อังกฤษจะออกจากอียู?/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1895
ผู้ติดตาม: 313

อังกฤษจะออกจากอียู?/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

   ได้ข่าวนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษพูดในระหว่างการประชุม World Economic Forum Summit ที่ เมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ว่า หากอียูไม่สามารถทำให้ข้อตกลงการแก้ปัญหาของประเทศในกลุ่มออกมาชนิดไม่ทำลายอธิปไตยของประเทศแล้วละก็ อังกฤษอาจจะต้องตัดสินใจออกจากอียู
	ดิฉันเคยเขียนเมื่อปีที่แล้วว่านักวิเคราะห์มองว่า หากจะมีการแตกกลุ่มออกจากยูโรหรือกลุ่ม 17 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน  ก็จะเป็นไปได้สองทางคือ กลุ่มที่อ่อนแอ เช่น กรีซ ออกไปใช้เงินสกุลของตัวเอง  กับกลุ่มที่แข็งแรง เช่น เยอรมนี ไปตั้งสกุลเงินใหม่ หริกลับไปใช้สกุลเงินเดิม แล้วทิ้งกลุ่มอ่อนแอให้ใช้สกุลเงินยูโร
	แต่การออกจากเงินสกุลยูโรไม่เกิดขึ้น เพราะธนาคารกลางยุโรปละผู้นำประเทศในกลุ่มยูโร ตัดสินใจว่า การอยู่ร่วมกันจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการสร้างความมั่นใจให้กับตลาด และสร้างเสถียรภาพ (ในระยะอันใกล้)ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง
	อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นกับประเทศอื่นอีกในอนาคต และเพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มประชาคมเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงเกาะกันเหนียวแน่น เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  จำเป็นต้องมีการออกมาตรการให้ปฏิบัติตามกรอบ และยินยอมให้ส่วนกลาง สามารถเข้าไปแทรกแซง หรือควบคุมการดำเนินการทางการคลังของแต่ละประเทศได้ จึงมีข้อเสนอให้เป็นประชาคมเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งจะทำให้เป็นการรวมกันอย่างแท้จริง
	ซึ่งการรวมกันนี้หมายถึง การมีธนาคารกลางแห่งเดียว มีระบบจัดการปัญหาการเงินเดียวกัน และมีระบบการคุ้มครองผู้ฝากเงินเดียวกัน
	ตรงนี้แหละค่ะ ที่ทำให้ประเทศที่ไม่ได้ผูกพันกับกลุ่มอียูอย่างเหนียวแน่น อย่าง อังกฤษ ซึ่งไม่ได้ใช้เงินสกุลยูโรด้วยซ้ำไป รู้สึกว่าถูกบีบบังคับเอาอำนาจอธิปไตยของประเทศไปบางส่วน และประชาชนของประเทศที่มีฐานะการคลังมั่นคงกว่า เช่น ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ หรือแม้แต่เยอรมนี รู้สึกไม่พอใจที่จะต้องมาแบกรับภาระหนี้สาธารณะที่รัฐบาลของประเทศที่อ่อนแอกว่าก่อเอาไว้
	และความไม่พอใจนี้ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้  เรียกว่าเพื่อนทำพังกระเทือนถึงตัวเอง
	ข้อกำหนดต่างๆที่จะมีเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้กำหนดให้เฉพาะ 17 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร ปฏิบัติตาม แต่กำหนดเลยไปครอบคลุมทั้ง 27 ประเทศในกลุ่มอียู จึงร้อนไปถึงคุณเดวิด คาเมรอน ต้องออกมากล่าวว่า ถ้าเกณฑ์ที่กำหนดจะทำให้เสียอำนาจอธิปไตยไปบางส่วน อังกฤษก็พร้อมที่จะถอนตัวออกจากอียู  อย่างไรก็ดีถ้าต้องตัดสินใจจริงๆ อังกฤษจะให้ประชาชนตัดสินโดยการลงประชามติค่ะ 
	เรียกว่านายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ยิงทีเดียวได้นกสองตัวเลย คือ ได้ใจประชาชนอังกฤษว่า นายกฯเรารักษาผลประโยชน์ของประเทศ และใส่ใจต่อความรู้สึกของประชาชนผู้เสียภาษี
	และได้แสดงอำนาจของอังกฤษ เพราะพออังกฤษกล่าวเช่นนี้ สหรัฐอเมริกาที่กำลังหลงใหลได้ปลื้มกับการที่เศรษฐกิจมีแววฟื้นตัวดี ตลาดหุ้นกำลังวิ่งฉิว ก็รีบออกมากล่าวทักท้วง (เพราะกลัวเสียบรรยากาศการลงทุนและการฟื้นตัว) ว่า สหรัฐอยากเห็นอียูที่แข็งแกร่ง และมีอังกฤษที่แข็งแกร่งอยู่ในอียู 
	นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีของไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่ขอรับความช่วยเหลือ และเพิ่งเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ คือกำลังฟื้นตัว และคาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ยังได้ออกมากล่าวถึงการออกจากอียู ของอังกฤษว่าจะเป็น “หายนะ” เลยทีเดียว
	เท่านี้ก็เพิ่มอำนาจต่อรองให้กับอังกฤษอย่างเหลือหลาย และอียู จะต้องฟังเสียงทักท้วงจากอังกฤษมากขึ้น  ต้องง้ออังกฤษมากขึ้น  ลองจับตาดูความคืบหน้าไนการเจรจาในขั้นต่อๆไปนะคะ  
	สิ่งที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ได้แสดงให้เห็นว่า โลกยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการจัดการปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปอยู่  แม้ว่าความเสี่ยงนั้นจะลดระดับลงมาจากปีที่แล้วก็ตาม
	ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสี่สาเหตุหลัก สาเหตุแรกคือ ความสบายใจเรื่องการแก้ปัญหาของยูโร ซึ่งดูเผินๆเหมือนแก้เสร็จไปแล้ว ผู้ลงทุนจึงมีความสบายใจและความกล้าเสี่ยงเพิ่มขึ้น
   ประการที่สองที่เป็นตัวการช่วยให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ สภาพคล่องที่ล้นเหลือในโลก ด้วยนโยบายการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เริ่มจากสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการให้สภาพคล่องสูง และอัตราดอกเบี้ยต่ำ จนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงเหลือ 6.5% ซึ่งคาดว่าจะเห็นในปี 2015
   หรือญี่ปุ่นที่ต้องการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อลดการแข็งของค่าเงินเยน เพื่อให้สินค้าและบริการของญี่ปุ่นแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดโลก  และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
   ปัจจัยหนุนประการที่สามคือ เงินหนีไปหาที่ปลอดภัยและโอกาส  ซึ่งดิฉันเคยเขียนถึงและให้สัมภาษณ์ไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า โดยเปรียบเทียบ ในปี 2556 ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจกว่าตลาดตราสารหนี้ หรือตลาดโภคภัณฑ์ เพราะผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงดูดีกว่า จึงเป็นตลาดที่มีเงินลงทุนไหลเข้าเพราะเห็นโอกาส 
   และปัจจัยหนุนประการที่สี่คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆในประเทศส่วนใหญ่ในโลกในปี 2555 ที่จะทยอยประกาศออกมา  คาดว่าจะดีกว่า ปี 2554  อย่างไรก็ดี ต้องดูด้วยว่าหลักทรัพย์แต่ละตัวมีราคาปรับขึ้นไปแซงหน้าผลประกอบการหรือไม่
   อย่างไรก็ดี การออกมาพูดของนากรัฐมนตรีอังกฤษ ทำให้ผู้ลงทุนตระหนักว่า ปัญหาของยุโรปยังไม่ได้หมดไป และยังมีความเสี่ยงที่จะผุดขึ้นเป็นระยะๆอยู่
   ผู้ลงทุนต้องศึกษาและประเมินให้ดี อย่ามองโลกในแง่ดีเกินไป หรือภาษาอังกฤษจะเรียกว่า อย่า over-optimistic ต้องเผื่อใจไว้สำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดด้วย  อย่าลืมว่า การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน และทบทวนพอร์ตการลงทุนบ่อยๆ ด้วยค่ะ
[/size]
โพสต์โพสต์