VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1890
- ผู้ติดตาม: 311
VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 พฤศจิกายน 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
VI กับ ชีวจิต
การเสียชีวิตของ ดร. สาทิส อินทรกำแหง นักวิชาการผู้ริเริ่มแนวความคิด “ชีวจิต” ขึ้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนนั้น ทำให้ผมหวลคิดถึงแนวความคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investment ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เพราะทั้งสองเรื่องนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันแม้ว่ามันจะเป็นคนละ “วิชา” นั่นคือ ชีวจิตเป็นเรื่องของสุขภาพ แต่ VI เป็นเรื่องเงินทอง
เรื่องแรกที่เหมือนกันก็คือ ชีวจิตและ VI ต่างก็เป็นแนวความคิดที่เป็น “กระแสใหม่” ที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับความคิดหรือความเชื่อหรือสิ่งที่คนไทยก่อนหน้านั้นปฏิบัติอยู่ คนที่เชื่อหรือเป็นผู้นำในการปฏิบัติตามแนวทางใหม่นี้ก็คือ คนที่มีความคิดก้าวหน้า พร้อมรับกับทฤษฎีใหม่ๆ และเสาะแสวงหาหนทางที่ดีกว่าสำหรับตนเองในเรื่องของสุขภาพและการลงทุน พวกเขาเห็นว่าแนวทางที่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อและยอมรับกันมาตลอดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่วิเศษหรือดี เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาอาจจะมีความเชื่อลึกๆ ว่า การเป็น “คนส่วนใหญ่” นั้น คุณก็อาจจะเป็นได้แค่ “ค่าเฉลี่ย” ไม่มีทางที่คุณจะ “เป็นเลิศ” ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือเงินทอง ดังนั้น พวกเขาจึงรับแนวความคิดของชีวจิตและ VI ได้อย่างรวดเร็วและเต็มใจแม้ว่าการปฏิบัติตามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยความตั้งใจและความเชื่อมั่นที่แรงกล้า
ข้อสอง แนวความคิดเรื่องชีวจิตนั้น การเริ่มต้นจริงๆ น่าจะเกิดจากหนังสือเรื่อง “ชีวจิต” การใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในราวปี 2536 และหลังจากนั้นก็มีการพิมพ์ซ้ำอีกน่าจะหลายสิบครั้ง และถ้าผมจำไม่ผิด เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่แทบไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ มีการประมาณกันว่าคนเขียนคือ ดร. สาทิส น่าจะทำเงินได้หลายสิบล้านบาทจากค่าลิขสิทธ์ซึ่งในสมัยนั้นต้องถือว่าเป็นสุดยอดของการเขียนหนังสือ อาจจะคล้ายๆ กับในสังคมตะวันตกที่ว่า การเขียนหนังสือนั้น สามารถทำให้คุณรวยได้ถ้าหนังสือติดตลาดจริงๆ ส่วนการเริ่มต้นของ VI เมื่อประมาณปี 2542 นั้นน่าจะเริ่มจากหนังสือ “ตีแตก” กลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤติ ที่ผมเขียน และหลังจากนั้นก็มีการตีพิมพ์ใหม่ซ้ำอีกเป็นสิบครั้งจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่หนังสือออกขายในช่วงปีแรกๆ นั้น หนังสือไม่ได้ขายดีแต่อย่างใด เหตุผลก็เพราะว่าความสนใจในเรื่องหุ้นยังมีน้อยค่าที่เมืองไทยยังไม่ฟื้นจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้น คนไม่มีเงินหรือจิตใจที่จะซื้อหุ้น ต่อมา เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นและคนเริ่มเห็นว่าแนวทาง VI เป็นทางเลือกที่ดี หนังสือจึงขายดีขึ้นทั้งๆ เวลาผ่านไปนับสิบปีแล้ว
ข้อสาม แนวทางชีวจิตนั้น ไม่ใช่แนวทางใหม่ในต่างประเทศ ที่จริงผมคิดว่าแนวทางที่คล้ายกันและเป็นพื้นฐานของชีวจิตนั้นน่าจะมาจากแนวความคิดเรื่อง Macrobiotic ที่น่าจะมีมานานพอควร หรือแนวทางของการกินเจของจีนที่มีมานานเป็นพันปีและตะวันตกนำไปศึกษาและพบว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพมากและเขียนเป็นเอกสารไว้ เช่นเดียวกัน การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investment นั้น เบน เกรแฮม ได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1934 หรือประมาณ 80 ปีมาแล้ว ผ่านหนังสือชื่อ Securities Analysis และต่อมาคือ Intelligent Investor ซึ่งได้รับการยอมรับและมีการใช้กันอย่างกว้างขวางในสหรัฐมานานและคนที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างก็มีมากมาย ซึ่งหนังสือเรื่องตีแตกหรือความคิดเรื่องการลงทุนแบบ VI ในเมืองไทยก็อิงจากพื้นฐานนั้น ดังนั้น ทั้งชีวจิตและ VI ต่างก็เป็นแนวความคิดหรือกระแสของโลกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลาที่เหมาะสมและกลายเป็นกระแสที่คนไทยน้อมรับอย่างมีชีวิตชีวา
กระแสของชีวิตและของ VI นั้น ในช่วงแรกๆ เนื่องจากความใหม่ ดังนั้น มันจึงมีความรุนแรง คนที่ศึกษาและนำมาปฏิบัติจำนวนมากต่างก็เห็นผลที่ “มหัศจรรย์” ในเรื่องของชีวจิตนั้น คนที่เป็นมะเร็งระยะท้ายๆ หลายคนบอกว่าผลของการใช้หลักการแบบชีวจิตทำให้เขาหายจากมะเร็งได้ เช่นเดียวกัน นักลงทุนแบบ VI จำนวนมากบอกว่าหลังจากการลงทุนในแนวนี้ พอร์ตการลงทุนเติบโตมหาศาล หลายคนกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน บางคนมีเงินเป็นร้อยล้านก่อนอายุ 30 ปี บางคนเป็นเศรษฐีพันล้านเมื่ออายุยังไม่ห้าสิบ ผมเองไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าความสำเร็จทั้งเรื่องของชีวจิตและเรื่อง VI ที่กล่าวถึงนั้น ทั้งหมดมาจากการปฏิบัติตามหลักการจริงหรือมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มะเร็งนั้นเป็นโรคที่มีความซับซ้อนมาก คนที่หายหรือไม่ตายจากมะเร็งระยะท้ายบางทีก็มาจากสาเหตุต่าง ๆ หลายอย่างที่เราไม่รู้ เช่นเดียวกัน คนที่รวยจากการลงทุนแบบมโหฬารโดยไม่ได้ใช้หลักการ VI ก็มีไม่น้อยโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” อย่างแรงมายาวนาน ดังนั้น ความ “มหัศจรรย์” อาจจะเป็นคำกล่าวที่ “เกินไป” ก็ได้ พูดง่ายๆ หลักการทั้งชีวจิตและ VI นั้น อาจจะดีมากๆ ถ้าเราใช้ แต่อย่าหวังว่ามันจะเป็นยาวิเศษที่จะบันดาลสิ่งมหัศจรรย์กับเราได้เสมอ
เมื่อมีกระแสเรื่องชีวจิตเกิดขึ้น คนที่ศึกษาและปฏิบัติตามในแนวเดียวกันก็ตามมา และแน่นอน ความหลากหลายก็เกิดขึ้น เริ่มต้นนั้นน่าจะเกิดจากการที่มัน “สามารถ” ช่วยรักษามะเร็ง ต่อมา ก็มีกระแสว่ามันจะช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวจนมีคนตั้งชมรม “คนอยู่ 100 ปี” เพราะพวกเขาเชื่อว่าด้วยการใช้หลักการการกินอยู่ ออกกำลังกาย และการทำจิตใจที่ถูกต้อง การอยู่ได้จนถึงร้อยปีไม่น่าจะมีปัญหา เช่นเดียวกัน เรื่องของ VI นั้น ช่วงแรกก็อาจจะเป็นแค่ว่ามันเป็นหลักการลงทุนที่เน้นความปลอดภัยได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรในระยะยาว แต่ต่อมาเมื่อมีคนเข้าร่วมมากขึ้นและประสบความสำเร็จสูงขึ้นก็เริ่มที่จะมีแนวความคิดทำนอง ชมรม “คนพันล้าน” หรือคนที่จะสามารถมี “อิสรภาพทางการเงิน” ตั้งแต่อายุยังน้อยไม่เกิน 40 ปี เป็นต้น โดยทั้งสองเรื่องนั้น “ผู้นำ” ของความคิดต่างก็ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น อย่างไรก็ตาม หนทางที่จะอยู่ได้ถึง 100 ปี หรือหนทางรวยเป็นพันล้านหรือมีอิสรภาพทางการเงินนั้นต้องใช้เวลา มันยังต้องรอการพิสูจน์
การเสียชีวิตของอาจารย์สาทิสในวัย 86 ปีนั้น ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่จุดความคิดผม ก่อนหน้านี้ คุณทวี บุตรสุนทร อดีตรองผู้จัดการใหญ่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งเคยประกาศว่าจะอยู่ถึงร้อยปี เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 72 ปี นี่อาจจะเป็นเครื่องเตือนว่ามันมีปัจจัยมากมายที่กำหนดสุขภาพและอายุขัยของเรา หนึ่งในนั้นที่สำคัญเท่าหรือสำคัญกว่าก็คือยีนส์ของมนุษย์ที่อาจจะกำหนดวิถีชีวิตของเราไว้แล้วถึง 60-70% ในเรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน ในช่วงเร็วๆ นี้ VI ในประเทศไทยอาจจะรู้สึก “เหนือโลก” ด้วยผลงานการลงทุนที่อาจจะ “สุดยอด” ไม่มี VI ประเทศไหนเสมอ ดังนั้น หลายคนตั้งเป้าหรือคิดไปไกลว่าเขาจะโตต่อไปได้ในอัตราเช่น ปีละ 20-25% ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นมหาเศรษฐี อย่างไรก็ตาม การลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะถูกกำหนดไว้เหมือนกันโดยสิ่งที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่เรารู้ก็คือ คนที่มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดของโลกในระยะยาวเช่น บัฟเฟตต์ หรือ โซรอส นั้นก็คือปีละ 20-25% ถ้าเราตั้งเป้าไว้ เท่ากับเขาก็อาจจะหมายความว่าเราเป็นนักชีวจิตที่ตั้งเป้าอยู่เกิน 100 ปี ซึ่งความเป็นไปได้อาจจะน้อย สำหรับผมเองนั้น ผมคิดเหมือนโซรอสที่ว่า เราไม่ “Invincible” อย่าคิดว่าคุณจะ “ไม่ตาย” ในการลงทุน…และชีวิต หลักการชีวจิตนั้น เริ่มกลับไปสู่สถานะปกติเหมือนในต่างประเทศแล้ว ในไม่ช้า VI ก็คงจะตามกันไป นั่นก็คือ มันก็ดีไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ “มหัศจรรย์” อย่างที่เป็นในช่วงนี้
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
VI กับ ชีวจิต
การเสียชีวิตของ ดร. สาทิส อินทรกำแหง นักวิชาการผู้ริเริ่มแนวความคิด “ชีวจิต” ขึ้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนนั้น ทำให้ผมหวลคิดถึงแนวความคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investment ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เพราะทั้งสองเรื่องนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันแม้ว่ามันจะเป็นคนละ “วิชา” นั่นคือ ชีวจิตเป็นเรื่องของสุขภาพ แต่ VI เป็นเรื่องเงินทอง
เรื่องแรกที่เหมือนกันก็คือ ชีวจิตและ VI ต่างก็เป็นแนวความคิดที่เป็น “กระแสใหม่” ที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับความคิดหรือความเชื่อหรือสิ่งที่คนไทยก่อนหน้านั้นปฏิบัติอยู่ คนที่เชื่อหรือเป็นผู้นำในการปฏิบัติตามแนวทางใหม่นี้ก็คือ คนที่มีความคิดก้าวหน้า พร้อมรับกับทฤษฎีใหม่ๆ และเสาะแสวงหาหนทางที่ดีกว่าสำหรับตนเองในเรื่องของสุขภาพและการลงทุน พวกเขาเห็นว่าแนวทางที่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อและยอมรับกันมาตลอดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่วิเศษหรือดี เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาอาจจะมีความเชื่อลึกๆ ว่า การเป็น “คนส่วนใหญ่” นั้น คุณก็อาจจะเป็นได้แค่ “ค่าเฉลี่ย” ไม่มีทางที่คุณจะ “เป็นเลิศ” ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือเงินทอง ดังนั้น พวกเขาจึงรับแนวความคิดของชีวจิตและ VI ได้อย่างรวดเร็วและเต็มใจแม้ว่าการปฏิบัติตามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยความตั้งใจและความเชื่อมั่นที่แรงกล้า
ข้อสอง แนวความคิดเรื่องชีวจิตนั้น การเริ่มต้นจริงๆ น่าจะเกิดจากหนังสือเรื่อง “ชีวจิต” การใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในราวปี 2536 และหลังจากนั้นก็มีการพิมพ์ซ้ำอีกน่าจะหลายสิบครั้ง และถ้าผมจำไม่ผิด เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่แทบไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ มีการประมาณกันว่าคนเขียนคือ ดร. สาทิส น่าจะทำเงินได้หลายสิบล้านบาทจากค่าลิขสิทธ์ซึ่งในสมัยนั้นต้องถือว่าเป็นสุดยอดของการเขียนหนังสือ อาจจะคล้ายๆ กับในสังคมตะวันตกที่ว่า การเขียนหนังสือนั้น สามารถทำให้คุณรวยได้ถ้าหนังสือติดตลาดจริงๆ ส่วนการเริ่มต้นของ VI เมื่อประมาณปี 2542 นั้นน่าจะเริ่มจากหนังสือ “ตีแตก” กลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤติ ที่ผมเขียน และหลังจากนั้นก็มีการตีพิมพ์ใหม่ซ้ำอีกเป็นสิบครั้งจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่หนังสือออกขายในช่วงปีแรกๆ นั้น หนังสือไม่ได้ขายดีแต่อย่างใด เหตุผลก็เพราะว่าความสนใจในเรื่องหุ้นยังมีน้อยค่าที่เมืองไทยยังไม่ฟื้นจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้น คนไม่มีเงินหรือจิตใจที่จะซื้อหุ้น ต่อมา เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นและคนเริ่มเห็นว่าแนวทาง VI เป็นทางเลือกที่ดี หนังสือจึงขายดีขึ้นทั้งๆ เวลาผ่านไปนับสิบปีแล้ว
ข้อสาม แนวทางชีวจิตนั้น ไม่ใช่แนวทางใหม่ในต่างประเทศ ที่จริงผมคิดว่าแนวทางที่คล้ายกันและเป็นพื้นฐานของชีวจิตนั้นน่าจะมาจากแนวความคิดเรื่อง Macrobiotic ที่น่าจะมีมานานพอควร หรือแนวทางของการกินเจของจีนที่มีมานานเป็นพันปีและตะวันตกนำไปศึกษาและพบว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพมากและเขียนเป็นเอกสารไว้ เช่นเดียวกัน การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investment นั้น เบน เกรแฮม ได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1934 หรือประมาณ 80 ปีมาแล้ว ผ่านหนังสือชื่อ Securities Analysis และต่อมาคือ Intelligent Investor ซึ่งได้รับการยอมรับและมีการใช้กันอย่างกว้างขวางในสหรัฐมานานและคนที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างก็มีมากมาย ซึ่งหนังสือเรื่องตีแตกหรือความคิดเรื่องการลงทุนแบบ VI ในเมืองไทยก็อิงจากพื้นฐานนั้น ดังนั้น ทั้งชีวจิตและ VI ต่างก็เป็นแนวความคิดหรือกระแสของโลกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลาที่เหมาะสมและกลายเป็นกระแสที่คนไทยน้อมรับอย่างมีชีวิตชีวา
กระแสของชีวิตและของ VI นั้น ในช่วงแรกๆ เนื่องจากความใหม่ ดังนั้น มันจึงมีความรุนแรง คนที่ศึกษาและนำมาปฏิบัติจำนวนมากต่างก็เห็นผลที่ “มหัศจรรย์” ในเรื่องของชีวจิตนั้น คนที่เป็นมะเร็งระยะท้ายๆ หลายคนบอกว่าผลของการใช้หลักการแบบชีวจิตทำให้เขาหายจากมะเร็งได้ เช่นเดียวกัน นักลงทุนแบบ VI จำนวนมากบอกว่าหลังจากการลงทุนในแนวนี้ พอร์ตการลงทุนเติบโตมหาศาล หลายคนกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน บางคนมีเงินเป็นร้อยล้านก่อนอายุ 30 ปี บางคนเป็นเศรษฐีพันล้านเมื่ออายุยังไม่ห้าสิบ ผมเองไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าความสำเร็จทั้งเรื่องของชีวจิตและเรื่อง VI ที่กล่าวถึงนั้น ทั้งหมดมาจากการปฏิบัติตามหลักการจริงหรือมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มะเร็งนั้นเป็นโรคที่มีความซับซ้อนมาก คนที่หายหรือไม่ตายจากมะเร็งระยะท้ายบางทีก็มาจากสาเหตุต่าง ๆ หลายอย่างที่เราไม่รู้ เช่นเดียวกัน คนที่รวยจากการลงทุนแบบมโหฬารโดยไม่ได้ใช้หลักการ VI ก็มีไม่น้อยโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” อย่างแรงมายาวนาน ดังนั้น ความ “มหัศจรรย์” อาจจะเป็นคำกล่าวที่ “เกินไป” ก็ได้ พูดง่ายๆ หลักการทั้งชีวจิตและ VI นั้น อาจจะดีมากๆ ถ้าเราใช้ แต่อย่าหวังว่ามันจะเป็นยาวิเศษที่จะบันดาลสิ่งมหัศจรรย์กับเราได้เสมอ
เมื่อมีกระแสเรื่องชีวจิตเกิดขึ้น คนที่ศึกษาและปฏิบัติตามในแนวเดียวกันก็ตามมา และแน่นอน ความหลากหลายก็เกิดขึ้น เริ่มต้นนั้นน่าจะเกิดจากการที่มัน “สามารถ” ช่วยรักษามะเร็ง ต่อมา ก็มีกระแสว่ามันจะช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวจนมีคนตั้งชมรม “คนอยู่ 100 ปี” เพราะพวกเขาเชื่อว่าด้วยการใช้หลักการการกินอยู่ ออกกำลังกาย และการทำจิตใจที่ถูกต้อง การอยู่ได้จนถึงร้อยปีไม่น่าจะมีปัญหา เช่นเดียวกัน เรื่องของ VI นั้น ช่วงแรกก็อาจจะเป็นแค่ว่ามันเป็นหลักการลงทุนที่เน้นความปลอดภัยได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรในระยะยาว แต่ต่อมาเมื่อมีคนเข้าร่วมมากขึ้นและประสบความสำเร็จสูงขึ้นก็เริ่มที่จะมีแนวความคิดทำนอง ชมรม “คนพันล้าน” หรือคนที่จะสามารถมี “อิสรภาพทางการเงิน” ตั้งแต่อายุยังน้อยไม่เกิน 40 ปี เป็นต้น โดยทั้งสองเรื่องนั้น “ผู้นำ” ของความคิดต่างก็ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น อย่างไรก็ตาม หนทางที่จะอยู่ได้ถึง 100 ปี หรือหนทางรวยเป็นพันล้านหรือมีอิสรภาพทางการเงินนั้นต้องใช้เวลา มันยังต้องรอการพิสูจน์
การเสียชีวิตของอาจารย์สาทิสในวัย 86 ปีนั้น ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่จุดความคิดผม ก่อนหน้านี้ คุณทวี บุตรสุนทร อดีตรองผู้จัดการใหญ่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งเคยประกาศว่าจะอยู่ถึงร้อยปี เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 72 ปี นี่อาจจะเป็นเครื่องเตือนว่ามันมีปัจจัยมากมายที่กำหนดสุขภาพและอายุขัยของเรา หนึ่งในนั้นที่สำคัญเท่าหรือสำคัญกว่าก็คือยีนส์ของมนุษย์ที่อาจจะกำหนดวิถีชีวิตของเราไว้แล้วถึง 60-70% ในเรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน ในช่วงเร็วๆ นี้ VI ในประเทศไทยอาจจะรู้สึก “เหนือโลก” ด้วยผลงานการลงทุนที่อาจจะ “สุดยอด” ไม่มี VI ประเทศไหนเสมอ ดังนั้น หลายคนตั้งเป้าหรือคิดไปไกลว่าเขาจะโตต่อไปได้ในอัตราเช่น ปีละ 20-25% ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นมหาเศรษฐี อย่างไรก็ตาม การลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะถูกกำหนดไว้เหมือนกันโดยสิ่งที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่เรารู้ก็คือ คนที่มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดของโลกในระยะยาวเช่น บัฟเฟตต์ หรือ โซรอส นั้นก็คือปีละ 20-25% ถ้าเราตั้งเป้าไว้ เท่ากับเขาก็อาจจะหมายความว่าเราเป็นนักชีวจิตที่ตั้งเป้าอยู่เกิน 100 ปี ซึ่งความเป็นไปได้อาจจะน้อย สำหรับผมเองนั้น ผมคิดเหมือนโซรอสที่ว่า เราไม่ “Invincible” อย่าคิดว่าคุณจะ “ไม่ตาย” ในการลงทุน…และชีวิต หลักการชีวจิตนั้น เริ่มกลับไปสู่สถานะปกติเหมือนในต่างประเทศแล้ว ในไม่ช้า VI ก็คงจะตามกันไป นั่นก็คือ มันก็ดีไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ “มหัศจรรย์” อย่างที่เป็นในช่วงนี้
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 532
- ผู้ติดตาม: 4
Re: VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
อ.มาเตือนสติอีกแล้ว
นักลงทุนต้องมองโลกตามความเป็นจริงคับ
อย่าหลงไปกับความคิด แล้วก็ยึดติดกับผลงานที่ผ่านมา
ปัจจัยหลายอย่างประกอบกันต่างหาก จึงทำให้ประสบผลสำเร็จ
แต่พอสำเร็จแล้วคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอๆ
พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าไว้
ทำน้อยได้ผลน้อยก็มี
ทำน้อยได้ผลมากก็มี
ทำมากได้ผลน้อยก็มี
ทำมากได้ผลมากก็มี
อย่าคิดว่าเราอ่านเยอะ รู้เยอะ ทำผลงานได้ดีกว่าคนอื่น
แล้วจะเป็นอย่างนั้นได้ตลอดไป ความผิดพลาดรอเราอยู่เสมอ
นักลงทุนต้องมองโลกตามความเป็นจริงคับ
อย่าหลงไปกับความคิด แล้วก็ยึดติดกับผลงานที่ผ่านมา
ปัจจัยหลายอย่างประกอบกันต่างหาก จึงทำให้ประสบผลสำเร็จ
แต่พอสำเร็จแล้วคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอๆ
พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าไว้
ทำน้อยได้ผลน้อยก็มี
ทำน้อยได้ผลมากก็มี
ทำมากได้ผลน้อยก็มี
ทำมากได้ผลมากก็มี
อย่าคิดว่าเราอ่านเยอะ รู้เยอะ ทำผลงานได้ดีกว่าคนอื่น
แล้วจะเป็นอย่างนั้นได้ตลอดไป ความผิดพลาดรอเราอยู่เสมอ
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณคับอาจารย์
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 115
Re: VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณครับ ผมรู้ว่าป่วยเป็นอย่างไร มาปีกว่าแล้ว ทำ balloon มา นี่ครบ 2 ปีแล้วครับ....ผมเลยต้องใช้เวลาแทบทุกวันออกกำลังกาย โดยเดินเร็ว และ วิ่งช้า ๆ ตั้งระบบไว้ เพราะ วิ่งและเดิน บนสายพานที่เขาบังคับเราอยู่ สุขภาพก็ดีขึ้น ผมคุยกับลูกว่า ผมหายดีกลับมาเกือบ 90% แล้วนะ ลูกตอบกลับมาว่า พ่อนะหายดี 110% แล้ว....ผมเลยเริ่มมาช่วยสังคมโดยพยายามตอบคำถามในหุ้นที่เราพอมีความรู้อยู่บ้าง ช่วยทาง สมาคม ของเราทางอ้อมนั่นเอง นั่นคือเป้าหมายของผมครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่