หน้า 3 จากทั้งหมด 5

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 2:46 pm
โดย pak
ด้วยความเคารพครับ

ผมเองไม่เคยพาดพิงใครเลยนะครับ
ถ้าโพสต์ หรือมุมมองของผม ไม่เหมาะสม
ผมเองต้องกล่าวคำว่า "ขอโทษ" อย่างจริงใจครับ

ผมเอง ก็เป็นคนธรรมดาครับ อาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่ว่ากันนะครับ
ผมเอง มองเสมอว่า คนส่วนใหญ่ในบอร์ดล้วนแล้วแต่หวังดีกับผู้อื่น
ทุกๆคน ก็เปรียบเสมือนเพื่อน เพื่อนร่วมเว็บไซต์ หรือเพื่อนร่วมชะตากรรมในสงครามการลงทุน
เพราะพวกเรา คือ รายย่อย เหมือนๆกัน

กับ "เพื่อน" ผมประนีประนอม และพร้อมจะ "ขอโทษ" เสมอครับ
แต่ผมจะไม่ยอม "ประนีประนอม" กับ รายใหญ่ หรือเจ้ามือที่เอาเปรียบรายย่อยอย่างเด็ดขาด!!!
แบบนั้น ยอมพลีชีพ กัดไม่ปล่อยครับผม

โพสต์ที่ผ่านมา
ขอออกตัวอีกครั้งว่า เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
และใช้กับหุ้นที่เรามั่นใจว่ามี mos สูง(ในความเห็นของเรา)
แต่ก็อีกแหล่ะครับ มุมมองของแต่ละคนในเรื่อง mos ก็แตกต่างกันไป
ต้องพิจารณาด้วยตนเองครับ

ถ้าผมทำอะไรไม่เหมาะสม "อภัย" ให้ด้วยเด้อครับ
(^_^)

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:03 pm
โดย jek ae
รักจะเป็นวีไอ ก็อย่ากลัวหุ้นตก

จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนส่วนใหญ่คือหวั่นไหวกับการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่ามูลค่าของธุรกิจ

การลงทุนผ่านพอร์ตหุ้นโดยขาดจิตสำนึกของการร่วมเป็นเจ้าของกิจการทำให้นักลงทุนพร้อมจะเทขายหุ้นเพียงแค่หวั่นไหวไปกับการเคลื่อนไหวของราคา

สิ่งสำคัญคือเราได้วิเคราะห์ธุรกิจที่เราลงทุนมาดีพอแล้วหรือยัง

การวิเคราะห์ธุรกิจทั้งปัจจัยพื้นฐานและตัวเลขทางการเงิน มีความสำคัญในการกำหนดจุดที่เราเข้าลงทุน

ถ้าวิเคราะห์มาดีแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอันใดจะต้องไปแพนิคเวลาราคาหุ้นมันตกต่ำ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:25 pm
โดย naris
ผมว่าที่ผ่านมาไม่มีใครพาดพิงหมอหรอกครับ โดเฉพาะคุณpakนี่ผมแอบอ่านมาหลายบทความ คุณpakนี่ผมว่าถึงแก่นและสามารถตกผลึกทางความคิดในสไตล์ของคุณpakเองแล้ว

ถ้าจะพาดพิงก็คราวนี้นี่แหล่ะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือแนวความคิดของหมอเอ็มจากสโลแกนของหมอว่า ไม่สนใจรีเทริ์นเยอะๆ สนใจในอิสระภาพทางการเงินมากกว่า และหมอก็ถือหุ้นhmproตั้งแต่7-8บาท ก่อนจะมีวิกฤต และราคาลงมาประมาณครึ่ง ตอนนั้นหมอเอ็มเข้มแข็งมาก ยืนกรานในหลักการๆลงทุนในกิจการ (ผมแอบชมหมอว่าสุดยอดให้หลายๆคนฟัง) และท้ายที่สุด ถ้าใครอดทนในสิ่งที่ตนเองคิดถูกต้อง ในกิจการที่ถูกต้อง ผลตอบแทนของคนถือโฮมโปรในตอนนั้นน่าจะขึ้นมาราวๆ5เท่า(นับจากก่อนวิกฤตนะครับ) ถ้าใครกล้าซื้อตอนวิกฤต มาจนถึงราคาตอนนี้ก็น่าจะได้เกือบ10เท่าเลยนะครับ

จริงๆตอนนี้ผมอยากให้หมอเอ็ม ช่วยเผยความคิดในตอนนั้นว่า เห็นอะไรดีในโฮมโปร เพื่อเป็นวิทยาทานแก่น้องๆดีกว่านะครับ :D

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:26 pm
โดย mprandy
pak เขียน:ด้วยความเคารพครับ

ผมเองไม่เคยพาดพิงใครเลยนะครับ
ถ้าโพสต์ หรือมุมมองของผม ไม่เหมาะสม
ผมเองต้องกล่าวคำว่า "ขอโทษ" อย่างจริงใจครับ

ผมเอง ก็เป็นคนธรรมดาครับ อาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่ว่ากันนะครับ
ผมเอง มองเสมอว่า คนส่วนใหญ่ในบอร์ดล้วนแล้วแต่หวังดีกับผู้อื่น
ทุกๆคน ก็เปรียบเสมือนเพื่อน เพื่อนร่วมเว็บไซต์ หรือเพื่อนร่วมชะตากรรมในสงครามการลงทุน
เพราะพวกเรา คือ รายย่อย เหมือนๆกัน

กับ "เพื่อน" ผมประนีประนอม และพร้อมจะ "ขอโทษ" เสมอครับ
แต่ผมจะไม่ยอม "ประนีประนอม" กับ รายใหญ่ หรือเจ้ามือที่เอาเปรียบรายย่อยอย่างเด็ดขาด!!!
แบบนั้น ยอมพลีชีพ กัดไม่ปล่อยครับผม

โพสต์ที่ผ่านมา
ขอออกตัวอีกครั้งว่า เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
และใช้กับหุ้นที่เรามั่นใจว่ามี mos สูง(ในความเห็นของเรา)
แต่ก็อีกแหล่ะครับ มุมมองของแต่ละคนในเรื่อง mos ก็แตกต่างกันไป
ต้องพิจารณาด้วยตนเองครับ

ถ้าผมทำอะไรไม่เหมาะสม "อภัย" ให้ด้วยเด้อครับ
(^_^)
โอ้ว .... ด้วยความเคารพ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไร ผมไม่ได้ว่าท่าน pak นะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด :shock: ผมแค่เข้ามาอ่านเพราะท่าน woody กล่าวพาดพิงถึงชื่อผมอยู่ในคอมเม้นท์ตอบคุณนริศ พอเห็นท่าน pak โพสต์เลยเข้ามาแซวขำ ๆ คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เฉย ๆ สบายใจได้ครับ :8)

ผมเชื่อว่าทุกคนมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก ไม่มีใครรู้จริง และไม่มีใครถูกต้องไปตลอดในตลาดหลักทรัพย์ ทุกคนที่ลงทุนในตลาด ล้วนเป็นเสมือนคนแล่นเรือ บางคนเป็นเรือหางยาว บางคนเป็น speedboat บางคนเป็นเรือแจว บางคนโดนพายุใหญ่ บางคนขับเรือแบบปลอดโปร่งฟ้าฝนเป็นใจ ความเร็วช้าย่อมต่างกัน จุดหมายของแต่ละคนขึ้นกับเข็มทิศที่เราใช้ ขอให้มั่นใจว่าเข็มทิศเราชี้ไปในทิศที่ถูกต้อง หมั่นตรวจสอบทิศทางของเราอยู่เสมอ ไม่เลวนักที่จะสอบถาม แลกเปลี่ยนเทคนิควิธี และทิศทางของการเดินเรือ เจอเรือเพื่อนร่วมทางทัก เอามาพิจารณาไตร่ตรองก็ไม่เลวนัก สิ่งสำคัญที่สุดในการเดินเรือไปถึงจุดหมายของเราคือ "เรืออย่าล่มเสียก่อน" ครับ และเมื่อเจออุปสรรค สิ่งกีดขวาง ต้องรู้จักวิธีหลบเลี่ยง แม้จะทำให้เราต้องอ้อม หรือช้าไปบ้าง แต่ยังดีกว่ามุ่งหน้าสู่หายนะที่ไม่รู้ว่าเราจะฝ่าออกมารอดหรือไม่

มีนักเดินเรือหลายคนว่า ถ้าทนเห็นเรือจมไปครึ่งลำไม่ได้ ก็อย่ามาแล่นเรือ ... แต่ความเห็นผมคือ ทำไมผมแล่นเรือแล้วต้องยอมให้เรือมันจมไปครึ่งลำด้วยล่ะครับ :8)

อันนี้ทิ้งไว้ให้คิดเอาเองครับ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:29 pm
โดย mprandy
naris เขียน:ผมว่าที่ผ่านมาไม่มีใครพาดพิงหมอหรอกครับ โดเฉพาะคุณpakนี่ผมแอบอ่านมาหลายบทความ คุณpakนี่ผมว่าถึงแก่นและสามารถตกผลึกทางความคิดในสไตล์ของคุณpakเองแล้ว

ถ้าจะพาดพิงก็คราวนี้นี่แหล่ะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือแนวความคิดของหมอเอ็มจากสโลแกนของหมอว่า ไม่สนใจรีเทริ์นเยอะๆ สนใจในอิสระภาพทางการเงินมากกว่า และหมอก็ถือหุ้นhmproตั้งแต่7-8บาท ก่อนจะมีวิกฤต และราคาลงมาประมาณครึ่ง ตอนนั้นหมอเอ็มเข้มแข็งมาก ยืนกรานในหลักการๆลงทุนในกิจการ (ผมแอบชมหมอว่าสุดยอดให้หลายๆคนฟัง) และท้ายที่สุด ถ้าใครอดทนในสิ่งที่ตนเองคิดถูกต้อง ในกิจการที่ถูกต้อง ผลตอบแทนของคนถือโฮมโปรในตอนนั้น น่าจะขึ้นมาราวๆ5เท่า(นับจากก่อนวิกฤตนะครับ) ถ้าใครกล้าซื้อตอนวิกฤต มาจนถึงราคาตอนนี้ก็น่าจะได้เกือบ10เท่าเลยนะครับ

จริงๆตอนนี้ผมอยากให้หมอเอ็ม ช่วยเผยความคิดในตอนนั้นว่า เห็นอะไรดีในโฮมโปร เพื่อเป็นวิทยาทานแก่น้องๆดีกว่านะครับ :D
ขอโทษพี่นริศด้วยครับ เผอิญโพสต์แล้วถึงมาเห็น ... ขอบคุณพี่นริศที่กรุณาน้องนุ่งเสมอมา :D
เดี๋ยวจะมาตอบละกันครับ ตอนนี้ขอตัวก่อน ติดภารกิจ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:44 pm
โดย WorriedInvestor
เอ่อ ผมว่าทำใจไม่ขายหุ้นในเวลาหุ้นดีๆ ที่เราถือไว้มันขึ้นแรงๆ นี่ยากกว่านะครับ
ส่วนหุ้นตกหุ้นลงเนี่ย ผมไม่ต้องทำไรเลยครับ เพราะทำใจขายขาดทุนมากๆ ไม่ได้อยู่แล้ว เอิ๊กๆ แม้แต่ขาดทุนกำไร ยังทำใจไม่ค่อยได้เลยคร้าบ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:56 pm
โดย naris
[quote="mprandy มีนักเดินเรือหลายคนว่า ถ้าทนเห็นเรือจมไปครึ่งลำไม่ได้ ก็อย่ามาแล่นเรือ ... แต่ความเห็นผมคือ ทำไมผมแล่นเรือแล้วต้องยอมให้เรือมันจมไปครึ่งลำด้วยล่ะครับ :8)

อันนี้ทิ้งไว้ให้คิดเอาเองครับ[/quote]

เรื่องนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ ผมจึงพยายามคิดและหาความรู้ในทุกๆเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการ "เสาะหาเรือที่ดีที่สุดในการฝ่าคลื่นลม" และ "พยายามเดินเรือไปในทิศทางที่คลื่นลมไม่แรง" ท้ายที่สุดคือ "หากัปตันเรือที่เก่งๆมาขับเรือให้เรา" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรา "ไม่จำเป็นต้องขนสินค้าทั้งหมดไปไว้เรือลำเดียวกัน" ทำให้ความเสี่ยงของผมๆคิดว่าสามารถควบคุมได้ระดับหนึ่งครับ แต่.....นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีความเสี่ยง เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่มัน "เกินขอบเขตการควบคุมของผม" ผมคง "อุเบกขา" กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นครับหมอ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:12 pm
โดย Paul VI
มีนักเดินเรือหลายคนว่า ถ้าทนเห็นเรือจมไปครึ่งลำไม่ได้ ก็อย่ามาแล่นเรือ ... แต่ความเห็นผมคือ ทำไมผมแล่นเรือแล้วต้องยอมให้เรือมันจมไปครึ่งลำด้วยล่ะครับ

น้องหมอ mprandy ครับ

เรือมันจมน้ำ ส่วนมากมันจะจมไปเรื่อยๆครับ ส่วนมากมันไม่ค่อยจมแค่ครึ่งเดียว :D

ยกเว้นแต่บังเอิญ จมไป 1/2 ลำ แล้ว ค้นพบว่าน้ำที่บริเวณที่จม มันลึกแค่ เรือ 1/2 ลำ


อันนี้พูดเฉพาะเรื่องเรือนะครับ :D


ปล.สบายดีนะครับ ไม่ได้คุยกันนาน :D

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:17 pm
โดย ก้อนกรวด
ถ้าแนว VI, สมมติผมซื้อราคา 100 แล้วมันถล่มลงมาเหลือ 50 ก็คงคิดในอีกแง่นึงว่า ถ้าตอนนี้ผมมีเงินในแบงค์อยู่ 50, ผมจะซื้อไอ้หุ้นตัวนี้รึเปล่า ถ้าไม่ก็ขายทิ้งซะถ้าซื้อก็ถือไว้ แค่นั้นละมั้งครับ

โดยส่วนตัวผมตัดทิ้งที่จุดที่ตั้งไว้แล้วมาดูๆอีกทีว่ามีไรผิดไปหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ว่ากันใหม่

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:21 pm
โดย ก้อนกรวด
อ่อผมขอเถียงคุณ วรันศ์ บัฟเฟต นิดนึงนะครับเพราะผมคิดว่าซื้อหุ้นมันก็เหมือนซื้อห้องในกรณีที่คุณมี full control นะครับ แน่นอนว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของห้องคุณบริหารจัดการอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่กรณีหุ้นมันก็จะต่างกันนิดหน่อยนะครับยกเว้นว่าคุณซื้อเหมายกล๊อตจนมีอำนาจเหนือผู้บริหารจริงๆคราวนี้ ทั้งห้องและหุ้นก็จะเหมือนๆกัน

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:45 pm
โดย mprandy
naris เขียน:ถ้าจะพาดพิงก็คราวนี้นี่แหล่ะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือแนวความคิดของหมอเอ็มจากสโลแกนของหมอว่า ไม่สนใจรีเทริ์นเยอะๆ สนใจในอิสระภาพทางการเงินมากกว่า และหมอก็ถือหุ้นhmproตั้งแต่7-8บาท ก่อนจะมีวิกฤต และราคาลงมาประมาณครึ่ง ตอนนั้นหมอเอ็มเข้มแข็งมาก ยืนกรานในหลักการๆลงทุนในกิจการ (ผมแอบชมหมอว่าสุดยอดให้หลายๆคนฟัง) และท้ายที่สุด ถ้าใครอดทนในสิ่งที่ตนเองคิดถูกต้อง ในกิจการที่ถูกต้อง ผลตอบแทนของคนถือโฮมโปรในตอนนั้นน่าจะขึ้นมาราวๆ5เท่า(นับจากก่อนวิกฤตนะครับ) ถ้าใครกล้าซื้อตอนวิกฤต มาจนถึงราคาตอนนี้ก็น่าจะได้เกือบ10เท่าเลยนะครับ

จริงๆตอนนี้ผมอยากให้หมอเอ็ม ช่วยเผยความคิดในตอนนั้นว่า เห็นอะไรดีในโฮมโปร เพื่อเป็นวิทยาทานแก่น้องๆดีกว่านะครับ :D
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ.. ผมใช้สโลแกนนี้มาตลอดตั้งแต่แรกเป็นสมาชิกไทยวีไอแห่งนี้ จนเวลาล่วงเลยมา ผมก็ยังยึดมั่นกับสโลแกนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายได้ถูกต้อง เราเลือกวิธีการไปสู่เป้าหมายได้ก็เพียงพอแล้ว ผมไม่สนใจตัวเลขว่าจะต้องตั้งเป้าหมายเลิศหรูอะไร การตั้งเป้าสูง ๆ นั้นทำให้เป็นจริงได้ยาก และการตั้งเป้าสูงกว่าความเป็นจริง ย่อมนำมาด้วยวิธีลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย

คำถามของพี่นริศ จริง ๆ แล้วผมเคยตอบในกระทู้ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=35604 ที่ฮงเคยถามผมสมัยวิกฤติเมื่อสองปีก่อนว่า ถ้าผมมองว่าปัญหา subprime ยังไม่จบ จะทำยังไงกับ port ระหว่างทยอยซื้อหุ้นที่เห็นว่ามี mos สูงแล้วเพราะไม่มีใครรู้จุด bottom หรือเลือก รอจนกว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวของ usa แล้วค่อยลงมือ

ผมตอบไปว่าผมเลือกอย่างแรก เหตุผลตอนนั้นคือ ผมยอมรับว่าผมรู้น้อย ผมมองไม่ออกว่าตลาดหุ้นจะเอายังไงต่อ (ทั้งที่ตอนที่ผมคุยกะฮง วิกฤติเพิ่งจะเริ่มไม่นาน) ในเมื่อผมไม่มีความรู้ในการคาดการณ์อนาคต สิ่งที่ผมทำได้คือ เลือก MOS ไว้ก่อน ถ้าผมเลือกถือหุ้นของกิจการที่มีความแข็งแกร่ง สูงมากเพียงพอที่จะผ่านวิกฤตินี้ไปได้ สุดท้ายมันจะกลับมา

ดังนั้นถ้าเราเลือกเดินทางแรก เราต้องมั่นใจในกิจการ และใน MOS ของกิจการมาก ในขณะที่คนเลือกทางเดินที่สอง เราต้องมีความรู้ในจังหวะของตลาดและภาพรวมของการลงทุน ทั้งสองวิธีเป็นหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการดูระดับจุลภาคที่ตัวกิจการ หรือมหภาคที่การเคลื่อนย้ายของเงินทุนและสภาพตลาด เพราะถ้าเรามองได้ถูกต้อง ผลลัพธ์มันจะออกมาเหมือน ๆ กัน

HMPRO เป็นหุ้นตัวแรกและตัวหลักที่ผมถือ และซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาแห่งวิกฤติ เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนกับผมสูงมากเมื่อตลาดกลับมาเป็นกระทิง ผมเชื่อว่าพี่น้องสมาชิกในเวบนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่ทราบความเยี่ยมยอดของกิจการนี้ เมื่อตลาดให้โอกาสเราในการเป็นเจ้าของกิจการอันเยี่ยมยอด ในราคาที่ "ถูกเหลือเชื่อ" (P/E ของกิจการเมื่อผมซื้อมาก ๆ อยู่แถว ๆ 6 อันนี้ก่อนแตกพาร์ไปสองรอบ เทียบกับ growth ปีละ 20-30%) ย่อมไม่ควรจะพลาดโอกาสด้วยประการทั้งปวง

แต่เมื่อถามว่า ในขณะที่ประสบการณ์ของเรามากขึ้นในตอนนี้ และเรามีความรู้ทั้งสองทางข้างต้น ถ้าเราย้อนกลับไปได้อีกหน เราจะทำเหมือนเดิมไหม คำตอบผมอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ :wink:

การมองภาพย้อนหลังในอดีตนั้นย่อมมีความแจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ในตัว เนื่องด้วยเหตุการณ์นั้นผ่านมาสมบูรณ์แล้ว การมองอนาคตต่างหากเป็นสิ่งที่ยาก ผมไม่รู้ว่าวิกฤติจะจบเร็ว และฟื้นตัวเร็ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ้าตอนนั้นผมถือหุ้นตัวอื่น เช่นหุ้นเดินเรือ (ซึ่งมี P/E ต่ำกว่ามาก) ปัจจุบันผมจะเป็นอย่างไร ผมยอมรับตัวเองว่า ผลตอบแทนที่ตนเองได้มาในช่วง 2 ปีนี้ ส่วนหนึ่งอาศัย "โชค" ไม่มากก็น้อย เพราะดวงดีที่ตลาดกลับมาเร็ว และดวงดีที่จะไม่เจ๊งไปเสียก่อน เพราะไม่ได้ถือหุ้นกลุ่มเดินเรือเป็นต้น :lovl:

การลงทุนแนวคุณค่านั้น อาศัยการวิเคราะห์กิจการเป็นหลัก แต่จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนแนวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก คือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน (อีโก้สูง ว่ากันตรง ๆ) และมุมมองต่อตลาดว่าไม่เคยถูกต้อง ฉันต่างหากที่ถูก ถ้าได้อ่านสิ่งที่บัฟเฟตเขียน (Letters to Shareholders) ลองอ่านดี ๆ นะครับ บัฟเฟตบอกไว้ว่า Market is almost always right (หรือ efficient) ไม่ได้แปลว่า Market is always wrong (inefficient) หมายความว่า มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นนะครับ ที่ตลาดนั้นผิดหรือไม่มีประสิทธิภาพ และเราจงใช้จังหวะนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้เราไปโทษว่า หุ้นฉันตกเพราะตลาดนั้นผิด ฉันต่างหากที่ถูกเสมอ ฯลฯ ผมคิดว่าสองปีนี้ตลาดเป็นกระทิงที่ยาวนาน เวลานี้ยาวนานกว่าปกติ (ถือเป็น anomaly อย่างหนึ่ง) และนานปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ... จงอย่าลำพองใจว่าผลตอบแทนที่เลิศหรู 2 ปีที่ผ่านมาของเรา จะหมายถึงผลตอบแทนที่ดีอีกในปีนี้ หุ้นมีขึ้น ย่อมมีลงแน่นอน

บัฟเฟตบอกไว้เสมอว่า กฏข้อแรก อย่ายอมขาดทุน นี่คือกฏแห่งการลงทุนทุกแนวไม่ว่าแนวใด การขาดทุนอย่างหนักเท่าใด การฟื้นตัวของพอร์ทเรามันจะยากเป็นทวีคูณ เมื่อใดที่มุมมองของเราเริ่มผิดทางกับตลาด สิ่งที่เราควรจะมองก่อนคือ มีอะไรที่เรามองข้ามหรือผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรจะยอมรับความผิดพลาดนั้นมากกว่าจะจำทนกับสภาพ แล้วพยายามที่จะหลีกหนี หรือปกปิดความผิดพลาดนั้น เพราะลงท้ายการสูญเสียมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีไม่หายไป มีคนที่ผมนับถือคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะดันทุรังคิดว่าเราถูกอยู่คนเดียว แล้วทนเห็นหุ้นตัวที่เราถือมันราคาร่วงเอาร่วงเอา ในขณะที่คนอื่นเขาคิดไม่เหมือนเรา ไล่ขายออกมาตลอดเวลา และลงท้ายคนที่บาดเจ็บที่สุดจากการลงทุนนี้ ก็คือตัวเรา"

ผมเริ่มลงทุนโดยอาศัยหลักการแห่งพื้นฐาน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน แต่ผมเชื่อว่า หลักการอื่นในการลงทุนนั้นสามารถใช้ได้ ใช้ร่วมกันได้ และใช้ร่วมกับการลงทุนแนวคุณค่าได้เสมอ ทุกวันนี้ผมใช้ทั้งเศรษฐศาสตร์มหภาค, การเคลื่อนไหวของเงิน, จิตวิทยาการลงทุน ฯลฯ ผสมกับการวิเคราะห์พื้นฐาน ทำให้ผมมีความมั่นใจ และมีความสุขในการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนแต่ละคน มีหลักการที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ตราบใดที่รู้จุดอ่อน จุดแข็งของหลักการที่ตนเองใช้ การลงทุนย่อมให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ รู้จุดอ่อนจุดแข็ง และข้อจำกัดของตัวเองหรือยัง

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:58 pm
โดย Muffin
ขออนุญาต แจมสักเล็กน้อยนะครับ
แล้วก็จะไม่ขอพูดมากด้วยครับ

เราหลายคนที่เรียกตัวเองว่า เป้น "VI" ยังเข้าใจเรื่องการลงทุนน้อยไปนะครับ
แต่ผมไม่ใช่คน"รู้มาก"เช่นกัน แต่ไม่ขอวิจารณ์มากครับ

จะฝากเรื่อง Efficiency Market Theory ไว้นะครับ
ซึ่งเป็นทฤษฎีที่สำคัญมากของ finance ที่ทำให้ไปต่อยอดได้ต่ออีกมาก เพราะมีอีกหลายโมเดล ที่พัฒนาต่อจากทฤษฎีนี้ และอย่าลืมนะครับว่ามันคือ "ทฤษฎี"

paper เกี่ยวกับ ข้อจำกัดของ efficiency market theory มีอยู่มากครับ
ใครสนุก หรือเป็นนักวิชาการ hardcore ก็ไปอ่านกันได้ครับ
http://www.frankfurt-school-verlag.de/r ... chanan.pdf

นักลงทุนที่ดี ไม่ควรมี ego ครับ
จริงๆใครก็ตามไม่ว่าอาชีพใดก็ไม่ควรมี
แล้วก็ไม่รู้จะมีไปทำไมครับ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:03 pm
โดย Muffin
เดี๋ยวจะมองเป็นแปะผิดเรื่องผิดราวไป
เอาเป็นว่า เอาของ ลุงบัฟไปอ่านแล้วกันครับ

http://www.thestreet.com/story/10937290 ... hesis.html

ทั้งนี้ นักลงทุนแต่ละคน มี risk preference และความรู้ความสามารถไม่เท่ากันนะครับ รวมทั้ง resource และเวลา

ทั้งนี้ก่อนอื่นต้องถามใจตัวเองก่อนว่า คุณอยู่ตรงไหน รู้จักตัวเองแค่ไหน รู้จักตลาดหุ้นแค่ไหน และมีความรู้แค่ไหน

เรามีสังคมนักลงทุนเพื่อแบ่งปันครับ :)

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:10 pm
โดย กล้วยไม้ขาว
แจมด้วยคน :mrgreen:

จุดประสงค์ตั้งแต่ตอนตัดสินใจซื้อ มันจะเป็นตัวกำหนดครับว่า
คุณต้องทนถือหุ้นไหมเวลามันตกเอาตกเอา...

ทีนี้บางทีจุดประสงค์บอกให้ถือนานๆ
แต่ตอนตัดสินใจซื้อด้วยกระบวนการที่ไม่เหมาะสมกับจุดประสงค์
เช่นซื้อตอน MOS น้อยกว่าที่ตั้งใจ เพราะกลัวตกรถ
มันก็จะส่งผลให้เกิดความลังเลอย่างนี้ครับ

เพราะเราวางเป้าหมายจะทำแบบ VI#1 แต่เราตัดสินใจด้วยวิธีแบบ VS
ความคิดมันก็จะตีกันเองในหัวเราว่าแล้วตอนขายเราจะตัดสินใจแบบไหน

เป็นผมจะเลือกทำตามหลักของการตัดสินใจตอนซื้อครับ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:10 pm
โดย picatos
โอ้ว... โชคดีจังได้ผ่านมาอ่านความเห็นของพี่ mprandy...

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้ยินได้ทราบ กลยุทธ์ แนวทางการลงทุนของพี่หมอที่เปลี่ยนไป แทบจะเป็นตรงกันข้ามกับที่ผมเคยรู้มา... ผมก็แปลกใจว่าทำไมแนวคิดคนเราถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้... พอได้มาอ่านความเห็นพี่ mprandy ก็เลยพอที่จะเข้าใจ และช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับผมเพิ่มขึ้นมากครับ...

ขอบคุณครับ... :bow: :bow: :bow:

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:18 pm
โดย woody
picatos เขียน:โอ้ว... โชคดีจังได้ผ่านมาอ่านความเห็นของพี่ mprandy...

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้ยินได้ทราบ กลยุทธ์ แนวทางการลงทุนของพี่หมอที่เปลี่ยนไป แทบจะเป็นตรงกันข้ามกับที่ผมเคยรู้มา... ผมก็แปลกใจว่าทำไมแนวคิดคนเราถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้...

ขอบคุณครับ... :bow: :bow: :bow:
ผมก็เป็นอีกคนนึงที่ติดตามผลงานของพี่ mprandy มาตลอด ผมมีความเห็นว่าแนวทางของพี่หมอไม่ได้เปลี่ยนแบบตรงกันข้ามแต่อย่างใดเลยครับ แต่หมือนกับการได้ต่อยอดซึ่งเกิดจากทัศนคติที่ดีที่ไม่เคยปิดรับสิ่งใหม่ๆ มากกว่า

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:31 pm
โดย newbie_12
แวะมาดูเหล่าเทพเขาคุยกัน

ส่วนผมเอง ด้วยความที่ระดับสติปัญญาไม่ค่อยจะมี ไม่สามารถที่จะกะเก็ง หรือคาดการณ์ใดๆเกี่ยวกับสภาพตลาดได้ ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าไฟที่ใหม้อยู่ในบ้านนี้ จะไหม้ต่อไปหรือเพิ่งจะเริ่มไหม้แค่นิดหน่อย

ดังนั้น ทางรอดเดียวที่ผมมีก็คือ เลือกกิจการที่แข็งแกร่งเข้าไว้ในราคาเหมาะสม และถือรอไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าใครจะเก็งตลาดว่ายังไง เพราะถึงไปสนใจ ผมก็คาดเดาไม่ถูกอยู่ดี

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:35 pm
โดย thaloengsak
ขอบคุณทุกคนครับ :)

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 7:18 pm
โดย naris
บทสรุปในใจของผมเมื่อสามวันก่อนที่โพสท์กระทู้นี้ สัมฤทธิ์ผลแล้วครับ
สามารถดึงคนที่คิดต่าง มือเก่า ที่ไม่ค่อยโพสท์ มาเพิ่มtrafficให้ thaivi.org ได้เป็นผลสำเร็จ
ขอบคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็นและการกลับเข้ามาเวป thaivi.org อีกครั้งครับ :mrgreen:

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 7:35 pm
โดย Nevercry.boy
ก้อนกรวด เขียน:ถ้าแนว VI, สมมติผมซื้อราคา 100 แล้วมันถล่มลงมาเหลือ 50 ก็คงคิดในอีกแง่นึงว่า ถ้าตอนนี้ผมมีเงินในแบงค์อยู่ 50, ผมจะซื้อไอ้หุ้นตัวนี้รึเปล่า ถ้าไม่ก็ขายทิ้งซะถ้าซื้อก็ถือไว้ แค่นั้นละมั้งครับ

โดยส่วนตัวผมตัดทิ้งที่จุดที่ตั้งไว้แล้วมาดูๆอีกทีว่ามีไรผิดไปหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ว่ากันใหม่
อันนี้มีสองคำตอบครับ

ส่วนตัวนะครับ หุ้นที่ผมถือจะมี Earning ในระดับที่รับได้ พูดง่าย ๆ คือคิดจากราคาที่ซื้อแล้วยังไงก็ดีกว่าสินทรัพย์อื่น

ถ้าเป็นหุ้นที่มีในมือตอนนี้ และบังเอิญ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่ทำให้ราคามาถึงครึ่ง

ผมเตรียมแผนสองคือ "ซื้อเพิ่ม" ด้วยเงินสำรองจำนวนหนึ่ง

และหากผิดพลาดอีก ลงมาอีก

คราวนี้ ฟ้าเปิด เลย

ผมพร้อมจะอัดมาร์จิ้นเข้าไปเต็มที่ ด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าเดิม

นั่นเป็นเพราะอะไร?

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:01 pm
โดย picatos
อ่านที่พี่ mprandy แล้วฉุกใจให้คิด ให้ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง เลยอยากขอต่อยอดสักเล็กน้อย...
mprandy เขียน:...
การลงทุนแนวคุณค่านั้น อาศัยการวิเคราะห์กิจการเป็นหลัก แต่จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนแนวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก คือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน (อีโก้สูง ว่ากันตรง ๆ) และมุมมองต่อตลาดว่าไม่เคยถูกต้อง ฉันต่างหากที่ถูก ถ้าได้อ่านสิ่งที่บัฟเฟตเขียน (Letters to Shareholders) ลองอ่านดี ๆ นะครับ บัฟเฟตบอกไว้ว่า Market is almost always right (หรือ efficient) ไม่ได้แปลว่า Market is always wrong (inefficient) หมายความว่า มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นนะครับ ที่ตลาดนั้นผิดหรือไม่มีประสิทธิภาพ และเราจงใช้จังหวะนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้เราไปโทษว่า หุ้นฉันตกเพราะตลาดนั้นผิด ฉันต่างหากที่ถูกเสมอ ฯลฯ ผมคิดว่าสองปีนี้ตลาดเป็นกระทิงที่ยาวนาน เวลานี้ยาวนานกว่าปกติ (ถือเป็น anomaly อย่างหนึ่ง) และนานปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ... จงอย่าลำพองใจว่าผลตอบแทนที่เลิศหรู 2 ปีที่ผ่านมาของเรา จะหมายถึงผลตอบแทนที่ดีอีกในปีนี้ หุ้นมีขึ้น ย่อมมีลงแน่นอน
ผมเชื่อว่า อีโก้ กับ กับอายุ โดยทั่วไปแล้วเป็นการแปรผันตามกันครับ... ยิ่งแก่ อัตตาตัวตนยิ่งสูง... ในขณะที่เด็กเล็กๆ จะเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า... เลยเป็นที่มาขอคำว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"... ผมเชื่ออย่างงั้นนะครับ... ดังนั้นผมเชื่อว่าคนยิ่งประสบการณ์มาก อีโก้ ยิ่งสูงตามครับ...

ทีนี้... เรื่อง Letter to Shareholders ที่พี่หมอยกมา ผมรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอด จึงอยากรบกวนพี่หมอช่วยแนะนำแหล่งที่มาเพื่อผมจะได้นำไปศึกษาหน่อยได้ไหมครับ?

คือ ที่ผมเชื่อมาตลอด ผมเชื่อว่า... แนวคิดแบบ VI จะเป็นพวกที่ไม่เชื่อในทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่ หมายถึง ไม่เชื่อใน Efficient Market ผมจำได้ว่า Buffet เคยเขียนบทความที่เรียกว่าโจมตีพวก Random Walk ด้วยซ้ำ... ในขณะที่แกรแฮมเป็นคนบอกว่า ในระยะสั้น นาย ตลาด จะเหมือนคนโรคจิตอารมณ์แปรปวน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาจะเข้าสู่มูลค่า (คล้ายๆ กับว่านายตลาด พึ่งจะรู้ตัวว่ากำลังบ้าอยู่ เลยรู้จักที่จะควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองซะบ้าง)...

อย่างไรก็ตาม การที่เราเชื่อว่าตลาดผิด ไม่ได้หมายความว่า ฉันถูก... ฉันจะถูกได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันพิจารณาการลงทุนอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ และลงทุนในราคาที่มี MOS สูงมากเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากมูลค่ากิจการมันเปลี่ยนแปลงตามเหตุ-ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน...

ที่นี้... มาเรื่องการวัดถูกผิดของ VI ... ผมว่าแนวคิดของ VI แท้ๆ คือ การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า ที่มี MOS มากเพียงพอ ซึ่งจะทำให้เรากำไรทันทีที่เราซื้อหุ้น แม้พื้นฐานกิจการที่เราประเมินมันอาจจะผิดไปบ้างเป็นปกติ เราก็ยังมี MOS มาช่วยชดเชยความเสี่ยงรองรับอยู่ (มูลค่ากิจการที่เราเอามาใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อหา MOS ต้องเป็นมูลค่ากิจการในกรณี Worst Case เท่านั้น ไม่ใช่เอา Base Case หรือ Best Case มาหา Upside แล้วเรียกมันว่า MOS)

ดังนั้นในการวัดถูกผิดของ VI น่าจะวัดกันที่ ตัวพื้นฐานกิจการล้วนๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเรามีข้อมูลเพิ่มขึ้น มูลค่ากิจการใหม่ที่เราคำนวณได้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าลดลง ก็ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าราคาที่เราซื้อในตอนแรก... อันนี้คือวิเคราะห์ถูก... แต่ถ้าเกิดมันผิดคาดไปหมด มูลค่ากิจการใหม่ แม้แต่ MOS ที่เรามาเผื่อไว้ก็ไม่พอ... อันนี้คงต้องพิจารณาตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น ผมลงทุนหุ้นตัวหนึ่งได้กำไรมากพอสมควรและได้ขายทำกำไรไปแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ข้อมูลจากกิจการที่เปิดเผยออกกลายเป็นว่าที่มูลค่ากิจการที่เราคิด มันผิด จริงๆ แล้ว มูลค่ากิจการมันไม่ได้สูง ไม่มี MOS เลย ผมวิเคราะห์มูลค่ากิจการพลาด แต่ผมแค่โชคดีที่ขายได้กำไร อันนี้ผมเรียกว่าผมผิด... ในทางตรงกันข้าม ผมอาจจะขายขาดทุน แต่ผมอาจจะวิเคราะห์ถูกก็ได้...

ดังนั้นผมเชื่อว่ามุมมองถูกผิดของ VI อยู่ที่การประเมินมูลค่ากิจการว่าออกมาได้ถูกต้องขนาดไหน ไม่ใช่ว่าขายได้กำไรหรือขาดทุน

สำหรับผลตอบแทน 2 ปีที่ผ่านมา... ถ้าพิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย.... ผมคิดว่า ปีนี้ผมไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว... แต่ความโลภที่อยู่ในใจมันเต้นเร่าๆ อยากได้จะผลตอบแทนเยอะๆ อีก ซึ่งมันก็เป็นการต่อสู้กับครับ ระหว่าง การควบคุมตัวเองให้ลงทุนอย่างมีสติ พิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย กับ กิเลสที่คอยลากเราให้ไปทำอะไรเสี่ยงๆ อยากได้ผล แต่ไม่สร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา... หวังว่าตัวผมเองจะมีความกล้าหาญ มีความพากเพียรพยายามในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ และสามารถผ่านปีนี้ไปได้...


สุดท้ายประเด็นที่ผมฉุกคิด... คือ ความสัมพันธ์ของ ปัจจัย 3 ตัว 1) อีโก้ 2) เหตุ-ปัจจัย 3) อารมณ์ (ความโลภ-ความกลัว) กับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

ในการประเมินมูลค่ากิจการต้องมองทะลุไปเห็นถึง เหตุ-ปัจจัย ของกิจการ เฉพาะ สิ่งที่เป็นสาระของกิจการ อาจกล่าวได้ว่า เราต้องมองข้ามสิ่งปรุงแต่งที่เป็นบัญญัติธรรม เข้าไปให้ถึง ความจริงแก่นแท้ของกิจการที่เป็นปรมัตถธรรม อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก... ใบไม้ในป่ามีมากมายมหาศาล จะมองทะลุเลือกหยิบใบไม้เพียงกำมือเดียว ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 กับสงฆ์สาวกย่อมไม่ง่ายนัก

บ่อยครั้งที่ผมถูกอารมณ์ของตลาด หลอกล่อและชักนำ ให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง... บ่อยครั้งที่ผม Simplify เรื่องต่างๆ ของกิจการผิดพลาด จนไปหยิบกระพี้มาเป็นสาระ แทนที่จะเข้าถึงแก่น... และเมื่อมีคนเตือนด้วยความหวังดี... แต่เรากลับยึดอัตตา มีอีโก้ ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างเข้ามาพินิจ พิเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์

และที่สำคัญ... บ่อยครั้งที่เชื่อคนอื่นง่ายจนเกินไป...

ยากจังเนอะ...​ การลงทุนที่จะลงทุนโดยมีสติ ลงทุนตามเหตุ-ปัจจัย โดยไม่ใช้ อคติ อารมณ์ชั่ววูบ และมีอัตตาน้อยๆ... ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมก็จะพยายามต่อไปครับ...

ยังไงก็ขอขอบคุณ และน้อมรับคำแนะนำตักเตือนจากพี่หมอ mprandy นะครับ... จะพยายามระมัดระวัง ไม่ให้อัตตาของตัวเองเติบใหญ่จนเกินไป... และหวังว่าจะได้รับความปรารถนาดีจากพี่เช่นนี้อีกในอนาคตครับ
mprandy เขียน:บัฟเฟตบอกไว้เสมอว่า กฏข้อแรก อย่ายอมขาดทุน นี่คือกฏแห่งการลงทุนทุกแนวไม่ว่าแนวใด การขาดทุนอย่างหนักเท่าใด การฟื้นตัวของพอร์ทเรามันจะยากเป็นทวีคูณ เมื่อใดที่มุมมองของเราเริ่มผิดทางกับตลาด สิ่งที่เราควรจะมองก่อนคือ มีอะไรที่เรามองข้ามหรือผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรจะยอมรับความผิดพลาดนั้นมากกว่าจะจำทนกับสภาพ แล้วพยายามที่จะหลีกหนี หรือปกปิดความผิดพลาดนั้น เพราะลงท้ายการสูญเสียมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีไม่หายไป มีคนที่ผมนับถือคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะดันทุรังคิดว่าเราถูกอยู่คนเดียว แล้วทนเห็นหุ้นตัวที่เราถือมันราคาร่วงเอาร่วงเอา ในขณะที่คนอื่นเขาคิดไม่เหมือนเรา ไล่ขายออกมาตลอดเวลา และลงท้ายคนที่บาดเจ็บที่สุดจากการลงทุนนี้ ก็คือตัวเรา"
...
สมัยก่อน ผมรู้สึกว่่า กฎของบัฟเฟตว่าด้วยเรื่องอย่าขาดทุน ช่างขัดแย้งกับการที่บัฟเฟตบอกว่า ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองลง 50% ไม่ได้ ก็อย่างริอาจเป็นนักลงทุน...

แต่หลังๆ พอมานั่งคิดจริงๆ... ผมคิดว่าคำว่าขาดทุนของบัฟเฟต์ ไม่ได้หมายถึง การขาดทุนทางบัญชี (Mark-To-Market Loss) นะครับ... แต่หมายถึง การที่เราประเมินมูลค่ากิจการพลาด หรือซื้อกิจการในมูลค่าที่มี MOS น้อยจนเกินไปมากกว่า... ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนที่บัฟเฟต์เข้าซื้อกิจการหลายๆ กิจการ หลังจากที่บัฟเฟต์ซื้อเสร็จ หุ้นมันก็ยังลงต่อ แต่พอเวลาผ่านไป มันก็เข้าหามูลค่า

ด้วยเหตุนี้... ผมคิดว่าเราไม่ควรจะตีความว่า "ขาดทุน" ของบัฟเฟต เป็น MTM Loss ครับ...

ทีนี้... ก็กลับมาที่คำถามเดิมล่ะครับ... มูลค่ากิจการที่เราคำนวณได้ มันสมเหตุสมผลหรือไม่... มันเป็นเพียงแค่ อีโก้ หรือ อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า? แล้วก็มาจบที่คำถามว่า... เราเข้าใจกิจการนี้จริงๆ รึเปล่า?

ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...

ขอให้หุ้นที่ผมถืออยู่... เป็นหุ้นที่ผมเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ แค่คิดว่าตัวเองเข้าใจทีเถอะครับ...

:D

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:03 pm
โดย pak
"ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล และไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปมันถูกแล้ว..."


บางครั้ง...ผมก็ชอบนั่งฟังเพลงนี้นะครับ
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=HrlZ7RduCSQ

ไม่ได้ประมาท...
แต่ผมคิดว่า...ผมได้พยายามทำดีที่สุด สำหรับความสามารถของเราแล้ว
ก็เท่านั้นเองครับ
(^_^)

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:21 pm
โดย naris
picatos เขียน:อ่านที่พี่ mprandy แล้วฉุกใจให้คิด ให้ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง เลยอยากขอต่อยอดสักเล็กน้อย...
mprandy เขียน:...
การลงทุนแนวคุณค่านั้น อาศัยการวิเคราะห์กิจการเป็นหลัก แต่จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนแนวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก คือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน (อีโก้สูง ว่ากันตรง ๆ) และมุมมองต่อตลาดว่าไม่เคยถูกต้อง ฉันต่างหากที่ถูก ถ้าได้อ่านสิ่งที่บัฟเฟตเขียน (Letters to Shareholders) ลองอ่านดี ๆ นะครับ บัฟเฟตบอกไว้ว่า Market is almost always right (หรือ efficient) ไม่ได้แปลว่า Market is always wrong (inefficient) หมายความว่า มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นนะครับ ที่ตลาดนั้นผิดหรือไม่มีประสิทธิภาพ และเราจงใช้จังหวะนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้เราไปโทษว่า หุ้นฉันตกเพราะตลาดนั้นผิด ฉันต่างหากที่ถูกเสมอ ฯลฯ ผมคิดว่าสองปีนี้ตลาดเป็นกระทิงที่ยาวนาน เวลานี้ยาวนานกว่าปกติ (ถือเป็น anomaly อย่างหนึ่ง) และนานปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ... จงอย่าลำพองใจว่าผลตอบแทนที่เลิศหรู 2 ปีที่ผ่านมาของเรา จะหมายถึงผลตอบแทนที่ดีอีกในปีนี้ หุ้นมีขึ้น ย่อมมีลงแน่นอน
ผมเชื่อว่า อีโก้ กับ กับอายุ โดยทั่วไปแล้วเป็นการแปรผันตามกันครับ... ยิ่งแก่ อัตตาตัวตนยิ่งสูง... ใน
ขณะที่เด็กเล็กๆ จะเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า... เลยเป็นที่มาขอคำว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"... ผมเชื่ออย่างงั้นนะครับ... ดังนั้นผมเชื่อว่าคนยิ่งประสบการณ์มาก อีโก้ ยิ่งสูงตามครับ...

ทีนี้... เรื่อง Letter to Shareholders ที่พี่หมอยกมา ผมรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอด จึงอยากรบกวนพี่หมอช่วยแนะนำแหล่งที่มาเพื่อผมจะได้นำไปศึกษาหน่อยได้ไหมครับ?

คือ ที่ผมเชื่อมาตลอด ผมเชื่อว่า... แนวคิดแบบ VI จะเป็นพวกที่ไม่เชื่อในทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่ หมายถึง ไม่เชื่อใน Efficient Market ผมจำได้ว่า Buffet เคยเขียนบทความที่เรียกว่าโจมตีพวก Random Walk ด้วยซ้ำ... ในขณะที่แกรแฮมเป็นคนบอกว่า ในระยะสั้น นาย ตลาด จะเหมือนคนโรคจิตอารมณ์แปรปวน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาจะเข้าสู่มูลค่า (คล้ายๆ กับว่านายตลาด พึ่งจะรู้ตัวว่ากำลังบ้าอยู่ เลยรู้จักที่จะควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองซะบ้าง)...

อย่างไรก็ตาม การที่เราเชื่อว่าตลาดผิด ไม่ได้หมายความว่า ฉันถูก... ฉันจะถูกได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันพิจารณาการลงทุนอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ และลงทุนในราคาที่มี MOS สูงมากเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากมูลค่ากิจการมันเปลี่ยนแปลงตามเหตุ-ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน...

ที่นี้... มาเรื่องการวัดถูกผิดของ VI ... ผมว่าแนวคิดของ VI แท้ๆ คือ การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า ที่มี MOS มากเพียงพอ ซึ่งจะทำให้เรากำไรทันทีที่เราซื้อหุ้น แม้พื้นฐานกิจการที่เราประเมินมันอาจจะผิดไปบ้างเป็นปกติ เราก็ยังมี MOS มาช่วยชดเชยความเสี่ยงรองรับอยู่ (มูลค่ากิจการที่เราเอามาใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อหา MOS ต้องเป็นมูลค่ากิจการในกรณี Worst Case เท่านั้น ไม่ใช่เอา Base Case หรือ Best Case มาหา Upside แล้วเรียกมันว่า MOS)

ดังนั้นในการวัดถูกผิดของ VI น่าจะวัดกันที่ ตัวพื้นฐานกิจการล้วนๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเรามีข้อมูลเพิ่มขึ้น มูลค่ากิจการใหม่ที่เราคำนวณได้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าลดลง ก็ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าราคาที่เราซื้อในตอนแรก... อันนี้คือวิเคราะห์ถูก... แต่ถ้าเกิดมันผิดคาดไปหมด มูลค่ากิจการใหม่ แม้แต่ MOS ที่เรามาเผื่อไว้ก็ไม่พอ... อันนี้คงต้องพิจารณาตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น ผมลงทุนหุ้นตัวหนึ่งได้กำไรมากพอสมควรและได้ขายทำกำไรไปแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป
ข้อมูลจากกิจการที่เปิดเผยออกกลายเป็นว่าที่มูลค่ากิจการที่เราคิด มันผิด จริงๆ แล้ว มูลค่ากิจการมันไม่ได้สูง ไม่มี MOS เลย ผมวิเคราะห์มูลค่ากิจการพลาด แต่ผมแค่โชคดีที่ขายได้กำไร อันนี้ผมเรียกว่าผมผิด... ในทางตรงกันข้าม ผมอาจจะขายขาดทุน แต่ผมอาจจะวิเคราะห์ถูกก็ได้...

ดังนั้นผมเชื่อว่ามุมมองถูกผิดของ VI อยู่ที่การประเมินมูลค่ากิจการว่าออกมาได้ถูกต้องขนาดไหน ไม่ใช่ว่าขายได้กำไรหรือขาดทุน

สำหรับผลตอบแทน 2 ปีที่ผ่านมา... ถ้าพิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย.... ผมคิดว่า ปีนี้ผมไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว... แต่ความโลภที่อยู่ในใจมันเต้นเร่าๆ อยากได้จะผลตอบแทนเยอะๆ อีก ซึ่งมันก็เป็นการต่อสู้กับครับ ระหว่าง การควบคุมตัวเองให้ลงทุนอย่างมีสติ พิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย กับ กิเลสที่คอยลากเราให้ไปทำอะไรเสี่ยงๆ อยากได้ผล แต่ไม่สร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา... หวังว่าตัวผมเองจะมีความกล้าหาญ มีความพากเพียรพยายามในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ และสามารถผ่านปีนี้ไปได้...
สุดท้ายประเด็นที่ผมฉุกคิด... คือ ความสัมพันธ์ของ ปัจจัย 3 ตัว 1) อีโก้ 2) เหตุ-ปัจจัย 3) อารมณ์ (ความโลภ-ความกลัว) กับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

ในการประเมินมูลค่ากิจการต้องมองทะลุไปเห็นถึง เหตุ-ปัจจัย ของกิจการ เฉพาะ สิ่งที่เป็นสาระของกิจการ อาจกล่าวได้ว่า เราต้องมองข้ามสิ่งปรุงแต่งที่เป็นบัญญัติธรรม เข้าไปให้ถึง ความจริงแก่นแท้ของกิจการที่เป็นปรมัตถธรรม อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก... ใบไม้ในป่ามีมากมายมหาศาล จะมองทะลุเลือกหยิบใบไม้เพียงกำมือเดียว ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 กับสงฆ์สาวกย่อมไม่ง่ายนัก

บ่อยครั้งที่ผมถูกอารมณ์ของตลาด หลอกล่อและชักนำ ให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง... บ่อยครั้งที่ผม Simplify เรื่องต่างๆ ของกิจการผิดพลาด จนไปหยิบกระพี้มาเป็นสาระ แทนที่จะเข้าถึงแก่น... และเมื่อมีคนเตือนด้วยความหวังดี... แต่เรากลับยึดอัตตา มีอีโก้ ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างเข้ามาพินิจ พิเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์
และที่สำคัญ... บ่อยครั้งที่เชื่อคนอื่นง่ายจนเกินไป...

ยากจังเนอะ...​ การลงทุนที่จะลงทุนโดยมีสติ ลงทุนตามเหตุ-ปัจจัย โดยไม่ใช้ อคติ อารมณ์ชั่ววูบ และมีอัตตาน้อยๆ... ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมก็จะพยายามต่อไปครับ...

ยังไงก็ขอขอบคุณ และน้อมรับคำแนะนำตักเตือนจากพี่หมอ mprandy นะครับ... จะพยายามระมัดระวัง ไม่ให้อัตตาของตัวเองเติบใหญ่จนเกินไป... และหวังว่าจะได้รับความปรารถนาดีจากพี่เช่นนี้อีกในอนาคตครับ
mprandy เขียน:บัฟเฟตบอกไว้เสมอว่า กฏข้อแรก อย่ายอมขาดทุน นี่คือกฏแห่งการลงทุนทุกแนวไม่ว่าแนวใด การขาดทุนอย่างหนักเท่าใด การฟื้นตัวของพอร์ทเรามันจะยากเป็นทวีคูณ เมื่อใดที่มุมมองของเราเริ่มผิดทางกับตลาด สิ่งที่เราควรจะมองก่อนคือ มีอะไรที่เรามองข้ามหรือผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรจะยอมรับความผิดพลาดนั้นมากกว่าจะจำทนกับสภาพ แล้วพยายามที่จะหลีกหนี หรือปกปิดความผิดพลาดนั้น เพราะลงท้ายการสูญเสียมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีไม่หายไป มีคนที่ผมนับถือคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะดันทุรังคิดว่าเราถูกอยู่คนเดียว แล้วทนเห็นหุ้นตัวที่เราถือมันราคาร่วงเอาร่วงเอา ในขณะที่คนอื่นเขาคิดไม่เหมือนเรา ไล่ขายออกมาตลอดเวลา และลงท้ายคนที่บาดเจ็บที่สุดจากการลงทุนนี้ ก็คือตัวเรา"
...
สมัยก่อน ผมรู้สึกว่่า กฎของบัฟเฟตว่าด้วยเรื่องอย่าขาดทุน ช่างขัดแย้งกับการที่บัฟเฟตบอกว่า ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองลง 50% ไม่ได้ ก็อย่างริอาจเป็นนักลงทุน...

แต่หลังๆ พอมานั่งคิดจริงๆ... ผมคิดว่าคำว่าขาดทุนของบัฟเฟต์ ไม่ได้หมายถึง การขาดทุนทางบัญชี (Mark-To-Market Loss) นะครับ... แต่หมายถึง การที่เราประเมินมูลค่ากิจการพลาด หรือซื้อกิจการในมูลค่าที่มี MOS น้อยจนเกินไปมากกว่า... ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนที่บัฟเฟต์เข้าซื้อกิจการหลายๆ กิจการ หลังจากที่บัฟเฟต์ซื้อเสร็จ หุ้นมันก็ยังลงต่อ แต่พอเวลาผ่านไป มันก็เข้าหามูลค่า

ด้วยเหตุนี้... ผมคิดว่าเราไม่ควรจะตีความว่า "ขาดทุน" ของบัฟเฟต เป็น MTM Loss ครับ...
ทีนี้... ก็กลับมาที่คำถามเดิมล่ะครับ... มูลค่ากิจการที่เราคำนวณได้ มันสมเหตุสมผลหรือไม่... มันเป็นเพียงแค่ อีโก้ หรือ อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า? แล้วก็มาจบที่คำถามว่า... เราเข้าใจกิจการนี้จริงๆ รึเปล่า?

ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...

ขอให้หุ้นที่ผมถืออยู่... เป็นหุ้นที่ผมเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ แค่คิดว่าตัวเองเข้าใจทีเถอะครับ...

:D
เห็นด้วยทุกประการกับติครับ พี่อยากจะขอเพิ่มในเรื่องธรรมมะสักหน่อยนะครับ
คำว่าอัตตา เราต้องแยกออกมาเป็นสองเรื่อง

เรื่องแรก อัตตา กับ อนัตตา ถ้าพูดแบบนี้หมายถึงการแบ่งสิ่งต่างๆเพื่อจำแนกการมีตัวตนและไม่มีตัวตน
แต่ในสิ่งที่เรากำลังถกกันนี้เป็นอัตตาแบบที่สองคือเรื่องความคิด ความยึดมั่นถือมั่น
อัตตาแบบนี้น่าจะคล้ายๆกับทิฐิ หมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในแนวความคิดของตนเอง

อัตตาหรือทิฐิในส่วนนี้พี่คิดว่ามันเป็นคำกลางๆไม่มีบวกหรือลบ ถ้าคนไม่มีทิฐิในส่วนนี้ก็อาจจะถูกต่อว่าว่าเป็นคนหูเบา ไม่มีแนวความคิดของตนเอง พี่เลยคิดว่าคำว่าอัตตาหรือทิฐิในทางโลก(ขอย้ำว่าทางโลกไม่ใช่ทางธรรม เพื่อจะบรรลุ)ทุกคนต้องมี แต่จุดที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ใช่เป็นอัตตา แต่เป็น อัตตาที่ผิดหรือถูก หรือจะเรียกว่า เป็นมิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ มากกว่านะครับ

พี่เชื่อว่าปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:23 pm
โดย chaitorn
มาขอแจมด้วยคนครับ :lol:
หุ้นตก ควรทำอย่างไร ควรทำใจไม่ซื้อหรือไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับ หรือเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ควรตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นหรือไม่อย่างไร ขอเพิ่มประเด็นจากกระทู้หน่อยครับ

ในความเห็นของผมก็คือ

1. ซื้อด้วยเหตุผลใด ต้องดูว่าเหตุเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เหตุเปลี่ยนแปลง ผลก็เปลี่ยนแปลง
2. ดังนั้น จึงต้องทบทวนเหตุผลของหุ้นตกเพราะอะไร
ซื้อหุ้นหรือลงทุนในหุ้นเพราะคุณค่าหรือมูลค่าของหุ้น ก็ทบทวนว่า คุณค่าหรือมูลค่าของหุ้น เทียบกับ ราคาหุ้นที่ตกลงเป็นอย่างไร ถ้าคุณค่าของหุ้นหรือมูลค่าหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ราคาหุ้นตกลง ก็เป็นโอกาสการเข้าซื้อเพิ่ม เรียกว่า ซื้อได้ของดีราคาถูก แบบ Grand sell ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากของการทะยอยเข้าซื้อหุ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวต่อไป

แต่หากทบทวนแล้ว พบว่า พื้นฐานหุ้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ หรือเราไปเจอหุ้นที่มีคุณค่าหรือมูลค่ามากกว่าแถมราคาถูกกว่าอีกด้วย เราก็อาจจะต้องทบทวนขายหุ้นออกไป หรือทะยอยขายบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง และเพื่อเพิ่มโอกาสผลตอบแทนที่ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นตัวที่เราถืออยู่

3. จุดสำคัญก็คือ เราต้องไม่ใช้เหตุผลการซื้อขายตามกระแสของมวลชน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมกับกระแสมวลชน เพราะขาดสติ หรือซื้อขายอย่างบ้าคลั่ง และไม่ได้ใช้ปัญญาอของเราในการวิเคราะห์ไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ อย่างมีเหตุผล เนื่องจากระยะสั้นราคาจะขึ้น ๆ ลง ๆ ตามอารมณ์ของนายตลาดที่เกิดจากกิเลสความโลภและความกลัวเกินพอดี ที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิตของแต่ละคน จนเกิดเป็นกระแสของมวลชนซึ่งกระทบสะท้อนกลับไปยังการตัดสินใจของแต่ละคนด้วย จนมีผลทำให้ราคาผันผวนไปตามอารมณ์ของจิตที่ปรุงแต่งของมวลชนดังกล่าวในที่สุด ซึ่งเราควบคุมอารมณ์ของผู้อื่นหรือนายตลาดไม่ได้ ทำให้เกิดผลกระทบไปยังราคาของหุ้นซึ่งมวลชนใช้เหตุผลจากปัจจัยแวดล้อมสั้น ๆ มาประเมินความโลภและความกลัวของแต่ละคน

นักลงทุนที่เน้นคุณค่าหุ้น จึงต้องใช้ประโยชน์ของนายตลาด ให้แปลงเป็นโอกาส หรือลดความเสี่ยง เพื่อเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนอย่างมีหลักการและมีเหตุผลลองรับ เพราะสุดท้ายในระยะยาวเราต้องมั่นใจและเชื่อมั่นว่าราคาจะเคลื่อนไปตามพื้นฐานตามความเป็นจริงของมูลค่าหุ้นที่แท้จริงต่อไปครับ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:43 pm
โดย woody
naris เขียน:บทสรุปในใจของผมเมื่อสามวันก่อนที่โพสท์กระทู้นี้ สัมฤทธิ์ผลแล้วครับ
สามารถดึงคนที่คิดต่าง มือเก่า ที่ไม่ค่อยโพสท์ มาเพิ่มtrafficให้ thaivi.org ได้เป็นผลสำเร็จ
ขอบคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็นและการกลับเข้ามาเวป thaivi.org อีกครั้งครับ :mrgreen:
ไม่ทราบว่าพี่ naris อยากให้เป็นแบบ recurring หรือเปล่าครับ ?

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:57 pm
โดย chaitorn
คุณ Naris
เห็นด้วยทุกประการกับติครับ พี่อยากจะขอเพิ่มในเรื่องธรรมมะสักหน่อยนะครับ
คำว่าอัตตา เราต้องแยกออกมาเป็นสองเรื่อง

เรื่องแรก อัตตา กับ อนัตตา ถ้าพูดแบบนี้หมายถึงการแบ่งสิ่งต่างๆเพื่อจำแนกการมีตัวตนและไม่มีตัวตน
แต่ในสิ่งที่เรากำลังถกกันนี้เป็นอัตตาแบบที่สองคือเรื่องความคิด ความยึดมั่นถือมั่น
อัตตาแบบนี้น่าจะคล้ายๆกับทิฐิ หมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในแนวความคิดของตนเอง

อัตตาหรือทิฐิในส่วนนี้พี่คิดว่ามันเป็นคำกลางๆไม่มีบวกหรือลบ ถ้าคนไม่มีทิฐิในส่วนนี้ก็อาจจะถูกต่อว่าว่าเป็นคนหูเบา ไม่มีแนวความคิดของตนเอง พี่เลยคิดว่าคำว่าอัตตาหรือทิฐิในทางโลก(ขอย้ำว่าทางโลกไม่ใช่ทางธรรม เพื่อจะบรรลุ)ทุกคนต้องมี แต่จุดที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ใช่เป็นอัตตา แต่เป็น อัตตาที่ผิดหรือถูก หรือจะเรียกว่า เป็นมิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ มากกว่านะครับ

พี่เชื่อว่าปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ
ขอโทษทีที่มาแจมไม่ถูกจังหวะครับ :lol:

ไม่รู้ว่ากระทู้นี้คุย ๆ ไปคุยมา กลายเป็นคุญเรื่องธรรมะไปด้วยเลย

ขอแจมนิดหน่อย เพราะศึกษาธรรมะมานิดหน่อยเหมือนกันครับ

เห็นด้วยกับคุณนริศว่า ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ

แต่ปัญหาของการตีความในสิ่งที่ถูกต้อง บางครั้งเราใช้อะไรตีความสิ่งที่ถูกต้องด้วย เพราะจิตที่ยังมีกิเลสของคนมีทั้งหยาบและละเอียดไม่เท่ากัน และมีการปรุงแต่งด้วยกิเลสของแต่ละคนที่แตกต่างกันด้วย

ผมคิดว่า เราทั้งหมดควรพยายามทำใจให้เป็นจิตว่าง ไม่ปรุงแต่ง ไม่คิดไปก่อนแต่ต้องพยายามตั้งใจวิเคราะห์ความเห็นอย่างเป็นกลางให้ได้ การเปิดกว้างรับฟังความเห็นของบุคคลให้มากซึ่งมีทั้งเห็นด้วย หรือเห็นแตกต่างก็ตาม ต้องนำมาอบรมจิต แล้วมาคิดพิจารณาด้วยตนเองอย่างมีสติ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วยตนเองทุกครั้ง เราก็จะเห็นการพัฒนาของจิตที่มีคุณภาพของเรายกระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากความเห็นถูกหรือเห็นผิดอย่างหยาบก็ตาม ไปสู่ความเห็นถูกมากขึ้น ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามลำดับ แล้วเราก็นำความรู้ที่ได้จากการพิจารณาของเราที่ได้ศึกษาด้วยตนเอง มาอบรมอบรมจิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นต่อเนื่อง ให้ละเอียดมากขึ้น ก็จะทำให้เรามีคุณภาพการตัดสินใจที่ดีขึ้นตามไปด้วย และมีเมตตาเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่นให้มีความสุขด้วย


ผมให้ทุก ๆ ความเห็นนั้นทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างนั้น เป็นครูของผมในการอบรมจิตของผมครับ

เพื่อสุดท้ายสิ่งที่อยากได้ก็คือการลดอัตตา ตัวกูของกูของตนเอง ลดกิเลสของตนเอง เพื่อไปสู่คุณภาพของจิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดกิเลสความ โลภ โกรธ และหลง ของตนเองในที่สุดให้เบาบางลง ด้วยการพิจารณาในเรื่องไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดาครับ

หากเราทุก ๆ คนในกระทู้แห่งนี้สามารถพัฒนาความเห็นถูกของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ผมก็เชื่อว่าเวปแห่งนี้ก็คงทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการให้ความรู้ที่ถูกต้องกับผู้ลงทุนทุก ๆ คน ทำให้เขามีคุณภาพการลงทุนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับครับ

ซึ่งคงตรงกับที่คุณนริศกล่าวถึงก็คือปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ หรือเห็นให้ตรงตามความเป็นจริงแท้นั่นเองครับ

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 9:01 pm
โดย woody
picatos เขียน:
ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...


:D
ขอเสริมนิดนึงได้ไหมครับว่านอกจากที่พี่ picatos กล่าวแล้ว ความสามารถอีกส่วนหนึ่งของ Buffet คือ เค้ามีเงินที่พร้อมจะซื้อได้ตลอดเวลา

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 9:06 pm
โดย SupachaiZ594
ย้ายกระทู้นี้ไปห้องคุณค่าดีกว่าไหนครับ
รวมความคิดดี ๆ ไว้เยอะมาก สมควรที่จะได้อ่านกันนาน ๆ และอ่านหลาย ๆ ครั้ง

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 9:12 pm
โดย picatos
woody เขียน:
picatos เขียน:
ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...


:D
ขอเสริมนิดนึงได้ไหมครับว่านอกจากที่พี่ picatos กล่าวแล้ว ความสามารถอีกส่วนหนึ่งของ Buffet คือ เค้ามีเงินที่พร้อมจะซื้อได้ตลอดเวลา
อืม... ผมว่าที่เค้ามีเงินเหลือนี่น่าจะเป็นช่วงหลังๆ มากกว่านะครับ น่าจะเป็นสภาวะมากกว่าความสามารถ อย่าในช่วงแรกๆ ที่พอร์ตเค้ายังเล็กอยู่ก็ไม่น่าจะมีเงินเหลือเยอะแบบนี้ มาเยอะตอนได้ float จากเบี้ยประกัน แล้วหาหุ้นที่น่าสนใจลงไม่ได้

เอาให้ชัวร์ถามพี่ WEB ดีกว่า

Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 9:17 pm
โดย woody
picatos เขียน:
woody เขียน:
picatos เขียน:
ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...


:D
ขอเสริมนิดนึงได้ไหมครับว่านอกจากที่พี่ picatos กล่าวแล้ว ความสามารถอีกส่วนหนึ่งของ Buffet คือ เค้ามีเงินที่พร้อมจะซื้อได้ตลอดเวลา
อืม... ผมว่าที่เค้ามีเงินเหลือนี่น่าจะเป็นช่วงหลังๆ มากกว่านะครับ น่าจะเป็นสภาวะมากกว่าความสามารถ อย่าในช่วงแรกๆ ที่พอร์ตเค้ายังเล็กอยู่ก็ไม่น่าจะมีเงินเหลือเยอะแบบนี้ มาเยอะตอนได้ float จากเบี้ยประกัน แล้วหาหุ้นที่น่าสนใจลงไม่ได้

เอาให้ชัวร์ถามพี่ WEB ดีกว่า
ได้ครับพี่ picatos ^^