หน้า 1 จากทั้งหมด 1

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 18, 2003 12:08 pm
โดย คัดท้าย
บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษาครับ
ผมเองเป็นกำลังศึกษาเพื่อเป็น VI หน้าใหม่เหมือนกันครับ

ผมเองเริ่มศึกษา VI แต่ตัวเองเป็น VS มาก่อนนานแล้ว และมาคราวนี้ ผมเห็นเพื่อนๆ VI หน้าใหม่หลายคน ร้องโอดโอยที่หุ้นตก

1. หุ้น VI ไม่ตกตาม SET , หุ้นปั่นซิ ลงตาม SET จริงหรือ?

ผมว่าไม่จริง SATTEL ลงตาม SET มั้ย (อุ๊ย ตัวนี้หุ้นเทคโนโลยีนะ อิอิ )
หุ้น รพ BH มหาแพง ไม่ลงตาม SET .. เห็นไหม ?

ดูหุ้น VI หลายๆตัวซิ ก็ร่วงตาม SET ผมเคยเจอกับตัวตอนที่ ผมยังไม่ได้เข้ามาเล่นที่นี่ ตอนนั้นผมลองเป็น VI ด้วยตัวเองครั้งแรก โดยซื้อ SITHAI, FANCY, GFPT, SAFE ครั้งนั้น ผมแทบกระอัก เรียกได้ว่าผมเสียเงินมากที่สุดครั้งนึง ตั้งแต่เล่นหุ้นมา .. ในขณะที่การปรับฐานครั้งนั้น หุ้นปั่นหลายตัว กลับไม่สะเทือน ... เลย

ตอนนั้น ผมถึงกับเลิกไปเลยครับ VI เพราะตอนนั้นผมเสียศรัทธามาก

2. VI คือ อะไร ทำไมระยะยาว VI ถึงดี ?

นี่เป็นคำถามที่ผมว่าเราควรหาคำตอบครับ เพราะตอนผมเข้ามาที่นี่ครั้งแรก แล้วพูดถึง VS/VI นี่จำได้ว่าผมโดนเละเลย เหมือนไปแตะต้องศรัทธาอันแรงกล้าของ VI

จริงๆ ไม่ใช่เลยครับ เพียงแต่ผมไม่ชอบท่องอาขยาน ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรในโลกที่มันได้มาง่ายๆ แบบ 01 01 ผมเชื่อว่า VI ก็เหมือนกัน

แค่ซื้อหุ้นดี ผลประกอบการดี มีอนาคต แค่นี้พอหรือไม่?
ผมว่า "ราคาที่ซื้อ" นี่เป็น 1 ตัวแปรในการตัดสินอนาคตเลยนะครับ
เท่าที่ผมอ่านๆมา ผมสรุปได้ 1 ข้อคือ VI ต้องไม่ซื้อหุ้นแพง ถ้าซื้อหุ้นแพง VI คนนั้นต้องทำได้แบบท่านบัฟ คือ ท่านต้องทนเห้น Port ตัวเองลบไป 50% ได้

3. VI ร่ำรวยจาก "ปันผล" จริงหรือ?

เห็น VI หลายๆท่าน ด่าพวกปั่นหุ้น ด่า VS ด่าพวกกินส่วนต่าง
.. แต่ผมเองยังคาใจเรื่องนี้ครับ
เท่าที่ผมไปสอบถามแบบเจาะลึกจาก VI ที่ผมรู้จักมาแทบทุกท่าน(แต่ไม่ทุกท่าน) บอกว่าซื้อหุ้นโดยหวัง ปันผล และถือไปเรื่อยๆ
แต่พอผมเจาะลึกลงไป กลับพบว่า VI หลายท่านร่ำรวยจากส่วนต่างราคา ไม่ใช่ปันผล .. เหตุเพราะ VI ซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาถูก ท้ายสุดพวก VS ปั่นหุ้น ก็จะมาปั่นตัวหุ้นที่ VI ถืออยู่ให้ทะยานขึ้นไปเอง (นอกเหนือจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ)

พี่ๆ VI คิดว่ายังไงครับ จะแย้ง แย้งได้เลย ผมเองมือใหม่ ต้องการความเห็นของพี่ๆมากครับ

ก็แชร์ความคิดเห็นของผมเท่านั้นเองครับ พี่ๆ VI เก๋าๆ หลายๆท่านอยากให้ช่วยแชร์ประสบการณ์ในอดีตหน่อยนะครับ
เช่น ตอนจาก 1700-->200 ตอนนั้นหุ้นใน Port เป็นยังไงบ้าง พี่ๆทำยังไงกัน และ ตอนเหตุการณ์ 911 ด้วยนะครับ

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 18, 2003 1:40 pm
โดย trus
มันพูดยากนะ ผมเองก็ยังสงสัยเหมือนกัน แต่ที่พอสรุปได้ก็คือ
1. การถือหุ้นนานๆผลตอบแทนดีกว่าซื้อแล้วขายแน่นอนถ้าซื้อแล้วกำไร
นิดหน่อยขาย โอกาสที่จะได้ 100 - 200 % แทบไม่มี
2. หุ้นที่ดีจริงๆมันจะขึ้นไปเรื่อยๆไม่ค่อยลง
3. ตัดสินกันแค่ตอนนี้ไม่ได้หรอกมันต้องบอกว่าเลือกหุ้นที่เราบอกเก็งกำไรมาตัวนึงแล้วเลือกหุ้นที่เราบอกว่าดีมาตัวนึง จากนี้ไปอีก 5 ปีมาดูกัน
4.ผมเคยลอง SATTEL กับ S&P เมื่อปลายปีที่แล้วถึงตอนนี้
ผมซื้อ SATELL 24 บาท ผมซื้อ S&P 21 บาท ถ้าวัดกันตอนนี้ S&P ดีกว่า
แต่อย่างที่บอกมันขึ้นอยู่กับเรากำลังมองอะไรที่ขณะนั้น เพราะเราสามารถ
หยิบยกตัวอย่างหุ้นที่ประสพความสำเร้จได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นเก็งกำไรหรือ VI อยู่ที่เราจะหยิบช่วงไหนมาดู

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 18, 2003 2:06 pm
โดย ayethebing
ผมเองก้อไม่เก๋าพอจะตอบคุณคัดท้ายหรอกครับ ผมแค่อยากจะแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นเอง

ข้อแรก: หุ้นมันไม่ VI หรือ VS หรอก คนเล่นต่างหากที่เป็น VI หรือ VS หุ้นมันมีขึ้นมีลงแล้วแต่อารมณ์ของตลาด พวกนี้มันเป็นแค่สํญญาณรบกวนนะครับ ผมเชื่อเสมอว่าท้ายที่สุดราคามันจะต้องมาที่ระดับราคาตามพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น อันนี้ผมว่าเป็นความแตกต่างที่สำคัญของ VI กับ VS เพราะ VS จะดูสภาพแวดล้อมภายนอก นั่นก้อคืออารมณ์ของตลาดซึ่งมีผลกับราคาหุ้น ส่วน VI นั้นดูปัจจัยที่เกี่ยวกับผลประกอบการในปัจจุบัน (และอนาคต สำหรับตัวผมครับ) ดังนั้นถ้ามีคนเข้าไปเล่น fancy sithai หรืออะไรก้อตามที่คุณคัดท้ายว่ามาแล้วดูว่าราคามันตกแล้ว cut-loss เค้าเป็น VS ครับ แต่ถ้าดูผลประกอบการแล้วรู้สึกว่ามันไม่ดี มีข้อติเยอะ อนาคตก้อไม่สวย อันนี้เป็น VI ครับ

ข้อสอง: การถือหุ้นระยะยาวจะดีก้อต่อเมื่อหุ้นที่ถือดีด้วย การที่เรามั่นใจว่าหุ้นที่เราถือดีก้อต้องเข้าใจกิจการดีและเชื่อมั่นในความสามารถของบริษัทใช่มั้ยครับ การเชื่อมั่นได้ก้อต้องมีการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทนั้นอย่างต่อเนื่องและเข้าใจสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับหุ้นนั้นใช่มั้ยครับ ถือหุ้นระยะยาวไม่ได้หมายความว่าตะบี้ตะบันถือโดยไม่สนใจว่าพื้นฐานหุ้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงนะครับ โดยปกติการถือยาวจะได้ผลประโยชน์หลายอย่าง ทำให้เราเข้าใจกิจการของบริษัทนั้นดีขึ้น ไม่ขายหมู อาจจะติดดอยบ้างแต่เดี๋ยวก้อมีคนถมพื้นให้สูงจนเราลงจากดอยได้ (แต่ต้องมั่นใจว่าหุ้นดีนะครับ) แถมไม่ต้องเสียค่าแปะเจี้ยให้กับ broker บ่อยๆ ด้วย

ข้อสุดท้าย: เงินปันผลเป็นผลตอบแทนที่ดีสำหรับตอนหุ้นลง ถ้าเราเข้าใจอดีตของหุ้น (เพราะถือยาว) ดีพอการคาดเดาเงินปันผลของหุ้นก้อไม่ใช่เรื่องยาก การซื้อหุ้นโดยเน้นเงินปันผลเป็นการซื้อแบบ defensive ที่ผมว่าเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้แหละ

ผมเองก้อหวังจะได้ capital gain ครับ เป็นหลักด้วย แต่ตอนตลาดไม่แน่ไม่นอนยังงี้ก้อต้องดูเงินปันผลเป็นหลักละครับ

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 18, 2003 7:48 pm
โดย condorfund
ผมคิดว่า VI ต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผลจริงๆนะครับ
แต่ถ้าจะมีผลประโยชน์เพิ่มเติมจากส่วนต่างของหุ้นนิดๆหน่อยๆ
ก็น่าจะถือว่าพอเป็นกระสายครับ

ถ้าเปรียบเทียบกับกิจการแล้วผลตอบแทนที่ได้จากเงินปันผลก็คือรายได้จาก
ผลการดำเนินการ แม้จะดูไม่มาก แต่จะได้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ และคาดการณ์ได้
เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้จากส่วนต่างของราคาหุ้น ซึ่งเปรียบเหมือนกับการ
ขายสินทรัพย์ออกไป ซึ่งได้รายได้ก้อนใหญ่ และนานๆครั้งจะได้ที และไม่ถือ
ว่าเป็นสิ่งที่ถาวร

จริงๆน่าจะอยู่ที่การตั้งเป้าหมายผลตอบแทนของการลงทุนของเรามากกว่า
10-15-20-25%? ซึ่งในความคิดผมเองคิดว่า ระดับ 20-25 ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว
ถ้าระดับ 30% ก็เทียบเท่ากับทำกิจการด้วยตนเองเลยทีเดียว

สมมติถ้าตั้งเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนขนาดนี้ ก็คงมีหลายวิธีครับ
แล้วยิ่งหุ้นขึ้นแบบนี้ น่าจะทำได้ถึงเป้าด้วย ความท้าทายมันเลยอยู่ที่ระยะเวลา
ครับว่าจะรักษาผลตอบแทนระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้ในระยะยาวได้อย่างไร

ดูผลตอบแทนของ berkshire hathaway แล้วสามารถรักษาค่าเฉลี่ยไว้ได้
ที่ 22% (สะสม) ตั้งแต่ 1965-2002 (37 ปี) ผมคิดว่าไม่ธรรมดานะครับ

ข้อมูลรายงานของ berkshire hataway ดูได้ที่
http://www.berkshirehathaway.com/letters/2002pdf.pdf

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า สไตล์ผมไม่ใช่ VI เสียทีเดียวนะครับ

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 18, 2003 10:29 pm
โดย ประจวบ
ผมว่าพวกเราคงต้องแยกให้ออกนะครับว่า"หุ้นvi " กับ "ราคาต้องวิ่งขึ้นอย่างเร็ว"หลังเข้าลงทุน
มันคนละเรื่องกัน
การลงทุนvi คือการลงทุนที่ได้ผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียด+ความเสี่ยงในการลงทุนต่ำ+มีกำไรพอสมควร
ไม่ใช่การมีกำไรโดยเร็ว+มากๆๆๆๆๆโดยใช้เวลาสั้นๆ
นอกจากนั้นคือการเก็งกำไร(graham)
นอกจากนี้ต้องแยกให้ออกระหว่างvi กับ vs
จากนิยามโดยอจ.นิเวศน์ซึ่งเป็นผู้บัญญัติคำว่าvsขึ้นมา
vs คือการเก็งกำไรโดยอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างละเอียด
แต่มีข้อด้อยบางอย่างทำให้ผลงานไม่แน่นอนในระยะยาวๆเหมือนหุ้นvs ได้แก่
1.ผู้บริหารไม่น่าไว้วางใจ
2.ผลประกอบการณ์มีความผันผวนสูงเช่น พวกโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตร
3.มีข่าวดีส่งเสริมราคาให้วิ่ง เช่น แจกwarrant แตกพาร์ แต่ไม่ได้ป.ป.พื้นฐานอย่างถาวร
4.อยู่ในอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวอย่างแรง แต่อาจไม่ยั่งยืน เช่น พวกหลักทรัพย์ เคมีภัณฑ์
5.ได้ประโยชน์แบบส้มหล่นเช่น ปรับโครงสร้างหนี้
ที่สำคัญคือต้องรู้ว่ากำลังลงทุนแบบvi(ถือยาวๆๆๆๆๆๆ) หรือvs(กำไรพอสมควรต้องตัดใจขาย หรือตัดขาด
ทุนเมื่อราคาตกลงระดับนึง)
โดยส่วนใหญ่ผมว่าviหน้าใหม่ๆ มักจะลงทุนโดยถือหุ้น vsโดยลงทุนถือยาวๆๆๆๆแบบหุ้นvi
ระยะแรกที่ผมมาลงทุนแนวviต้นปี44ผมก็ซื้อgfptโดยคิดว่าจะถือยาวๆๆๆๆ หลังปันผล ราคาก็ดิ่งเหวทันทีลงมาประมาณ50%เพราะมีข่าวเจอสารเคมี + eu ประกาศตรวจสอบไก่100% ผมทนถือไว้ปีกว่าๆเพิ่งมาปล่อยเมื่อกลางปี46 (ได้กำไร30+%) พวกโภคภัณฑ์ถ้าคุณเข้าถูกรอบถูกจังหวะคุณก็ได้ผลตอบแทนพอสมควร แต่ถ้าเข้าผิดรอบ + หัวใจไม่เสริมใยเหล็ก คุณเละแน่นอน

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 18, 2003 10:49 pm
โดย คัดท้าย
ขอบคุณพี่ๆครับ ผมเองก็ยังสับสนระหว่าง VI กับ VS ครับผม ตอนนี้เริ่มแยกแยะได้ดีขึ้นนิดนึงแล้วครับ

VI นี่ต้องใจแข็งจริงๆนะครับ ผมยอมรับเลย


ปล. โลโก้พี่ condorfund น่ารักมากครับพี่ ผมเห็นแล้วชอบเลย 5555

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 19, 2003 9:34 am
โดย ครรชิต ไพศาล
คาถา ของ VI


" ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ ถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี "


ขอย้ำ ต้องซื้อ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ


ค้นหามูลค่าอันแท้จริง

การค้นหา มูลค่าที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และในขณะเดียวกันมันก็เป็นแนวคิดที่ยากที่จะอธิบาย

ไม่มีสูตรสำเร็จในการคิดมูลค่านี้ คุณต้องรู้ซึ่งในกิจการ นั้นๆ (คือธุรกิจที่คุณกำลังจะซื้อหุ้นนั้น)

การกำหนดมูลค่าของธุรกิจนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อมันตอนที่มันราคาต่ำที่สุด ขอเพียงแต่ให้ราคาขายนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็น และธุรกิจนั้นต้องบริหารงานโดยคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีความสามารถ หากวันนี้ คุณสามารถซื้อธุรกิจที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าของมัน ประกอบกับคุณมั่นใจในทีมผู้บริหารนั้น ๆ คุณกำลังจะทำเงินแล้ว

อย่ากังวลเรื่องมูลค่าที่นักลงทุนฉวยโอกาสขึ้นราคาในการต่อรอง

ผมไม่เคยเห็นแนวโน้มเลยว่าการลงทุนโดยการพิจารณาเรื่องมูลค่าจะได้รับความสนใจในตลอดระยะเวลา 35 ปี ที่ผมใช้หลักการนี้ลงทุน ดูมันเป็นนิสัยที่ผิดเพี้ยนของมนุษย์ที่ชอบทำเรื่อง ง่ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องอยาก

(จากหน้าที่ 103-104 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน)

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 19, 2003 10:19 am
โดย Mon money
เป็นกระทู้ที่น่าสนใจ น่าเก็บเอาไว้ศึกษา ผู้ตั้งและผู้ตอบกระทู้มีการรวบรวมความคิดในการถามและตอบดีมากครับ ในส่วนตัวแล้วผมชอบมากที่สุดกระทู้หนึ่งทีเดียว

เอาความเห็นของผมบ้างนะครับ ผมขอตีประเด็นคำถามทีละข้อเลยครับ
1. หุ้น VI ไม่ตกตาม SET , หุ้นปั่นซิ ลงตาม SET จริงหรือ?
ข้อนี้ไม่แน่เสมอไปครับ เราอย่าลืมว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นวิ่งลงรอบๆมูลค่าที่แท้จริงครับ ราคาที่คุณซื้ออาจจะใกล้กับมูลค่าที่แท้จริงแล้ว (Margin of safety น้อยไป) พอพวกเกิดขายด้วยความกลัวเลยตกหนักเข้าไปอีก ตรงนี้วิกฤติจะเป็นโอกาสทันที หุ้นปั่นก็ไม่แน่ว่าจะลงเพราะเจ้ามือยังพอรับไหวก็พยุงต่อไป หากไม่ไหวก็มอบตัว ตรงนี้เป็นศิลปในการรอคอยครับ(อดทน) ที่Buffettบอกว่า ให้"คิดเสมอว่าเรามีโอกาสในการลงทุนแค่ 20 ครั้งในชีวิตเท่านั้น จะทำอะไรต้องรอบคอบและมีความแน่นอนสูง"
2. VI คือ อะไร ทำไมระยะยาว VI ถึงดี ?
จากสามัญสำนึกแล้วไม่น่าจะมีบริษัทไหนปรับตัวเองได้ดีในระยะเวลาอันสั้น การที่บริษัทที่ดีจะแสดงศักยภาพออกมาต้องใช้เวลาในการปรับตัวและสร้างความแข็งแกร่ง ในตลาดหุ้นพอเห็นสัญญาณว่าทำท่าจะดีก็ให้ราคากันเสียสูงแล้ว อย่างเช่นBH อย่างนี้ฝรั่งเรียก Expectation Gameครับ สำหรับVIเรามองไปข้างหน้าก็จริง แต่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เราต้องเข้าใจการดำเนินธุรกิจดีและปล่อยให้เงินกับเวลา(Compounding Effect)ทำหน้าที่ของมันครับ
3. VI ร่ำรวยจาก "ปันผล" จริงหรือ?
คำว่า Value กับ Growth มองแล้วต่างกัน แต่อย่าลืมว่า Growthเป็นส่วนหนึ่งของ Value ครับ บริษัทจะมีGrowthได้ต้องลงทุนเพิ่มส่วนหนึ่งและเกิดจากGrowthภายใน ที่ฝรั่งเรียก Organic Growth

VI ให้ความสำคัญกับGrowthภายในมากที่สุด ดังจะเห็นได้จาก Buffettจะเลือกบริษัทที่ใช้เงินลงทุนพอๆกับค่าเสื่อม เขาจะชอบมาก เพราะการลงทุนแบบนี้ไม่ใช่ลงทุนเพื่ออยู่ในธุรกิจให้ได้ แต่ลงทุนเพื่อรักษาความพร้อมและโตต่อเนื่อง

ส่วนที่เหลือจากการลงทุนนั้น หากมีโครงการที่ดีให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจก็ดำเนินงาน หากเหลือจริงๆควรคืนให้ผู้ถือหุ้น ในรูปปันผล ซื้อหุ้นคืน

การปันผลของบริษัทที่มีการเติบโตสม่ำเสมอและใช้เงินลงทุนน้อย จะเป็นการคืนโอกาสให้ผู้ถือหุ้นไปตัดสินใจนำเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนเอง แต่สำหรับบริษัทที่มีโครงการดีๆให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจไม่จำเป็นต้องจ่ายปันผลอย่างเช่น Berkshineไม่เคยจ่ายปันผล สำหรับบางบริษัทจ่ายปันผลเพื่อผยุงราคาหุ้น แต่ยังคงเพิ่มทุนแจกwarrentอันนี้ไม่น่าคบ

สรุปก็คือ VI รวยได้ทั้งสองแบบละครับ แบบที่คืนมาให้ลงทุนเอง หรือดีอยู่แล้วก็จัดการไป

สุดท้าย เหตุการณ์ 911 ทำให้เกิดโอกาสกับผมมากครับ

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 19, 2003 1:34 pm
โดย BPT
เป็นกระทู้ที่ดีจริงๆครับ ผมลงทุนค่อนข้างจะเน้นที่เงินปันผลเป็นหลัก เพราะมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ บริษัทที่ทำกำไรดี แต่ไม่ค่อยยอมจ่ายปันผลนั้น ถ้าหากไม่มีคนเห็นมูลค่าแล้วเข้ามาซื้อ ก็จะเกิดอาการราคานิ่ง ต้องคอยโฆษณาให้คนเห็นดีเห็นงามด้วย ต่างกับบริษัทที่จ่ายปันผล สมมุติว่าราคาปัจจุบันเมื่อเทียบกับเงินปันผลแล้วเท่ากับผลตอบแทน 8% ผมก็จะไม่ห่วงว่าราคาจะตกลงไปเท่าไร ตราบใดที่ผมมั่นใจว่าธุรกิจในปีนี้และปีต่อๆไปน่าจะมีผลประกอบการที่ไม่แย่ไปกว่าเดิม ยิ่งราคาตกยิ่งต้องไปหาเงินมาซื้อ เช่น ถ้าราคาตกไป 20% จะเท่ากับผลตอบแทนขึ้นเป็น 10%(8%/80%) ถ้าหากว่าเผอิญมีคนเข้ามาไล่ราคาจนสูง ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ว่าจะไม่ขาย เพราะถึงกิจการดีแต่มีคนให้ราคาสูง ผมก็จะขายแล้วไปหากิจการดีที่ราคายังต่ำอยู่มาถือต่อไป อย่าง GFPT ผมก็ติดพร้อมๆกับคุณประจวบเหมือนกัน แต่หลังจากเพิ่มทุนแล้ว ก็รอและสามารถขายไปพร้อมได้กำไรใกล้เคียงกัน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้ขายที่พีค อย่างปีนี้เนื่องจากไตรมาส 1 และ 2 ค่อนข้างจะไม่ดี มาได้ไตรมาส 3 ช่วยไว้ คิดว่ากำไรรวมทั้งปีคงต่ำกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ปีที่แล้วจ่ายปันผล 5 บาท ปีนี้คงอยู่ในราว 4-4.5 บาท แต่เนื่องจากมีการเพิ่มทุน เงินปันผลต่อหุ้นจึงน่าจะอยู่ราว 2.0-2.25 บาท ถ้าซื้อได้ที่ราคา 25 บาทก็น่าจะปลอดภัย ถ้าซื้อสูงกว่านั้นก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ก็พอจะรู้ว่าฐานอยู่ตรงไหน อย่างตอนนี้ราคาอยู่ราวๆ 27.50 บาท อย่างมากก็ขาดทุน 2.50 บาทถ้าตลาดแย่มากๆ แต่ถ้าเกิดปลายปีกำไรออกมาดีจ่ายปันผลสัก 2.75-3.00 บาทละก็ คงจะได้กำไรเพิ่มจากทั้งปันผลและราคาที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้ผมก็มองๆอยู่ ผมคิดว่าการเป็นนักลงทุนก็ต้องดูจังหวะเหมือนกัน แต่จังหวะมันจะไม่ใช่รอบแบบเดียวกับนักเก็งกำไร มันจะเป็นตามวงจรธุรกิจมากกว่าวงจรหุ้น

กระทู้เก่าที่ทรงคุณค่าแต่โอกาศในการลงทุน20ครั้งคืออะไรครับพี

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 24, 2008 8:23 pm
โดย Ny_^O-O^
Mon money เขียน:เป็นกระทู้ที่น่าสนใจ น่าเก็บเอาไว้ศึกษา ผู้ตั้งและผู้ตอบกระทู้มีการรวบรวมความคิดในการถามและตอบดีมากครับ ในส่วนตัวแล้วผมชอบมากที่สุดกระทู้หนึ่งทีเดียว
เอาความเห็นของผมบ้างนะครับ ผมขอตีประเด็นคำถามทีละข้อเลยครับ
1. หุ้น VI ไม่ตกตาม SET , หุ้นปั่นซิ ลงตาม SET จริงหรือ?
ข้อนี้ไม่แน่เสมอไปครับ เราอย่าลืมว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นวิ่งลงรอบๆมูลค่าที่แท้จริงครับ ราคาที่คุณซื้ออาจจะใกล้กับมูลค่าที่แท้จริงแล้ว (Margin of safety น้อยไป) พอพวกเกิดขายด้วยความกลัวเลยตกหนักเข้าไปอีก ตรงนี้วิกฤติจะเป็นโอกาสทันที หุ้นปั่นก็ไม่แน่ว่าจะลงเพราะเจ้ามือยังพอรับไหวก็พยุงต่อไป หากไม่ไหวก็มอบตัว ตรงนี้เป็นศิลปในการรอคอยครับ(อดทน) ที่Buffettบอกว่า ให้"คิดเสมอว่าเรามีโอกาสในการลงทุนแค่ 20 ครั้งในชีวิตเท่านั้น จะทำอะไรต้องรอบคอบและมีความแน่นอนสูง"
2. VI คือ อะไร ทำไมระยะยาว VI ถึงดี ?
จากสามัญสำนึกแล้วไม่น่าจะมีบริษัทไหนปรับตัวเองได้ดีในระยะเวลาอันสั้น การที่บริษัทที่ดีจะแสดงศักยภาพออกมาต้องใช้เวลาในการปรับตัวและสร้างความแข็งแกร่ง ในตลาดหุ้นพอเห็นสัญญาณว่าทำท่าจะดีก็ให้ราคากันเสียสูงแล้ว อย่างเช่นBH อย่างนี้ฝรั่งเรียก Expectation Gameครับ สำหรับVIเรามองไปข้างหน้าก็จริง แต่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เราต้องเข้าใจการดำเนินธุรกิจดีและปล่อยให้เงินกับเวลา(Compounding Effect)ทำหน้าที่ของมันครับ
3. VI ร่ำรวยจาก "ปันผล" จริงหรือ?
คำว่า Value กับ Growth มองแล้วต่างกัน แต่อย่าลืมว่า Growthเป็นส่วนหนึ่งของ Value ครับ บริษัทจะมีGrowthได้ต้องลงทุนเพิ่มส่วนหนึ่งและเกิดจากGrowthภายใน ที่ฝรั่งเรียก Organic Growth

VI ให้ความสำคัญกับGrowthภายในมากที่สุด ดังจะเห็นได้จาก Buffettจะเลือกบริษัทที่ใช้เงินลงทุนพอๆกับค่าเสื่อม เขาจะชอบมาก เพราะการลงทุนแบบนี้ไม่ใช่ลงทุนเพื่ออยู่ในธุรกิจให้ได้ แต่ลงทุนเพื่อรักษาความพร้อมและโตต่อเนื่อง

ส่วนที่เหลือจากการลงทุนนั้น หากมีโครงการที่ดีให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจก็ดำเนินงาน หากเหลือจริงๆควรคืนให้ผู้ถือหุ้น ในรูปปันผล ซื้อหุ้นคืน

การปันผลของบริษัทที่มีการเติบโตสม่ำเสมอและใช้เงินลงทุนน้อย จะเป็นการคืนโอกาสให้ผู้ถือหุ้นไปตัดสินใจนำเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนเอง แต่สำหรับบริษัทที่มีโครงการดีๆให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจไม่จำเป็นต้องจ่ายปันผลอย่างเช่น Berkshineไม่เคยจ่ายปันผล สำหรับบางบริษัทจ่ายปันผลเพื่อผยุงราคาหุ้น แต่ยังคงเพิ่มทุนแจกwarrentอันนี้ไม่น่าคบ

สรุปก็คือ VI รวยได้ทั้งสองแบบละครับ แบบที่คืนมาให้ลงทุนเอง หรือดีอยู่แล้วก็จัดการไป

สุดท้าย เหตุการณ์ 911 ทำให้เกิดโอกาสกับผมมากครับ

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 9:26 pm
โดย atsu
กระทู้เก่าที่ทรงคุณค่าแต่โอกาศในการลงทุน20ครั้งคืออะไรครับพี
คือปู่บัฟแกเคยเปรียบเปรยไว้ครับว่า
ก่อนจะตัดสินใจซื้อหุ้นให้คิดก่อนว่า ในชีวิตนี้เรามีโอกาสซื้อหุ้นแค่ 20 ครั้งเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย

เพื่อจะได้คิดให้รอบคอบที่สุดก่อนซื้อครับ
ไม่ใช่ซื้อเสร็จแล้วค่อยมานั่งวิเคราะห์เพิ่ม ถ้าไม่ดีก็ขายทิ้ง (จริงๆแล้วผมทำประจำแหละ  :lol:  :lol:  :lol: )

ชีวิตนี้เรามีโอกาสซื้อหุ้นแค่ 20 ครั้งเท่านั้น

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 9:06 pm
โดย Ny_^O-O^
ขอบคุณครับที่ให้ความรู้ แต่สำหรับผมเปิด portf. Dec07~Apr08
โอกาศในชีวิตของผมเกิดขึ้นแล้วเกือบ 30 ครั้ง :lol:
ครับยังไงก็จะขอเดินตามเส้นทางสายนี้ด้วยคน คงต้องใช้เวลายาวไกล

Re: ชีวิตนี้เรามีโอกาสซื้อหุ้นแค่ 20 ครั้งเท่านั้น

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 04, 2008 2:49 pm
โดย adi
nnakmorn เขียน:ขอบคุณครับที่ให้ความรู้ แต่สำหรับผมเปิด portf. Dec07~Apr08
โอกาศในชีวิตของผมเกิดขึ้นแล้วเกือบ 30 ครั้ง :lol:
ครับยังไงก็จะขอเดินตามเส้นทางสายนี้ด้วยคน คงต้องใช้เวลายาวไกล
รู้สึกจะตีความไม่ตรงกับคนอื่นนะครับเนี่ย

Re: กระทู้เก่าที่ทรงคุณค่าแต่โอกาศในการลงทุน20ครั้งคืออะไรคร

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2008 11:37 am
โดย Jane
:8)  :8)  :8)

จากประสพการ์ณส่วนตัว ขอเสริมนิดนึงนะคะ

1. หุ้น VI ไม่ตกตาม SET , หุ้นปั่นซิ ลงตาม SET จริงหรือ?

อันนี้ไม่เสมอไปค่ะ จริงๆเท่าที่เห็น หุ้นปั่นมักจะขึ้นลงเป็นอิสระจาก SET ด้วยซ้ำไป

2. VI คือ อะไร ทำไมระยะยาว VI ถึงดี ?

เพราะตอนที่เข้าลงทุน ได้มี MOS อยู่แล้วส่วนนึง นอกจากนี้ยังต้องมีปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะยาวให้เห็นอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อ market เริ่มเห็นคุณค่าของมัน ก็จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาอยู่ในระดับราคาที่ควรจะเป็น ทำให้ VI ได้รับผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำ นอกเหนือจากปันผล

3. VI ร่ำรวยจาก "ปันผล" จริงหรือ?

คิดว่าปันผลไม่ได้ทำให้ร่ำรวยนะคะ แต่เป็นแค่ผลตอบแทนระหว่างกาลจะเหมาะกว่า ผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำมักจะต้องมาจาก capital gain มากกว่านะคะ

:cool:  ชอบกระทู้นี้ค่ะ ได้ความรู้และความคิดเห็นที่หลากหลายดีค่ะ  :cool:

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2008 9:49 pm
โดย สวนหย่อม
โดนจริงๆ ครับกระทู้นี้ เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันทีเดียวเชียว

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 11:18 pm
โดย i_sarut
เพิ่งได้มาอ่านกะทู้นี้ ขอบคุณครับ  :lol:

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 03, 2008 7:27 pm
โดย อินทรีย์ทองแดง
ชอบกระทู้นี้มากๆเลยครับ ขอแจมด้วย
ผมว่าเป็นVS หรือVI มันไม่ได้สำคัญหรอกครับ อยู่ที่เรารู้ตัวและรู้จริงหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่  VSทำกำไรเป็นกอบเป็นกำมีไม่น้อยนะครับ   และบางครั้งVI ก็แปลงกายเป็น long termVS  และอย่างที่พี่ครรชิตโพสต์นั่นผมว่าเป็นหัวใจเลยครับแต่ก็เป็นเรื่องที่ยากส์ที่สุดเช่นกัน  

จริงๆก็มิบังอาจแสดงความคิดเห็นหรอกครับ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาด แค่200กว่าวัน ในระยะเวลานี้ พอร์ตผมเป็นบวกอยู่ไม่เกิน10วัน นอกนั้นลบกระจาย แต่ก็ยังไม่เคยถอดใจขายหุ้นทิ้งนะครับ เพราะเชื่อลึกๆว่าเราเองเข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนดีพอ  ตอบคำถามตัวเองที่ตั้งขึ้นมาได้เกือบทุกคำถาม สุดท้ายถ้าไม่successก็ต้องกลับมาทบทวนข้อผิดพลาดใหม่ครับ และที่สำคัญอยากให้พี่ๆน้องๆจดจำอารมณ์ช่วงที่หุ้นร่วงอย่างนี้ให้ดีนะครับ ตัวผมเองเข้ามาลงทุนในปีนี้ ได้ประสบการณ์ติดมือกลับไปคิด วิเคราะห์มากมายก่ายกองครับ ถือว่าคุ้มครับ

ปั่นกระทู้ด้วยคน

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 11, 2010 8:51 am
โดย wanidaja
อ่านทวนแล้วเกิดข้อคิด อยากช่วยปั่นกระทู้ให้ช่วยเตือนใจเรา ยามตลาดกระทิงชาว VI จะได้ไม่หลงกับดักยามกราฟหุ้น & กราฟชีวิตดูเหมือนพุ่ง   :shock: :D  :)  :(

Re: ปั่นกระทู้ด้วยคน

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 21, 2010 3:42 pm
โดย san
[quote="wanidaja"]อ่านทวนแล้วเกิดข้อคิด อยากช่วยปั่นกระทู้ให้ช่วยเตือนใจเรา ยามตลาดกระทิงชาว VI จะได้ไม่หลงกับดักยามกราฟหุ้น & กราฟชีวิตดูเหมือนพุ่ง

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 21, 2010 3:45 pm
โดย san
ครรชิต ไพศาล เขียน:คาถา ของ VI


" ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ ถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี "


ขอย้ำ ต้องซื้อ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ


ค้นหามูลค่าอันแท้จริง

การค้นหา มูลค่าที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และในขณะเดียวกันมันก็เป็นแนวคิดที่ยากที่จะอธิบาย

ไม่มีสูตรสำเร็จในการคิดมูลค่านี้ คุณต้องรู้ซึ่งในกิจการ นั้นๆ (คือธุรกิจที่คุณกำลังจะซื้อหุ้นนั้น)

การกำหนดมูลค่าของธุรกิจนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อมันตอนที่มันราคาต่ำที่สุด ขอเพียงแต่ให้ราคาขายนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็น และธุรกิจนั้นต้องบริหารงานโดยคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีความสามารถ หากวันนี้ คุณสามารถซื้อธุรกิจที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าของมัน ประกอบกับคุณมั่นใจในทีมผู้บริหารนั้น ๆ คุณกำลังจะทำเงินแล้ว

  อย่ากังวลเรื่องมูลค่าที่นักลงทุนฉวยโอกาสขึ้นราคาในการต่อรอง

ผมไม่เคยเห็นแนวโน้มเลยว่าการลงทุนโดยการพิจารณาเรื่องมูลค่าจะได้รับความสนใจในตลอดระยะเวลา 35 ปี ที่ผมใช้หลักการนี้ลงทุน ดูมันเป็นนิสัยที่ผิดเพี้ยนของมนุษย์ที่ชอบทำเรื่อง ง่ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องอยาก

(จากหน้าที่ 103-104  หนังสือ ของ สำนักพิมพ์  บริษัท ซัคเซส มีเดีย  จำกัด  เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน)
:cool:    :cool:    :cool:

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 24, 2010 9:46 pm
โดย superboy
สุดยอด จริง ๆๆ ขุดมาได้

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 30, 2010 4:49 pm
โดย นพพร
กระทู้คุณค่าจริงๆ ตั้งมากี่ปีแล้วเนี่ยะ :?:

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 30, 2010 8:03 pm
โดย Skid
ถ้าไม่ได้ อ่านถึง คุณ อินทรีย์ทองแดง ผม คงไม่รู้ว่ากระทู้ ปี 2003

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 06, 2010 10:34 am
โดย boattaman
ก็ว่าทำไมมันเเปลกๆ ไปขุดมาจากไหนเนี่ย 555
ถ้าไม่มีคนบอกก็ไม่รู้เลยนะเนี่ย

บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศึกษา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 12, 2010 9:28 pm
โดย Sorgios
ตอนแรกอ่านแล้ว นึกว่าเพิ่งโพสท์อาทิตย์ที่แล้ว :lol:

เขกหัวตัวเอง 1 ที


ปล.ขอบคุณทุกความเห็นครับ อ่านเพลินเลย

Re: บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 08, 2012 2:50 pm
โดย kongkiti
กระทู้ดี ต้องขุด ครับ

Re: บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 08, 2012 3:09 pm
โดย torpongpak
kongkiti เขียน:กระทู้ดี ต้องขุด ครับ
ขอบคุณผู้ขุดครับ...ชอบความเห็นตรงๆของ จขกท. โดยเฉพาะย่อหน้าท้ายๆ

VIกับ"ส่วนต่าง"หรือ"ปันผล"

Re: บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 14, 2012 3:53 pm
โดย Factor_9
ขอบคุณครับ :D

Re: บทเรียนการปรับฐานครั้งนี้ อยากให้ VI หน้าใหม่ดูเป็นกรณีศ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 23, 2015 4:37 pm
โดย RnD-VI
ขอบคุณครับ และขอขุดกระทู้นี้มาอ่านอีกครับ