ลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างไรในข่วงตลาดหมี ??? โดยเซียนมี่

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2608
ผู้ติดตาม: 255

ลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างไรในข่วงตลาดหมี ??? โดยเซียนมี่

โพสต์ที่ 1

โพสต์

นักลงทุนวีไอ มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ @ KP Trader Talk 27 พ.ค.2565 ผู้ดำเนินรายการโดย น้องแพร
หัวข้อ ลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างไรในช่วงตลาดหมี??

ช่วงแรก

มี่ ได้เกริ่นนำว่า เมื่อปีที่แล้ว มีกระแสเชียร์ไปลงทุนหุ้นต่างประเทศกันเยอะ ตอนนี้ผลออกมาว่า ขาดทุนกันเยอะ
เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งปีนี้ ไม่ได้ติดลบเหมือนตลาดหุ้นต่างประเทศ บวกนิดๆ
ระหว่างทาง เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต เงินเฟ้ออเมริกาซึ่งขึ้นมาสูงก่อนหน้า ทางเฟดบอกว่าเงินเฟ้อขึ้นชั่วคราว
แต่หลังเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันสูงขึ้น และเฟดออกมายอมรับว่าเงินเฟ้อสูง
ยังอยู่กับเรานาน ทำให้เฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยสองรอบ 0.75% และจะลดงบดุลลงในเดือนมิย
หุ้นทั่วโลกลงมาก มีลงทุนหุ้นอเมริกาบ้างตามเพื่อน แต่ลงในจำนวนเงินไม่เยอะ
ปรากฏว่า หุ้นลงแบบหมดใจเลย เช่นราคา 100$เหลือ5-10$เอง

จีน เศรษฐกิจอ่อนแออยู่แล้ว ปรากฏว่าเจอโควิด ต้องปิดเมือง เซิ่นเจิ้น เซี่ยงไฮ้ โชคดีว่า ถึงแม้GDPจะโตต่ำ
แต่เงินเฟ้อไม่สูง ส่วนไทย เงินเฟ้อไม่สูง 4-5% คิดว่าตัวเลขทั้งปีอยู่ที่4% ส่วนใหญ่อาจมาจากการควบคุมราคาดีเซล
คิดว่าไทยดี เช่นตัวเลขการใช้น้ำมันดีเซลโตกว่า 10% คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันแล้ว

พึ่งไป CV รพ เอกชัย มา ออกมา 16.00 พบว่ารถติดมาก ต่างจาก กย ปีที่แล้ว ไม่มีใครออกจากบ้าน
รถไฟฟ้า คนขึ้นจากปกติ400,000-500,000 คน ตอนนั้น เหลือแค่ 50,000คน
ตอนนี้กลับมา 70%แล้ว รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นตัวชี้วัดหลายอย่าง คนเริ่มไม่กลัวโควิดแล้ว ขึ้นจนแน่นคัน
เริ่มเห็นคนต่างชาติเดินทางเข้ามา และอีกไม่กี่วัน ไทยจะประกาศว่าโควิดเป็นโรคประจำท้องถิ่น
จะมีต่างชาติเข้ามาเยอะ และ คนไทยไม่ต้องใส่หน้ากากแล้ว

เงินเฟ้อกดดันทำให้ค่าแรงทั่วโลกขึ้นสูง รวมถึงเพื่อนบ้านขึ้นด้วยเช่น มาเลเซียขึ้นไป 35% ส่วนเวียดนามขึ้นไป 6% แล้วและจะขึ้นอีกเกาหลี สหรัฐ ก็ขึ้นค่าแรงไป ส่วนค่าไฟฟ้า เมืองจีนปีที่แล้ว ไฟดับหลายครั้ง แต่ค่าไฟขึ้นไป30% ส่วนยุโรปก็ขึ้นเป็นหน่วยละ20กว่าบาท ส่วนไทย ยังไม่ได้ขึ้นทั้ง ค่าแรง และค่าไฟ ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก ซึ่งคิดเป็น 50%ของGDP
ส่วนการท่องเที่ยวคิดเป็นเกือบ20%ของGDP ปีนี้อาจเป็น 7ล้าน และปีต่อไปก็ปรับเพิ่มขึ้นจนถึง 40ล้านคนอย่างรวดเร็ว
และGDPก็อาจขึ้น3-4%ได้ เลยทำให้ดัชนีหุ้นไทย ยังแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นโลก

เชื่อว่าปลายปี – ต้นปีหน้า ไทยน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะ
• เรายังผลิตของได้ในราคาที่ Competitive เงินไม่เฟ้อมาก ค่าแรงยังไม่ขึ้น แรงงานต่างชาติก็ทะลักเข้ามาเยอะ โดยเฉพาะจากฝั่งพม่า
• สินค้าเกษตรราคาขึ้น
• Re opening ทำให้ ฝั่งบริการกลับมา ยอดค้าปลีกหลายเจ้า SSSG เริ่มเป็นบวก10%กว่า
ต่างชาติซื้อ แสนกว่าล้าน ก็จริงแต่ หุ้นเราSideway ไม่ขึ้นเพราะกองทุนไทยขาย (หลายกอง เงินออกไปยังตลาดหุ้นจีน) ยังไงวันนึงก็ต้องหยุดขาย ทั้งนี้นักลงทุนหลายคนก็กลับจาก ตปท หันมาลงทุนใน SETแทน

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุน

กลุ่มอิเลกทรอนิคส์

การเกิดCovid ทำให้เกิดการAdoptionเทคโนโลยีอย่างเร็วและทั่วถึง ทำให้เชื่อว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความต้องการด้านชิ้นส่วน และ สินค้าอิเลกทรอนิคส์ แต่เราก็ไม่ใช่เบอร์หนึ่งนะ แค่ตอนนี้เรามีภาษีที่ดีกว่าคู่แข่ง เพราะไฟฟ้าเรายังไม่ขึ้น ค่าแรงคนเรายังไม่ขึ้น น้ำก็ไม่ขาดแคลน

หลายปีก่อน Chip ขาดก็จริง แต่ปีนี้มีข่าวว่า Smart Phone จะขายได้น้อยลง บางแบรนด์ลดไป20%
ดังนั้นพวก Chip ที่เคยเข้าไปอยู่ในการผลิตSmart Phone นี่น่าจะได้เข้าไปที่sector อื่นมั่ง เช่น รถไฟฟ้า
ทำให้คาดการณ์ว่าภาวะขาดแคลนChipน่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

จุดสังเกตคือ การที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ คือ Wow Factor จาก technology changing
ตอนนี้ Wow factor ไม่ได้อยู่ใน Smart Phone แล้ว ( นอกจากว่า มือถือรุ่นใหม่สามารถสร้างภาพโฮโลแกรมของคนที่คุยด้วยขึ้นมา อาจทำให้คนอยากซื้อมือถือใหม่ แต่ถ้าแค่เพิ่มความเร็ว และ ความละเอียดกล้องเพิ่ม ก็อาจไม่ซื้อเครื่องใหม่) แต่Wow factor ย้ายไปอยู่ที่ รถไฟฟ้าแทน
ดังนั้นเราจะเหมารวมทั้งSectorไม่ได้ ต้องดูที่ Final Product เช่น ถ้าบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์
สำหรับมือถือ ก็ยังไม่น่าสนใจมาก
แต่สำหรับบางบริษัท ผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นี่น่าสนใจกว่า

กลุ่ม Theme เปิดเมือง น่าสนใจ

กลุ่ม ค้าปลีก ก็น่าสนใจนะ เจ้าใหญ่ SSSG + ละอ่ะ บางตัวยังขึ้นมาไม่ถึงจุดก่อน Covidด้วยซ้ำ ทั้งร้านค้าปลีก และ รวมถึงสินค้าที่อยู่ในร้านค้าปลีกด้วยนะ พวก Consumer Staple เช่นเครื่องสำอางค์ ก็น่าสนใจ (น้องแพรเสริมว่า
ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทาปาก แต่แต่งหน้า ตอนนี้ ทาปากแล้ว แสดงสินค้าเครื่องสำอางมีการใช้เยอะขึ้นจริง)

กลุ่มอสังหา จะกลับมาอย่างมีนัยสำคัญ เพราะธนาคารน่าจะพร้อมแล้ว ภาพเคลียร์ละ เข้าใจละว่าโควิดยังไง กระทบใคร จ่ายหนี้ได้ไหม ดังนั้นพร้อมพิจารณาปล่อยอัดสินเชื่อเต็มที่ และนี่คือตัวแปรที่สำคัญยิ่งกว่า GDP เพราะจริงๆความต้องการซื้อบ้าน คอนโดน่ะ มีตลอดแต่ซื้อไม่ได้เพราะธนาคารไม่ปล่อยไง

กลุ่มNon Bank น่าสนใจ แถมขึ้นไปบ้างละ เพราะความต้องการเงินน่ะ Demand มันเยอะมาก + ช่วงนี้เป็นภาวะที่เหมาะมากของกลุ่มนี้ที่จะเติบโต
ง่ายๆ คือ คนตังค์ไม่ค่อยมีไง แต่ก็ยังพอมีอาชีพมีรายได้นะ จ่ายผ่อนได้ = Loan Growth
ตรงข้าม ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็ไม่จำเป็นต้องกู้ไง เพราะหาเงินได้เยอะกว่ารายจ่าย
ตรงข้ามอีกด้านคือ ถ้าเศรษฐกิจแย่มากๆ คนไม่มีงานทำ นี่ก็ไม่น่าสนใจเพราะNPL จะสูงปรี้ด ไม่กล้าปล่อยเงินกู้มากนักหรอก

ทั้งนี้ทุกกลุ่มที่พูดมา ต้อง Selective ลงเป็นหุ้นรายตัวนะ เหมาทั้งกลุ่มไม่ได้ จังหวะนี้เราต้องกล้านะ แต่ห้ามบ้าบิ่น เป็นเวลาที่ต้องศึกษาหุ้นเฟ้นรายตัวดีๆ

นักลงทุนมือใหม่หลายคนบอกว่า ฟัง oppday ทุกบริษัทแต่ไม่เข้าใจเลย
เหตุผลเพราะไม่เข้าใจที่มาของบริษัท มี่ เปรียบเทียบกับ การไปดูspider manภาค3 เลย
ทั้งยังไม่ได้ดูภาค1,2มาก่อนก็จะไม่เข้าใจที่มาที่ไปของตัวละคร

จริงๆ ควรทำตามลำดับนี้
1. อ่าน56-1 + Annual Report เพราะเป็นพื้นฐานให้เข้าใจบริษัทก่อน ที่จะไปฟังoppday
2.. ฟัง Oppday หลังเข้าใจบริษัท ก็มาตามผลประกอบการ ข้อมูลของบริษัทที่updateขึ้น
4. อ่านข่าว โทรหา IR
5. ไป Company Visit เพื่อสอบถามข้อสงสัยจากการศึกษาจากอ่าน56-1 และดูoppdayแล้ว

ส่วนกลุ่มที่ไม่น่าสนใจคือ พวกที่Valuation สูงๆ นี่ต้องระวังมากๆ

คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ
ก็ให้จัดพอร์ต โดยมีหุ้นต่างประเทศ 20% (จีนและสหรัฐ) หุ้นไทย 70% และ เงินสด 10%
ซึ่งเกิดวิกฤต หุ้นลงมาหนัก ก็มีโอกาสซื้อเพิ่ม ซึ่งดีกว่าถือหุ้นเต็มพอร์ต ยิ่งใช้มาร์จิ้น คนละภาพกับมีเงินสดเลย
เวลาซื้อหุ้นต่างประเทศ ก็ให้แบ่งเป็นสัก5ไม้ ทยอยซื้อ


Q&A
1.กลุ่มสายการบินน่าสนใจไหม
ต้องเล่นเป็นรอบๆคล้ายcommoนะ ไม่เหมาะลงทุนระยะยาว เพราะแข่งขันสูง Over Supply ต้องดูเรื่อง ต้นทุน ช่วงนี้น้ำมันลงไหม การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวเป็นจังหวะการเก็งกำไรเชิงMomentum

2.ตอนนี้ตลาดหุ้นจะตกต่ำสุดหรือยัง
คงต้องลุ้นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะประกาศออกมาในอีกไม่กี่วันลงมาจากระดับแปดเปอร์เซ็นต์หรือยัง
ถ้าลงมาสักหกเปอร์เซนต์ ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว

สุดท้าย น้องมี่ได้กล่าวให้กำลังใจนักลงทุนว่า เสียอะไรก็ได้ แต่อย่าได้เสียกำลังใจ

Cr:ข้อมูลบางส่วนจากน้องหญิง
แนบไฟล์
6DFD76DA-2782-4506-9CFE-484FDA4ECBBF.jpeg
F6FACD61-D7E9-4528-91EF-F99E354FA42E.jpeg

โพสต์โพสต์