ต่างชาติน่ากลัวจริงหรือ ?? -- โดยคุณ tech

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

ล็อคหัวข้อ
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 27

ต่างชาติน่ากลัวจริงหรือ ?? -- โดยคุณ tech

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คนไทยส่วนใหญ่ ( ไม่รู้ว่าคนชาติอื่นเป็นอย่างไร ) มีความคิดว่า ฝรั่ง คือ เทวดา มุมมองต่าง ๆ ที่มีต่อ ฝรั่ง ล้วนแล้วแต่เป็นไปในทาง too positive กับ ฝรั่ง ทั้งนั้น สมมุติฐานต่าง ๆ ที่คนไทยตั้งกันขึ้นมา เลยบิดเบือนไปจากความเป็นจริง
เมื่อสมมุติฐานผิด การมองปัญหาก็ผิด การแก้ปัญหาก็เพี้ยนไป

Foreign แปลว่า ต่างชาติ ไม่ได้แปลว่า ฝรั่ง
เพราะฉะนั้น อย่าลืม ฝรั่งหัวดำ สิงคโปร์ เกาหลี ไต้หวัน ฯ มีหลายกลุ่ม ไม่ได้มีกลุ่มเดียว ความคิดก็แตกต่างกันไป ไม่ได้ร่วมหัวจมท้าย คิดเหมือนกันไปหมด ที่สำคัญ อย่าเข้าใจผิดว่า ต่างชาติมีแค่ Party เดียว กลุ่มเดียว คิดเหมือนกันไปหมด ต่างชาติบางกลุ่มเล่นเก็งกำไร บางกลุ่มเน้นพื้นฐาน ( แบบ TVI แห่งนี้ ) เม็ดเงินของคนกลุ่มหลังน่าจะน้อยกว่ากลุ่มแรก แต่น่าจะเยอะมากเมื่อเทียบกับ TVI ทั้งประเทศไทย ..... ไม่ว่าเม็ดเงินจะมาจากกลุ่มไหน ล้วนแล้วแต่เป็นเม็ดเงินที่มากมายเมื่อเทียบกับตลาดไทย และนี่อาจเป็นสาเหตุให้หุ้นขึ้นในแต่ละรอบ หรือเปล่าไม่รู้ เป็นข้อสังเกต ยังไม่ใช่ข้อสรุป

ชอบเชื่อว่าต่างชาติมีเจตนาร้ายต่อประเทศไทย เชื่อว่าต่างชาติเจตนาทุบหุ้นไทย

ทำไมไม่คิดว่า ต่างชาติมีหน้าที่ และ จุดประสงค์เพียงแค่ ทำกำไร เม็ดเงินต่างชาติไหลตรงข้ามกับน้ำ จะไหลจากที่ผลตอบแทนต่ำไปหาที่ผลตอบแทนสูง ที่ไหนมีกำไร ก็จะแห่กันไปที่นั่น ไม่เคยคิดร้ายกับใคร หรือ กับประเทศไหนทั้งนั้น

ชอบคิดว่าต่างชาติฉลาดกว่าคนไทย
หลายครั้งที่ต่างชาติออกบทวิเคราะห์ผิด ๆ ออกมา เช่นล่าสุด

May 19
UBS downgrades NOBLE from prior target 22 to 7.50 baht
And Siri from 11 to 7 baht.

บางคนอาจจะแย้งว่า ต่างชาติเจตนาออกบทวิเคราะห์หลอกคนไทยเข้าไปรับของ ว่ากันไปนั่น ........ สาเหตุก็มาจากกรอบความคิดเดิมที่เชื่อว่า ฝรั่งฉลาดกว่าคนไทย ทำอะไรก็ถูกต้องไปหมด ขนาดที่ออกบทวิเคราะห์ผิด ยังมีคนหลงเชื่อว่าเจตนาแกล้งให้ผิดเพื่อหลอกคนไทย

จากประสบการณ์ที่เคยเรียนหนังสืออยู่กับฝรั่ง และเคยทำงานในองค์กรฝรั่งอยู่หลายปี ขอเอาหัวเป็นประกันครับว่า ฝรั่งไม่ได้ฉลาดกว่าคนไทย และ หลายๆ ครั้งที่เราฉลาดกว่าครับ ( แต่ต้องยอมรับว่าระบบการทำงานเขาดีกว่า และ ทำอะไรดูมีตรรกะมากกว่าเรา )

อย่าไปคิดว่าต่างชาติน่ากลัว หรือ ฉลาดกว่าคนไทยเลย
ลองดูที่ต่างชาติมองต่างชาติกันเองบ้าง

http://www.bbznet.com/scripts/view.php? ... r=numtopic

นิตยสาร The Economist ฉบับล่าสุด (18 พค. 04)

มีคำถามน่าสนใจว่า นักลงทุนตะวันตกเสียค่าโง่ จากความตื่นกลัวของตนเองต่อตลาดหุ้นในเอเชียอีกครั้งหรือ?

คำถามดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ในสามสัปดาxxx่ผ่านมา เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นทั่วเอเชียไปมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ (ข้อมูลจากการวิเคราะห์และประเมินโดยโนมูระ ซีเคียวริตี้ส์ โบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น)

สาเหตุที่ถูกนำมาใช้อ้างในการไหลออกอย่างรุนแรงจากตลาดหุ้นเอเชีย นับแต่ญี่ปุ่นถึงอินเดียของนักลงทุนต่างชาติ(ตะวันตก) มีอยู่ 4 ข้อ ซึ่งมีคำถามตามมาว่า ทั้ง 4 ข้อนี้ ควรแก่การขายหุ้นทิ้งหรือไม่

- สถานการณ์ตึงเครียดทางทหารในอีรัคและตะวันออกกลาง รวมถึงการก่อการร้าย

- ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเอเชียที่พึ่งน้ำมันมากเป็นประวัติการณ์จะกระทบหนัก

- แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในอเมริกา ที่จะกดดันค่าดอลลาร์ ทองคำ และอื่นๆ

- มาตรการของรัฐบาลจีนในการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ

คำตอบที่นิตยสารดังกล่าวสรุปก็คือ คำกล่าวอ้างดังกล่าว เป็นแค่"อารมณ์ชั่ววูบ" ไม่น่าจะยืนยาวไปได้นาน และค่อนข้างไร้เหตุผล แม้ว่า ปรากฎการณ์ทั้ง 4 ข้อนี้จะดำเนินต่อไปอีกยาวนานหลายเดือน เพราะอารมณ์ชั่ววูบนี้จะต้องสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจอข้อเท็จจริงที่เหนือกว่ามาตอกย้ำให้หายตื่นกลัว

นักลงทุนใหญ่บางคนจากตะวันตกที่ช่ำชองตลาดหุ้นเอเชีย หัวร่อร่า หลังจากช้อนซื้อหุ้นในพอร์ตมากมายในตลาดหุ้นมัมไบที่อินเดียว่า เป็นเรื่องน่าสมเพช เพราะเมื่อ 18 เดือนก่อน นักลงทุนสถาบันตะวันตกเกือบทั้งหมด ต่างหวาดหวั่นว่าตนเองจะช้าเกินไปที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในตลาดจีน แต่มาบัดนี้คนเหล่านั้นกลับหวาดผวาว่าเศรษฐกิจจีนจะล้มคว่ำ และพรรคฝ่ายซ้ายจะครองอินเดีย

ข้อเท็จจริงของเอเชียในปีนี้ก็คือ ตลาดหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนักเกิดจากการปรับฐานครั้งใหญ่หลังจากทะยานขึ้นรุนแรง โดยมีตัวแปรหลายอย่างสอดรับ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง เนื่องจากเป็นจังหวะของการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลกันอย่างอึงคนึงในเอเชีย(ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน) เริ่มแต่เกาหลีใต้เป็นต้นมา ถึงไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินเดีย

ภาวะการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ถือเป็นความหวั่นไหวทางอารมณ์ตามกระแสเท่านั้น ในขณะที่ข้อเท็จจริงในเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจนั้น กลับสวนกระแสอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

ตัวอย่างเช่นในจีน มีการประกาศว่าไตรมาสแรกของปีนี้ มียอดการเติบโตของยอดขายปลีกสูงกว่าปีก่อนร้อยละ 13 และแม้จะมีปัญหามากมาย แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่า"แย่"หลายเท่านัก ในขณะที่ประเทศอื่นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นสุขภาพที่เลวร้ายแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือ ไทย

ยิ่งญี่ปุ่นด้วยแล้ว การฟื้นตัวอย่างแท้จริงของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเพิ่งจะเริ่มต้นให้เห็นเป็นครั้งแรก การเติบโตของจีดีพี.ไตรมาสแรกที่ร้อยละ 5.6 ถือว่าเกินคาด ภาวะกับดักสภาพคล่องหยุดชะงักเมื่อผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยจนร้านค้าปลีกกำไรกันอื้อซ่า ตลาดหุ้นมีวอลุ่มเข้ามาในตลาดหลายเท่า ในขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำด้วยค่า P/BV เฉลี่ยเพียงแค่ 1.4 เท่า

และกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไตรมาสแรกนี้ก็เพิ่มขึ้นถึง 18 เท่าของปีก่อน

ตลาดหุ้นไทยก็เช่นกัน ยอดกำไรสุทธิไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 42 บอกถึงสุขภาพที่ยอดเยี่ยม

กระทั่งในอินเดียเอง อัตราการเติบโตของ จีดีพี. ที่เหนือร้อยละ 8 ก็ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ในขณะที่ไม่ปรากฎภาวะฟองสบู่ขึ้นมาให้เห็น

ภาวะการไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียของเงินเก็งกำไรจากตะวันตกในเดือนพฤษภาคมนี้ จึงมีข้อสรุปตามมาว่า เป็นเรื่องกระแสอารมณ์ที่ผิดปกติเท่านั้นเอง เป็นไปตามสูตรของการเก็งกำไรในตลาดหุ้นของเบนจามิน แกรห์ม ที่ว่า "สุนิยมเกินจำเป็นเมื่อยามขาขึ้น และทุนิยมอย่างไร้เหตุผลในยามขาลง"

ข้อสรุปอย่างนี้ แม้จะไม่มีการบอกใบ้ แต่ก็น่าจะมีคนที่ทำตัวเป็น"นกรู้"เข้าเก็บหุ้นรอวันต่างชาติได้สติและสำนึก กลับเข้ามาซื้อหุ้นรอบใหม่ในอีกเร็วๆนี้อย่างหิวกระหาย

ช่วงนี้ก็ปล่อยให้นักลงทุนต่างชาติเหล่านี้ ผวาเงาของตัวเองไปพลางๆก่อน


สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า
อย่าไปกังวลกับต่างชาติเลย ต่างชาติไม่ได้น่ากลัว หรือ ฉลาดกว่าเราเลย ต่างชาติก็ผิดเป็นเหมือนกัน ต่างชาติก็ขาดทุนเป็นเหมือนกัน ที่เห็นขาย ๆ กันเดือนก่อน แล้วตลาดบ้านเราลง เขาอาจจะขายขาดทุนก็ได้ ใครจะรู้ ? ใช่ว่าจะกำไรเสมอไป ?

ที่สำคัญ คือ มันอยู่ที่ตัวคุณเอง วิธีที่คุณใช้อยู่มันถูกต้องหรือยัง คุณรู้จริงในสิ่งที่คุณทำอยู่หรือเปล่า ?
ล็อคหัวข้อ