แชร์ไอเดีย บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
A66005

แชร์ไอเดีย บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เพื่อนๆพี่ๆ บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ คือปกติผมก็ไม่ค่อยได้สนใจข่าวmacroมากเท่าไหร่และเชื่อในการลงทุนรายบริษัทแบบระยะยาวตามหลักVIอยู่แต่รู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันใหญ่พอสมควร และอาจจะมีความเสี่ยงพอควรเลย ที่กังวลมากก็คือถ้าเกิดโอกาส1%ที่สงครามมันบานปลายหรือเกิดมีใครสั่งยิงนิวเคลียขึ้นมานี่มันคงโกลาหลมากแน่ๆ เลยอยากถามว่าเพื่อนๆพี่ๆกังวลกันมากน้อยแค่ไหน?? และบริหารความเสี่ยงกันยังไงครับ??

ส่วนตัวผมทำคล้ายๆที่พี่มี่ให้สัมภาษวันก่อนคือขายทั้งพอร์ตแต่ละตัวประมาณ10-20%เลย(แต่แอบยกเว้นหุ้นที่ตัวเองhighly convinceมากๆอยู่บางตัวนะครับ จะว่าBiasก็ได้แหละครับ) เฉลี่ยแล้วเงินสดขึ้นมาประมาณ15%จากเดิมแทบไม่เก็บเงินสดเลยคือประมาณเกือบๆ5%ของพอร์ตเองครับ

แชร์ความเห็นกันครับ
wj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1421
ผู้ติดตาม: 293

Re: แชร์ไอเดีย บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ถ้าย้อนไปช่วงก่อนปี 2021 ผมจะเก็บเงินสด 30-40% เป็นปกติ

พอปีนี้ผมได้เปิดพอร์ตที่มี margin ในต่างประเทศ ทำให้ผมนึกว่าผมจะถือเงินสด 0% จริงๆแล้วกลยุทธนี้ผมไม่คุยเคยเลย และผมก็เริ่มเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตปท.แบบช้าๆ แต่ในช่วงนี้10วันที่ผ่านมาผมเริ่มถือเงินสดเยอะขึ้นคือตอนนี้เงินสดไต่ระดับไปที่ 25% เพิ่มจากเมื่อวาน และผมจะกลับไปถือเงินสดระดับ 30% อีกครั้งถ้าทำให้ผมสบายใจ

ผมเห็นว่าปัญหาใหญ่มากๆคือเงินเฟ้อที่สูงเกิดคาด ราคาพลังงานสูงเกิดคาดไปมาก ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคตกต่ำอย่างรวดเร็ว และกระทบเศรษฐกิจอย่างแรก รวมถึงกระทบ margin ของบริษัทที่ไม่อาจจะขึ้นราคาสินค้าได้รวดเร็วเท่าต้นทุนนัก ซึ่งมันก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนเสีย นักลงทุนจะ rerating ตลาด

ผมมองว่าเศรษฐกิจนั้นโตด้วยหนี้ การมีเงินเฟ้อทำให้หนี้ดูเล็กลง ทำให้ค่าแรงเพิ่ม ทำให้สินทรัพย์ถาวรมีราคาเพิ่ม และในระยะยาวก็จะทำให้กิจการมีรายได้&กำไรเพิ่มไปด้วย (แต่ระยะสั้น 1-2 ปีอาจจะลำบากหน่อย) และถ้าดอกเบี้ยขี้นอย่างเร็ว(ซึ่งจะต้องมาพร้อมกับความโกลาหลอีกหลายอย่าง)ความน่าสนใจในหุ้นจะลดต่ำลง มิติการวิเคราะห์จะมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ความเลวร้ายทั้งมวลที่ผมว่ามานั้นเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในระยะยาว ผมแค่รอจังหวะครับ รอว่าการตกของหุ้นจะแรงแค่ไหนจะนานแค่ไหน บางทีการตกของหุ้นจะตอบสนองเร็วมากคืออาจจะตกล่วงหน้าก่อนความเลวร้ายมาถึง ผมก็จะหาจังหวะทะยอยซื้อครับ และรวมถึงการปรับพอร์ตจากหุ้นถูกไปยังหุ้นมีคุณภาพซึ่งผมจะทำเป็นประจำที่ตลาดถดถอย แต่สิ่งที่ผมทำจะค่อยเป็นค่อยไปเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหนหุ้นไหนดีกว่าหุ้นไหนในอนาคต
ตอนนี้ได้แต่ทำการบ้านให้หนักขึ้นครับ รองบออกให้หมดแล้วมาพิจารณาอีกที
พูดคุยกันได้ https://www.facebook.com/value.investing.freedo
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: แชร์ไอเดีย บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผมคิดโง่ๆ แบบนี้นะครับ คือ ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ จะเอาเงินลงทุนไปไว้ที่ไหนก็คงจะไม่มีความหมาย คือ เตรียมตัวตายอย่างไร ให้จากไปอย่างสงบดีกว่า

แต่ถ้าไม่เกิดสงครามนิวเคลียร์ คำถามคือ ราคาที่ลงมามีส่วนลดขนาดไหน มี MOS ขนาดไหน เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติที่ไม่มีสงคราม

สิ่งที่ผมพยายามบริหารตอนนี้ คือ การบริหารการรับข้อมูลข่าวสารที่เข้ามามากกว่า ว่าข้อมูลอันไหนเกี่ยวข้องกับกิจการที่เราลงทุนในระยะยาว และผลของสงครามกระทบต่อมูลค่าระยะยาวของกิจการเราจริงๆ หรือไม่ ในแง่ของกระแสเงินสดที่จะทำได้ในอนาคต ไม่ใช่ในส่วนของ risk premium ที่เพิ่มขึ้นในช่วงสงคราม

ถ้าเรื่องสงครามที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีผลต่อกิจการในระยะยาวของเรามากนัก ราคาที่ลงมาสะท้อนความกลัวไปไกลมากแล้ว บางทีการปรับพอร์ตขายตัวที่ upside ต่ำ มาซื้อตัวที่ upside สูงก็เป็นสิ่งที่น่าทำและควรทำ

หลังจากนั้น ผมคิดว่าการติดตามข่าวสงครามในแง่การพัฒนาความเมตตา กรุณาของเรา ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ติดตามเพื่อเพิ่มความกลัว ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับกิจการที่เราลงทุน

เอาจริงๆ นะ โดยส่วนตัวผมตามข่าวสงครามหรือข่าวแตงโมน้อยมาก เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่รู้สึกว่าเป็นประโยชน์จริงๆ เสียมากกว่า ช่วงนี้เลยรู้สึกจิตใจสงบมาก ทั้งๆ ที่โลกโกลาหลวุ่นวายไปหมด
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
ส.สลึง
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3778
ผู้ติดตาม: 75

Re: แชร์ไอเดีย บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

กำลังปรับพอร์ตเลย
สักพักรัสเซียก็ใช้กำลังบุกยูเครน

เงินสดแทบไม่เหลือ

ส่วนตัวติดตามข่าวสารบ้าง
(แบบพอมั่นใจว่าลุงปูจะไม่ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น)
แต่ก็ยังระมัดระวัง
ไม่ให้เสพอะไรมากไปจนเครียด

วันที่ลงแรงๆ ผมก็ได้แต่มอง
ว่าพอจะมีโอกาสดีๆ ผ่านมาบ้างไหม

สุดท้ายก็คงจะไม่ได้ทำอะไรอีก
เพราะตอนที่ซื้อก็คิดว่าพอร์ตประมาณนี้ดีพอแล้ว

และวันนี้ก็เช่นกัน วันที่ดัชนีติดลบ 45 จุด
หุ้นที่เพิ่งซื้อก็ติดลบ
แต่ก็ไม่มากพอที่คิดว่าจะเพิ่มน้ำหนัก
ไว้รอ xd มีเงินปันผลค่อยตัดสินใจว่าจะเอาเงินไปทำอะไร

ระหว่างนี้ก็แค่มองหาโอกาสไปเรื่อยๆ
จะมีสงครามไม่มีสงคราม
เราก็ยังลงทุน

เพราะเราเป็นนักลงทุน

หลักการเดิมๆ
ไม่มีอะไรพิเศษครับ

ส่วนการลดปอด
เพื่อไปแบ่งเงินไปถือเงินสด
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการถือหุ้นสักตัว
ที่มีชื่อว่า Cash

ซึ่งผมนึกไม่ออกเลยว่าผมทำแบบนั้น
ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ?

แต่ถ้าใครทำแล้ว รู้สึกสบายใจ
กินอิ่มนอนหลับ ก็ทำไปเถอะครับ
ไม่ได้ผิดอะไร

เพราะโดยส่วนตัว
ถ้าผมมีหุ้นตัวไหนแล้วทำให้ผมเครียด
ผมขายทิ้งทันที

โดยไม่ต้องรอว่าโลก...

กำลังเผชิญกับภาวะสงครามอยู่หรือเปล่า ?
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <⁠(⁠ ̄⁠︶⁠ ̄⁠)⁠> ...
A33410

Re: แชร์ไอเดีย บริหารความเสี่ยงยังไงในช่วงเกิดสงครามครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ตอนนี้ไม่ได้ลงหุ้น 100% ของพอร์ตมานานแล้ว

แต่ก่อนตอนลงทุนใหม่ๆ อายุยังน้อย เงินทุนเริ่มแรกก็ยังน้อย
ลงทุนไป ทำงานไป มีเงินมา ก็เอาไปเติมพอร์ตหุ้นตลอด มีเงินสดไม่ได้รู้สึกคัน ต้องเอาไปซื้อหุ้น ก็เลยลงทุนหุ้นเยอะหน่อย เกือบ100% มานาน

พอทำงานไปนานๆ หน้าที่ในการงาน มันกินเวลาดูหุ้น เรามีเวลาให้มันน้อยลง พอเรา ลงทุนหุ้นไปสัดส่วนเยอะๆ แต่ตอน ตลาดลงเยอะๆ ที เหมือนทำงานฟรีไปนานเลย 55
ตอนนั้นเครียด เลย เอาเงินไปซื้อ พันธบัตรบ้าง หุ้นกู้บ้าง และเริ่มถือเงินสดบ้าง ลดสัดส่วนพอร์ตหุ้นลงมา

เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำงานประจำแล้ว ทีแรกนึกว่า จะกลับไปถือหุ้น เกือบ 100% เหมือนเดิม แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกว่า สัดส่วนแบบนี้ ก็สบายใจดี เหมาะสมกับเรา กับวัยของเรา หุ้นกู้ พันธบัตร มันก็ค้างๆ ไว้แบบนั้น มีเงินสดค้างไว้ 10%-15% ขั้นต่ำ เอาไว้หาโอกาส
ช่วงไหน มีปรับพอร์ตขายหุ้นออก ไม่ต้องรีบร้อนเอาไปซื้อหุ้นตัวใหม่ จะซื้ออะไร รู้สึกซื้อยากกว่าเดิม มาก
ถ้าสัดส่วนเงินสดเพิ่มขึ้นไปกว่านั้น ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร สงสัยมันชินไปแล้ว รอ ให้เจอ โอกาสดีๆ ค่อยหวด เอาให้หนักๆเลย

คิดว่าส่วนตัวแล้วแบบนี้ ก็ไม่เครียดดี
ยกตัวอย่างเช่น พอเจอวิกฤติ โควิด ความรู้สึกมันต่างกันกับตอนที่เจอ ซับพาร์มเยอะ

ตอนซับพาร์ม หุ้นลงเยอะ เงินสดก็ไม่มี ไม่เหลือ เราอยากซื้อ ซื้อไม่ได้ มันหดหู่ รอเงินเดือนค่อยๆ เติมเข้าไปทีละนิดๆ
ตอนโควิด หุ้นลงแยะ เงินสดมี ใจนึงเราใจหายเมื่อเห็นพอร์ตมันแดงๆ
แต่อีกใจนึง มันคึกคัก เจอโอกาสอะไรเยอะแยะไปหมด แล้วจะเข้าใจประโยคที่ว่า คนบ้า sex ในฮาเรม เป็นแบบนี้ นี่เอง


อย่างไรก็ตาม ส่วนตัว ไม่ได้คิดว่า พอมีวิกฤติ ต้องรีบขายออกมาเป็นเงินสด แต่คิดว่าเราควรมีเงินสด สำรองไว้หน่อย ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ พอเวลาวิกฤติมา เราจะได้ใช้มันพลิกเป็นโอกาส ได้ มากกว่า

สุดท้ายเรื่องการจัดการพอร์ต ก็แล้วแต่จริตคนนะ ผมว่า ทำอะไรทำให้เราสบายใจ ทำแล้วนอนหลับสบาย แบบนั้น น่าจะถือว่าเหมาะกับเราแล้ว
โพสต์โพสต์