Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

     

ขอบคุณครับ ผม

ขอบพระคุณลุงขวดมากที่มาถ่ายทอดผลึกความรู้และประสบการณ์การลงทุนครับ
[quote="ลุงขวด"]
1.แสดงว่ายอมรับกันแล้วนะครับว่า หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ

ขอบคุณครับลุงขวด

สำหรับลุง ผมยกให้เป็นบุคคลต้นแบบ (IDOL) ของผม

เลยครับ ผมขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ดีๆที่มีให้ผมตลอด

ผมมีเรื่องจะรบกวนลุง ให้ลุงช่วยยกตัวอย่าง ว่าหุ้นแต่ละ

ตัวที่ลุงถืออยู่ อยู่กลุ่มไหนบ้าง

1. หุ้นเติบโตสูง Growth

2. หุ้นปันผล Dividend

3. หุ้นทรัพย์สิน Asset Play

4. หุ้นเทรินอะราวด์ Turn Around

5. หุ้นวัฎจักร Cycle


เช่น SNC  อยู่ในหุ้นกลุ่มไหนครับ 1 - 5 ข้างบน

ขอบพระคุณครับ      

เข้ามารับความรู้ด้วยครับ ลุงขวดเป็นคนใจดีมากมาก ผมได้คำแนะนำดีดี เมื่อช่วงตอนดัชนี 380 จุด เยอะมากมาก (ตอนนั้นเพิ่งลงทุนไม่นานกำลังรู้สึกแย่มากมากและเพิ่งเจอลุงขวดตัวจริงครับ ) สอนมุมมองและวิธีคิดทางการลงทุนที่เป็นประโยชน์มากมากครับ ทุกครั้งที่เจอลุงขวดผมมักคิดถึงคำกลอนบทหนึ่งว่า "คนจะสวยสวยที่ใจใช่ใบหน้า  คนจะงามงามจรรยาใช่ตาหวาน   คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน   คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโต " ขอบคุณอีกครั้งครับ ลุงขวด  :lol:

ขอบคุณมากๆเลยครับ

คำถามของคุณวิชิต snc ให้จัดอยู่ในกลุ่มไหน ผมยังคิดว่าเป็น Growth และ Divident  เพราะ ยังมีการเติบโตอยู่ ต้องทำ oem ให้สำเร็จ และ เพิ่มยอดขาย หาลูกค้าเพิ่มเข้าไปอีก ทุกปีผมว่ายังเติบโตได้สัก 20% ในด้านยอดขาย  ในวงการเครื่องปรับอากาศ อากาศร้อนขึ้นทุก ๆ ปี เครื่องปรับอากาศขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แถมมีเทคโนโลยี่ใหม่ ๆ ทำให้เครื่องเล็กลงมีคุณภาพสูง ประหยัดไฟ จึงคิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ทาง snc ก็ยังเติบโตขึ้นไปอีก แถมผู้บริหารคิดอะไรใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ขนาดคิดถึงการทำ coils อลูมิเนียม ที่ต่างประเทศพัฒนาอยู่ อยากทำแบบเขาด้วย นับว่าไม่หยุดอยู่กับที่  ส่วนด้าน divident ผมคิดว่า เขาให้สูงมาก และคงได้ เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปีในระดับที่ผู้ลงทุนพอใจกันทุกฝ่าย เป็นหุ้นในธุรกิจที่ผมเลือกและถือยาวไปให้ลูกให้หลานต่อไป  :D  :D

หุ้น asset play นี่มีหลายตัวเกือบทั้งหมดอยู่ในกลุ่มสิ่งทอ มีตัวหนึ่งที่ผมชอบและอยากถือมาก ๆ แต่หาซื้อไม่ได้ในช่วงนี้ สงสัยจะมีนักลงทุนแบบผมคอยเก็บอยู่เหมือนกัน กลุ่มนี้ก็ถือยาวจนกว่าเราจะชนะหรือให้ลูกหลานเป็นฝ่ายชนะ เพราะมูลค่าที่ควรจะเป็นสูงกว่า ราคาหุ้นอยู่มากเลย

หุ้น turnaround หุ้นไหนจะพลิกล็อคออกมาเติบโตใหม่ ยังมองไม่เห็นครับ มีแต่หุ้นที่จะเปลี่ยนแปลงแนวธุรกิจใหม่เลย แนวเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่มีการเติบโตปีละ 5-6% ตัวนี้ปีหน้าจะเปลี่ยนเป็นก้าวกระโดดไปเลย ไม่รู้จะมีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้าหรือเปล่า ยังสงสัยอยู่

หุ้น cycle ผมดูกรอบเล็กมาก cycle ระหว่างปี คือ เป็นไปตามฤดูกาล มีตัวหนึ่งในกลุ่มเกษตรที่ปันผลดีมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศทางเหนือว่าจะเป็นอย่างไร  ส่วน cycleใหญ่ ๆ ก็เห็นที่ฟื้นกันแล้วก็เป็นกลุ่ม electronic ที่ตกไปมากทีเดียว ตอนนี้กำลังพื้นอยู่  ยานยนต์ก็ค่อย ๆ ขยับพื้นไปได้แล้ว จนราคาผมว่ามันสูงไป เมื่อเทียบกับพวก electronic ที่ราคายังขยับไม่มาก  :D  :D

เข้ามาคารวะ ลุงขวดครับ  จำได้ว่าเข้ามาเวบครั้งเเรก  ก็เข้ามาอ่านกระทู้จดหมายเก่าถึงลุงขวดของพี่ครรตชิตชอบมากครับ  เป็นผู้ใหญ่ใจดีอีกท่านหนึ่งในเวบครับ  ขอให้ลุงขวดสุขภาพแข็งแรงครับ

ขอบคุณครับ  ผมก็ชอบอ่านที่ลุงขวดตอบไว้ในกระทู้ต่างๆมากครับ

นับถือ ลุงขวดเสมอครับ เป็นตัวอย่างของนักลงทุนที่ดีแก่เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราครับ  

ขอบคุณครับลุงขวด

จดหมายในตำนาน

จดหมายระหว่างลุงขวดและพี่ครรชิต
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=886

ตามมาอ่าน สุดยอดมากครับลุงขวด

ผมพบว่าข้อความมันหายไป ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร
เลยขออนุญาต โพสใหม่อีกครั้งเพื่อความครบถ้วนครับ
หลายปีผ่านไป ผมขอขอบพระคุณ ลุงขวด อีกครั้งครับ ด้วยความเคารพ

Nevercry.boy เขียน:เรียน ลุงขวด ที่เคารพ

ผมเองได้อ่าน comment ของลุงขวดในหลาย topic และตามอ่านอยู่ตลอดเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ส่วนตัวผมชอบแนวทางของลุงขวดทีเดียว เพียงแต่ไม่มีโอกาสจะสื่อสารและถามวิธีคิดของลุงขวดอย่างจริงจัง

ผมขอเริ่มจากคำถามดังนี้ครับ

ผมเห็นลุงขวดชอบลงท้าย เหมือนเป็นคติการลงทุนว่า

หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่า  เล็กในใหญ่.....ที่สำคัญที่สุดคือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะ เป็น...50(O_O)....51 (O_o)...52(o_o)...53(o_o)

ผมขอความกรุณาลุงขวดช่วยขยายความได้หรือไม่ครับ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ดังนี้ครับ

1. หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล -> ลุงขวดมีวิธีดูอย่างไรครับว่าผู้บริหารท่านใดมีความสามารถและธรรมาภิบาล (?)

2. ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่า  เล็กในใหญ่ หมายถึงอย่างไรครับ ประโยคนี้มีความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่อย่างไร ใช่ความหมายเดียวกับ Less is More ของบัฟเฟตต์ หรือไม่ครับ

3 ที่สำคัญที่สุดคือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะ เป็น ลุงขวดตีความอย่างไรกับคำว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นครับ สำหรับ SVI ผมว่าลุงขวดตีแตกกระจุยเลยนะครับ หากไม่รบกวนจนเกินไปยก SVI เป็น case ก็ได้ครับ

4. สุดท้ายครับ ผมรบกวนถามครับ

50(O_O)....51 (O_o)...52(o_o)...53(o_o)

มันมีความหมายอย่างไรครับ

ขอแสดงความนับถือครับ

Nevercry.boy

ความเห็นจากลุงขวดครับ

1.แสดงว่ายอมรับกันแล้วนะครับว่า หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ การดูผู้บริหารก็ต้องไปรู้จักเขาโอกาสที่ได้รู้จักมี 2 ทางเท่านั้นคือ 1.ไปในวันประชุมสามัญหรือวิสามัญถ้ามี หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ไปยืนคุยกับเขา อย่าง NKI ผมถือปีแรกก็ไปเพียงแต่ฟังเขาเท่านั้น ปีที่สองเริ่มหาคำถามมาถามในที่ประชุม ปีที่สามก็ถามหนักเข้าและตีสนิทกับท่านผู้บริหาร ผมรู้จักท่าน สุจินต์ หวั่งหลี อยากรวดเร็วเพราะไปประชุม THRE ท่านเป็นประธานอยู่ แถมยังเป็นกรรมการ ที่ TMD ผมเลยเจอท่านทุกปี เวลาเจอก็เข้าหาโอกาสทักทายแสดงความเคารพท่าน เสียดายนะหุ้น NKI ไม่มีธนาคารหนุนหลัง ไม่อยากงั้นคงไปได้ดีกว่านี้ ผมยังถือหุ้นท่านอยู่ จนตอนนี้กว่า 10 ปีแล้วมั้ง ส่วนจะดูว่าผู้บริหารมาทำงานเพื่อตนเองและครอบครัว หรือ มาทำงานเพื่อผู้ถือหุ้นประวัติในอดีต เป็นตัววัดครับ หรือการพูดคุย ขอความเห็นต่าง ๆ ทุกอย่างให้ความรู้สึก และตัดสินใจได้ว่า ท่านเป็นคนอย่างไร ส่วนผู้บริหารที่ไม่ได้อยู่ในดวงใจก็เป็นผู้ที่พูดแต่ด้านดีอย่างเดียว ด้านเสียไม่พูดออกมา ด้านผิดพลาดไม่ยอมบอก ส่วนทางที่2.ก็คือไปฟัง opp days และตามดูรายการเกี่ยวกับหุ้นมาก ๆ ดูความคิดของเขาว่าจะเป็นจริงตามที่พูดหรือไม่ opp days มีโอกาสคุยนอกรอบกับผู้บริหารได้ครับ

2.ใหญ่ในเล็กย่อมดีกว่าเล็กในใหญ่ ผมลงทุนมาประมาณ 18 ปี ผมดูตลาดทุนของเราเล็กมาก ขึ้นอยู่กับเงินต่างชาติที่เข้ามา คนที่บังคับตลาดทุนได้ผมว่า เป็นเงินต่างชาติครับ รองมาเป็นสถาบัน และ ท้ายสุดก็เป็นรายย่อยแบบพวกเรา ผมเลยไม่ยอมลงทุนในหุ้นใหญ่ ๆ (มีบ้างก็แค่ระดับร้อยหรือพันหุ้นเท่านั้น เพื่ออ่านรายงานการประชุมและคิดไปกับเขา) ผมเลยชอบหุ้นเล็กมากกว่าหุ้นใหญ่ หุ้นเล็กหมายถึงหุ้นที่มี market cap ระดับไม่เกิน 3000 ล้าน และ หุ้นที่ผมลงทุนตอนนี้ อยู่ใน MAI ประมาณ 25% ผมมีเกือบทุกตัวในหุ้น MAI ใครไปศึกษาจะเห็นว่า หุ้น MAI ให้ปันผลมากกว่า หุ้นใน SET เสียอีก ผมได้ปันผลแถว 6% ต่อปี ในขณะที่หุ้นใหญ่ ๆ ให้ปันผลแถว 3% หุ้นเล็ก ๆ ผมว่าฝรั่งชอบนะแต่เขามาลงทุนไม่ได้เพราะอำนาจการซื้อของเขามีมาก ซื้อครั้งสองครั้งก็เป็นเจ้าของหุ้นได้ และถ้าซื้อมาก ๆ จะไปขายให้ใครได้ หุ้นเล็กเวลาซื้อมาก ๆ ตอนขายนี้ลำบาก ผมถือยาวเลยไม่กังวลเท่าไหร่

3.ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ผมดูง่าย ๆ พวกต่ำกว่า book value นี่แหละผมชอบ และ ถ้ามีทรัพย์สินที่เก็บไว้ ไม่ได้มาปรับราคาก็ยิ่งชอบใหญ่ ผมเลยมีพวก สิ่งทอ แทบทุกบริษัทฯ มีบริษัทหนึ่ง มีที่ดินที่ดีและจำนวนมากชานเมือง ราคาที่ดินนับว่าสูงมากทีเดียว ราคาหุ้นซื้อกันต่ำมากกว่าครึ่งของมูลค่าที่เป็นจริง ถ้าเขาขายในตลาดให้เราในราคาตลาด และเปลี่ยนเจ้าของเป็นเราขึ้นมา พวกเราก็จะร่ำรวยทันที โดยการขายเครื่องจักรออกไป เอาที่ดินมาขายก็กำไรโขแล้วครับ พวกนี้ผมซื้อและรอเวลาเท่านั้นเอง รอเขาออกจากตลาดนั่นแหละ คงให้ราคาอย่างยุติธรรม พวกนี้ลงทุนแบบ asset play ลงกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ลงทุนพวกนี้ไม่สนุกครับ แต่ปลอดภัย ถ้าเลือกบริษัทที่มีปันผลเท่ากัน ทุกปี ของญี่ปุ่น ก็รับปันผลไปเรื่อย ๆ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ปลอดภัย ส่วนการหามูลค่าโดย p/e ก็ช่วยได้บ้าง ชอบ p/e ต่ำ ๆ ส่วนหามูลค่าแบบ DCF (Discount Cash Flow) ผมยังทำไม่เป็นครับ เกินกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่

4.เครื่องหมาย 50..(O_O) หมายถึงปีแห่งความโลภ ตามันโต โลภมากจะเป็นภัยครับ 51..(O_o) แสดงถึงภัยน้อยลงแล้วครับ ปี 52 และ 53...(o_o) ตาปกติ ลงทุนได้ไปเรื่อย ๆ ปีหน้าอาจเปลี่ยนเป็น 54...(O_o) ก็เป็นได้ ภัยเริ่มใกล้ตัวอะไรทำนองนี้ เขียนไปสนุก ๆ คิดว่าการลงทุนมีวงจรของมัน เหมือนเศรษฐกิจที่มีวงจร รอบละ สัก 10 ปีนั่นแหละมีขึ้นมีลงครับ

ขอบคุณที่ถามมา ผมไม่อยากออกความเห็นมากเท่าไหร่ หลัง ๆ นี้ชอบเก็บตัวมากกว่าครับ

ขอบคุณครับพี่เด็ผู้ชายไม่ร้องไห้ ที่นำข้อความที่หายมาให้อ่านครับ

เป็นสิ่งที่ทุกคนกลัว เพราะ ราคาต้นทุน ของเจ้า ต่ำกว่าพวกเรา
ขอบคุณลุงขวด และ เจ้าของกระทู้ ครับ

ขอบคุณมากครับ

มาช้านึกว่าจะไม่เห็นความเห็นของลุงขวดแล้ว
ขอบคุณคับที่เอาความเห็นมาให้อ่าน

ขอบคุณครับ

เครื่องหมายการลงทุน ที่ผมให้ ปี 2555 .....(o_o) ลงทุนปกติได้ สำหรับ ปี 2556 น่าจะเป็นเครื่องหมาย เหมือนเดิม (o_o) คือ ลงทุนได้ตามปกติ แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ผมว่า ปี 2556 ดัชนีอาจตกต่ำกว่า ปี 2555 ก็ได้ นั่นหมายความว่า ถ้าปลายปี 2555 ดัชนีปิด ที่ 1300.00 ผมว่า ปี 2556 ก็ น่าจะวิ่งระหว่าง ดัขนี1100-1400 ขอมองช่วงห่างมากหน่อยนะครับ เพราะผมไม่ใช่ในวิเคราะห์ที่เก่ง ๆ เหมือนท่านอื่น ๆ นี่เป็นความคิดของผมคิดขึ้นเองนะครับ เลยขอปลอดภัยไว้ก่อน

ผมมีให้ความเห็นในกระทู้ "ขอคำแนะนำด้วยค่ะ" ดังนี้..-

1. หุ้นที่เติบโตทุกปี ทั้งยอดขายและยอดกำไร
2. พยายามตีแตกปีละตัว สองตัวก็พอแล้ว
3. พอตีแตกแล้ว ซื้อให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้
4. ไปประชุม AGM ให้รู้จักเจ้าของ โดยหาคำถาม และ ถามในที่ประชุม
5. หลังประชุมพยายามนอกรอบ ดูนิสัยของผู้บริหาร
6. ไป opp day ตอนนี้ไม่ต้องไปก็ได้ ดู ในเวปได้แล้ว
7. อ่านงบดุล พยายามศึกษาให้มากหน่อย
8. ดูกราฟ ถึงแม้จะไม่เก่ง ก็ ดู แนวโน้มได้บ้าง
9. พยายามเลือกบริษัทฯ ที่มีหนี้น้อย ๆ มีเงินสดมาก ๆ มีทรัยพ์สินมากกว่าหนี้สิน
10. หนี้สินต่อทุนควรไม่ให้เกิน 1 ต่อ 1 ให้พยายามอยู่ในระดับต่ำที่สุด

และพยายามตีแตกแบบ Dr.นิเวศน์ เขียนในหนังสือของท่าน ปีก่อนผมตีแตก หุ้น UST บอกได้ตอนนี้ขอออกจากตลาดไปแล้ว ลองตามหาอ่านในหัวข้อ UST และดูความคิดของผมนะครับ....ปีนี้ผมพึ่งตีแตกอีกตัวหนึ่ง ใครจะถามผมจะไม่บอกนะครับ โดยเห็นว่า ปีนี้ 6 เดือน ได้ผลประกอบการมากกว่า ปี ที่แล้วทั้งปี....ปันผลให้มาทุกปี มียกเว้นปีหนึ่ง จำได้ว่า ปี 2540 ไม่ได้ให้เพราะวิกฤตเศรษฐกิจนั่นเอง ลองคิดหาดูกันเองนะครับ ห้าม PM ถามผมเด็ดขาดนะครับ ผมให้ข้อมูลเพียงเท่านี้เองนะครับ ขอโทษด้วยครับ ที่ไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้

ขอเพิ่ม ถ้าใครเดาและถามในนี้ ... ผมจะขอให้ ทางผู้ดูแลเวปนี้ ลบคำถามด้วยนะคร้บ ขอร้องด้วยครับ ขอบคุณอีกทีหนี่ง

ลุงขวด เขียน:เครื่องหมายการลงทุน ที่ผมให้ ปี 2555 .....(o_o) ลงทุนปกติได้ สำหรับ ปี 2556 น่าจะเป็นเครื่องหมาย เหมือนเดิม (o_o) คือ ลงทุนได้ตามปกติ แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ผมว่า ปี 2556 ดัชนีอาจตกต่ำกว่า ปี 2555 ก็ได้ นั่นหมายความว่า ถ้าปลายปี 2555 ดัชนีปิด ที่ 1300.00 ผมว่า ปี 2556 ก็ น่าจะวิ่งระหว่าง ดัขนี1100-1400 ขอมองช่วงห่างมากหน่อยนะครับ เพราะผมไม่ใช่ในวิเคราะห์ที่เก่ง ๆ เหมือนท่านอื่น ๆ นี่เป็นความคิดของผมคิดขึ้นเองนะครับ เลยขอปลอดภัยไว้ก่อน

คุณลุงครับ..ตรงนี้ต้องสังเกตุจากอะไรครับ..เช่นพฤติกรรมของนักลงทุนรอบข้าง..ว่ามีความโลภมากโลภน้อย
หรือสัวเกตุจากต้องไหนครับ..ที่คุณลุงใช้เวลาประเมิณ..ขอบคุณครับ

ผมคิดของผมเองครับ ไม่ได้ฟัง ไม่ได้คิดตามนักวิเคราะห์ทั้งหลาย .... ผมมองในภาพใหญ่ ผมจบเศรษฐศาสตร์มา ผมมองว่าปีหน้า ดัชนี มีโอกาสลงมากกว่าขึ้น ผมจึงให้ ดัชนีที่ 1100-1400 จุด...ถ้าปลายปีปิดได้แถวนี้นะครับ 1300 จุด.....แสดงให้เห็นว่า โอกาสขึ้นผมให้แค่ 100 จุด ส่วนโอกาสลง ผมให้ 200 จุดครับ... ตัวเลขกลม ๆ คิดกันง่าย ๆ ตอนแรกจะให้สัญญลักษณ์ เป็น (O_o) ตาใหญ่ข้างตาเล็กข้าง หมายถึง ให้ระวังตัว อย่าโลภ ดัชนีขึ้นมากไปก็ให้ระวัง ที่สุด ตัดสินใจให้ เป็น (o_o) หมายถึง ลงทุนกันได้ครับ..

เพิ่มเติม ผมระวังเรื่องการส่งออก ที่ไม่ได้ตามเป้า ไอ้ white lie ทำให้ผม ไม่ค่อยไว้วางใจตัวเลขสักเท่าไหร่ ทาง ยุโรป ก็ยังมีปัญหาอยู่ ... ทางอเมริกา ก็ให้ตัวเลข GDP แค่ 1 เศษ ๆ เท่านั้นเอง ใช่ไหม ครับ.... ดูหลายอย่างแล้วน่ากลัวไปหมดครับ ระวังกันด้วย

เข้ามาตามอ่านด้วยคนครับ

ขอบคุณลุงขวดครับ

ขอบคุณ ลุงขวด อีกคนด้วยครับ

เป็นผู้มอง การณ์ไกล จริงๆ ครับ ได้ความรู้มากมาย ครับ

เป็นต้นแบบ แก่ น้องๆ ได้ดีเลยครับ

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อคิดดีๆ