สัมมนา Chula Value Investing Talk 2023

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2645
ผู้ติดตาม: 270

สัมมนา Chula Value Investing Talk 2023

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัมมนา Chula Value Investing Talk 2023

Theme: Basic Knowledge & Tips in investment

เชาว์ เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ

คุณเชาว์ บอกว่า ก่อนที่จะมาเป็นวีไอ หลายคนที่รู้จัก ก็ลองมาหลายแนว
แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ยังเคยดูกราฟเลย
หลังจากลองมาหลายวิธี พบว่า การลงทุนให้ชนะในระยะยาว คือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ถ้าเราตอบไม่ได้ว่า วิธีที่ใช้เหนือกว่าคนอื่นอย่างไร ก็จะไม่สามารถชนะคนอื่นได้
การดูกราฟ นึกไม่ออกว่าได้เปรียบตรงไหน เพราะ ทุกคนก็อ่านจากตำราเดียวกัน

ช่วงแรกก่อนการเข้ามาลงทุน ก็เป็นมนุษย์เงินเดือน หลังจากกลับมาเมืองไทย ก็ทำงานIB(Investment Banker)
ซึ่งทำงานหนักมาก ดังนั้นการลงทุนที่เหมาะกับงาน คือ ลงทุนแบบวีไอ ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ เลือกหุ้นSuperstock
และเน้นถือ 5ปี , 10ปี ไม่ต้องคอยดูราคาตลอดเวลาเหมือนการใช้กราฟ แค่แกะงบรายไตรมาสเท่านั้น บางครั้ง
อาจไม่มีเวลาดูงบด้วย พอพอร์ตใหญ่ขึ้น เงินปันผลมากกว่าเงินเดือน ก็เลยเลิกทำงาน

คุณเชาว์ หลังจากศึกษาจบวิศวะที่จุฬา เรียนต่อโทMBAที่สหรัฐ ช่วงนั้นเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง
เลยทำงานที่นั่นต่อเลย ได้มีโอกาสอ่าน Wallstreet Journal และไปสอบCFA ผ่านLevel3
อ่านและศึกษาเรื่องการลงทุน แต่ไม่รู้วิธีลงทุน จนกลับมาเมืองไทย อ่านหนังสือตีแตก ของดร นิเวศน์
จึงรู้จากหนังสือว่าการลงทุนอย่างไรให้ได้กำไร

หุ้นตัวแรก
เปิดพอร์ตในปี2005 พยายามหาหุ้นตัวแรกจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
เจอ 7-11 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นCPALL แต่ถืออยู่เดือนนึงราคาไม่ไปไหน ก็เลยขายไป
ปีต่อมา เจอบริษัท BOL เป็นสิ่งที่เราใช้บริการข้อมูลอยู่พอดี ในการทำDue Deligent
เข้าใจว่าธุรกิจดี จึงศึกษาเพิ่มเติม ตอนซื้อนั้น market cap แค่160ลบ
ช่วงนั้นขาดทุนเล็กน้อย หรือ พึ่งBreakevenบ้าง ตอนนั้นสภาพคล่องหุ้นน้อยมาก
ซื้อได้วันละหมื่นกว่าบาท จนคิดเป็นสัดส่วน30%ของพอร์ต6ล้านบาท
ปี2553 พอร์ตโตแตะ100ลบ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 ปี ก็ early retireได้

ส่วนหุ้น10เด้งตัวที่สอง เจอจาก ตอนทำงานที่อโศก ช่วงเที่ยงก็ไปเดินทานข้าว
พบว่าเพื่อนผู้หญิงไปมุงเครื่องสำอาง แม่ค้าพูดและขายเก่งมาก
พลิกใต้ขวด พบว่าผู้ผลิตคือไดสตาร์ ซึ่งเคยเป็น FAให้ เลยโทรเข้าไปถาม
ได้ความว่าปีหน้ายอดขายโตเท่าตัว เลยซื้อหุ้นมาส่วนนึง
หลังจากนั้นมีโอกาสเข้าไปคุย เจอตัวลูกชายเจ้าของบริษัทออกมาคุยด้วย
โชคดีว่า เจ้าของบริษัทก็ออกมาคุยด้วย เพราะแปลกใจว่าไม่เคยมีคนมา
ถาม 10ปีแล้ว เคยบอกญาติ หรือเพื่อน ก็ไม่มีใครเชื่อมาซื้อหุ้น
คุณเชาว์เป็นคนแรกที่เข้ามาคุย ก็เลยได้รู้ข้อมูลอย่างละเอียด
และตัดสินใจเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นจนได้หลายสิบเด้งในเวลาต่อมา

จากที่เคยเป็น IB เลยคุ้นเคยกับการโทรหาลูกค้า โดยทำList รายชื่อเพื่อโทรคุย
เนื้อหาที่เราจะได้หลังทำDue Diligence
รู้ว่าเจ้าของเป็นคนอย่างไร ได้คุยกับเพื่อนที่เป็นdealer พบว่าเจ้าของเป็นคนเขี้ยว ประหยัด ถือว่าดีต่อบริษัท
คุณเชาว์ถือหุ้น มองเป็นระยะยาว หวัง10เด้ง ดังนั้น ก็ไม่ซื้อๆขายๆ เพื่อหวังผลตอบแทนระยะสั้น
แต่บางครั้ง ก็เจอราคาหุ้นขึ้นและลงหลายรอบ ซึ่งจะรู้สึกเซ็งบ้าง เพราะพอร์ตสวิงหลักร้อยล้านบาทเลย
Home run ถ้าเราเลือกถูกตัวเท่านั้น จึงได้10เท่า แต่ระยะหลัง มีขายออกไปบ้าง หลังเรียนรู้จากรอบแรก
ด้วยวิธีแบบนี้ จึงไม่ค่อยโดน หรือโดนเล็กน้อย เพราะลงทุนแค่ 2%ของพอร์ต

แต่มีสิ่งนึง พลาดเยอะมาก คือทำงานเยอะมากจนไม่มีเวลา
มีหุ้นหลายเด้ง ถ้าศึกษาเยอะหน่อย ก็มีโอกาสได้10เด้ง

มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์
มี่บอกว่า เข้ามาเป็นนักลงทุนแบบวีไอโดยบังเอิญ และมาฝึกฝนจนชำนาญ
มองย้อนกลับไป พบว่า ยังเลือกลงทุนแบบวีไอ เพราะตอบโจทย์ลงทุนแบบจริงจัง

องค์ประกอบในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ
1.กำไร
2.ปลอดภัย
3.มีความสุข
ตอนเรียนจบ ม3 มาขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง เพราะมีคนมาบอกว่ารายได้ดี
ต่อมาเปิดร้านเกมส์ ที่Big ลาดพร้าว ทำให้เก็บเงินได้หลายแสนบาท
พอเจ้าของที่มาไล่ ทำให้ตัดสินใจเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

มี่ บอกว่า หุ้นตัวแรกที่ลงทุน น่าจะเป็นThai แต่ตัวที่ได้กำไรอย่างมีนัยยะคือHMPRO
ซื้อ5บาท เจอราคาลงมาเหลือ 2บาท แล้วถือยาว ได้มา20-30เท่า
เจอหุ้นตัวนี้ เพราะตอนนั้น จะตกแต่งบ้าน เลยไปดูที่HMPRO
พบว่า มีการทำห้องน้ำ ห้องครัวตัวอย่างให้ลูกค้าชมด้วย

ช่วงsubprime ถือหุ้น8-9ตัว ขาดทุน เลยขายออกมา และไปซื้อหุ้นHMPROไว้เลย
มี่ถือตัวนี้จนได้2เท่า ก็ขายไปเพื่อซื้อตัวอื่นต่อ
ตลาดหุ้นมีการrotationในแต่ละกลุ่ม เปลี่ยนหุ้นเล่น
มี่รู้จักหุ้นเยอะ ตามหุ้นเยอะ ดังนั้นเวลาขายตัวเก่าไป และหาตัวใหม่ไปเล่นต่อ
หุ้นมีสองประเภท
1.หุ้นถูกจริง
2.หุ้นราคาถูก เพราะมันมีเหตุผล

เคสที่พลาดจริงๆ เช่นซื้อXioami ตอนราคา 9-10$ และราคาขึ้นไป 36-37$
ไม่ได้ขายตอนพีค
แต่ถ้าวิเคราะห์ระยะยาว ธุรกิจXiaomiชนะแน่
เรื่องIOT เชื่อว่า XiaomiชนะApple คิดเองว่า IOT ไม่มีใครจ่ายPremiumแน่
เพราะไม่ใช่อุปกรณ์ต้องใส่show เหมือนมือถือ
ดังนั้นจึงไม่ได้ขายตอนXiaomiราคา30กว่า$ ถือว่าเป็นความผิดพลาด
C5534E0A-6186-4E3C-86AF-DC61592217AB.jpeg
66700880-24E2-435F-84A3-E9D6A23CCE57.jpeg
C7A7E800-D216-4D9A-B9CF-7E1B50736AC8.jpeg
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2645
ผู้ติดตาม: 270

Re: สัมมนา Chula Value Investing Talk 2023

โพสต์ที่ 2

โพสต์

สัมมนา Chula Value Investing Talk 2023 ช่วงที่สอง
Theme: Basic Knowledge & Tips in investment

ก่อนพักเบรค คุณเชาว์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกหุ้นมาให้
เป็นการตัดสินใจแบบ Frame Work โดยใช้probability โอกาสคิดถูกกี่%
เช่น กรณีของXiaomi มีโอกาสที่ราคาจาก30กว่า$ไปที่100$ มีโอกาสกี่%
และโอกาสที่ราคาร่วงลงมาจาก30กว่า$ มีโอกาสกี่%
แล้วโอกาสที่แต่ละเหตุการณ์ถูกกี่% ผิดกี่%
การลงทุนแบบนี้ เรียกว่า Dhandho Investing แนะให้ไปอ่านหนังสือเล่มนี้เพิ่ม
เหมือนไพ่Poker ถ้าไพ่ดี เราสู้ต่อ แต่ถ้าไพ่ไม่ดี เราก็หมอบ
พูดถึงหุ้นKamart ตอนเจ้าของมาพูดเมื่อตอนเข้าไปบริษัทพูดคุย คิดว่าโอกาสถูก 80%
ตอนนั้นยอดขายคู่แข่งมีสทีน 10,000ลบ กำไร 2,000ลบ หันมาดูKamart ยอดขายแค่250ลบ
ดังนั้นถ้าถูก ได้20เด้ง ซึ่งมีโอกาสถูกถึง 80% จึงเริ่มเข้าไปลงทุนบริษัทนี้

หลังจากสัมมนาเข้าสู่ช่วงที่สอง
พิธีกรถามว่า ถ้าอยากเริ่มต้นลงทุนต้องทำอย่างไรบ้าง
มี่ ตอบว่า ต้องศึกษาความรู้ด้านการลงทุนก่อน
อาชีพเคยทำมาหลายอย่าง พบว่าอาชีพการลงทุนนั้นง่ายที่สุด
มีแค่check list ซึ่งทำขึ้นมาตั้งแต่แรก และตรวจว่าบริษัทที่เราสนใจตรงกับcheck listเรามั้ย
หุ้นต้องเปิดใจฟังใหม่ทุกครั้ง อ่านงบรายไตรมาส ซึ่งเหมือนกับชีวิตของเรา แต่ละช่วงจะไม่เหมือนกัน
คนสองคน เจออุปสรรค จะแก้ไขไม่เหมือนกันได้ ถ้าคนนึงมีpassionหรือมีเป้าหมาย แต่อีกคนไม่มีเป้าหมายในชีวิต

มี่ใช้หลักของ Intrinsic Motivation ทำแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นความลับที่ช่วยเร่งเกียร์
แต่เป้าหมายก็เป็นเรื่องที่สำคัญ อ่านเยอะ ถามเยอะ อย่ากลัวคำถามดูโง่เกินไป
มี่บอกว่า อีก10ปี คำถามก็ยังดูโง่ แต่ความรวยก็รวยขึ้นไปเรื่อยๆ
ดังนั้น เราควร ศึกษาตลอดเวลา มีเป้าหมายในชีวิต และมีmotivation

ส่วนคุณเชาว์ บอกว่าหลักการคล้ายกัน เปรียบตัวเองเป็นแบบhard core ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกัน
รู้สึกได้ว่า การลงทุนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ การมีเงิน100ล้านบาท ทำได้ไม่ยากถ้าลงทุนแบบมีpassion
โดยสะสมเงินได้1ล้านบาทนำมาลงทุน ทำ10เด้งสองครั้งก็ได้แล้ว ดังนั้นในชีวิตคนการทำ10เด้งสองครั้งไม่ยาก
และทิ้งท้ายกับคำถามนี้ว่า รู้อะไรต้องรู้จริงง ถึงประสบความสำเร็จได้

คำถามต่อมา หาหุ้นได้อย่างไร มีหลักการอะไรบ้าง เป็นคำถามที่น่าสนใจ เรามาตามดูสิว่าคำตอบเป็นอย่างไร
คุณเชาว์ บอกว่า คนชอบถามว่าทำอย่างไร
มันเหมือนมีอยู่ในสายเลือด เห็นว่าธุรกิจไหนดี ธุรกิจไหนไม่ดี
เราสามารถดูได้จากการเข้าไปเดินในห้างเช่นcentral , 7-11 จะเห็นว่าธุรกิจไหนดี ธุรกิจไหนไม่ดี
บางธุรกิจยังไม่เข้าตลาด แต่เรารู้ได้ก่อนคนอื่น
หลังจากนั้นก็ทำwatch listหุ้นเหล่านั้นไว้ ทำให้ตัวเองเข้าใจธุรกิจนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

สมองคนเรา เวลาเราใส่ข้อมูลลงไปเยอะๆ สมองก็จะเก็บสะสมและทำความเข้าใจกับข้อมูลที่เข้ามา
ตั้งคำถามเพื่อหาหุ้นให้เจอ หุ้น10เด้งเกิดจาก
คนมองผิดทิศทาง เช่น ให้PEผิด แค่20เท่า จริงๆ 50เท่า ก็เป็นโอกาส
แต่ถ้าเจอหุ้นเติบโตแต่มีcapexเยอะ เราต้องหลีกเลี่ยงลงทุน เพราะธุรกิจนี้โตยาก

มี่ บอกว่า ส่วนใหญ่อ่านและฟังoppdayทุกวัน
ดูว่า อุตสาหกรรมไหนดี แนวโน้มเป็นอย่างไร
Business Modelต่างจากคนอื่นอย่างไร แต่ยังไม่ซื้อหุ้น รอหุ้นย่อลงมาค่อยเข้าไปรับ
ดูผู้บริหารคนไหนทำได้ คนไหนทำไม่ได้ตามที่พูด ก็จะจำไว้ ดูย้อนหลังoppdayได้ครับว่าใครทำได้บ้าง
เปรียบนักลงทุนเป็นนักเลือก เราจะเกาะไปกับบริษัทและเติบโตด้วยกัน
ดังนั้น การอ่านข้อมูล และมีคำถาม จะทำให้เราเจอหุ้นที่ลงทุนได้
ยกตัวอย่างหุ้นGrowth : ORI
ตอนนั้นเจอผู้บริหาร คุณโด่งมาเรียนในCSIและพูดถึงโครงการว่าจะมีการspin offและโตไปเรื่อยๆ
ครั้งแรกคิดว่าโม้ pe 20เท่า ถือว่าแพงสำหรับอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์
แต่ก็ตามผลประกอบการแต่ละไตรมาส ปรากฏว่าทำได้จริง ชื่นชมคุณโด่งมาก เก่งจริง
พอช่วงโควิด ราคาร่วงจาก15มา3บาท เราเฝ้าอยู่แล้ว ก็เลยเข้าลงทุนทันที
สรุปหลักการ
1.อุตสาหกรรมดีไหม
2.Business Modelเป็นอย่างไร
3.ผู้บริหารเป็นคนอย่างไร
4.มูลค่าที่ควระจะเป็น เท่าไหร่

คำถามต่อมาเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้น
คุณเชาว์ บอกว่า มีหุ้น10ตัวในพอร์ต 3-5ตัวแรกคิดเป็นสัดส่วนที่เยอะ แต่ตัวที่6-10ถือน้อย
ซึ่งพวกนี้ upsideเยอะแต่downsideก็เยอะด้วย
และยังมีหุ้นที่ตามอยู่อีก20ตัว รวมแล้ว ก็ตามหุ้นทั้งหมด 30ตัว ถ้านอกเหนือจากนี้ก็ไม่สนใจลงทุน
เพราะอาจไม่เข้าใจในธุรกิจ หรือคาดการณ์ไม่ได้ว่าอีก5ปี ธุรกิจจะเป็นอย่างไร
เวลาซื้อเหมือนการเลือกแฟน
-ดูไปเรื่อยๆ คัดแค่30บริษัทออกมา เพื่อติดตามผลประกอบการ
-พอมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อหุ้นทั้ง30ตัว เราก็มีโอกาสในการลงทุน
โดย หุ้น10ตัวแรก อยู่ในพอร์ต แต่อีก20ตัวเป็นcandidate
หลักการเลือกหุ้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สำหรับคุณเชาว์ เลือกหุ้นที่เป็น10เด้งในอนาคต ก็จะดู
1.Business modelที่ทำให้โต10เด้งได้ แต่ถึงแม้จะเลือกถูก แต่ดันขายตอน1เด้ง ก็ไม่มีทางได้10เด้ง
2.ดูความสามารถในการแข่งขัน บริษัทเก่งขึ้นเรื่อยๆหรือเปล่า
หุ้นบางตัว ยิ่งนาน ยิ่งเก่ง

มี่ บอกว่าอาจจะต่างกัน โดยมี่จะเล่นกับตลาดว่า จะspotไปที่ไหนบ้าง
ตัวอย่างเช่น กลุ่มnon bank : loan growth ถ้ามากกว่าคาด take actionขายตอนไหน
ถ้าเท่ากับคาด จะขายตอนไหน
ถ้าน้อยกว่าคาด จะทำอย่างไร
วัตถุประสงค์จะต่างกับเชาว์ มี่ จะซื้อหุ้นเพื่อหาจังหวะขาย
ดังนั้น เวลาซื้อหุ้น ต้องเขียนแผนการออกมาเลยว่า
ถ้ายอดขายโต มากกว่า20% ทำอย่างไร
ยอดขายโตเท่ากับที่คาด 20% ทำอย่างไร
ยอดขายโตน้อยกว่า 20%ทำอย่างไร
หลังจากนั้นก็ทำตามแผน
เราต้องลงทุนในแบบที่ผู้ชายรักผู้หญิง เพราะผู้ชายต้องการผู้หญิงที่สวยวันนี้
ไม่รอว่าวันข้างหน้าจะสวย เหมือนกับเราไม่ให้โอกาสแก้ตัวของหุ้น
ถ้าเราลงทุนแบบผู้หญิงรักผู้ชาย คือให้อภัย มีโอกาสติดดอยหุ้นสูง
โพสต์โพสต์