ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์ เหม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1893
- ผู้ติดตาม: 313
ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์ เหม
โพสต์ที่ 1
ในช่วงประมาณปี 2539 ถึงปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประเทศไทยนั้น ผมเองเป็นหนึ่งในผู้บริหารสถาบันการเงินที่ตกอยู่ในท่ามกลาง “มรสุม” ที่พัดกระหน่ำสถาบันการเงินและกิจการธุรกิจเกือบจะทุกแห่งของประเทศไม่เว้นแม้แต่บริษัทที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด แต่ละวันเราต้องหาทาง “เอาตัวรอด” นั่นก็คือ หาเงินจากทุกแหล่งที่ทำได้เพื่อนำมาคืนผู้ฝากเงินที่กำลังขาดความมั่นใจและทยอยถอนเงินออกเมื่อตั๋วเงินครบกำหนดอายุการฝาก ทุกวันพนักงานที่ดูแลการฝากเงินจะรายงานว่าวันนั้นมีคนมาถอนออก “สุทธิ” เป็นจำนวนเท่าไร ตัวเลขสามสี่ร้อยล้านบาทดูเหมือนจะเป็นตัวเลขที่ “ปกติ” เราเรียกมันว่า Bleeding หรือเลือดไหลไม่หยุดและในไม่ช้าเราอาจจะต้อง “ตาย” เราพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดมัน วิธีหนึ่งก็คือ การรวมกิจการสถาบันการเงินหลายๆ แห่งแล้วก็อาจจะหาทุนมาเพิ่ม แต่ในยามนั้นไม่มีใครต้องการถือหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงิน ดูเหมือนว่าธุรกิจกำลังล้มละลายทั้งประเทศ และแล้วเมื่อมีการประกาศลอยค่าเงินบาทในกลางปี 2540 บริษัทจำนวนมาก และเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินเกือบทั้งหมดก็ “ล้ม” กันจริงๆ
ผมต้องถูกให้ออกจากงาน ด้วยวัย 44 ปี และวุฒิการศึกษาปริญญาเอกทางด้านการเงิน โอกาสที่จะหางานใหม่ในธุรกิจการเงินไม่มีเพราะสถาบันต่างๆ ถูกปิดหรือลดขนาดลง มีลูกเล็กที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าเล่าเรียนแพงลิ่วปีละหลายแสนบาท และภรรยาทำงานพาร์ทไทม์ในฐานะครูเปียโนผมย่อมต้องกังวลว่าจะ “ทำอย่างไรกับชีวิต” หรือถ้าจะพูดกันให้ตรงที่สุดก็คือ จะจัดการเรื่องการเงินอย่างไรจึงจะสามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่ธุรกิจต่างๆ กำลัง “ล่มสลาย” โชคยังดีที่ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทบวกลบ เงินจำนวนนี้ผมคิดดูแล้วไม่เพียงพอที่จะส่งลูกเรียนตลอดจนจบปริญญาตรีในสายที่เป็นการเรียนอินเตอร์ได้ถ้าผมไม่ทำอะไรซักอย่างนอกจากการฝากเงินกินดอกเบี้ย การบริหารการเงินส่วนบุคคล “มาตรฐาน” ที่บอกว่า ถ้าอายุมากและโอกาสทำงานหาเงินในอนาคตมีน้อยเราก็ไม่ควรลงทุนในอะไรที่ “เสี่ยง” เช่น หุ้น เพราะถ้าเรา “พลาด” เราจะไม่สามารถหาเงินมาใช้จ่ายได้อีก แต่ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นเพราะ “เสี่ยงเกินไป” และการฝากเงินก็ไม่ใช่ทางออก การ “ทำธุรกิจ” เองก็ยิ่งเสี่ยง โดยเฉพาะในยามที่ความต้องการของประชาชนลดลงมากมาย แล้วผมจะต้องทำอย่างไรที่จะสามารถรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตแบบเดิมได้?
ทางออกที่ผมค้นพบก็คือ Value Investment! ลงทุนในหุ้นเหมือนกับการทำธุรกิจ ว่าที่จริงจุดเริ่มต้นจริงๆ ควรจะเป็นว่าผม “ทำธุรกิจ” โดยการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ผมสามารถเริ่มทำธุรกิจได้ ไม่ใช่ธุรกิจเดียว แต่หลายๆ ธุรกิจ ธุรกิจที่ผมเลือกนั้นจะต้อง “ปลอดภัย” ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรง เช่น อาหารราคาถูก หรือกิจการส่งออกที่ประเทศไทยกำลังได้เปรียบในเรื่องของค่าเงินบาทที่ลดลงมาก ผมวิเคราะห์แล้วพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีผลประกอบการที่ดี มีฐานะการเงินยอดเยี่ยมแทบจะ “ปลอดหนี้” ละบริษัทนั้นปลอดภัยดีทีเดียวในแง่ของการดำเนินการ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น “ถูกเหลือเชื่อ” ค่า PE มักไม่เกิน 10 เท่า หลายบริษัทเพียง 6-7 เท่า เฉพาะปันผลที่ผมจะได้เมื่อเทียบกับราคาหุ้นก็ประมาณปีละ 10% ซึ่งแปลว่า ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ผมจะได้รับปันผลถึงปีละ 1 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่ผมจะใช้จ่ายได้โดยไม่กินเงินต้นเลย อาจจะมีประเด็นว่า หุ้นเหล่านั้นแทบไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย คือซื้อได้ แต่อย่าหวังที่จะขายได้ราคา ถ้าจะว่าไป ตลาดหุ้นโดยรวมก็มีการซื้อขายน้อยมาก วันละประมาณ 2-3 พันล้านบาทเท่านั้น แต่ผมก็ไม่แคร์เลย เพราะผมลงทุนโดยมีสมมุติฐานว่าผม “ทำธุรกิจ” ผมพร้อมที่จะถือมันไปตลอดชีวิต
แน่นอน ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ผม “เล่นหุ้น” มานานก่อนหน้านั้นเป็นสิบปี การเล่นหุ้นของผมนั้นเป็นเรื่องของการ “เสี่ยงโชค” โดยอาศัยฝีมือในการวิเคราะห์ผลประกอบการระยะสั้นๆ ของกิจการประกอบกับภาวะตลาดหุ้น ผมเล่นหุ้นเพราะต้องการได้กำไรเร็วๆ เงินที่ได้กำไรนั้นผมก็จะเก็บเข้ามาในบัญชีเงินฝากรวมเข้ากับเงินเดือนและรายได้อื่นๆ ที่ผมได้รับ สำหรับผม มันคล้ายๆ กับเงินโบนัสที่จะทำให้ผมมีเงินเก็บเพิ่มเร็วขึ้นและมากขึ้น แต่มันไม่เคยเป็น “ชีวิต” ของผม ผมไม่ต้องการ “เสี่ยง” เงินจำนวนมากในตลาดหุ้น ผมไม่เคยคิดที่จะ “รวย” จากหุ้นหรือตลาดหุ้น ผมคิดว่าถ้าจะรวยก็ต้องมาจากการทำงาน ว่าที่จริงผมไม่เคยคิดที่จะรวยอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำเพราะผมรู้สึกว่าเวลาของการที่จะร่ำรวยของผมมันผ่านไปแล้วหลังจากที่ผมไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา การจบปริญญาเอกนั้นผมคิดว่ามันเป็นปัจจัยที่ลดโอกาสของการที่จะเป็นคนรวยไปมากเนื่องจากข้อแรก มันเสียเวลากับการเรียนมาก และข้อสอง มันทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง
ผมเป็น Value Investor โดยความจำเป็น การเปลี่ยนแปลงจากคนเล่นหุ้นเป็น VI ในช่วงปี 2539-40 นั้นเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้หวังรวยเร็วและก็ไม่คิดว่าจะรวย แม้ว่าต่อมาเมื่อเริ่มเห็นผลว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ดีโดยมีความเสี่ยงต่ำผมจะเริ่มตั้ง “ความฝัน” ว่าจะรวย แต่ทั้งหมดนั้นก็อิงอยู่กับผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีเท่านั้น ความรวยที่ผมหวังนั้น มาจากระยะเวลาของการลงทุนที่ยาวมาก คือผมคิดที่จะลงทุนไปจนตายที่ประมาณ 80 ปี ซึ่งโดยวิธีแบบนี้ ทุกคนสามารถรวยได้ถ้ามีความตั้งใจพอและรักษาหลักการลงทุนแบบปลอดภัยสไตล์ VI อย่างมั่นคง
“ก้าวเล็ก ๆ” ที่ผมเริ่มเดินเข้าไปในตลาดหุ้นโดยเปลี่ยนวิธีการลงทุนเป็นแบบ VI ในปี 2540 นั้น ได้ส่งผลที่ยิ่งใหญ่กับชีวิตของผม ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าโชคคงมีส่วนอยู่ไม่น้อย ผมบรรลุเป้าหมายความมั่งคั่งในชีวิตที่เคยตั้งไว้ก่อนเวลา 20 ปี ที่จริงมากกว่าที่ตั้งไว้หลายเท่า นอกจากเงินแล้ว แนวความคิดเรื่อง Value Investment ที่ผมเผยแพร่มาตลอดกว่า 15 ปีได้กลายเป็นแนวความคิดหลักอย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทย คนที่ใช้แนวทางนี้ในการลงทุนต่างก็ทำกำไรได้มากมาย หลายๆ คนนั้นรวยเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปีจากการลงทุนแบบ VI และนั่นทำให้คนจำนวนมากต่างก็มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น
ประเด็นก็คือ คนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้ต่างก็มักจะก้าวเข้ามาด้วย “ก้าวที่ยิ่งใหญ่” เพียงไม่กี่เดือนหรืออาจจะเพียงปีหรือสองปีเขาก็คิดไปถึงวันที่ตนเองจะรวยเป็นเศรษฐีที่คนทำงานหรือผู้ประกอบการอาจจะต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี พวกเขาคงคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้และผลตอบแทนที่เขาทำได้ในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมาจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่านานซึ่งทำให้เขารวยได้แม้ว่าจะเริ่มด้วยเงินลงทุนที่ไม่มาก แต่นี่จะเป็นจริงหรือ? ส่วนตัวผมเองคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจจะซักประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลา “พิเศษ” สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ไทยที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนทั้งโลก “อิจฉา” แต่สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ และต่อเนื่องยาวนาน ผมเชื่อว่าช่วงเวลาพิเศษนี้น่าจะใกล้จบลงและตลาดหุ้นไทยและ VI จะกลับมาสู่ภาวะปกติ ดังนั้น ผมคิดว่าคนที่กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นควรที่จะรักษา “ก้าว” ที่จะเข้ามาในตลาดให้เป็น “ก้าวเล็ก ๆ” คืออย่าหวังผลเลิศเกินไป และถ้าทำได้แบบนี้ มันก็จะกลายเป็น “ก้าวที่ยิ่งใหญ่” ในชีวิตในอนาคต
ผมต้องถูกให้ออกจากงาน ด้วยวัย 44 ปี และวุฒิการศึกษาปริญญาเอกทางด้านการเงิน โอกาสที่จะหางานใหม่ในธุรกิจการเงินไม่มีเพราะสถาบันต่างๆ ถูกปิดหรือลดขนาดลง มีลูกเล็กที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าเล่าเรียนแพงลิ่วปีละหลายแสนบาท และภรรยาทำงานพาร์ทไทม์ในฐานะครูเปียโนผมย่อมต้องกังวลว่าจะ “ทำอย่างไรกับชีวิต” หรือถ้าจะพูดกันให้ตรงที่สุดก็คือ จะจัดการเรื่องการเงินอย่างไรจึงจะสามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่ธุรกิจต่างๆ กำลัง “ล่มสลาย” โชคยังดีที่ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทบวกลบ เงินจำนวนนี้ผมคิดดูแล้วไม่เพียงพอที่จะส่งลูกเรียนตลอดจนจบปริญญาตรีในสายที่เป็นการเรียนอินเตอร์ได้ถ้าผมไม่ทำอะไรซักอย่างนอกจากการฝากเงินกินดอกเบี้ย การบริหารการเงินส่วนบุคคล “มาตรฐาน” ที่บอกว่า ถ้าอายุมากและโอกาสทำงานหาเงินในอนาคตมีน้อยเราก็ไม่ควรลงทุนในอะไรที่ “เสี่ยง” เช่น หุ้น เพราะถ้าเรา “พลาด” เราจะไม่สามารถหาเงินมาใช้จ่ายได้อีก แต่ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นเพราะ “เสี่ยงเกินไป” และการฝากเงินก็ไม่ใช่ทางออก การ “ทำธุรกิจ” เองก็ยิ่งเสี่ยง โดยเฉพาะในยามที่ความต้องการของประชาชนลดลงมากมาย แล้วผมจะต้องทำอย่างไรที่จะสามารถรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตแบบเดิมได้?
ทางออกที่ผมค้นพบก็คือ Value Investment! ลงทุนในหุ้นเหมือนกับการทำธุรกิจ ว่าที่จริงจุดเริ่มต้นจริงๆ ควรจะเป็นว่าผม “ทำธุรกิจ” โดยการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ผมสามารถเริ่มทำธุรกิจได้ ไม่ใช่ธุรกิจเดียว แต่หลายๆ ธุรกิจ ธุรกิจที่ผมเลือกนั้นจะต้อง “ปลอดภัย” ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรง เช่น อาหารราคาถูก หรือกิจการส่งออกที่ประเทศไทยกำลังได้เปรียบในเรื่องของค่าเงินบาทที่ลดลงมาก ผมวิเคราะห์แล้วพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีผลประกอบการที่ดี มีฐานะการเงินยอดเยี่ยมแทบจะ “ปลอดหนี้” ละบริษัทนั้นปลอดภัยดีทีเดียวในแง่ของการดำเนินการ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น “ถูกเหลือเชื่อ” ค่า PE มักไม่เกิน 10 เท่า หลายบริษัทเพียง 6-7 เท่า เฉพาะปันผลที่ผมจะได้เมื่อเทียบกับราคาหุ้นก็ประมาณปีละ 10% ซึ่งแปลว่า ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ผมจะได้รับปันผลถึงปีละ 1 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่ผมจะใช้จ่ายได้โดยไม่กินเงินต้นเลย อาจจะมีประเด็นว่า หุ้นเหล่านั้นแทบไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย คือซื้อได้ แต่อย่าหวังที่จะขายได้ราคา ถ้าจะว่าไป ตลาดหุ้นโดยรวมก็มีการซื้อขายน้อยมาก วันละประมาณ 2-3 พันล้านบาทเท่านั้น แต่ผมก็ไม่แคร์เลย เพราะผมลงทุนโดยมีสมมุติฐานว่าผม “ทำธุรกิจ” ผมพร้อมที่จะถือมันไปตลอดชีวิต
แน่นอน ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ผม “เล่นหุ้น” มานานก่อนหน้านั้นเป็นสิบปี การเล่นหุ้นของผมนั้นเป็นเรื่องของการ “เสี่ยงโชค” โดยอาศัยฝีมือในการวิเคราะห์ผลประกอบการระยะสั้นๆ ของกิจการประกอบกับภาวะตลาดหุ้น ผมเล่นหุ้นเพราะต้องการได้กำไรเร็วๆ เงินที่ได้กำไรนั้นผมก็จะเก็บเข้ามาในบัญชีเงินฝากรวมเข้ากับเงินเดือนและรายได้อื่นๆ ที่ผมได้รับ สำหรับผม มันคล้ายๆ กับเงินโบนัสที่จะทำให้ผมมีเงินเก็บเพิ่มเร็วขึ้นและมากขึ้น แต่มันไม่เคยเป็น “ชีวิต” ของผม ผมไม่ต้องการ “เสี่ยง” เงินจำนวนมากในตลาดหุ้น ผมไม่เคยคิดที่จะ “รวย” จากหุ้นหรือตลาดหุ้น ผมคิดว่าถ้าจะรวยก็ต้องมาจากการทำงาน ว่าที่จริงผมไม่เคยคิดที่จะรวยอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำเพราะผมรู้สึกว่าเวลาของการที่จะร่ำรวยของผมมันผ่านไปแล้วหลังจากที่ผมไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา การจบปริญญาเอกนั้นผมคิดว่ามันเป็นปัจจัยที่ลดโอกาสของการที่จะเป็นคนรวยไปมากเนื่องจากข้อแรก มันเสียเวลากับการเรียนมาก และข้อสอง มันทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง
ผมเป็น Value Investor โดยความจำเป็น การเปลี่ยนแปลงจากคนเล่นหุ้นเป็น VI ในช่วงปี 2539-40 นั้นเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้หวังรวยเร็วและก็ไม่คิดว่าจะรวย แม้ว่าต่อมาเมื่อเริ่มเห็นผลว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ดีโดยมีความเสี่ยงต่ำผมจะเริ่มตั้ง “ความฝัน” ว่าจะรวย แต่ทั้งหมดนั้นก็อิงอยู่กับผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีเท่านั้น ความรวยที่ผมหวังนั้น มาจากระยะเวลาของการลงทุนที่ยาวมาก คือผมคิดที่จะลงทุนไปจนตายที่ประมาณ 80 ปี ซึ่งโดยวิธีแบบนี้ ทุกคนสามารถรวยได้ถ้ามีความตั้งใจพอและรักษาหลักการลงทุนแบบปลอดภัยสไตล์ VI อย่างมั่นคง
“ก้าวเล็ก ๆ” ที่ผมเริ่มเดินเข้าไปในตลาดหุ้นโดยเปลี่ยนวิธีการลงทุนเป็นแบบ VI ในปี 2540 นั้น ได้ส่งผลที่ยิ่งใหญ่กับชีวิตของผม ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าโชคคงมีส่วนอยู่ไม่น้อย ผมบรรลุเป้าหมายความมั่งคั่งในชีวิตที่เคยตั้งไว้ก่อนเวลา 20 ปี ที่จริงมากกว่าที่ตั้งไว้หลายเท่า นอกจากเงินแล้ว แนวความคิดเรื่อง Value Investment ที่ผมเผยแพร่มาตลอดกว่า 15 ปีได้กลายเป็นแนวความคิดหลักอย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทย คนที่ใช้แนวทางนี้ในการลงทุนต่างก็ทำกำไรได้มากมาย หลายๆ คนนั้นรวยเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปีจากการลงทุนแบบ VI และนั่นทำให้คนจำนวนมากต่างก็มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น
ประเด็นก็คือ คนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้ต่างก็มักจะก้าวเข้ามาด้วย “ก้าวที่ยิ่งใหญ่” เพียงไม่กี่เดือนหรืออาจจะเพียงปีหรือสองปีเขาก็คิดไปถึงวันที่ตนเองจะรวยเป็นเศรษฐีที่คนทำงานหรือผู้ประกอบการอาจจะต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี พวกเขาคงคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้และผลตอบแทนที่เขาทำได้ในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมาจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่านานซึ่งทำให้เขารวยได้แม้ว่าจะเริ่มด้วยเงินลงทุนที่ไม่มาก แต่นี่จะเป็นจริงหรือ? ส่วนตัวผมเองคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจจะซักประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลา “พิเศษ” สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ไทยที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนทั้งโลก “อิจฉา” แต่สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ และต่อเนื่องยาวนาน ผมเชื่อว่าช่วงเวลาพิเศษนี้น่าจะใกล้จบลงและตลาดหุ้นไทยและ VI จะกลับมาสู่ภาวะปกติ ดังนั้น ผมคิดว่าคนที่กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นควรที่จะรักษา “ก้าว” ที่จะเข้ามาในตลาดให้เป็น “ก้าวเล็ก ๆ” คืออย่าหวังผลเลิศเกินไป และถ้าทำได้แบบนี้ มันก็จะกลายเป็น “ก้าวที่ยิ่งใหญ่” ในชีวิตในอนาคต
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 968
- ผู้ติดตาม: 16
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 4
มันยากจริงๆครับไอ้การที่จะหลีกเลี่ยงจากความโลบ และความกลัว พูดง่ายทำยาก
แต่ผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นครับ
"Wait for the right pitch" "Margin of Safety" and "Do not lose money"
แต่ผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นครับ
"Wait for the right pitch" "Margin of Safety" and "Do not lose money"
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 40
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 10
ก้าวเล็กๆของ ดร นิเวศน์ ก้าวใหญ่ๆของ ประเทศชาติ
ไม่งั้นวงการวีไอไทยแลนด์ คงไม่มาถึงตรงนี้
ไม่งั้นวงการวีไอไทยแลนด์ คงไม่มาถึงตรงนี้
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 12
ได้ประโยชน์ทุกๆบทความเลยครับ ขอบคุณครับ อจ.
----------------------------------------------------
รวยด้วยรัก
http://www.thorfun.com/story/view/URtOR67rWaF3ABtA
----------------------------------------------------
รวยด้วยรัก
http://www.thorfun.com/story/view/URtOR67rWaF3ABtA
- Mr.Children
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 353
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณครับ
ชอบบทความนี้มากๆ
ชอบบทความนี้มากๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณอาจารย์คับสำหรับข้อคิดดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1049
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 21
อะจึ๋ยไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบนั้น เลย ส่งลูกเรียนอินเตอร์ไม่ใช่แค่ค่าเทอมแพงอย่างเดียว สังคมเพื่อนลูก และแม่เพื่อนลูก แต่ละคนไฮโซ ทั้งนั้น ค่าใช้จ่ายเยอะมาก
สุดยอดเลยครับ อาจารย์
ขอบคุณที่อาจารย์ เขียนบทความนี้
สุดยอดเลยครับ อาจารย์
ขอบคุณที่อาจารย์ เขียนบทความนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 122
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต/ดร. นิเวศน์
โพสต์ที่ 23
ประโยคนี้โดนมากเลยครับ
"การเรียนปริญญาเอกลดโอกาสการรวยไปมาก เพราะ 1 เสียเวลาเรียนไปเยอะ 2 ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง"
ตอนนี้ผมกำลังจะไปเรียนต่อ ยังคิดอยู่เลยครับว่าคิดถูกหรือคิดผิด
เรียนเยอะไม่ได้ทำให้ผมรวยแน่ๆ แต่ประเด็นอาจจะเป็นเรื่องสถานภาพทางสังคมกับ lifestyle มากกว่า
"การเรียนปริญญาเอกลดโอกาสการรวยไปมาก เพราะ 1 เสียเวลาเรียนไปเยอะ 2 ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง"
ตอนนี้ผมกำลังจะไปเรียนต่อ ยังคิดอยู่เลยครับว่าคิดถูกหรือคิดผิด
เรียนเยอะไม่ได้ทำให้ผมรวยแน่ๆ แต่ประเด็นอาจจะเป็นเรื่องสถานภาพทางสังคมกับ lifestyle มากกว่า