หน้า 5 จากทั้งหมด 89

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 27, 2008 3:26 pm
โดย ลูกอิสาน
kongkang เขียน:ขอเริ่มจาก svi นะคะ เปรียบเทียบกับอิเลกตัวอื่น ๆ ดีกว่า เสียกว่ายังไง
เริ่มจากข้อดีนะคะ
-พีอียังต่ำอยู่
-สินค้าไม่ผันผวนง่าย ไม่ทำสินค้าที่เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีบ่อย
-ออเดอร์ยังรองรับได้ทั้งปี
-อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นเรื่อย ๆ
-ลูกค้าจากยุโรป ไม่มีปัญหาซับไพร์ม

ข้อเสีย
-เพราะเป็นอิเลคโทรนิค เข้่าใจยาก
-อัตราแลกเปลี่ยนมีผลกับกำไร
-กองทุนยังต้องการขายหุ้นอยู่

เทียบกับอิเลคโทรนิคตัวอื่น ๆ ในตลาดหุ้นเป็นยังไงคะ  รู้สึกว่าน่าจะเป็นบริษัทที่ใกล้เคียงกับteam
แต่team มีลูกค้าอเมริกาเยอะ
ปีนี้ก็เลยกลายเป็นปีที่แย่ของteam ไป
ขอบคุณค่ะ :D
น้องหลินก็คอมเมนต์ไว้ครบถ้วนแล้ว
ผมก็ไม่รู้อะไรมากกว่านี้
ี้
หุ้น svi ทำให้ผมนึกถึง sc ที่ผมคอมเมนต์ไว้

คือเป็นหุ้นที่ผมคิดว่าราคาต่ำกว่าพื้นฐาน
แต่ราคาไม่ขึ้นสักที
สาเหตุเพราะมีตัวถ่วงไงครับ
ถ้าเป็น sc ก็เรื่องการเมือง
ส่วน svi คือการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่
ลองคิดดูว่าใครจะกล้าซื้อหุ้น
พอราคาขึ้นไปหน่อย ผู้ถือหุ้นใหญ่เทขายแล้ว ถ้าเมื่อไหร่เรื่องนี้จบลง
ราคาหุ้นน่าจะตอบสนองในทางบวกครับ>>เหมือน sc ....
จริงๆแล้วเป็นเรื่องน่าแปลกพอสมควร ธุรกิจที่ผลกำไรเติบโต
งบการเงินดีมาก ที่ราคาตลาด 1.38  บ.
คนซื้อจะได้ผลตอบแทนทันที 15-19%
(พีอี 5.4 แบบไม่ไดรูทและ 6.8 แบบไดรูท)
 ทำไมยังไม่มีใครสนใจซื้อ
ส่วนคนขายก็แปลกขายทำไม
แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าถึงกำหนดต้องขายแล้ว

ส่วน team ผมก็เห็นด้วยครับว่า
ได้รับผลกระทบจากการกระจุกตัวของลูกค้า
และราคาหุ้นก็มีคาดหวังสูงด้วย
(กรณี team พูดก็ถูกหมดละครับ ผลออกมาแล้ว :oops: )

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 27, 2008 3:39 pm
โดย ลูกอิสาน
newbie_12 เขียน:ขอ DRACO ด้วยนะครับ อิอิ คล้ายๆ SVI เลย หรือเปล่าหว่า ไม่แน่ใจ
mario เขียน:เป็นกระทู้ที่ “เข้มข้น” จริงๆครับ :cool:
ขอ share ความเห็นเรื่อง BGT

ถ้าตัดปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งผมมองว่าไม่เกี่ยวกับ “Operation” ของ BGT เลย เป็นเพียงเรื่องทางบัญชี
จะพบว่า กำไรเติบโตในอัตราประมาณ 30% ซึ่งดูไม่เลวร้ายสำหรับหุ้นที่มี PE เพียง 8-9 เท่า
ไม่ทราบว่าพี่ลูกอิสานที่ความเห็นอย่างไรครับ :wink:

ทั้ง 2ตัว ผมให้ความเห็นในหน้าแรกๆแล้วครับ
ว่า draco เป็นหุ้นที่มัวๆ เดาอนาคต
ผลประกอบการยากแต่ราคาถูกจริง
ธุรกิจของ draco
น่าจะมีความซับซ้อนน้อยกว่าของ svi นะครับ ยอดขายก็น้อยกว่ามาก

ส่วน bgt หุ้นเติบโต
ที่เติบโตแต่ยอดขาย :lol:
ถ้าปรับรายการต่างๆกำไรก็โตอย่างที่คุณ mario ให้ความเห็นครับ
โดยเฉพาะภาษีที่เรารู้ว่าอัตราเฉลี่ยทั้งปีน่าจะเหลือแค่ 20%
 เรื่องยอดขายที่ผมคิดว่าจะโตมากๆน่าจะเป็นปีหน้าครับ
เพราะครึ่งปีหลังปีนี้จะมีการเปิดสาขาจำนวนมาก
รวมถึงจะมียอดขายจากประเทศฟิลิปปินส์ด้วย

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 27, 2008 5:34 pm
โดย newbie_12
ของ SC ตอนนี้ 11.5 พี่ลูกอิสานหันมาเก็บต่อหรือยังครับ อิอิ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 27, 2008 6:21 pm
โดย ลูกอิสาน
wara เขียน:ขอเรียนถามพี่ลูกอีสาน เพิ่มอีกข้อครับ
ในมุมมองของพี่ บริษัท ที่ทำสัญญา swap  เงิน เกิน expose
เช่น 3 เค , kce
กำไรที่บันทึก คราวนี้
เป็นกำไรจากการดำเนินงานปกติ ไหมครับ

จากหมายเหตุประกอบงบการเงิน

12. กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

กำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ได้รวมกำไร(ขาดทุน)จากการแปลงค่าลูกหนี้และเจ้าหน
ี้ตามสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
ที่ได้ครบกำหนดในระหว่างงวดและส่วนที่คงเหลืออยู่ ณ วันที่ในงบดุล

ผมสงสัยมากว่า เค้าเอาเงินที่เกิน exposure
มาคิดเป็น กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้วหรือยังครับ

*ผมเข้าใจว่าในทางบัญชี กิจการต้องบันทึกกำไรขาดทุน-กำไรค่าเงินทั้งหมด
ไม่ว่าจะรับรู้แล้วหรือยังไม่รับรู้ เพราะถือว่ามีภาระผูกผันเกิดขึ้นแล้ว
และต้องบันทึกทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ใน exposure หรือส่วนที่ทำเกิน

*กำไรค่าเงินจะบันทึกในงบกำไรขาดทุน
โดยรวมส่วนที่เกิดขึ้นแล้วและส่วนที่ยังไม่เกิดขึ้น
การจะดูว่ากำไร-ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นจำนวนเท่าไหร่
ดูได้จากงบกระแสเงินสดกิจกรรมดำเนินงานครับ

-บางบริษัท กำไรส่วนนี้รับรู้ไปแล้วทั้งหมด ก็จบครับ

-บางบริษัทรับรู้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน 10 ล.ในงบกำไรขาดทุน แต่มีบางส่วนที่ยังไม่รับร
ู้ ซึ่งส่วนที่ยังไม่รับรู้นี้ไตรมาสต่อๆไป
จะกลายเป็นกำไรหรือขาดทุนก็ได้
ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
-บางบริษัทพิสดารกว่านั้น
ในงบกำไรขาดทุนบันทึกขาดทุน แต่งบกระแสเงินสดบันทึกกำไร(ที่ยังไม่รับรู้)
เช่น  บันทึกขาดทุน 100 ล.ในงบกำไรขาดทุน
แต่ในงบกระแสเงินสดมีกำไรที่ยังไม่รับรู้ 30 ล.
นั่นเท่ากับว่าไตรมาสนั้นมีขาดทุนที่รับรู้ 130 ล.



*ปกติกิจการที่นำเข้า-ส่งออก จะมีเงินดอลลาร์เกินหรือขาด
ดังนั้นกิจการที่ระมัดระวังจะซื้อหรือขายเงินตราล่วงหน้า
เพื่อปิดส่วนเกินหรือขาดนั้น

ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ :)
หากเข้าใจผิดทักท้วงด้วยนะครับ

เอ...แล้วกำไร-ขาดทุนค่าเงินเกิดขึ้นได้อย่างไร

และแบบไหนที่ถือว่าเป็นกำไรจากการดำเนินงาน

อันไหนไม่เป็น เดี่ยวผมขอเวลารวบรวมความเข้าใจก่อนครับ :lol:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 27, 2008 9:34 pm
โดย krisy
[quote="ลูกอิสาน"]
-บางบริษัทพิสดารกว่านั้น ในงบกำไรขาดทุนบันทึกขาดทุน แต่งบกระแสเงินสดบันทึกกำไร(ที่ยังไม่รับรู้) เช่น

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 27, 2008 10:52 pm
โดย wara
ขอบคุณพี่ลูกอีสาน และ คุณ krisy มากครับ

อันนี้คือตัวอย่าง

งบกำไรขาดทุน ไตรมาส 1
กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 139,000,000 บาท

งบกระแสเงินสด

กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง  134,000,000 บาท

การที่มีส่วนที่ยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากว่า เป็นส่วนของลูกหนี้ที่ยังเก็บเงิน ไม่ได้หรอครับ

แล้วถ้าไตรมาสถัดไป ค่าเงินมันแข็งขึ้นหรือ อ่อนลง มันจะมีผลทำให้กำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง เปลี่ยนแปลงไหมครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 28, 2008 12:01 am
โดย ลูกอิสาน
เจอแล้วครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านค่าเงิน น้องคริ้สตี้นี่เอง
ยังไงช่วยตรวจสอบ ว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าด้วยนะครับ :D
ลูกอิสาน wrote:

เอ...แล้วกำไร-ขาดทุนค่าเงินเกิดขึ้นได้อย่างไร และแบบไหนที่ถือว่าเป็นกำไรจากการดำเนินงาน อันไหนไม่เป็น เดี่ยวผมขอเวลารวบรวมความเข้าใจก่อนครับ  
ผมเข้าใจอย่างนี้นะครับ...

*กรณีที่ 1กิจการมีรายรับ รายจ่ายเงินตราต่างประเทศไม่เท่ากัน และไม่ทำประกันความเสี่ยง ดังนั้นจะมีกำไร-ขาดทุนจากค่าเงินเสมอๆ  รายการกำไรขาดทุนในงบกำไรขาดทุนนี้ น่าจะถือเป็นรายการพิเศษ เพราะเกิดจากความผันผวนของค่าเงิน ไม่ได้เกิดจากผลการดำเนินงาน เราควรจะนำมาลบออกเพื่อให้งบกำไรขาดทุนแสดงตัวเลขที่แท้จริง

*กรณีที่ 2 กิจการมีรายรับ รายจ่ายเงินตราต่างประเทศไม่เท่ากัน แต่มีการทำสัญญาซื้อขายเงินตราคลอบคลุมไว้แล้วเท่ากับส่วนที่เกินหรือขาดนั้น ดังนั้นกิจการจะไม่แสดงกำไรขาดทุนค่าเงินในงบกำไรขาดทุน (ถ้ามีก็น้อยมาก) เพราะรายรับ-รายจ่ายเสมือนเป็นสกุลเงินเดียวกันแล้ว

*กรณีที่ 3 กิจการมีรายรับ รายจ่ายเงินตราต่างประเทศไม่เท่ากัน และมีการทำสัญญาซื้อขายเงินตราเกินหรือต่ำกว่าความเสี่ยงจริงๆ เช่นมีรายรับเงินดอลลาร์สุทธิ 10 ล้านเหรียญ แต่ทำสัญญาขาย 15 ล้านเหรียญ เกินไป 5 ล้านเหรียญซึ่งส่วนที่เกินนี้จะแสดงเป็นรายการกำไรขาดทุนในงบขาดทุนกำไร และน่าจะถือว่าเป็นรายการพิเศษ ที่ต้องนำไปบวกลบออกจากกำไรเพื่อแสดงตัวเลขที่แท้จริง กรณี bat-3 kce น่าจะเป็นกรณีนี้


ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับน้องคริสตี้ เพื่อนๆที่มีความรู้ :?

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 28, 2008 8:03 am
โดย Alastor
ก็ประมาณ 1-2 ปีหลังๆที่รู้สึกว่าพอเข้าใจอารมณ์ตลาดมากขึ้น คือนอกจากซื้อหุ้นที่ดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้ว เราก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางจิตวิทยาด้วย
น่าจะเป็น Key Success Factor หรือเปล่าครับ?

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 28, 2008 11:12 am
โดย mineknight
รบกวนพี่ลูกอีสานแชร์ประสบการณ์รอหุ้นหน่อยได้หรือไม่ครับ เนื่องจากที่อ่านๆดู พี่ใช้วิธีเลือกหุ้นที่ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่า พี่หาหุ้นเจอ(หุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า)แล้วเข้าเก็บเลย หรือว่า หาเจอแล้วดูๆ ไปก่อนเผื่อจะลงมาอีกครับ

ชอบอ่านความเห็นของพวกพี่ๆ ดูตรงไปตรงมาดี ชัดเจนด้วย อนาคตถ้ามีโอกาสอยากได้ไปพูดคุยกับตัวเป็นๆ(ดิ้นได้) ครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 28, 2008 11:20 am
โดย krisy
[quote="ลูกอิสาน"]ผมเข้าใจอย่างนี้นะครับ...

*กรณีที่ 1กิจการมีรายรับ รายจ่ายเงินตราต่างประเทศไม่เท่ากัน และไม่ทำประกันความเสี่ยง ดังนั้นจะมีกำไร-ขาดทุนจากค่าเงินเสมอๆ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 28, 2008 2:24 pm
โดย wara
ผมเคยโทรถาม IR แล้ว ตอบไม่ค่อยรู้เรื่อง

เลยต้องมาถามผู้รู้อื่น ร่วม


ผมคิดอย่างนี้น่ะ

กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

แสดงว่า น่าจะ เป็น ลูกหนี้ที่ยังเก็บหนี้ไม่ได้

สมมุติว่า อีก 2 เดือน เก็บเงินได้
ค่าเงินอ่อนลงไป 2 บาท

เวลาบริษัทเก็บเงิน จะได้เป็นเงิน ดอลลาร์

เวลาไปแลกเงิน  ก็จะได้เงินมากขึ้น

แต่เนื่องจากมีสัญญาอยู่ล่วงหน้า

ทำให้ขาดทุนค่าเงิน
แต่ถ้า swap ไว้เท่า exposure

ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะคงหักลบกลบหนี้กันพอดี

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 28, 2008 9:22 pm
โดย Alastor
เรื่อง KCE ลองมองรายการนี้แบบคนที่ไม่มีหุ้นอยู่จะทำใจยอมรับได้มากกว่าครับ

น่าจะมององค์ประกอบอื่นๆในงบการเงินเช่น สภาพคล่อง และ ฐานะทางการเงินประกอบด้วยจะได้เห็น ภาพรวมทั้งหมด ว่าจริงๆแล้วความเสี่ยงของบริษัทมีอะไรบ้าง

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 1:33 pm
โดย ลูกอิสาน
ขอบคุณน้องคริสตี้มาก
พอเข้าใจเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นแล้วครับ :o


ช่วงนี้ตลาดดูเหมือนเป็นขาลง หลายคนผิดหวัง ท้อแท้ กำไรที่หวังชักเลือนลาง อย่าว่าแต่กำไรเลย ไม่ขาดทุนก็พอแล้ว นี่ก็เป็นสัจธรรมของตลาดหุ้นที่เหมือนฤดูกาล มีเวลาทั้งสุขและทุกข์ ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะลงทุนได้อย่างมีความสุข และบางครั้งก็หาเป็นโอกาสหาประโยชน์ได้ เหมือนท่านผู้รู้พูดไว้ว่า >>>ตลาดเกิดมาเพื่อรับใช้เรา ไม่ใช่นายของเรา ความหมายก็คือแทนที่เราจะคล้อยตามอารมณ์ของตลาด ซึ่งมักทำให้เราเสียหาย ก็ใช้ประโยชน์จากความผันผวนของอารมณ์ตลาดแทน

*ตลาดอารมณ์ดีเสนอซื้อหุ้นเราราคาสูงๆ เราก็ควรจะขาย
*ตลาดอารมณ์ไม่ดี เสนอหุ้นดีๆราคาต่ำๆให้เรา เราก็ควรซื้อ


เป็นสิ่งที่ผู้รู้พิสูจน์มาแล้ว ว่าทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน

เรื่องอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญพอๆกับความรู้ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานครับ หลายคนรู้ว่าหุ้นตัวไหนดี แต่ทนความผันผวนของตลาดไม่ได้ ซื้อขายผิดเวลา จังหวะ อย่างนี้ก็ไปได้ไม่ไกล ถ้าเราสังเกตุดูตัวเอง จะรู้ว่าพฤติกรรมซื้อเมื่อโลภ ขายเพราะกลัวขาดทุน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน อยากจะชนะในตลาดหุ้น ต้องชนะความโลภ ความกลัว หรืออย่างน้อยต้องรู้เท่าทัน  ผมโพสต์เสมอๆว่า การลงทุนในหุ้นแบบ vi ซึ่งมักลงทุนตลอดเวลา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับเหตุการณ์ต่างๆนาๆ ทั้งดีและร้าย เราต้องเตรียมใจ เตรียมพร้อมทั้งกลยุทธ์และวิธีที่จะรับมือกับมันครับ


ผมเคยเขียนบทความอันนึง ผมชอบอ่านเตือนใจตัวเองครับ :lol:


คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 1:51 pm
โดย ลูกอิสาน
sai เขียน:อยากทราบว่าพี่ลูกอีสานเคยมีระยะเวลาถือครองหุ้นสั้นที่สุดกี่เดือน และ ยาวที่สุดกี่เดือนครับ และ ขณะที่ราคาหุ้นที่เราซื้อไปตามที่เราคิด ขณะที่จะขายพี่ตัดสินใจในการขายอย่างไรว่าถึงราคาเป้าหมายแล้ว และ ถ้าขายไปแล้วเคยไหมครับที่ราคาหุ้นได้วิ่งเลยเป้าหมายไปไกลครับ ขอบคุณมากครับ

สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับเพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับประมาณ 2 ปี ที่จริงประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยัง และการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่นเราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิดความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ

*หุ้นตัวแรกเราซื้อ ผ่านไป 1 ปีขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%

หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เราไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ :lol: )

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 3:19 pm
โดย ลูกอิสาน
[quote="hongvalue"]พี่โจครับ ผมมีประเด็นของหุ้น 3 ตัวจะถามดังนี้ครับ
1.ผมเริ่มสนใจ snc ที่ราคา 9.1 หลังจากตามมาตั้งแต่
มานาน ที่อยากถามคือ พี่โจคิดว่าเป้ายอดขาย
10000 ล้าน กะ npm ที่6.5% conservative หรือว่า aggressive ครับสำหรับพี่

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 4:04 pm
โดย por_jai
ลูกอิสาน เขียน: มองที่พื้นฐานปัจจุบันบริษัทกำลังเปลี่ยนจากผู้ผลิตชิ้นส่วน เป็นผู้ผลิตสินค้าโดยตรง ซึ่งหากทำได้จริงยอดขายน่าจะเพิ่มขึ้นมาก แม้อัตรากำไรจะลดลงแต่กำไรตัวเงินควรจะมากขึ้น ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วง transform เหมือนชื่อบริษัทเลยครับ :lol:
snc the transformers...ฮ่า...
ตอนแรกผมไม่ได้อ่านกระทู้นี้เลย
เพราะชื่อกระทู้เรื่องเทคนิกปรับพอร์ต
ผมประเภทโฟกัส
ก็เลยมองข้ามไป
จะตามอ่านไปเรื่อยๆ
มาคุยด้วยเรื่อง
เห็นเซียนเล่นอย่าเล่นตามเซียน
เพราะขนาดของพอร์ตต่างกัน กลยุทธก็ต่างกัน
ผมนี่แฟนพันธุ์แท้ อ.นิเวศน์
ผมตามฟังท่านพูดเสมอมา
หุ้นที่ท่านถือเป็นสัดส่วนมากๆในระยะหลัง
ท่านบอกมาตั้งแต่วันมีตติ้งใหญ่ของเวบครั้งล่าสุดแล้ว
ถ้าใครเชื่อ หรือไปศึกษาต่อเร็วๆ หรือตามห่างๆอยู่แล้ว
ผมว่าทุนยังพอมี mosครับ
สำคัญว่ารู้เร็วหรือเปล่า
เมื่อวานมีน้องในเวบคนนึงนั่งฟังอยู่ข้างๆผม
คนนี้ก็แฟนพันธุ์แท้เหมือนผม เพราะไปฟังทีไรก็เจอกันทุกที
ขานี้เขากล้าครับ เขาเข้าไปถามรายละเอียดจากปากอาจารย์โดยตรงเลย
เกือบจะทุกครั้งที่เจอท่านอาจารย์
เมื่อวานผมถามทุนหุ้นตัวนี้กับเขา
เขาซื้อได้ราคาถูกใช้ได้ทีเดียวครับ
หรืออย่างบิ๊กซีที่ท่านว่าตั้งแต่มีตติ้งยุคฐานเศรษฐกิจ
ตอนนั้นก็21ต้นเองกระมังครับ
มาดูราคาวันนี้
ผมว่าท่านมองขาด

ผมว่าถ้าขีดความสามารถยังไม่ถึงขนาดโจ
แล้วมันง่ายที่ไหนที่จะมีขีดความสามารถขนาดนี้
การตามtrendที่ท่านมองหุ้น ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
แต่ต้องเร็วหน่อย แล้วก็ต้องเข้าใจหุ้นตัวนั้นๆด้วย
ไม่ใช่ถือซี๊ซั๊วอย่างนี้เวลาหุ้นแกว่งจะถือไม่ทน

ท่านอาจารย์ก็ไม่ใช่ไร้พ่ายนะครับ
ก็เห็นอยู่ว่ามีโดนบ้างเหมือนกัน
แต่มุมมองหุ้นที่เป็นผู้ชนะในตลาดของท่านนี่ร้ายกาจจริงๆครับ

ส่วนข้อจำกัดเรื่องพอร์ตใหญ่ แล้วต้องซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่อง
เสี่ยป.ที่โจคุยกับน้องฮง
ผมมีโอกาสได้รู้จักเมื่อไม่นานมานี้
เสี่ยป.ก็ซื้อหุ้นดีๆ ถึงขนาดบริษัทจะไม่ใหญ่
เท่าที่ผมทราบ เสี่ยป.เขาไม่เคยคิดเลยครับว่าเข้าแล้วจะออกไม่ได้
เขาขอให้ดีถึงขนาดที่เขาพอใจ เขาก็ถือมั่นคงอยู่อย่างนั้น
ใครจะพูดว่าอย่างไร ผมก็ไม่เห็นเสี่ยเขาจะใส่ใจอะไร

กระทู้นี้อ่านมันจริงๆ
ไว้ว่างๆจะมาถามเรื่องหุ้นมั่งครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 31, 2008 10:21 am
โดย hongvalue
[quote="ลูกอิสาน"][quote="hongvalue"]พี่โจครับ

1.กำไรนั้นมายา แต่ไดรูชั่นนี่ซิของจริง :lol:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 31, 2008 10:10 pm
โดย chatchai
por_jai เขียน: เมื่อวานมีน้องในเวบคนนึงนั่งฟังอยู่ข้างๆผม
คนนี้ก็แฟนพันธุ์แท้เหมือนผม เพราะไปฟังทีไรก็เจอกันทุกที
ขานี้เขากล้าครับ เขาเข้าไปถามรายละเอียดจากปากอาจารย์โดยตรงเลย
เกือบจะทุกครั้งที่เจอท่านอาจารย์
เมื่อวานผมถามทุนหุ้นตัวนี้กับเขา
เขาซื้อได้ราคาถูกใช้ได้ทีเดียวครับ
หรืออย่างบิ๊กซีที่ท่านว่าตั้งแต่มีตติ้งยุคฐานเศรษฐกิจ
ตอนนั้นก็21ต้นเองกระมังครับ
มาดูราคาวันนี้
ผมว่าท่านมองขาด
พี่พอใจครับ  ผมเคยอ่านเจอว่า  ราคาหุ้นจะขึ้นมี 2 ปัจจัยครับ

1. กำไรสุทธิต่อหุ้นขึ้น

2. นายตลาดนิยมหุ้นมากขึ้น  ให้ค่า P/E สูงขึ้น

ปัจจัยแรก  บางครั้งก็ไม่สำคัญเท่าปัจจัยที่สอง

ปัจจัยแรก  ผมยังพอจะมีความสามารถวิเคราะห์ดูได้บ้าง  แต่ปัจจัยหลังต้องขอยอมแพ้ครับ  ไม่มีความสามารถคาดเดา  หรือทำให้นายตลาดนิยมเพิ่มขึ้นได้เลย

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 12:02 am
โดย R@Y
:D  กระทู้นี้อ่านแล้วได้ความรู้มากมายเลยครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 11:29 am
โดย YONGYEE
อยากถามครับว่าในภาวะการเมืองที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติความขัดแย้ง และมีความน่าจะเป็นที่จะเกิดความรุนแรงสูง คุณลูกอีสานปรับ port เพื่อลดความเสี่ยงหรือเปล่า หรือว่ายังแน่วแน่ก็เป้าหมายของหุ้นรายตัวครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 9:14 pm
โดย ลูกอิสาน
YONGYEE เขียน:อยากถามครับว่าในภาวะการเมืองที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติความขัดแย้ง และมีความน่าจะเป็นที่จะเกิดความรุนแรงสูง คุณลูกอีสานปรับ port เพื่อลดความเสี่ยงหรือเปล่า หรือว่ายังแน่วแน่ก็เป้าหมายของหุ้นรายตัวครับ

จากประสบการณ์นะครับ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ผมคิดว่ากระทบต่อหุ้นน้อยที่สุดแล้ว ดังนั้นผมยังถือ 100% เหมือนเดิม แต่มีการใช้เทคนิคเล็กๆน้อยๆเช่นถือหุ้น defensive เพิ่มขึ้น เพิ่มหุ้นที่มีอัฟไซด์สูงประมาณนี้ครับ ที่บอกว่าผมไม่ค่อยกังวลกับปัญหาการเมืองเหตุผลเพราะไม่ค่อยเกี่ยวกับปากท้อง การกินการใช้สินค้าเท่าไหร่ เป็นเพียงความรู้สึกอึดอัด ไม่มั่นคง ไม่เสถียร แต่สุดท้ายท้ายสุดผมคิดว่าอะไรที่ไม่เสถียรก็จะปรับเข้าสู่ดุลยภาพ จะไม่เป็นสงครามกลางเมืองแน่นอน เพราะไม่ใช่ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา เป็นเพียงการปลุกระดมโดยอาศัยสื่อของทั้งสองฝ่ายครับ ผมผ่านปฎิวิติ เปลี่ยนรัฐบาล ยุบสภามาหลายครั้ง สังเกตุดูซิครับว่าระยะยาวหุ้นไม่เคยตกเพราะปัญหาเรื่องการเมืองเลย (ระยะสั้นไม่แน่) สุดท้าย มันจะผ่านไปครับ


เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลดครับ :lol:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 9:56 pm
โดย lina5599
ขอถามพี่โจคะว่า
1.CPF ที่ราคาประมาณ 4.1 นี้เท่าอ่านดูจากบทวิเคาระห์ต่างๆ และดูจากงบฯ น่าจะเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการแล้วหรือยังคะ ขอShare ความเห็นของพี่คะ
2.พี่โจมีหุ้นธนาคารในพอร์ตบ้างหรือเปล่าคะ เท่าที่ดูหนูคิดว่า หุ้น SCB น่าจะเป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรดีว่า BBL กับ Kbank ในมุมมองของพี่โจเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้างคะ

ขอบคุณมากคะ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 9:58 pm
โดย cirkit
สุดยอดเลยครับ ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลย

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 03, 2008 11:47 am
โดย YONGYEE
ลูกอิสาน เขียน:
จากประสบการณ์นะครับ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ผมคิดว่ากระทบต่อหุ้นน้อยที่สุดแล้ว ดังนั้นผมยังถือ 100% เหมือนเดิม แต่มีการใช้เทคนิคเล็กๆน้อยๆเช่นถือหุ้น defensive เพิ่มขึ้น เพิ่มหุ้นที่มีอัฟไซด์สูงประมาณนี้ครับ ที่บอกว่าผมไม่ค่อยกังวลกับปัญหาการเมืองเหตุผลเพราะไม่ค่อยเกี่ยวกับปากท้อง การกินการใช้สินค้าเท่าไหร่ เป็นเพียงความรู้สึกอึดอัด ไม่มั่นคง ไม่เสถียร แต่สุดท้ายท้ายสุดผมคิดว่าอะไรที่ไม่เสถียรก็จะปรับเข้าสู่ดุลยภาพ จะไม่เป็นสงครามกลางเมืองแน่นอน เพราะไม่ใช่ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา เป็นเพียงการปลุกระดมโดยอาศัยสื่อของทั้งสองฝ่ายครับ ผมผ่านปฎิวิติ เปลี่ยนรัฐบาล ยุบสภามาหลายครั้ง สังเกตุดูซิครับว่าระยะยาวหุ้นไม่เคยตกเพราะปัญหาเรื่องการเมืองเลย (ระยะสั้นไม่แน่) สุดท้าย มันจะผ่านไปครับ


เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลดครับ :lol:
ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ส่วนตัวผมยังทำใจไม่ได้ที่จะถือ 100% เหมือนคุณลูกอีสาน เหตุผลอาจจะเพราะยังไม่สามารถวิเคราะห์พื้นฐานบริษัทได้ลึกซึ้ง และการผันผวนในระยะสั้นจากเรื่องการเมืองก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แต่ก็พยายามวิเคราะห์พื้นฐานให้ละเอียดกว่านี้ จะได้กว่าถือสัก 80% ครับ
ในวันจิบเบียร์ได้คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆในงาน ก็หาตัวคุณลูกอีสานอยู่ แต่เค้าบอกว่าอยู่หาดใหญ่ จริงๆผมก็เป็นคนหาดใหญ่เหมือนกันครับ เอาไว้กลับไปเมื่อไหร่จะไปทักทายครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 04, 2008 12:04 pm
โดย kmphol
ลูกอิสาน เขียน:
*หุ้นตัวแรกเราซื้อ ผ่านไป 1 ปีขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%

หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เราไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ :lol: )
ถ้าพี่ลูกอีสานถือหุ้น ก ซึ่งราคายังเหลือ upside อีก 10% แล้วไปเจอหุ้น ข ที่ราคามี upside 30% พี่จะขายหุ้น ก แล้วไปซื้อหุ้น ข ไหมครับ แล้วถ้าขายหุ้น ก พี่จะขายทีเดียวหมด แล้วซื้อหุ้น ข ทีเดียวหมด หรือค่อยค่อยเฉลี่ยซื้อขายครับ แล้วถ้าไม่ขาย ก เพราะราคายังไม่ถึงเป้าหมาย(upside อีก 10%)แล้ว ก ดันลงมาแกว่งเล่นเป็น 10% อีกหลายรอบ หลายนาน แต่พี่เชื่อมั่นว่าราคาเป้าหมาย ก ของพี่เป็นราคาที่มีเหตุผลซึ่งสักวันมันต้องถึงแน่แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ต้องรออีกกี่นาน ต้องแกว่งอีกกี่รอบ พี่มีวิธีจัดการกับเรื่องแบบนี้อย่างไรครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 9:12 pm
โดย beam
หวัดดีครับคุณลูกอิสาน เข้ามาขอความรู้บ้างครับ ปกติผมเน้นไปทางเทคนิคัล แต่ถือรอบยาวครับ จะลองปรับกลยุทธ์ของคุณโจไปใช้บ้างครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 12:45 am
โดย สวนหย่อม
ยอดเยี่ยม ไม่ไหวแล้วครับ เอาไปห้าที
:bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:

ถ้าพี่ลูกอิสานมีเวลาอยากให้ลองเล่าความคิดเห็นของพี่
เกี่ยวกับพวกบริษัทพลังงานทางเลือกหน่อยครับ ว่าเราจะ
มีวิธีแยกแยะ วิเคราะห์ ให้เกรด แต่ละบริษัทอย่างไร
เช่น ถ่านหินมี ums, lanna, banpu บริษัีทเหล่านี้มีข้อดี ด้อย
แตกต่างอย่างไรบ้าง  โดยปกติผมดูแค่อัตราส่วนสำคัญๆ
เช่น roe, roa, npm, gpm, ebit, ... และก็พยายามอ่าน 56-1
ก็รู้แค่ว่า banpu เน้นรายใหญ่ ums เน้นรายย่อยทำนองนี้
แต่รู้สึกว่ามันยังเข้าไม่ถึง ยังวิเคราะห์อะไรไม่เป็นรูปเป็นร่างครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 11:43 am
โดย tanapol
พอดีได้ลองศึกษามาบ้าง....อยากจะขอลองตอบการแยกระหว่าง banpu,ums,lanna นะครับ...

บริษัทที่มีเหมืองถ่านเป็นของตัวเองและเข้าข่ายถ่านหินจริงๆ...ก็ banpu,lanna...ส่วน ums ผมคิดว่าหลักใหญ่เป็นธุรกิจ trading ครับ...

banpu,lanna ถ้าดูโดยอัตราส่วนต่างๆ banpu จะมีการบริหารจัดการที่ดีกว่ามาก...หรืออาจลองดูจากการที่บริษัทนี้เป็น wealth หลักของผู้บริหาร...ไม่เหมือน lanna ที่ส่วนใหญ่ถือหุ้นโดย sccc ซึ่งก็คงขายปูนเป็นหลักมากกว่า

ถ้าจะวิเคราะห์แค่พลังงานทางเลือก...ผมขอวิเคราะห์หลักแค่ banpu,lanna(เพราะ ums เข้าข่าย trading และจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้น...คงจะได้รับแต่ทางอ้อมโดยคนจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางนี้มากขึ้น...ums ก็ขายดีขึ้น)

banpu มีรายได้จากโรงไฟฟ้า ถ่านหินสูงถึง 50%...ซึ่งถ้าถ่านหินขึ้น กำไรตรงจุดนี้ก็จะลดลง...vice versa ....และธุรกิจโรงไฟฟ้าในบ้านเรา เช่น ratch egco ก็ไม่เห็นจะมี pe ที่สูงปริ๊ดเหมือน banpu....(ที่banpu pe สูงมาจากธุรกิจถ่านหินที่ต่างชาติมองว่า in trend)

ดังนั้นผมคิดว่า...ถ้าให้ pe ของธุรกิจถ่านหินที่ใหญ่ สัก 20 เท่า...banpu น่าจะมี pe แค่สิบห้าเท่านั้น....เพราะต้อง dilute ของโรงไฟฟ้าเข้าไปด้วย...

lanna เป็นบริษัทที่ขายถ่านหินเป็นหลัก 90% ข้อดีคือ....พีอีต่ำกว่าเนื่องจากองทุนต่างชาติไม่น่าจะถือได้...และจะมีการเปิดเหมืองใหม่...ที่จะทำให้มี กำลังการผลิตเพิ่มอีก 50%....ในครึ่งปีหลังซึ่งจะเต็ม capacity ในปีหน้า....

พีอีตอนนี้ประมาณสิบเท่า(ยังไม่รวมเปิดเหมือง)

ข้อดีอีกอย่างคือ มีการผลิตเอทานอลในสัดส่วน 10%ของรายได้....และมีแผนจะนำบริษัทลูกเข้าตลาด...และขยายกำลังการผลิตอีก....และจากการที่รัฐบาลหนุนการใช้ e 85 ทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่น่าจะเติบโตได้อีก...แม้จะมี barrier น้อยก็ตาม

ข้อเสียคือบริษัทมีการขายถ่านล่วงหน้าไป 80-90%ของกำลังการผลิตในแต่ละปี...ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้น...แต่จะได้รับในปีถัดไป...

ซึ่งตรงนี้ก็ต้องไปดูเหตุผลว่าทำไมถึงขายล่วงหน้าเยอะขนาดนี้...ซึ่งเป็นไปได้ว่าขายให้ sccc ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่....

lanna มี NPM น้อยกว่า banpu อย่างเห็นได้ชัด...ซึ่งผมก็ไม่รู้ชัดเจนว่าทำไม...แต่คงเนื่องจาก การขายล่วงหน้าเยอะ...banpu มีการลงทุนในหุ้นหลายตัวและที่ผ่านมาก็ขายแล้วกำไรมากมายทั้งนั้น...ส่วนเรื่องคุณภาพถ่านหินเป็นอีกปัจจัยที่ต้อง check ดูครับ...

โดยสรุป...ผมว่าถ้าจะเอาแต่ประเด็นเรื่องราคาถ่านหิน....lanna น่าจะมีภาษีดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด....เพราะ banpu trade ที่พีอีแพง...ไม่มีการเปิดเหมืองและโรงไฟฟ้าเพิ่มในอนาคตอันใกล้....

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 12:40 pm
โดย สวนหย่อม
อื้อหือ  :o  ขอบคุณคุณพี่ tanapol มากเลยครับ สำหรับการวิเคราะห์
เดี๋ยวผมขอคิดอีกหลายๆรอบให้เข้าใจ แล้วอาจจะ pm
ไปถามเพิ่มเติมนะครับ
:)  :) (ไม่อยากคุยในหน้านี้มาก เพื่อไม่ให้เป็นการเปลี่ยน topic ของกระทู้พี่ลูกอิสาน แหะๆ  :oops: )

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 3:30 pm
โดย ลูกอิสาน
โทษทีครับ :oops:  ช่วงนี้มีอาการเบื่อๆหุ้น และมีเรื่องเบนความสนใจคือต้องต่อเติมซ่อมแซมบ้านพักหลังใหม่ เลยไม่ค่อยได้เข้าเวปครับ ท่านใดถามไว้ จะพยายามตอบเท่าที่พอทราบครับ ขอบคุณ tanapol ที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ ในโลกนี้ไม่มีคนเก่งทุกเรื่องครับ เชี่ยวชาญกันคนละเรื่อง เก่งคนละด้าน ทำให้โลกนี้สมดุลครับ


[quote="hongvalue"]พี่โจครับ ผมมีประเด็นของหุ้น 3 ตัวจะถามดังนี้ครับ
2.mfec ปีปันผลที่สูงใกล้ๆ 9% งบไตรมาสแรกก็สวย
และผู้บริหารบอกว่าจะได้ประโยชน์จากการที่กลุ่มแบงค์
ใช้มาตรการ basel 2 ทำให้ต้องลงทุนด้าน it อย่างน้อย 3 ปี

พี่โจมีความเห็นยังไงกับ mfec และบริษัทลูกอย่าง
prompt now ที่ผลิตเกมส์ออนไลน์ครับ

มองว่าราคาตรงนี้ undervalue ไหมครับ
ขอบคุณพี่โจมากเลยนะครับ