปี 2531 และกลับไป  ห้าปีต่อมาในปี 2536 จีนสร้างเสร็จ เราขอไปดูงานรถไฟฟ้าของจีนที่เซี่ยงไฮ้  จีนถามกลับมาอย่างประหลาดใจว่า ของเราสร้างเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมจึงต้องมาดูงานที่จีนอีก เราตอบกลับไปว่า ยังไม่ได้สร้าง 
   ขำไม่ออก  หลายๆโครงการของเราเป็นอย่างนี้ค่ะ คิดและไม่ได้เกิด ซึ่งหลายโครงการก็ไม่ควรเกิด แต่หลายโครงการที่ควรจะเกิดกลับไม่ได้เกิด และหลายโครงการก็ไม่น่าเกิดแต่ถูกผลักดันให้เกิด
   ต้องยอมรับว่ารัฐบาลหลายคณะ นักวิชาการ นักธุรกิจ และนักการเมือง ต่างทราบและตระหนักดีว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียด้วยกัน ประเทศไทยลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานน้อยมากในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เราจึงจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพื่ออนาคต
   อย่างหนึ่งที่ต้องลงทุนคือการขนส่งระบบราง ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายรัฐบาล เพราะต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยเราสูงถึง 15% ของจีดีพี ซึ่งระบบขนส่งทางรางที่ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูง เพราะต้นทุนการสร้าง และการบำรุงรักษาสูงมาก
   คุยกับหลายๆคน ต่างพูดว่า ไม่อยากคิดว่าเราจะมีรถไฟความเร็วสูงได้อย่างไร เพราะขนาดรถไฟธรรมดา ของเราก็ยังมีปัญหาในการการบำรุงรักษาทำให้ตกรางบ่อยจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว หากเป็นต่างประเทศคงถูกฟ้องร้องกันวุ่นวาย
   โดยเปรียบเทียบ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนอยู่  แต่น่าเป็นห่วงอนาคตว่าความสามารถในการแข่งขันของเรากำลังลดลงไปเรื่อยๆ เราน่าจะมีการจัดเรียงลำดับความสำคัญของการลงทุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเรา ศึกษาความเป็นไปได้โดยเปรียบเทียบ และจัดเงินลงทุนไปยังจุดต่างๆเหล่านี้ มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบและสามารถติดตามความคืบหน้าได้ 
   เชื่อว่าผู้ที่คัดค้านโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ ไม่ได้คัดค้านว่าจะมีการลงทุน ทุกคนอยากเห็นการลงทุนทั้งสิ้น แต่อยากเห็นเม็ดเงินถูกนำไปใช้ในโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่แท้จริง มากกว่าเพื่อความโก้เก๋อย่างฉาบฉวย และอยากเห็นว่ามีการศึกษาเปรียบเทียบให้รอบคอบ ก่อนดำเนินการ
   มาดูถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์บ้าง ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่างปรับลดลงมากันโดยถ้วนหน้า ราคาหุ้นของหลายๆบริษัท ตกลงมาจนค่าพีอี หรือราคาเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรต่อหุ้น ต่ำกว่า 10 เท่าแล้ว ถ้าการดำเนินธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นยังไปได้ดี มีการเจริญเติบโตอยู่ แม้การเติบโตอาจถูกปรับลดลงไปบ้างจากพิษของเศรษฐกิจโลก หรือการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค หากเป็นผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ในระยะยาว 3 ปีขึ้นไป อาจมองจุดนี้เป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุน หรือลงทุนเพิ่ม 
   จิตวิทยาลงทุนนั้นค่อนข้างแปลก เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนยังแย่งกันซื้อหุ้นกันอยู่ แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปบ้าง  แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ หุ้นเดียวกันที่มีราคาลดลง 30-40% กลับไม่มีใครอยากจะซื้อ
   การที่ตลาดทุนผันผวนทั่วโลกนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลพวงหนึ่งของกองทุนเปิด เนื่องจากมีกฎว่า เมื่อผู้ลงทุนมาขายคืน ผู้จัดการกองทุนจะต้องขายหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนอยู่ เพื่อนำเงินคืนให้กับผู้ลงทุน ดังนั้น แม้ผู้จัดการกองทุนจะเห็นว่าหุ้นนั้นๆไม่ควรจะขายในราคานี้ ก็ต้องขายเพื่อจะนำเงินไปคืน 
   ในช่วงเข้าลงทุนก็เหมือนกันค่ะ ผู้ลงทุนกลุ่มใหญ่มักจะเข้ามาลงทุนหลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ซึ่งแม้ผู้จัดการกองทุนจะเห็นว่าราคาหลักทรัพย์ค่อนข้างสูงแล้ว แต่ก็ต้องซื้อ เพราะมีเงินไหลเข้า แต่อาจจะเลือกซื้อหลักทรัพย์ที่ราคายังขึ้นไปไม่สูงมาก
   พฤติกรรมนี้ ทำให้ตลาดทุนของโลกผันผวน  เพราะฉะนั้น ผู้ลงทุนที่มีสติ มีการวิเคราะห์ที่ดี ทนความผันผวนในระยะสั้นได้ สามารถลงทุนได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว จะเป็นผู้ที่สามารถทำกำไรจากการลงทุนได้ดีกว่า
   ทั้งนี้ ต้องเตือนตัวเองไว้ตลอดเวลาว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” และวิธีหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงได้ คือการกระจายการลงทุน ไม่ทุ่มลงไปในหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่ง ทั้งยังต้องจัดสรรการลงทุนให้กระจายไปในสินทรัพย์หลายๆกลุ่ม และที่สำคัญ ต้องมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ก่อน อย่างน้อยให้มีพอใช้ 6 เดือน ส่วนที่เหลือจึงนำไปจัดสรรลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มต่างๆ ทั้งพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นทุน อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ฯลฯ รวมถึงเงินฝาก และการประกันชีวิต
   การติดตามสถานการณ์ลงทุน เพื่อปรับย้ายพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกๆ 6 เดือน หากตลาดมีความผันผวนเช่นในปัจจุบัน การติดตามสถานการณ์ต้องทำบ่อยขึ้น เช่นอาจจะปรับเป็นทุกๆ 3 เดือน
   ท่านที่มีการจัดพอร์ตการลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว สามารถที่จะลงทุนด้วยตนเองเพิ่มได้ค่ะ โดยอาจเลือกลงทุนในหุ้น หรือหลักทรัพย์ที่ต้องการให้น้ำหนักเป็นพิเศษเพื่อให้แตกต่างจากกองทุน ยกตัวอย่างเช่น หากกองทุนที่ลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่  ผู้ลงทุนอาจมีการลงทุนเพิ่มด้วยตนเองในส่วนของหุ้นของบริษัทที่มีขนาดกลาง เป็นต้น
   เอาใจช่วยให้ท่านผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี และขอให้ลงทุนอย่างมีสตินะคะ
[/size]
boom
Verified User
โพสต์: 400
ผู้ติดตาม: 0

Re: เตือนสตินักลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
ลูกหิน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 1

Re: เตือนสตินักลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 23

Re: เตือนสตินักลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เฉย สู้ ดูจะเป็นกลยุทธที่ดีกว่าปรับพอร์ทบสมหุ้นตก

เพราะคุณขายไปแล้วหากมันขึ้นสวนคุณจะไม่มีวันซื้อคืนอีกเลย
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 8

Re: เตือนสตินักลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมอยากนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงครับ
ผมไม่อยากปรับพอร์ททุกหกเดือนครับ
ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์