BITKUB

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

BITKUB

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Bitkub กางแผนขาย IPO เข้าเทรดตลาดหุ้นไทย-แนสแด็ก
26 ต.ค. 2564 เวลา 8:00 น.

“บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์“แต่งตัวเตรียมระดมทุน ขายไอพีโออีก 1-2 ปี เล็งเข้า "ตลาดหุ้นไทย-แนสแด็ก” เผย อยู่ระหว่างขอไลเซ่นส์บริหารกองทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างพิจารณาการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหุ้นแนสแด็กในสหรัฐ เนื่องจากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ระดมทุนของตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่ง ปัจจุบันบริษัทได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาช่วยเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

ทั้งนี้ คาดว่าจะพร้อมเข้าจดทะเบียนภายใน 1 ปีครึ่งถึง 2 ปีต่อจากนี้ ซึ่งบริษัทอาจเลือกระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือเข้าจดทะเบียนทั้งสองตลาด (Dual Listing)


“เหตุผลที่อยากจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะเราอยากเป็นตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเมืองไทย อยากทำให้ทุกคนภูมิใจว่าคนไทยก็เก่ง เราก็สร้างบริษัทเทคโนโลยีได้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นแค่คนใช้เทคโนโลยีเท่านั้น แต่เราจะเป็นผู้สร้างและผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้วย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ของไทยเองก็ยังไม่มีบริษัทเทคโนโลยี ดังนั้น เราจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรกที่เข้าระดมทุน”

บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อม ซึ่งภายใต้บริษัทโฮลดิ้งจะประกอบด้วย 4 บริษัทย่อย ได้แก่ 1. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จํากัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือกระดานซื้อขาย “บิทคับ” 2. บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จํากัด ผู้ให้บริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal)


3. บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ “บิทคับอะคาเดมี” แหล่งให้ความรู้ด้านบล็อกเชนเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัล 4. บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการเงินทุนสำหรับสตาร์ทอัพ รวมถึงเป็นผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) และกองทุนรวม (Mutual Fund) ที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะได้รับใบอนุญาต เม.ย.2565
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 2

โพสต์

SCB โดยบล.ไทยพาณิชย์ เข้าซื้อ Bitkub 51% 17,850 ล้านบาท
330841D3-9ACC-4DEA-9FC7-1186023BF065.jpeg
9F6E816E-B07C-4D10-98E4-BC9D16CE1062.jpeg
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 3

โพสต์

“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เดินหน้ายุทธศาสตร์ยานแม่ ประกาศส่ง SCBS เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน “บิทคับ ออนไลน์” พร้อมร่วมเป็นพันธมิตรวางรากฐานธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว เตรียมพร้อมสู่โลกการเงินอนาคต

“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยานแม่ มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว และวางรากฐานธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคต รับบริบทโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล่าสุดประกาศเข้าลงทุนใน “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd.) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท โดยมี “บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด” (SCBS) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รับหน้าที่ผลักดันและทำงานร่วมกับ “Bitkub” ในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการสร้างธุรกิจร่วมกัน รวมถึงสร้างระบบนิเวศทางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Ecosystem) ที่มี Digital Asset Exchange เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Ecosystem ในระดับประเทศให้มีความแข็งแกร่งและเติบโตต่อไป

ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหนึ่งในธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคตมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว การที่ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เข้าไปลงทุนใน “บิทคับ ออนไลน์” (Bitkub Online Co., Ltd.) ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” สามารถสร้างคุณค่าใหม่ที่สามารถเติบโตในระยะยาวไปกับโลกใหม่ได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ SCBX ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า”


ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน Bitkub “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ได้ขับเคลื่อนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ในการเข้าซื้อหุ้นสามัญและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) จาก “บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด” ในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท นอกจากการลงทุนแล้วยังมีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่าง ๆ ผ่านโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ร่วมกับ Bitkub ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว และวางรากฐานในการเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตต่อไป

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า “Bitkub ได้เดินมาถึงจุดที่เราได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Digital Economy ต่อจากนี้ Bitkub ไม่ได้เป็นเพียงสตาร์ทอัพอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อวงการการเงิน 3.0 ของประเทศไทย ในตอนนี้เราได้พา Bitkub มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก พวกเราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS”

“SCB เป็นสถาบันทางการเงินที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 114 ปี นอกจากนี้ยังมียุทธศาสตร์ในการที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทเป็น SCBX เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจประเภทใหม่ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ Bitkub และ กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ มีการแชร์เป้าหมาย Vision ที่เหมือนกันว่า Digital Asset มีความสำคัญต่อการพัฒนาของเศรษฐกิจต่อประเทศไทยในระยะยาว เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเราสามารถผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปสู่โลกอนาคต เป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคได้ และเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้าง National Champion ใหม่ให้กับประเทศไทย” นายจิรายุส กล่าวเสริม

“ในการร่วมมือกันครั้งนี้ การที่ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” โดยบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมด 51% ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ที่จำนวน 17,850 ล้านบาท ที่มูลค่าบริษัททั้งหมด 35,000 ล้านบาท จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งอันนี้เป็นการประทับตรา “ยูนิคอร์น” อีก 1 ตัวให้คนไทยทุก ๆ คนได้ภาคภูมิใจ” นายจิรายุส กล่าวทิ้งท้าย
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ด่วน SCB ซื้อกิจการ Bitkub 17,850 ล้านบาท

ข่าวร้อนล่าสุด ธนาคารไทยพาณิชย์ รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ว่าได้มีมติอนุมัติให้ SCBS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

ซึ่งถ้าคำนวณกลับก็จะได้ว่า บริษัท บิทคับ ออนไลน์ มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้จัดว่าเป็นยูนิคอร์นตัวใหม่ของประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

โดยในจดหมายยังบอกข้อมูลเพิ่มเติมว่า Bitkub เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2564 ที่ผ่านมา Bitkub มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อสำนักงาน ก.ล.ต. รวมประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 92

โดยในช่วง 9 เดือนดังกล่าว
Bitkub มีรายได้รวม 3,279 ล้านบาท
และกำไรสุทธิ 1,533 ล้านบาท

การเข้าลงทุนใน Bitkub ของ SCB ในครั้งนี้ เนื่องจากการเล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของธุรกิจสินทรัพย์ ดิจิทัล และยังช่วยให้ SCBS ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Bitkub มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัล ในประเทศไทย..
แนบไฟล์
78296AAC-1491-4161-B38D-AD14E0BFA7D1.jpeg

miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 5

โพสต์

น่าสนใจว่า การเติบโตอย่างไร หลังจาก scb เข้ามา
แล้วเจ้าของเดิมยังบริหารอยู่ไหม
Bitkub academy ยังให้ความรู้อยู่ไหมหนอ
รอติดตามดูต่อไป
:)
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 6

โพสต์

กรณีศึกษา ท๊อป จิรายุส มีทรัพย์สิน 8,000 ล้าน จาก Bitkub /โดย ลงทุนแมน

เด็กหนุ่มอายุ 31 ปี ที่เรามองไปทางไหนก็เจอแต่หน้าเขา
ถ้าฝรั่งมาเห็นอาจจะคิดว่า คนนี้คือดารา
เขาไม่ใช่ดารา แต่เขาเป็นพีอาร์ให้บริษัทตัวเองที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด

และในวันนี้น่าจะเป็นวันที่ต้องจดจำวันหนึ่งในช่วงชีวิตของเขา
เพราะธนาคารไทยพาณิชย์เพิ่งประกาศว่าจะซื้อกิจการที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
ที่ถูกประเมินมูลค่าทั้งบริษัทสูงถึง 35,000 ล้านบาท
กิจการนี้มีชื่อว่า Bitkub
และชื่อของเขาคือ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

เขาถือหุ้นอยู่ 23.87% ในบริษัทที่ SCB ซื้อ
ที่ชื่อว่า บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
แปลว่าเขาจะมีมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท 8,354 ล้านบาท (คุณจิรายุสเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด และที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ อีกหลายสิบคน)

SCB ประกาศซื้อหุ้น 51% ของบริษัท
แปลว่า เขาจะได้เงินสดจาก SCB ทันที 4,260 ล้านบาท
ส่วนหุ้นที่เหลือที่ยังไม่ได้ขาย ก็น่าจะทำให้เขามีบทบาทในบริษัทต่อไป
ซึ่งเราก็น่าจะเห็นหน้าเขาบนช่องทางต่าง ๆ ต่อไป (ถ้า SCB ยังเห็นว่าเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ที่ดี)

นอกจากนั้น ในวันนี้จะถือว่า Bitkub ได้เป็นยูนิคอร์นตัวใหม่ของประเทศไทย อย่างเป็นทางการ
และคุณ จิรายุส จะเป็นตัวอย่างที่พูดถึงให้คนรุ่นใหม่ของประเทศไทย
ว่าการเริ่มสร้างกิจการบางอย่างด้วยตัวเอง
มันก็สามารถสำเร็จได้อย่างรวดเร็วในไม่กี่ปี

ในปีนี้ ปีที่ทุกคนเจอสถานการณ์โควิด
ยังไม่จบปี บริษัทนี้สามารถทำกำไรได้ 1,533 ล้านบาท ในเวลา 9 เดือน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คูณแบบโปรเรตเต็มปี ก็คือ 2,044 ล้านบาท

SCB ซื้อในราคา 35,000 ล้านบาท ก็น่าจะให้ P/E Ratio หรือราคาต่อกำไรประมาณ 17 เท่า
ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพง เมื่อเทียบกับหุ้นเติบโตสูงหลายตัวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้

รู้ไหมว่า วันนี้ตอนบ่ายที่มีข่าวลือ ทีมลงทุนแมนยังพูดคุยกันเล่น ๆ ในทีมกันอยู่เลยว่า
Bitkub สามารถมีมูลค่าบริษัท 100,000 ล้านบาทได้ ถ้าเทียบกับตัวอื่นที่คล้าย ๆ กันในตลาดหลักทรัพย์

เช่น บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส มี P/E 50 เท่า มีมูลค่าบริษัท 64,815 ล้านบาท

ด้วยการเติบโตของ Bitkub การจะได้ P/E 50 เท่า ก็ไม่แปลก
เมื่อคูณกำไรทั้งปี กับ P/E 50 เท่าก็คือ 100,000 ล้านบาท..

แต่ไม่เป็นไร ในเคสนี้ถ้ามองในมุมมองคุณจิรายุส
การได้เงินสดมาไว้ในมือก่อน 4,260 ล้านบาท ก็ไม่แย่

และการได้ SCB มาเป็นพาร์ตเนอร์ที่จะช่วยทำอะไรให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
อะไรที่เคยติดขัด ก็อาจจะผ่านคล่องสบายบรื๋อเพราะมี SCB คอยผลักดัน
ถึงส่วนแบ่งในเค้กจะน้อยลง แต่มูลค่าสุดท้ายก็อาจเป็นเค้กก้อนใหญ่กว่าเดิมมาก

สำหรับในมุม SCB ก็น่าสนใจ..
เพราะในวันนี้เป็นวันที่ SCB ออกตัวอย่างเป็นทางการ และชัดเจนว่าจะรุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไร

ก่อนหน้านี้ก็เดาไปต่าง ๆ นานา ว่า SCB จะทำ Exchange หรือศูนย์ซื้อขายเองหรือไม่
สุดท้ายหงายไพ่ออกมา SCB ซื้อ Bitkub ซะเลย

และการถือหุ้น 51% นี่สำคัญ
ดีกว่า 50% ที่ร่วมมือกับ AIS

เพราะเมื่อมีการตัดสินใจอะไร SCB จะสามารถใช้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นใหญ่ในการเลือกทางเดินได้อย่างมั่นใจ

และการให้ SCBS หรือบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ เข้ามาถือหุ้นบิทคับ
นั่นก็หมายความว่า SCB มองว่า สินทรัพย์ดิจิทัล จะอยู่ในการดูแลเดียวกันกับบริษัทที่ดูแลเรื่องหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม นั่นก็คือหุ้น หรือ ตราสารหนี้ ต่าง ๆ

ก็ต้องคอยติดตามดูกัน
ไม่แน่ว่า ในอนาคต
เราจะได้เทรดหุ้น คริปโต พร้อมกันได้ ในแอปเดียว..

ยินดีด้วยกับ Bitkub และ SCB ครับ
-ลงทุนแมน
แนบไฟล์
42C7747A-D689-43EC-9E92-EC805952220A.jpeg

pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผ่าอาณาจักรธุรกิจ “BITKUB” ก่อนขึ้นยานแม่ “SCBX”

“SCBX” ยังระบุถึงข้อมูลที่เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51% ดังกล่าวด้วยว่า “BITKUB” เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 92%

กลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ-ไอที พลันที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) หรือ “SCBX” ประกาศลงทุน 1.78 หมื่นล้านบาทในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “BITKUB” ธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในเครือของบริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดย “SCBX” ถือหุ้น 51% ทำให้ “BITKUB” กลายเป็นส่วนหนึ่งในเครือ “ไทยพาณิชย์” ทันที

สำหรับธุรกิจ “BITKUB” ถูกก่อตั้งขึ้นโดย “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” นักธุรกิจวัยรุ่นชื่อดัง โดยธุรกิจ “BITKUB” แห่งนี้ มีการเติบโตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รายได้ก้าวกระโดดราว 1,000% ต่อปีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดีสำหรับ “ท๊อป-จิรายุส” ปัจจุบันแม้จะเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด แต่มิได้มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแห่งใดในเครือ “BITKUB” แต่มีบุคคลระดับ “คีย์แมน” คือ “ต้น-สกลกรย์ สระกวี” CEO ของ “BITKUB” กุมบังเหียน

โดย “ต้น-สกลกรย์” มีชื่อเสียงจากการเป็นนัดเทรด “คริปโต” (Crypto) อันดับต้น ๆ ของไทย เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม “Bitcoin Thai Club” และเป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand บริษัทเกมชื่อดังอีกด้วย

สำหรับอาณาจักรธุรกิจของ “BITKUB” มีอย่างน้อย 5 แห่ง (เท่าที่ตรวจสอบพบ) ได้แก่

1.บริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็น “บริษัทแม่” จดทะเบียนเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2561 ทุนปัจจุบัน 74,154,380 บาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมทางวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งมิได้ จัดประเภทไว้ในที่อื่น

ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี นายทวีทรัพย์ ราวรรณ์ นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ นายสุกฤษฏิ์ พุทธวิริยะ นายอธิชนัน พูลเกษ นายต่อภพ คงตาดำ เป็นกรรมการ

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 340,825,708 บาท มีหนี้สินรวม 21,005,296 บาท มีรายได้รวม 22,305,019 บาท รายจ่ายรวม 25,886,552 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 121,370 บาท เสียภาษีเงินได้ 683,460 บาท ขาดทุนสุทธิ 3,019,443 บาท

2.บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2561 ทุนปัจจุบัน 8 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ

ปรากฏชื่อ นายภาสกร ปานนอก นายธนเสฏฐ์ เสนีวงศ์ เป็นกรรมการ

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 12,600,396 บาท หนี้สินรวม 4,384,063 บาท รายได้รวม 14,699,243 บาท รายจ่ายรวม 12,298,762 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 10,362 บาท เสียภาษีเงินได้ 124,151 บาท กำไรสุทธิ 2,265,968 บาท

3.บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การจัดการประชุม

ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี เป็นกรรมการรายเดียว

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 2,019,903 บาท หนี้สินรวม 858,644 บาท มีรายได้รวม 1,470,122 บาท รายจ่ายรวม 1,308,863 บาท กำไรสุทธิ 161,259 บาท

4.บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก

ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี เป็นกรรมการรายเดียว

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 1 ล้านบาท หนี้สินรวม 87,170 บาท ยังไม่มีรายได้ รายจ่ายรวม 87,170 บาท ขาดทุนสุทธิ 87,170 บาท

5.บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “BITKUB” เจ้าของธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และถูก “SCBX” ซื้อหุ้นไป 51% พบว่า จดทะเบียนเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2559 ทุนปัจจุบัน 450 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การบริหารงานตลาดเงินและตลาดทุน

ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี นายทวีทรัพย์ ราวรรณ์ นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ เป็นกรรมการ

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 422,299,164 บาท หนี้สินรวม 59,522,220 บาท รายได้รวม 330,592,803 บาท รายจ่ายรวม 226,900,025 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 13,797 บาท เสียภาษีเงินได้ 23,759,024 บาท กำไรสุทธิ 79,919,957 บาท

ทั้งนี้ “SCBX” ยังระบุถึงข้อมูลที่เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51% ดังกล่าวด้วยว่า “BITKUB” เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 92% อีกด้วย

ส่วน “คีย์แมน” อย่าง “ต้น-สกลกรย์ สระกวี” ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2564 พบว่า เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 12 แห่ง ยังดำเนินกิจการอยู่ 8 แห่ง ได้แก่ บริษัท ซิลิก้าแคปปิตอลเทรดดิ้ง จำกัด บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัดบริษัท วัคคีรี วัลเลย์ จำกัด (ทำธุรกิจกิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ) บริษัท เพลย์พอยท์ ออนไลน์ จำกัด (ทำธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม) และบริษัท เพลย์อัลติเมท จำกัด (ทำธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต)

ทั้งหมดคือข้อมูลเท่าที่ตรวจสอบพบเกี่ยวกับ อาณาจักร “BITKUB” ก่อนที่จะพุ่งขึ้น ยานแม่ “SCBX” ด้วยมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท จนกลายเป็นที่ฮือฮาในแวดวง ตลาดเงินดิจิทัล อยู่ตอนนี้!
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ก่อน "BITKUB" ขึ้นยาน SCBX ย้อนดูเส้นทาง "ท๊อป-จิรายุส" ผ่านอะไรมาบ้าง?

เคียงข่าวดีลยักษ์ เมื่อ SCBX ทุ่ม 1.78 หมื่นล้านบาท ซื้อหุ้น "BITKUB" เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% ใน BITKUB Online ย้อนดูเส้นทาง "ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" ต้องผ่านอะไรมาบ้าง พร้อมถอดบทเรียน ประสบการณ์ ความล้มเหลว กว่าจะปลุกปั้น BITKUB ได้อย่างวันนี้

อีกหนึ่งดีลยักษ์แห่งโลกการเงินล่าสุด เมื่อ “SCB” หรือ "SCBX" ประกาศลงทุน 1.78 หมื่นล้านบาท ใน "BITKUB" โดยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) และส่งให้ BITKUB Online ขึ้นสู่ยานแม่ เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร SCBX จนเป็นข่าวใหญ่ในคืนวันที่ 2 พ.ย.64 นั้น

ชื่อของ “BITKUB” โดยการก่อตั้งของ "ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" จึงถูกจับตาอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าย้อนดูการเติบโตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานับจากก่อตั้ง ธุรกิจดาวรุ่งนี้มีรายได้ก้าวกระโดดราว 1,000% ต่อปี

หลังจากสตาร์ทรายได้ที่ ปีแรก (2561) 3 ล้านบาท พวกเขาสามารถปิด ปีที่ 2 (2562) ด้วยรายได้ 33 ล้านบาท และกว่า 300 ล้านบาทในปีที่ 3

ส่วนปีที่ 4 (2564) นั้น นับเฉพาะไตรมาสแรกก็ทะลุ 1,000 ล้านบาทแล้ว โดยจิรายุสเคยให้สัมภาษณ์คาดการณ์ไว้ว่าจะปิดตัวเลขได้ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ในช่วงสิ้นปี 2564

“ต่อจากนี้ Bitkub ไม่ได้เป็นเพียงสตาร์ทอัพอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อวงการการเงิน 3.0 ของประเทศไทย ในตอนนี้เราได้พา Bitkub มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก พวกเราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS” เขากล่าว

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภาแต่ท่ามกลางความสำเร็จระดับพุ่งทะยานของ “จิรายุส” ที่กว่าจะปลุกปั้น “บิทคับ” จนมาถึงจุดนี้ได้นั้น น้อยคนที่จะรู้ว่า ที่ผ่านมาเขาก็เคยล้ม เคยเจ๊งจากธุรกิจก่อนหน้ามาแล้ว

ความจริงผิดพลาดมาเยอะมาก ผมไม่ได้เก่ง แต่ทำสิ่งนี้มานาน กว่าทุกคนจะขี่จักรยานเป็น ต้องเคยล้ม ผมล้มมาแล้ว แต่ทุกคนไม่เห็นตอนผมล้ม

เขาเล่าถึงเส้นทางก่อนหน้าจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับ "คริปโตเคอเรนซี" สินทรัพย์ดิจิทัลที่สุดร้อนแรงในวันนี้

"ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จในฐานะ ซีอีโอ 'บิทคับ' เคยทำ 'บริษัท Coins.co.th' (คอยส์ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทบิทคอยน์บริษัทแรกๆ ของประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความผิดพลาดเยอะ เรียนรู้เยอะมากจาก 4 ปีของการทำบริษัทที่ 1

ต่อมาทำบริษัทที่ 2 ในวงการเดียวกันเป๊ะ ทำให้ไปไว ความจริงผิดพลาดมาเยอะมาก ผมไม่ได้เก่ง แต่ทำสิ่งนี้มานาน กว่าทุกคนจะขี่จักรยานเป็นต้องเคยล้ม ผมล้มมาแล้ว แต่ทุกคนไม่เห็นตอนผมล้ม"

และเผยถึงข้อบกพร่องที่ผ่านมา ทำให้เขาได้เรียนรู้ความผิดพลาด ปรับปรุง และไม่ผิดซ้ำ สิ่งเหล่านี้ จิรายุส เปรียบเสมือน "ดอกเบี้ยทบต้น" ในโลกการเงิน ที่มันจะออกดอกผลอย่างคุ้มค่าเมื่อเวลาผ่านไป

"คนที่ทำอะไรมานานๆ จะมีสิ่งที่เรียกว่า 'Compouding' ไม่ใช่แค่เงินที่ทบต้นได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความชำนาญ เน็ตเวิร์ก คอนเนคชั่น มาถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า นักลงทุนที่เชื่อมั่น รุ่นพี่ที่ช่วยเหลือเรา มันทบต้นได้เหมือนกัน"

ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคใหม่ที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่ EQ ไม่ใช่ IQ แต่คือ 'AQ' ที่มาจากคำว่า Adaptability Quotient คือความสามารถในการปรับตัว

นอกจากนี้ จิรายุส ยังเล่าว่า "ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคใหม่ที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่ EQ ไม่ใช่ IQ แต่คือ 'AQ' ที่มาจากคำว่า Adaptability Quotient คือความสามารถในการปรับตัว ความสามารถที่จะ unlearn สิ่งเก่า และ relearn สิ่งใหม่ ให้ได้ ไม่ยึดติดกับสิ่งเก่าๆ เพราะโลกของเราเปลี่ยนไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เช่น บริษัท บิทคับ คือบริษัทที่ใหม่มากๆ อยู่ในวงการที่ใหม่มาก และไม่เคยมีใครทำมาก่อน เราจะไม่ชอบคนที่ยึดติดกับการทำงานเดิมๆ ในอนาคต ซีอีโอที่เก่งไม่ใช่ซีอีโอที่รู้เยอะ แต่เป็นซีอีโอที่ถามคำถามที่ถูกต้อง จะเป็นซีอีโอที่เก่งในอนาคต"
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เศรษฐีใหม่ “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ปั้น "บิทคับ" ยูนิคอร์น เบอร์สองของไทย

“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ประกาศเข้าลงทุนใน “บิทคับ ออนไลน์” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ที่สำคัญ ดีลนี้ยังส่งผลให้ Bitkub ก้าวขึ้นสู่สถานะ “ยูนิคอร์น” เบอร์สองของไทยอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565

สำหรับดีลนี้ ในวงการลงทุนได้ประเมินมูลค่าทั้ง “Bitkub” ที่เขาถือหุ้น 23.87% ใน“บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” หมายความว่า “จิรายุส” จะมีมูลค่าหุ้นที่ถือในบริษัทราว 8,354 ล้านบาท จากบริษัทที่สูงถึง 35,000 ล้านบาท และเมื่อ SCBS ประกาศซื้อหุ้น 51% ของบริษัท นั่นหมายความว่า เขาจะได้เงินสดจาก SCBS ทันที 4,260 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าสัดส่วนหุ้นที่เหลือที่ยังไม่ได้ขายก็น่าจะทำให้เขายังมีบทบาทในบริษัทต่อไป และเป็น “คนสำคัญ” ที่ยังคงพัฒนาสิ่งใหม่ในโลกคริปโตเคอเรนซี่ ที่จะเป็น “สะพานเชื่อมโยงโลกเก่าสู่โลกอนาคต” ให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ให้คนไทยภาคภูมิใจ

เส้นทางของ "จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มาถึงวันนี้ได้ผลักดัน “Bitkub" มาถึงจุดที่เราได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Digital Economy และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก

“พวกเราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS”

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา "จิรายุส" มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มองเห็นโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปทางด้านไหน ในขณะที่ “Bitkub” มีความสามารถ มีทรัพยากรต่างๆ มีหลายปัจจัยที่พร้อมกว่าคนอื่น

"จิรายุส" มองว่า ในช่วงลมเปลี่ยนทิศเร็วมากในเวลานี้นับว่า เป็นจังหวะเวลาที่ดีอย่างมากของ “Bitkub” ซึ่งเป็นธุรกิจยุคใหม่ ขอเป็นตัวแทนเชื่อมโยงโลกเก่าไปสู่โลกใหม่ และยังคงยืนหยัดเป็นบริษัทคนไทย100% ในระยะ 10ปีข้างหน้าปกป้องวงการนี้ไม่ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ ภายใต้ดีลความร่วมมือกับ SCBS นั่นเอง

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (เกิด 8 ก.พ. 2533) อายุ 31 ปี เกิดที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ชื่อเล่นชื่อ "ท็อป" เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัทบิทคับ ศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี

จิรายุสก่อตั้ง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ในปี 2561 เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำธุรกิจที่ได้รับรองโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และและเป็นอนุกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า

ในปี 2562 เขาได้ร่วมเป็นกรรมการสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย ได้มีบทบาทในการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเงินสกุลดิจิทัลในประเทศไทย รวมถึงการจัดงานประชุมในด้านสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน ทั้งกับทางภาคเอกชน และภาครัฐร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เครือข่ายยูโรเปียนบล็อกเชนฮับ และองค์กรนานาชาติที่ไม่แสวงผลกำไรโดยเขาได้รับรางวัล 1 ใน 100 คนของโลกที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ร่วมกับ ปรมินทร์ อินโสม ผู้พัฒนา ZCoin

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ "Bitkub" บริษัทมีรายได้โตเกิน 1,000 % ต่อปี คาดว่าภายในสิ้นปี 2564 มีรายได้แตะ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2561มีรายได้เพียง 3 ล้านบาทและจะมีกำไรเติบโตก้าวกระโดดภายในสิ้นปีนี้คาดกำไรจะอยู่ที่2,000 ล้านบาท จากปีก่อนมี กำไร 100 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ของลูกค้าดูแลทั้งสิ้น 50,000ล้านบาท

ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) "Bitkub" มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. รวมประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 92% โดย Bitkub มีรายได้รวม 3,279 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,533 ล้านบาท (อ้างอิงจากงบการเงินยังไม่สอบทาน)

ทั้งนี้ "จิรายุส " มองเห็นอนาคต ในระยะ 3 -5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโลกของ “ไฟแนนซ์เชียลแฟลตฟอร์ม” บริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็นธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน10 ของธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในแง่มูลค่าธุรกิจและมูลค่าที่สร้างต่อเศรษฐกิจของประเทศ
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ร้องเพลงรออยู่ว่าจดทะเบียนไหม
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Tanukicho
Verified User
โพสต์: 216
ผู้ติดตาม: 1

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ลักษณะธุรกิจผมมองเป็นตลาดหลักทรัพย์มากกว่าครับ แต่คนส่วนใหญ่มองเป็นโบรกเกอร์ แต่ทำไมโบรกเกอร์ไม่สามารถเป็นตลาดได้ เพราะข้อกำหนดและกฏเกณฑ์ทางกฏหมาย

ทุกการมีอยู่ของกฏเกณฑ์แปลว่า มีผู้ได้ผลประโยชน์อยู่แล้ว อย่างหน่วยงานรัฐบาล

คริปโตอยู่เพื่อทำลายกฏเกณฑ์เดิม อย่างข้อกำหนดรัฐบาล กลต. SET BOT และธนาคารต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้รักษาสิทธิและอำนาจเงินของตนเอง

รัฐบาลควรอาศัยจังหวะนี้ เข้ามาดูแลและให้ความสำคัญกับคริปโต สร้างความน่าเชื่อถือ แต่คงเป็นไม่ได้ เพราะคริปโตมาเพื่อทำลายอำนาจรัฐเดิม

นอกจากเสียว่า รัฐจะเลือกใช้อำนาจนั้นแทน
“ กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่เมื่อขาย ”
Cr.Richdad
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 12

โพสต์

อยากพา Bitkub ไปเป็นยูนิคอร์นสัญชาติไทยแท้แห่งแรกของประเทศ และนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ได้ คือ สิ่งที่ ‘ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ ‘Bitkub’ เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ Career Fact ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครหลายๆ คนเชื่อว่าอาจไม่มาถึงในเร็ววัน

ก่อนจะถึงช่วงค่ำวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมาที่ ‘ท็อป’ ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนถึงการเปิดทางให้กลุ่ม SCBX โดยบริษัทหลักทรัพย์เอสซีบี ‘SCBS’ เข้ามาถือหุ้น 51% ของหนึ่งในบริษัทหลักในเครืออย่าง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ด้วยเงินลงทุนมูลค่า 17,850 ล้านบาท ทำให้มูลค่าประเมินของ บิทคับ ออนไลน์ฯ พุ่งสูงกว่า 35,000 ล้านบาทขึ้นอยู่ยูนิคอร์นตัวที่ 3 ของประเทศไทย

TODAY Bizview ชวนดูเส้นทางชีวิตของ ‘ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ ซีอีโอคนสำคัญของเครือ Bitkub ว่าเขาเดินมาไกลแค่ไหน ก่อนส่ง Bitkub ขึ้นเป็นยูนิคอร์นตัวที่ 3 ด้วยอายุเพียง 31 ปี
แนบไฟล์
CD20FCAC-EF2C-4160-8606-0FE3271325AB.jpeg

pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 13

โพสต์

phpBB [video]


กรณีศึกษา ท๊อป จิรายุส มีทรัพย์สิน 8,000 ล้าน

ดีลใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่าง SCB ที่ประกาศซื้อกิจการ BITKUB ทำให้คุณท๊อป จิรายุส หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ BITKUB มีทรัพย์สินกว่า 8,000 ล้านบาท ..

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง มาร่วมวิเคราะห์กันในลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 14

โพสต์

"BITKUB" บุกทันที! "ท๊อป จิรายุส" โพสต์ขยายทีม รับเพิ่ม 350 คนขึ้นยานแม่ SCBX

ส่ง "BITKUB" ขึ้นยานแม่ SCBX ไม่ทันไร "ท๊อป จิรายุส" พร้อมติดสปีดล่าสุด โพสต์เปิดรับทีมงานเพิ่ม 350 คนร่วมพัฒนาวงการบล็อกเชน

หลังประกาศดีลหมื่นล้านที่ SCBX ทุ่มเงิน 1.78 หมื่นล้านเข้าถือหุ้น "BITKUB" ผ่าน บ.ลูก SCBS จนสะเทือนวงการการเงินไทยได้แค่ 2 วัน ล่าสุดวันนี้ ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ก่อตั้ง และ CEO บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ก็โพสต์ประกาศรับสมัครงานบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ท๊อป จิรายุส - Topp Jirayut

โดยระบุว่า

หากใครอยากจะช่วยพัฒนาประเทศไทยไปข้างหน้าให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยี สมัครเข้ามาร่วมกันได้เลยครับ!

พร้อมกันนี้ก็แปะลิงค์สมัครงานมาไว้ด้วย คือ https://careers.bitkub.com/jobs

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปดูบนเว็บไซต์ดังกล่าว พบว่า มีการประกาศรับสมัครพนักงานให้กับทั้ง 5 บริษัทในเครือ BITKUB ไม่ว่าจะเป็น Bitkub Academy,
Bitkub Blockchain Security, Bitkub Blockchain Technology, Bitkub Capital Group Holdings และ Bitkub Online

มีให้เลือกทั้งแบบเป็นพนักงานประจำ สัญญาจ้าง พาร์ทไทม์ สัญญาแบบสองเดือน และฝึกงาน

โดยส่วนงานก็มีแทบครบทุกแผนก ไม่ว่าจะเป็นส่วนงานอะคาเดมี, การตลาด, พัฒนาธุรกิจ, การวางกลยุทธ์, สำนักประธาน, ออดิต, ส่วนงานดูแลลูกค้า, การเงินและบัญชี, การลงทุน, ไอทีซิเคียวริตี้, กฎหมาย, การตลาด, บริหารความเสี่ยง ฯลฯ ไปจนถึงส่วนงานสุดล้ำที่เรียกว่า moonshot หรือการคิดในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน!
แนบไฟล์
0D7CAA19-01A6-4CBB-AAF2-8C6F6B3F9E77.jpeg

pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 15

โพสต์

เอสซีบีเอกซ์ ‘เทคคอมพานีโลก’ ซื้อ‘บิทคับลุยสนามใหม่-ปลุกตลาดคริปโทฯคึก

บล.ไทยพาณิชย์ ยันดีลซื้อ“บิทคับ” สร้างความได้เปรียบในสนามใหม่ สมาคมคริปโตฯ ชี้ ปลุกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยคึกคัก จับตานวัตกรรมลงทุนใหม่แบบผสมผสาน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ชี้ ปี 65 แบงก์ไทยพาณิชย์ จ่อรับรู้กำไรบิทคับ 3% แนะนักลงทุนไม่ไล่ซื้อเหตุ หุ้นรับข่าวดีไปแล้ว

“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ประกาศเข้าลงทุนใน“บิทคับ ออนไลน์”ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ที่สำคัญ ดีลนี้ยังส่งผลให้Bitkubก้าวขึ้นสู่สถานะ “ยูนิคอร์น” บริษัทที่ 2 ของไทย ด้วยมูลค่าบริษัท 35,000 ล้านบาท

นายอารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ได้ส่งข้อความถึงพนักงานทุกคนเพื่อแจ้งถึงการทำดีลดังกล่าว ระบุว่า การลงทุนใน บิทคับ ออนไลน์ ครั้งนี้นับเป็นการลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ SCBX ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค สามารถแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลกได้อย่างทัดเทียม และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

“หนึ่งในสามธุรกิจหลักของบล.ไทยพาณิชย์ คือการให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการด้านการลงทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือของภูมิภาคอาเซียน ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนในประเภทของสินทรัพย์ที่หลากหลาย”

จ่อผุดโมเดลธุรกิจไตรมาส1/65

นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บิทคับออนไลน์ เปิดเผยว่า สำหรับแผนดำเนินงานหลังจากนี้ เพื่อไปสู่ระดับโลก ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะ อยู่ระหว่างทำแผนกับบล.ไทยพาณิชย์ ก่อน และต้องรอทำดีลเสร็จ แต่ยืนยันว่า ไม่ทิ้งธุรกิจนี้แน่นอน ซึ่งนักลงทุนจะได้เห็นพัฒนาการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่างๆผ่านโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ร่วมกับทางบล.ไทยพาณิชย์ช่วงไตรมาส1ปี 2565 ในเบื้องต้นบล.ไทยพาณิชย์ เข้ามาลงทุนในบิทคับออนไลน์ เท่านั้น

ตอนนี้ทาง บล.ไทยพาณิชย์ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในฝั่งผู้บริหารของบิทคับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหาร และให้โอกาสผู้บริหารบิทคับเต็มที่ในการดำเนินธุรกิจตามโรดแมพและเป้าหมายเดิมที่วางไว้ก่อนหน้านี้

ส่วนโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมใน“บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” จะลดลงตามราวครึ่งหนึ่งตามสัดส่วนการเข้ามาซื้อหุ้นของบล.ไทยพาณิชย์

โดยส่วนตัวถืออยู่สัดส่วน 5% จะลดลงมาอยู่ที่2.5% และในส่วนของนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารนั้นถืออยู่ราว20%กว่า จะลดลงมาอยู่ที่10% กว่าซึ่งเป็นการลดลงตามสัดส่วนการเข้ามาถือหุ้นของ บลไทยพาณิชย์

“ดีลนี้เราได้มีการพูดคุยกันมาในปีนี้มาระยะหนึ่งแล้ว การที่เราตัดสินใจเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจาก SCBX เป็นเพียงรายเดียวที่โดดลงมาทำเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง อีกทั้งยังเป็นบริษัทคนไทยและมีเป้าหมายเดียวกันกับเรา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวและวางรากฐานในการเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตต่อไป”

สมาคมคริปโตฯ ชี้ สินทรัพย์ดิจิทัลไทยโต

นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทย บิทแคสต์ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวว่า หลังจากดีล บล.ไทยพาณิชย์ ถือหุ้น บิทคับ ซึ่งเป็นดีลใหญ่ของวงการสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เชื่อว่าในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีการเปลี่ยนไป น่าจะเห็นนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ที่เป็นการผสมผสานระหว่างเทรดดิชั่นนอลไฟแนนซ์กับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น

ทั้งนี้จะทำให้นักลงทุนที่อยากลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล จากตอนนี้ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลหรือการลงทุนรูปแบบอื่นๆที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าไปผสมอยู่ในพอร์ตลงทุน เช่น กองทุน โดยผ่านคำแนะนำการลงทุนของโบรกเกอร์ ซึ่ง บล.ไทยพาณิชย์ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้จะเห็นว่า หลายโบรกเกอร์ ได้เข้ามาแล้วในรูปแบบพันธมิตรทางธุรกิจ

ส่วนการออกไปแข่งขันในระดับโลก มองว่า สำหรับโลกสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยพัฒนาการเทคโนโลยีบล็อกเชนทำให้การออกไปแข่งขันในระดับโลกเป็นเรื่องที่ง่าย แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การกำกับดูแลมากกว่า ดังนั้นหากบิทคับทำได้ก็จะเป็นการสร้างามาตรฐานให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

สำหรับหลังจากนี้ น่าจะยังเห็นอีกหลายดีลตามมาได้ เพราะตอนนี้ยังมีธุรกิจฟินเทคทางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล มีคุณภาพดีๆ อีกหลายแห่ง ที่มีโอกาสขยายธุรกิจ ทั้งการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ ระดมทุนหรือการควบรวมกิจการ (M&A) กับบริษัทต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ในอนาคตสินทรัพย์ดิจิทัลไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

โบรกชี้ 6 ข้อดีต่อ SCB

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดีลนี้ที่น่าสนใจมาก เมื่อพิจารณาจาก Valuation ที่ PER ประมาณ 18 เท่า และ P/S ที่ประมาณ 8 เท่า (อิงจากรายได้ และกำไร 9 เดือนของบิทคับ ที่ 3,279 ล้านบาท และ 1,533 ล้านบาท) ขณะที่มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 92%

ทั้งนี้ มองสาเหตุที่กลุ่มไทยพาณิชย์ ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นบิทคับจะส่งผลดี เนื่องจาก1.Bitkub เป็นผู้เล่นรายใหญ่ของการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ที่มีโอกาสเติบโตมากกว่านี้ หากมีการกำกับดูแลที่ดีที่ทำให้ผู้ลงทุนแพลตฟอร์มต่างประเทศเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มในประเทศ

2.ความสามารถในการทำกำไรที่สูง แม้ปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของ Bitkub ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาคิดเป็น 6.5% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นไทย (มูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อสำนักงานก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท เทียบกับปริมาณซื้อขายหุ้นไทยที่ 16.43 ล้านล้านบาท) แต่กำไรของ Bitkup สูงกว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดใกล้กัน และใกล้เคียงบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1-2 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1-2 (รวมกำไรธุรกิจวาณิชธนกิจ) แต่ถ้ามองเฉพาะกำไรจากค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ผลการดำเนินงานของ Bitkub จะสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ยันราคาซื้อ‘บิทคับ’ไม่แพง

3. ราคาซื้อขายไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโต รวมถึงโอกาสในการซื้อขายสินทรัพย์และธุรกรรมดิจิทัลใหม่ๆ 4.ฐานลูกค้าของ Bitkub มีความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าฐานลูกค้ารวมของธนาคารไทยพาณิชย์ทำให้ไม่ซ้อนทับกับฐานลูกค้าปัจจุบัน

5. ฐานลูกค้าของ Bitkub มีความสามารถในการพึ่งพาตัวเองสูง และต้องการการดูแลต่ำ หรือมีโมเดลธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม ซึ่งขยายตัวได้เร็ว และมีต้นทุนส่วนเพิ่มน้อย ขณะที่การขายสินทรัพย์ทางการเงินในปัจจุบันต้องผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ (RM) หรือที่ปรึกษาการลงทุน (IC) ที่มีต้นทุนสูงกว่า และการเพิ่มขนาดธุรกิจ (scale up) ทำได้ยากและช้ากว่า และ 6.การรุกเข้าสู่ธุรกิจที่มีเทคโนโลยีที่มีโอกาสเป็นคู่แข่งกับธนาคารและสถาบันการเงินในอนาคต จะทำให้ลดความเสี่ยงที่ธนาคารจะถูกดิสรัปลดลง

"สำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่อยากเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ มองว่าอาจต้องใช้โมเดลธุรกิจอื่นๆ เช่น การลงทุนทำเอง พราะตอนนี้แทบจะไม่มีตัวเลือกในตลาดนี้แล้ว ส่วนแนวโน้มธนาคารขนาดใหญ่มีแนวโน้มซื้อขาย PBV ที่สูงขึ้น แนวโน้มการดึงธุรกรรมที่เคยกังวลว่าจะหลุดจากระบบของธนาคารผ่านเทคโนโลยีแบบ กระจายจากศูนย์กลาง (decentralize) กลับเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศน์ของธนาคาร (re-centralize) จะช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจในอนาคต และเป็นบวกต่อ พรีเมียมการซื้อขายของหุ้นธนาคาร ซึ่งทำให้ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการปรับตัวจะซื้อขายในระดับที่มีส่วนลด (discounted) น้อยลง ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กที่ไม่มีศักยภาพที่จะปรับตัวหรือแข่งขัน จะเผชิญความยากลำบากในการแข่งขันสูงขึ้น”

ปีหน้าหนุนกำไรแบงก์ไทยพาณิชย์ 3%

นายกิจพณ ประเมินว่า บิทคับจะมีกำไรปีนี้ ระดับ 2,000 ล้านบาท และ เพิ่มเป็น 3,000-4,000 ล้านบาท ในปีหน้า ในส่วนนี้แบ่งกำไรกลับมาที่ บล.ไทยพาณิชย์ ราว 1,500-2,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 3% ของธนาคารไทยพาณิชย์ และดีลนี้ทำให้ลดความเสี่ยงที่ธนาคารจะถูกดิสรับลดลงน่าจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ในระยะข้างหน้า

สำหรับราคาหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ปรับขึ้นมารับข่าวดีไปมากแล้ว และดีลนี้จบต้นปีหน้า ไม่มีผลต่อกำไรของธนาคารไทยพาณิชย์ ในปีนี้ ดังนั้นเรายังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปไล่ซื้อ แต่สามารถหาจังหวะราคาปรับตัวลงทยอยเข้าสะสมได้ ในปีนี้ยังคงราคาเหมาะสม ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ 133 บาท สอดคล้องกับตลาดให้ไว้ที่ 130-140 บาท

ขณะเดียวกันการเข้าเป็นพันธมิตรของธนาคารไทยพาณิชย์ -Bitkub คาดระยะสั้นจะทำให้เกิดกระแสเก็งกำไรหุ้นที่มีธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ไม่ว่าจะเป็น BROOK (ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล), JTS (ทำเหมืองขุดเหรียญดิจิทัล) และอาจรวมถึงกลุ่มไอที อย่างไรก็ตามควรระวังผลประกอบการไตรมาส 3/64 อาจกระทบจากการส่งมอบงานไม่ได้เพราะติดสถานการณ์โควิด ดังนั้น นักลงทุนต้องศึกษาเรื่องที่มาของรายได้และความเสี่ยง ของแต่ละธุรกิจให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุน

ได้ฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม

ด้านบล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุ ประเมินดีลนี้เป็นบวกต่อไทยพาณิชย์ และจะเป็นตัวเร่งให้SCBX (SCB หลังปรับโครงสร้าง) เข้าถึงฐาน ลูกค้าในกลุ่ม Digital Asset Investor ได้เร็วขึ้น ผ่านกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ของ Bitkub ที่คาดมีจำนวนมากกว่า 2.4 ล้านบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะทำความเข้าใจและลงทุนกับ ผลิตภัณฑ์Digital Asset ใหม่ๆ มากกว่านักลงทุนทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้ SCBX สามารถนำเสนอ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาใน Platform ของ BITKUB ได้ในอนาคต ตามแผนขยายธุรกิจในกลุ่ม Fintechเช่น Defi, NFT, Token หรือการเป็น ICO Portal อีกทั้งมีโอกาสสร้าง Synergy บนฐาน ลูกค้าตลาดทุนเดิมของ SCBS ซึ่งมีลูกค้านักลงทุนกลุ่ม Digital User ที่ลงทุนผ่าน Application “Easy Invest” ราว 5 แสนราย ที่อาจจะเริ่มต้นสนใจหรือมาใช้ Platform ซื้อขาย Digital Asset ของ BITKUB มากขึ้น (เป็นทางเลือกหลักในการเข้าสู่ตลาด Digital Asset)

นอกจากนี้ SCBX ยัง มีธุรกิจในกลุ่ม Tech Support เช่น SCB10X, TECHX และ DATAX ที่จะเข้ามาช่วยเสริมระบบ การดำเนินงานให้Platform ของ BITKUB มีเสถียรภาพในการให้บริการมากขึ้น เพื่อรองรับฐาน ลูกค้าที่จะทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการที่แบงก์ใหญ่อย่าง SCB ซึ่งมีความพร้อมทั้งทีมงาน และเงินทุน เข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทที่เป็ นผู้น าของตลาด Digital Asset Exchange อย่าง BITKUB คาดจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น และทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการขยับขึ้น ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อบัญชีให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทยังคงแนะนำซื้อธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 154 บาท

ซิปแมกซ์ เชื่อแบงก์ต่างชาติสนใจซื้อกิจการ

นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด แพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวว่า บริษัทายังเปิดโอกาสขยายธุรกิจในรูปแบบ M&A กับแบงก์ต่างชาติ เพราะตอนนี้เราทำตลาดในหลายประเทศอยู่แล้ว ปัจจุบันมีแบงก์ต่างชาติ สนใจแต่เป็นการพูดคุยเท่านั้น โดยบริษัทต้องประเมินโอกาสทางธุรกิจในอนาคตก่อน

ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นการระดมทุนและสร้างความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรเพื่อนำพัฒนาธุรกิจให้เติบโตเป็นหลัก อย่างล่าสุด บริษัทได้รับเงินระดมทุนกับกรุงศรีฟินโนเวท และจะเห็นการเชื่อมโยงเรากับลูกค้ากรุงศรีในช่วงไตรมาส4ปีนี้อย่างชัดเจนเพื่อให้ลูกค้ากรุงศรีสามารถเปิดบัญชีลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่าย สะดวก และยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากดอกเบี้ยของธนาคารด้วย
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 16

โพสต์

สกู๊ปหน้า 1 : ‘เอสซีบีเอกซ์’ ซื้อ ‘บิทคับ’ ลุยโลกการเงิน ‘ดิจิทัล’
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 - 07:33 น.

ข่าวใหญ่ของวงการนักเทรดคริปโทเคอร์เรนซีในไทย ก็คงหนีไม่พ้นดีลยักษ์ใหญ่ของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) เข้าซื้อหุ้น บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 92% มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นอันดับ 1 ของประเทศ

โดย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 51% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท สร้างกระแส Talk of the Town ไปต่างๆ นานา หลายคนมองว่าเป็น win-win game หลายคนมองแบงก์ปรับตัวเข้าโหมดทรานส์ฟอร์ม หนีการดิสรัปชั่นของดิจิทัล และไม่ใช่ธุรกิจ Sunset อย่างแท้จริง

ก็ว่ากันไปตามแต่จะคิด ลองมาฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องถึงดีลประวัติศาสตร์ครั้งนี้ คิดเห็นเช่นไร

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเข้าไปลงทุนใน บิทคับ ออนไลน์ ว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหนึ่งในธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคตมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว บิทคับ ออนไลน์ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จะมาช่วยตอบโจทย์กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ สามารถสร้างคุณค่าใหม่ที่เติบโตในระยะยาวไปกับโลกใหม่ได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

ขณะที่ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า บิทคับได้เดินมาถึงจุดที่กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่าเศรษฐกิจดิจิทัล ต่อจากนี้บิทคับไม่ได้เป็นเพียงสตาร์ตอัพอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อวงการการเงิน 3.0 ของประเทศไทย

“ในตอนนี้เราได้พาบิทคับมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก และเพื่อที่จะนำบิทคับให้ก้าวไปสู่ระดับโลก พวกเราต้องการพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS”

สำหรับมุมมองของนักสังเกตการณ์และนักวิเคราะห์ อย่างบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ได้วิเคราะห์ว่า ดีลนี้เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ และจะเป็นตัวเร่งให้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์เข้าถึงฐานลูกค้าในกลุ่มนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลได้เร็วขึ้น ผ่านกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ของบิทคับที่มีจำนวนมากกว่า 2.4 ล้านบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะทำความเข้าใจและลงทุนกับผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ๆ มากกว่านักลงทุนทั่วไป

ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาในแพลตฟอร์มของบิทคับได้ในอนาคต ตามแผนขยายธุรกิจในกลุ่ม Fintech เช่น Defi, NFT, Token หรือการเป็น ICO Portal อีกทั้งมีโอกาสสร้าง Synergy บนฐานลูกค้าตลาดทุนเดิมของ SCBS ซึ่งมีลูกค้านักลงทุนกลุ่ม Digital User ที่ลงทุนผ่านแอพพลิเคชั่น Easy Invest ราว 5 แสนราย ที่อาจจะเริ่มต้นสนใจ หรือมาใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบิทคับมากขึ้น (เป็นทางเลือกหลักในการเข้าสู่ตลาด Digital Asset)

นอกจากนี้ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ยังมีธุรกิจในกลุ่ม Tech Support เช่น SCB10X, TECHX และ DATAX ที่จะเข้ามาช่วยเสริมระบบการดำเนินงานให้แพลตฟอร์มของบิทคับมีเสถียรภาพในการให้บริการมากขึ้น เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่จะทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อีกทั้งการที่ธนาคารมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีความพร้อมทั้งทีมงานและเงินทุนเข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำของตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคับ คาดว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น และทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการขยับขึ้นของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อบัญชีให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 ล้านบาท

ส่วน นายกานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital และผู้ก่อตั้งเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand มองว่า เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยเอสซีบีเอกซ์จะได้ประโยชน์หลังจากการปรับโครงสร้างยานแม่ใหม่ ที่มุ่งสู่การเงินดิจิทัลมากขึ้น ช่วยให้ได้ฐานลูกค้าจากบิทคับไป ส่วนทางบิทคับก็จะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าเอสซีบีเอกซ์ 16 ล้านคน รวมไปถึงปริมาณเงินฝากของธนาคารไทยพาณิชย์จำนวนมาก อาจจะมีการโยกย้ายมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น บิทคับก็จะได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น


ประโยชน์อีกทางที่สำคัญคือการช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับหน่วยงานกำกับดูแล อย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นได้

เชื่อว่าทางบิทคับได้มองอนาคตไปค่อนข้างไกลมากกว่าการยึดติดเรื่องความเป็นเจ้าของ ซึ่งถ้าจะนำบิทคับเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในอนาคตก็จะมีมูลค่าเริ่มต้นค่อนข้างสูงมาก ทำให้บริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัลเจ้าอื่นๆ อาจจะต้องปรับรูปแบบธุรกิจเหมือนกับบิทคับ ที่จะต้องให้ธนาคารใหญ่เข้ามาถือหุ้น เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้

ส่วนความกังวลว่าบิทคับไม่ได้เป็น Decentralize Finance (DeFi) หรือระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง นายกานต์นิธิระบุว่า บิทคับ หรือบริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ในไทยไม่ได้เป็น DeFi แต่แรกอยู่แล้ว แต่เป็น Centralized Finance (CeFi) หรือระบบการเงินที่มีตัวกลาง เพราะต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. มีการควบคุม การกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด อีกทั้งทางบิทคับพยายามจะทำอะไรใหม่ๆ เช่น Fan Tokens, Meme Tokens และ NFTs ก็มักจะเจออุปสรรคติดขัดเรื่องข้อบังคับ และกฎหมายจาก ก.ล.ต.
เป็นไปได้ว่าในอนาคตทางเอสซีบีเอกซ์จะดันบิทคับเข้าสู่การแข่งขันในตลาดเอเชีย เพราะภูมิภาคนี้ยังไม่มีใครมาทำการตลาดอย่างจริงจัง เป็นการสอดประสานวิสัยทัศน์ทั้งสองบริษัท ที่เตรียมเข้าสู่การแข่งขันโลกการเงินดิจิทัลในระดับภูมิภาคต่อไป

อนาคตจะเป็นยังไง ยังเป็นเรื่องอนาคตที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ แต่ ณ ปัจจุบันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและมองเห็น คือโลกแห่งอนาคตเริ่มใกล้เข้ามาและจับต้องได้มากขึ้นเรื่อยๆ
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 17

โพสต์

“จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ชี้ NFT เครื่องมือใหม่ “สร้างเงินในอากาศ”
06 พ.ย. 2564 เวลา 16:14 น.

"กฎของโลกธุรกิจ" ในอนาคตเปลี่ยนไปแล้ว หลังจาก “บล็อกเชน” ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ตเจนเนอร์เรชั่นที่มาดิสรับ “อินเทอร์เน็ต” เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการถ่ายโอนมูลค่าทุกอย่างรอบตัวเราเข้าไปในโลกดิจิทัล โดย "NFT" เป็นเครื่องมือสร้างเงินให้กับธุรกิจในโลกใหม่

สำหรับในโลกดิจิทัล ที่เรียกว่า "โลกยุคใหม่" หรือ “โทเคนไนเซชั่น” และ"โลกเสมือน" จะมาแน่นอนในอีก 10 ปีข้างหน้า และ ในโลกอนาคต “เศรษฐกิจกิจิทัล” ก็จะใหญ่กว่า เศรษฐกิจปัจจุบัน และเงินจะหมุนเร็วขึ้นมากกว่าปัจจุบันมาก

และเมื่ออินฟราสตักเตอร์เทคโนโลยีใหม่ ปกติจะเกิดขึ้นทุก 10 ปี เข้ามาทำให้ทุกวงการทุกอุตสาหกรรมเปลี่ยนเปลง แล้วตอนนี้ "ทุกอุตสาหกรรมเรียลเซ็กเตอร์จะต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง" นั้น

"จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า ด้วยกฎของธุรกิจที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกยุคใหม่

แน่นอนสิ่งที่เรียกว่า “NFT” หรือ Non-Fungible Token จะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากในโลกอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ที่ภาคธุรกิจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้



“NFT” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของ คริปโทเคอเรนซี่ประเภทหนึ่ง เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ไม่สามารถทำซ้ำหรือคัดลอกได้ ต่อให้มีการก๊อบปี้ไป แต่ต้นฉบับของจริงจะมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนโทเคน NFT ก็เป็นเหมือนโฉนด เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ชิ้นนี้

"จิรายุส" กล่าวว่า ส่วนตัวชื่นชอบ NFT มาก เนื่องจากมองว่า " NFT" เป็นเครื่องมือใหม่ที่ไม่ได้เป็นการไปแย่งเงินจากใคร แต่เป็นการ “สร้างเงินในอากาศ” เหมือนเราหยิบเพชรในอากาศ โดยมี NFT เป็นตัวขัดเพรชนั้นให้มีมูลค่าเกิดขึ้นออก โดยที่ไม่มีใครเสียเปรียบหรือได้เปรียบ ทุกฝ่าย WIN-WIN


ตัวอย่างที่เกิดขึ้นชัดเจนแล้วในปัจจุบัน อย่างเช่น บิทคับ ร่วมมือ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (Miss Universe Thailand 2021) เพื่อออก “NFT Card” โดยมองว่า NFT สามารถต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสิงคโปร์ที่ใช้ NFT ในลักษณะสัญญาซื้อขายบ้าน รถยนต์ รวมถึงตราสารเครดิต (ใบ L/C) ต่างๆ ที่เป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว (Unique Asset)

ขณะเดียวกันมองว่า NFT สามารถช่วยสร้างอาชีพใหม่ เช่น คนดูโฆษณา คนเล่นเกม หรือคนไปทำกิจกรรมต่างๆ หรือเกิด Use case NFT ในแง่ของการระดมทุนให้กับศิลปิน เช่น การปั้นศิลปินหน้าใหม่ ที่มีแววเป็นซุปตาร์ในอนาคต ก็สามารถออก NFT Card ซึ่งจะมีการเก็งกำไรในชื่อเสียงล่วงหน้า นี่คือจุดเปลี่ยของนวงการเอ็นเทอร์เทนเม้นต์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่อน

อีกทั้ง NFT ยังเข้ามาเปฏิวัติวงการเกม และในปีหน้า จะเป็นปีทองของ NFT เกม ที่สามารถซื้อขายเกมไอเทม ข้ามเซิฟเวอร์ ตอนนี้เกมทุกเจ้ามาติดต่อบิทคับ ดังนั้นเมื่อวงการเกม จะเป็นฟรอนเอ็นท์ สิ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้ต่อไป เช่น การเชื่อมกับวงการการเงิน ในระบบหลังบ้าน ก็สามารถปล่อยกู้กับผู้เล่นเกม

และล่าสุด เมตาเวิร์ส (Metaverse) กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างรวดเร็วในกลุ่มนักลงทุนและบริษัทต่าง ๆ หลังเฟซบุ๊กประกาศรีแบรนด์ ลุยสร้างเมตาเวิร์ส จริงๆ แล้วตอนนี้โลกเสมือนจริงเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การซื้อขายที่ดิน แมว หรือแม้แต่หิน ใครจะเชื่อว่า มูลค่าการซื้อขายหินในโลกเสมือนจริงมีมูลค่ากว่า 33 ล้านบาทหรือ มากกว่าในโลกปัจจุบันแล้ว ดังนั้นหลังจากโลกเสมือนจริงจะมาสร้างการเติบโตให้กับโลก 5-10 ปีข้างหน้า ด้วยอัตราการเติบโตยกกำลังสองทุกๆ สองปี

" ในโลกยุคอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า NFT จะมาสร้างธุรกิจใหม่ให้กับประเทศไทย ภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ส่วนตัวยอมรับตื่นเต้นมากกับ NFT ที่จะเข้ามาปฏิวัติในหลากหลายวงการ หรือแม้แต่ธุรกิจที่เป็นเรียลเซ็กเตอร์ "

สิ่งที่ทุกคนต้องเจอ คือ “โลกดิจิทัล” จะมาเชื่อมกับ “ โลกเรียลเซ็กเตอร์” และ คนเราจะมีสองชีวิต ใน “โลกความเป็นจริง” และ “โลกเสมือน” สิ่งที่กล่าวมานั้นจะเกิดขึ้นทั้งหมด “ ไม่ใช่จิตนาการ ตอนนี้เริ่มเกิดขึ้นแล้วและการเกิดจะเร็วขึ้นอีกหลังจากนี้ด้วย NFT
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 18

โพสต์

“ปรมินทร์ อินโสม” ชี้อนาคต “คริปโทฯ” สิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องมี
06 พ.ย. 2564 เวลา 14:24 น.

เวลานี้เป็นช่วงเวลา “การรีบาลานซ์” จะเห็นได้ว่าทุกคนพยายามโยกย้ายสินทรัพย์หลากหลายเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รองรับการมาของเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต โดยหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเรื่อยในปีนี้ คือ “คริปโทเคอเรนซี่”

ปัจจุบันมูลค่าตลาดคริปโทฯ เติบโตอย่างมาก และมาพร้อมกับ ราคาบิตคอยน์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงตั้งแต่ต้นปีนี้ และปัจจุบันยัง "All Time High" เป็นประวิติศาตร์ ที่ 60,000 ดอลลาร์ แม้จะมีช่วงปรับฐานลง แต่เมื่อมีพัฒนาการใหม่ของตลาดคริปโท ไม่ว่าจะเป็น Defi NFT CBDC หรือล่าสุด Metaverse ทำให้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ"All Time High" อีกครั้งในปัจจุบันอยู่ที่ 61,000 -62,000 ดอลลลาร์ และมองก้าวข้ามโลกการเก็งกำไร ไปสู่โลกอนาคตที่ทุกคนต้องมีคริปโทฯกันแล้ว

แล้วทำไมในโลกอนาคต “คริปโทฯ” จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องมี หนึ่งในกูรูวงการคริปโทฯ “ปรมินทร์ อินโสม” ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัทสตางค์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการเว็บเทรด Satang Pro ฉายภาพให้เห็นชัดถึง “10 ประเด็น” ที่สนับสนุนการมาของคริปฯ ที่ทุกคนเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะพลาดโอกาสในโลกอนาคต


"10 ประเด็น” คริปโทฯ สิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องในอนาคต ดังนี้


1. ตลาดคริปโทฯ มีฟันไดเมนต์ทัลดีกว่ามากเมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลต่อราคาบิทคอยน์จะมีความผันผวนลดลง ปัจจุบันเริ่มสะท้อนได้จากแม้จะมีข่าวใหญ่ๆ ก็ไม่มีผลกระทบเหมือนในอดีต ยกเว้นข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลแต่ละประเทศ อย่างเช่นการแบนคริปโทฯ ของรัฐบาลจีน ปัจจุบันยังส่งผลต่อราคาบิทคอยน์ แต่ผลกระทบต่อราคาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ ซึ่งตลาดรับรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
2. สเตรเบิ้ลคอยน์ (Stable coins) สามารถมีบทบาทสำคัญ ทำให้ตลาดคริปโทฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ถ้าหาก เทเทอร์ (tether) ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพราะสามารถมาแทนที่ CBDC ได้นั้น ก็อาจดึงราคาคริปโทฯ ทั้งตลาดลดลงได้
3. การแข่งขันของสัญญาอัจริยะ (Smart contact) ที่เพิ่มขึ้น เป็นเทรนด์ที่รออยู่ข้างหน้า
4. Meme Tokens หรือ Tokens กับชมชุน แม้จะมีพื้นฐานมาจากความสนุกที่ทุกคนชื่นชอบ แต่ก็มีชุมชนในสังคมนี้เป็นจำนวนมาก แต่ทุกวันนี้ของเหรียฯก็เพิ่มความสนุกและใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ต้องติดตามตต่อว่าราคาจะไปต่อถึงจุดไหน
5. สหรัฐ กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อตลาดคริปโทฯ มากที่สุด โดยเฉพาะสินทรัพย์เข้ารหัสแบบรวมศูนย์ หรือ คริปโทฯไมเนอร์



6. ฟิวเจอร์และออฟชั่น จะเป็นตลาดหลักของนักลงทุนระดับมืออาชีพทั่วโลก
7. Decentralized Exchange (DEX) ตลาดการซื้อขายที่ไร้ตัวกลาง จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
8. เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคริปโทฯ จะเป็นประเด็นของโลกในอนาคต โดยทุกคนจะต้องนำ คริปโทฯ เข้าไปมีส่วนร่วม
9. เมทาเวิร์ส (Metaverse) หรือเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่จะรวม “บล็อกเชนและคริปฯ” ทุกอย่างเข้าด้วยกัน และทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนเข้าถึงมากขึ้น ในตอนนี้ “เมทาเวิร์ส” ทำให้ทุกคนมองข้ามการเก็งกำไรบิทคอยน์หรือคริปโตฯไปแล้ว

10.ทางด้านข้อกฎหมายและการกำกับ ยังมีความจำเป็นที่ต้องพิจารณา เพื่อเป็นกลไกปกป้องตลาดคริปโทฯ และนักลงทุนด้วย แม้ว่าในเรื่องของเทคโนโลยีจริงๆจะทำให้ตลาดคริปโทฯ ไปได้ไกลมากแล้วก็ตาม

ขณะที่ คริปโทฯ ในยุคต่อจากนี้ หน้าตาจะเป็นอย่างไรนั้น

“ปรมินทร์” กล่าวว่า ในภาวะที่ “เงินเฟ้อ”มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต ทุกคนจะรีบาลานซ์พอร์ตลงทุน เริ่มกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น ทอง และบิทคอยน์ มากขึ้นอย่างในตอนนี้ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ชัดว่า ถ้าเงินเฟ้อสูง จะมีผลดีต่อราคาบิทคอยน์ หรือไม่ เพราะอาจทำให้มีแรงเทขายออกมาได้เหมือน


แต่ “คน” ที่เข้ามาในตลาดคริปโทฯ ทุกวันนี้ มีความเป็นมืออาชีพหรือเป็นนักลงทุนระยะยาวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่างจากเมื่อ4 ปีหรือ 8 ปีก่อนที่ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนแบบเก็งกำไร และราคาบิทคอยน์มีความผันผวนลดลงเมื่อมูลค่าตลาดคริปโทฯ ใหญ่ขึ้น จากปัจจุบัน 2.6 พันล้านดอลลาร์

ประกอบกับ “ความก้าวหน้าเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว” ไม่ว่าจะเป็น DeFi หรือ Decentralized Finance (Defi) ที่เกิดจากการรวมตัวของคอมมูนิตี้ Ethereum Developer ในโปรเจกต์ต่าง ๆ , Non-Fungible Token (NFT) คือคริปโทฯ ประเภทหนึ่งที่แสดงความเป็น “เจ้าของ” ของสินทรัพย์ เช่น เกมหรือผลงานศิลปิน และล่าสุดเมื่อ เมทาเวิร์ส (Metaverse) หรือเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะหลอมหลวมทุกอย่างเข้าด้วยกันบนเทคโลยีบล็อกเชน และทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน


หรือ แม้แต่ Central Bank Digital Currency (CBDC ) เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ สามารถนำมาชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เช่นเดียวกับสกุลเงิน Fiat หรือเงินกระดาษปกติ ทุกประเทศพูดถึงการเป็น CBDC อยากจะออกคริปโทฯ ของตัวเอง ให้การยอมรับเทคโนโลยีบ็อกชน และยอมรับการมาของบิทคอยน์ รู้ว่าปรับตัวเพื่อที่จะไม่พลาดโอกาสและเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเพื่อรองรับในการพัฒนาประเท รวมถึง Decentralized Exchange (DEX) ส่วนตัวเชื่อว่า ตลาดการซื้อขายที่ไร้ตัวกลาง จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์ SCBX ซื้อบิทคับ “คุ้มค่า” แต่มาพร้อมความเสี่ยง
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 - 12:53 น.

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ข้อมูลจากสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

การประกาศเข้าซื้อหุ้นบิทคับออนไลน์จำนวน 51% ด้วยเงิน 17,850 ล้านบาท ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCBX เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยประกาศปรับโครงสร้างจากการเป็นธนาคารให้เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินเมื่อเร็วๆ นี้

เหตุผลเพราะว่านั่นเป็นเครื่องแสดงว่ากลุ่ม SCBX “เอาจริง” กับการมุ่งหน้าไปสู่ “โลกใหม่” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วซึ่งในที่สุดอาจจะ Disrupt หรือทำลายธนาคาร “แบบเก่า” ได้ นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่บิทคับออนไลน์ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ตัวใหม่ เพราะมูลค่าของบริษัทจะเท่ากับ 35,000 ล้านบาทหรือมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ก่อนที่จะวิเคราะห์หรือวิจารณ์ดีลนี้ ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจกับ “โลกใหม่” ที่โลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สินต่างๆ ในโลกนี้กำลัง “ถูกทำให้เป็นดิจิทัล” อย่างรวดเร็วหรือก็คือการทำให้เป็น “โลกเสมือน” คู่ไปกับ “โลกจริง” อย่างที่มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก เพิ่งจะประกาศเป็นวิสัยทัศน์ของเฟซบุ๊กว่าจะนำบริษัทเข้าสู่โลกของ “Metaverse” หรือ “อาณาจักรของโลกเสมือน” พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Meta”

แต่ผมเองคงไม่ไปไกลถึงขนาดว่าโลกจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่จะพูดเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องเพียงบางส่วนนั่นก็คือเรื่องของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” และตลาดที่ซื้อขายสินทรัพย์เหล่านั้นซึ่งหนึ่งในตลาดนั้นก็คือบริษัทบิทคับออนไลน์ที่ SCBX ประกาศซื้อ

บล็อกเชน จุดกำเนิด ‘ทรัพย์สินดิจิทัล’

เริ่มตั้งแต่เทคโนโลยี “Block Chain” เกิดขึ้นในโลก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ “ทรัพย์สินจริง” ที่สามารถจับต้องได้ของโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เฉพาะอย่างยิ่งมันถูกแปลงให้กลายเป็น “ทรัพย์สินดิจิทัล” หรือ “ทรัพย์สินเสมือน” ที่สามารถกำหนดตัวตนชัดเจน ไม่มีใครสามารถปลอมแปลงได้ มันถูกเก็บรักษาไว้ได้โดยไม่มีการเสื่อมเสียและแทบไม่มีค่าใช้จ่ายในคอมพิวเตอร์หรือใน “คลาวด์” สามารถซื้อขายและโอนได้โดยที่ไม่ต้องมีตัวกลาง ไม่ต้องมีการจดทะเบียนอะไรกับใครทั้งนั้น มันเป็น “ทรัพย์สินในฝันที่มีค่า” โดยเฉพาะใน “โลกใหม่” ว่าที่จริงตอนนี้ก็เริ่มทำกันมากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่แล้ว

ยักษ์ธุรกิจโลก เคลื่อนตัวสู่ ‘เมตาเวอร์ส’

ตัวอย่างเช่น เราสามารถเอาคอนโดทั้งหลังแปลงเป็น “เหรียญดิจิทัล” แล้วเอาไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เอารูปวาดของศิลปินไปทำเป็นดิจิทัลและสามารถจะขายได้ และเมื่อ 2-3 วันนี้เองก็มีข่าวว่าบริษัทไนกี้เอายี่ห้อรองเท้าของตนเองไป “จดทะเบียน” ไว้ในเมตาเวอร์สแล้ว เพราะอาจจะเกรงว่าในอนาคตถ้าคนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนมากๆ และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีรองเท้าใส่ ไนกี้จะได้ขาย “รองเท้าไนกี้เสมือน” ได้เป็นกอบเป็นกำ

นอกจากนั้น เฟซบุ๊กหรือเมตาเองก็ประกาศขาย “ที่ดินเสมือน” กันแล้วแม้ว่าโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเราจะต้องมีที่ดินถ้าในโลกเสมือนนั้นเราไม่ได้มีตัวตนจริงและเราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องประกาศว่าที่ดินนั้นมียี่ห้ออะไรหรืออยู่ที่ไหนเพื่อที่จะอวดกับคนอื่น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งสินค้าแฟชั่นหรู เช่น แอร์เมสหรือแชนเนลก็อาจจะต้องเข้ามา “จดทะเบียน” ในโลกเสมือนเหมือนกันถ้าไม่อยาก “ตกรถ” ที่มุ่งไปสู่เมตาเวอร์สที่ใหญ่โตอาจจะพอ ๆ กับโลกจริงในอนาคต

เทคโนโลยีบล็อกเชนเองยังสามารถ “สร้างทรัพย์สินดิจิทัล” ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีของจริงเป็นฐาน และนั่นทำให้คนที่เชี่ยวชาญสามารถสร้างทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในโลกจริง เช่น เงินหรือทองหรือที่ดินอย่างที่เฟซบุ๊กทำขึ้นมา ว่าที่จริงมันก็เป็นเรื่องจำเป็นอยู่แล้วที่การค้าขายทรัพย์สินในโลกเสมือนจะต้องมีการจ่ายเงินรับเงิน ดังนั้น “เงินเสมือน” จึงถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก

บิทคอยน์ ยุคแรก “เงินเสมือน”

เริ่มจากบิทคอยน์ที่เป็นผู้นำซึ่งในยุคแรกที่คนในโลกเสมือนยังมีน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีคนยอมรับ เรื่องราวจึงเป็นว่าคนที่มีเงินบิทคอยน์หรือเป็นคนสร้างหรือผลิตมันขึ้นมาเอง ได้เอาไปแลกซื้อพิซซ่า 2 ถาดในราคา 10,000 บิทคอยน์ ซึ่งคิดแล้ว 1 บิทคอยน์ในโลกเสมือนเท่ากับประมาณ 10 สตางค์ของไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไปแค่ 12 ปี จนถึงวันนี้ที่คนเชื่อว่าความต้องการบิทคอยน์จะสูงมากมหาศาลในโลกเสมือน จึงทำให้ 1 บิทคอยน์สามารถแลกเป็นเงินได้ถึง 2 ล้านบาท และคนที่ซื้อพิซซ่าถาดนั้นได้จ่ายเงินไปถึง 20,000 ล้านบาท

การสร้างหรือผลิตเงินหรือ “พิมพ์เงิน” เองในโลกเสมือนนั้น กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด นอกจากเงินแล้วก็ยังมี “เหรียญ” สารพัดที่จะนำมาใช้หรือนำมาขายในตลาด เมื่อเร็ว ๆ นี้หนังเรื่อง “Squid Game” ซึ่งดังมากในเน็ตฟลิกก็ถูกนำมาทำเป็นเหรียญเพื่อล่อให้คนมาซื้อแล้วสุดท้ายก็ “ถูกเชิด” หนีโดยการปิดโปรแกรมทิ้งได้เงินไปประมาณ 100 ล้านบาท และนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย

‘โลกเสมือน’ บนความเชื่อ-ความโลภ

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในแง่ของกฎหมายเองก็คงทำอะไรได้ยากเหมือนกัน เพราะนี่คือ “โลกเสมือน” ที่คนจำนวนมากเข้ามาด้วย “ความเชื่อ” และ “ความโลภ” โดยอาจจะยังไม่ตระหนักว่าอะไรคือ “กฎเกณฑ์” ที่ใช้บังคับการกระทำหรือข้อตกลงในโลกเสมือน

มูลค่าที่ “แท้จริง” หรือ “ค่าที่ควรจะเป็น” ของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ในสายตาของ VI อย่างผมก็คือ ถ้ามันเป็นสินทรัพย์ที่แปลงหรืออิงอยู่กับทรัพย์สินจริง เช่น คอนโดหรือธุรกิจบางอย่างที่มีรายได้มีกำไรและจ่ายปันผลก็เป็นเรื่องง่าย นั่นคือเราก็ไปวิเคราะห์สิ่งที่มันเป็นตัวแทน

แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ถูกสร้างขึ้นมาในโลกเสมือน แม้ว่ามันจะสามารถนำมาใช้ในโลกจริงได้ แต่โดยตัวมันเองไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือมีกำไร เช่น เงินดิจิทัล แบบนี้การประเมินมูลค่าก็ทำได้ยากมากถึงทำไม่ได้ ในกรณีแบบนี้ผมก็จะไม่สนใจเลย เพราะถ้าพยายามทำก็จะกลายเป็นการเก็งกำไรหรือการพนันที่โอกาสแพ้ชนะมีเท่ากันและราคามักขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านจิตวิทยามวลชนที่คาดการณ์ยากมาก และอะไรที่ไม่รู้ ผมก็มักจะหลีกเลี่ยง

SCBX ซื้อบิทคับ คุ้มค่าแต่มาพร้อมความเสี่ยง

กลับมาที่บิทคับซึ่งก็คือแพลตฟอร์มหรือตลาดหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์นั้น จริง ๆ ก็คือธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายแนวเดียวกับโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์

จุดเด่นก็คือ บริษัทเป็นผู้นำและแทบจะ Dominate หรือครอบงำการซื้อขายเงินดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งเติบโตขึ้นเป็นจรวดในเวลาแค่ 1-2 ปี อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นลงแรงมากของบิทคอยน์ คนไทยรุ่นใหม่จำนวนอาจจะเป็นล้านคนต่างก็เข้ามาเล่นในสินทรัพย์นี้ ซึ่งส่งผลให้บิทคับมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ในช่วง 9 เดือนของปีนี้คิดเป็นเงินระดับ 1 ล้านล้านบาท มีรายได้ 3-4 พันล้านบาท และกำไรประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นผลประกอบการ “สุดยอด” และอาจจะคุ้มค่าเงินที่ SCBX จ่าย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากพอๆ กัน

ความเสี่ยงข้อแรกก็คือ ตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อๆ ไปอาจจะไม่บูมและถ้า “ดับ” ตามราคาของบิทคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก

ข้อที่สองซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีโอกาสเกิดค่อนข้างมากก็คือ “คู่แข่ง” ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่งและอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากบิทคับที่เป็นรายแรก ๆ เริ่มนำไปก่อน

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แบงก์ของไทยหลายๆ แห่งก็คงไม่เฉยรอให้ SCBX ทำอยู่ฝ่ายเดียวและอาจจะมาแย่งลูกค้าของตนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องรีบเข้ามาทำบ้างก่อนที่จะ “สายเกินไป” และเนื่องจากธุรกิจให้บริการแบบนี้มักจะไม่มี Barrier to Entry และมักไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนนั่นคือ ไม่มี Network Effect หรือ Exit Cost ที่จะดึงลูกค้ารายใหม่หรือป้องกันลูกค้ารายเดิมให้อยู่กับบริษัทกรณีที่คู่แข่งเสนอเงื่อนไข เช่น ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า ผลก็คือ ดีลนี้อาจจะไม่ได้คุ้มค่าในแง่การลงทุน

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า SCBX คงได้อย่างอื่นโดยเฉพาะชื่อเสียงที่จะดึงดูดให้ธุรกิจหรือคนในแวดวงดิจิทัลให้เข้ามาเป็นตัวเลือกแรกเวลาอยากทำดีล ซึ่งแค่นี้ก็อาจจะ “คุ้มแล้ว” สำหรับ SCBX
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 20

โพสต์

มาสเตอร์การ์ดจับมือบริษัทสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก
เปิดตัวบัตรชำระเงินคริปโตใบแรกในภูมิภาค

https://docs.google.com/document/d/1Y_i ... KTilc/edit
:)
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 21

โพสต์

Bitkub เร่งเกมตลาดขาขึ้น ผนึก SCB โต 10 เท่า
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 - 10:44 น.

“Bitkub” เร่งเกมขยายฐานลูกค้าเจาะตลาดแมสย้ำเทรนด์ขาขึ้นสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งเป้ารักษาสปีดโตต่อ 10 เท่า ทั้งรายได้-ฐานลูกค้า หลังปิดดีล “เอสซีบี” กระหึ่มวงการพิสูจน์ฝีมือสตาร์ตอัพไทยไม่แพ้ใครในโลกจุดพลุลงทุน สร้างโอกาสใหม่ พร้อมเดินหน้าผนึกพันธมิตรต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจ เชื่อมโลกการเงินดิจิทัลกับธุรกิจ “อีสปอร์ต” พร้อมอัดฉีดเงินปั้น “โกลบอลคอมปะนี” ดึง “เทคทาเลนต์ทั้งไทยและเทศ” สานฝัน “คริปโทอีโคโนมิก”

นายสกลกรย์ สระกวี หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์บิทคับ (Bitkub) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเข้ามาร่วมลงทุนในบิทคับของกลุ่มเอสซีบี (กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์) เป็นบิ๊กมูฟที่สำคัญ เป็นความหวังของประเทศไทยที่จะทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ อีกมาก เชื่อว่าจะทำให้ทุกวงการสั่นสะเทือนในการร่วมกันสร้างอีโคซิสเต็มนี้ไปด้วยกัน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้มากนักจนกว่าดีลจะเสร็จเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายและแผนธุรกิจในปีหน้าของบริษัทยังมุ่งไปยังการสร้างการเติบโตให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทย โดยรักษาการเติบโตกว่า 10 เท่า ทั้งในแง่จำนวนลูกค้า และรายได้ไว้ให้ได้ต่อไป ปัจจุบันมีนักลงทุนเปิดบัญชีกับบิทคับราว 3 ล้านบัญชีแล้ว เพิ่มขึ้น 1,000% จากเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ที่มี 1 ล้านบัญชี

ขยายฐานเจาะตลาดแมส

“ปลายปีที่แล้วราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 3 แสนกว่าบาท ตอนนี้พุ่งไปกว่า 2 ล้านบาทแล้ว ขณะที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 2.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กว่า 43.27% มาจากบิตคอยน์ (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย 2564) และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในตลาดโลกและในไทย เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม ถามว่าจะโตไปถึงไหนคงไม่สามารถบอกได้ แต่เชื่อว่าจะโตขึ้นอีก ที่ผ่านมาเราเองก็โตได้ปีละ 1,000% ปีต่อไปอาจยากขึ้น แต่อย่างน้อย ๆ ปีละ 300-500% เชื่อว่าน่าจะได้ ซึ่งจะโชว์ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเทรนด์ที่กำลังมาจริง”

การสร้างการเติบโตทำได้โดยการขยายฐานไปยังกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้น ไม่จำกัดแต่ในกลุ่มคนที่มีความรู้ด้านไอที เพราะเมื่อฐานลูกค้ากว้างขึ้น ตลาดก็จะใหญ่ขึ้นตามมา ทำให้มูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นตามไปด้วย

“เดิมการเทรดคริปโทจะอยู่ในคนกลุ่มเนิร์ด กลุ่มไอทีเท่านั้น แต่ความตั้งใจของเราคือทำให้คนทั่วไปเข้ามา มองว่านี่คือ โอกาส เราทำให้คนไทยซื้อบิตคอยน์ในราคาที่ต่ำ ทุกคนจะจดจำบิทคับได้เหมือนไลน์ เราก็คาดหวังว่า ในอนาคตแม้จะมีรายใหม่ ๆ เข้ามามาก อย่างน้อยคนก็คุ้นเคยกับแอปพลิเคชั่นนี้ว่าเป็นอะไรที่สามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบรับและกำไรที่ดี เราไม่ซีเรียสที่มีคู่แข่งเยอะขึ้น แต่ซีเรียสว่าจะทำอย่างไรให้ตลาดใหญ่มากขึ้นมากกว่า”


นายสกลกรย์กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะจับมือกับพันธมิตรในธุรกิจเกมออนไลน์ โดยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนเล่นเกมกับคนที่มีคริปโทเคอร์เรนซีในการแลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับโลกของเงินจริง

เชื่อมโลกเงินดิจิทัล

“ปีหน้าจะได้เห็นการใช้บิตคอยน์ในเกมออนไลน์ต่าง ๆ รวมถึงการซื้อบริการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ต่าง ๆ ผมอยู่ในวงการเกมออนไลน์มาก่อน เห็นชัดเจนว่าเทรนด์นี้มาแน่ ตลาดเกมใหญ่มาก ตอนเริ่มทำการีนาปี 2557 ตลาดอีสปอร์ตในไทยมีมูลค่าปีละ 2,000 ล้านบาท ตอนนี้มากกว่า 2-3 หมื่นล้านบาทแล้ว และบิทคับจะเปลี่ยนให้คนเล่นเกมออนไลน์มาใช้คริปโทเคอร์เรนซีในการซื้อขายของในเกม ซึ่งในอนาคตจะไม่ใช่แค่นั้น กระแสเมตาเวิร์สที่พูดถึงกันก็จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ต้องเปลี่ยนทุกอย่างเป็นดิจิทัลก่อน บิทคับก็จะเป็นสะพานให้ทุกคนทรานส์ฟอร์มไปสู่โลกเมตาเวิร์สเช่นกัน”

ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนสร้างเครือข่าย และมีบริษัทย่อยที่พร้อมจะขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้วในทุกมิติ โดยบริษัทในกลุ่มบิทคับมี 4 แห่ง ภายใต้บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ประกอบด้วยบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด พัฒนาระบบบล็อกเชน และเหรียญ Bitkub Coin (KUB), NFT (Non-Fungible Token), บริษัท บิทคับ แล็ปส์ จำกัด หรือบิทคับ อะคาเดมี ธุรกิจการศึกษาด้านบล็อกเชน ให้ความรู้กับธุรกิจ และบริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด ลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพ


“ในอดีตบริษัทไทยมักเป็นเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 แต่ครั้งนี้ในโลกการเงินดิจิทัลเรามูฟเร็วมาก เป็นจังหวะที่ทุกคนจะไม่พลาดอีกแล้ว อนาคตต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรจะเป็นเมตาเวิร์สหรืออะไรก็แล้วแต่ บริษัทใหญ่จะอยากเข้ามาลงทุนกับสตาร์ตอัพไทย อยากทำอะไรที่เป็นของคนไทย เพราะไม่อยากพลาดโดยมีดีลนี้เป็นมูฟที่สำคัญ”

ปั้นบริษัทไทยทาบโกลบอล

นายสกลกรย์ย้ำว่า ดีลระหว่างเอสซีบีและบิทคับ “วิน-วินทุกฝ่าย” และเกิดขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างมีแพสชั่นเดียวกัน นั่นคือต้องการสร้างอีโคซิสเต็มคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง และคาดว่าจะเกิดดีลในลักษณะนี้มากขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทใหญ่ ๆ ของไทยปรับตัวได้เร็วขึ้น ทุกรายจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้อีกแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่เติบโตขึ้นเข้ามาสนับสนุนให้การขยายธุรกิจ หรือพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น จะได้เห็นบริษัทใหญ่ ๆ เข้าไปร่วมมือกับสตาร์ตอัพหรือบริษัทเล็ก ๆ มากขึ้น”

นายสกลกรย์ย้ำว่า ที่ผ่านมาบิทคับเติบโตก้าวกระโดด ขณะที่ราคาคริปโทเคอร์เรนซีมีขึ้นมีลงตามสภาพตลาด และคริปโทไม่ได้มีแค่ “บิตคอยน์” แต่ในอนาคตจะมีดิจิทัลบาท มีโทเค็นอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย บริษัทจึงจะมีการลงทุนต่อเนื่องทั้งในแง่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ การพัฒนาบริการใหม่ ๆ รวมถึงจ้างทีมงานที่มีความรู้ความสามารถทั้งคนไทยและต่างชาติ รองรับกับการเติบโตที่จะเกิดขึ้น ทำให้เกิด “คริปโทอีโคโนมิก” ของเมืองไทย

“next step จริง ๆ คือสร้างโปรดักต์ที่เป็นโกลบอล ที่ผ่านมาคนไทยสมองไหล อยากไปทำงานกับกูเกิล, เฟซบุ๊ก ไม่ค่อยมีที่อยากทำงานกับบริษัทคนไทย แต่จากนี้หลายอย่างจะเปลี่ยนไป เราพร้อมจ่ายเงินเดือนมากที่สุด สำหรับคนที่เก่งจริง ๆ หรือแม้แต่การจ้างต่างชาติมาทำงานให้ จะไม่มีคำว่าประหยัดที่สุดให้ได้เติบโต เราเชื่อว่าเราเป็นโกลบอลได้ แต่ต้องให้เวลา”

“ไม่ต่างจากกีฬาฟุตบอลที่ต้องนำนักเตะต่างชาติมาแข่งที่เมืองไทย เพื่อให้นักเตะไทยเก่งขึ้น เมืองไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่ก้าวหน้าเรื่องคริปโทมาก ตอนนี้แม้แต่จีนยังช้ากว่า ไทยสร้างคริปโทดีไฟน์ และ NFT ได้เร็วกว่าคนอื่น มีเหรียญออกใหม่เป็นเหรียญโกลบอลของคนไทย สิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปคือขยายไปประเทศอื่นไม่อยู่แค่ประเทศไทย”


นายสกลกรย์ทิ้งท้ายว่า จะได้เห็นความร่วมมือระหว่างบิทคับกับพันธมิตรรายใหญ่ในประเทศไทยจากหลากหลายวงการ เพื่อช่วยกันสร้างอีโคซิสเต็มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 22

โพสต์

SCBX เสริมแกร่งยานแม่ ทุ่มลุยสินทรัพย์ดิจิทัลต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจ
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 - 09:45 น.

การประกาศเข้าลงทุนใน บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub Online) ของ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” (SCBX) ยานแม่ลำใหม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) โดยส่งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เข้าไปถือหุ้นใหญ่ 51% ด้วยมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 17,850 ล้านบาท ถือเป็นการต่อจิ๊กซอว์ภาพการรุกเข้าสู่ธุรกิจ “สินทรัพย์ดิจิทัล” (digital asset) ของกลุ่มไทยพาณิชย์ที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น

ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

เนื่องจาก “บิทคับ” (Bitkub) เป็นแพลตฟอร์มเทรดเหรียญดิจิทัลรายใหญ่ในประเทศไทย เพราะครองส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) มากกว่า 90% จากจำนวนผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งสิ้น 7 ราย

ขณะเดียวกัน ล่าสุด บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) บริษัทในเครือเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) ซึ่งเป็นอีกบริษัทภายใต้ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ก็เพิ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเค็นดิจิทัล (ICO portal) จากสำนักงาน ก.ล.ต.ไป โดยหลังได้รับไลเซนส์ ทาง “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ก็ประกาศเตรียมเดินหน้าบุกให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจโทเค็นดิจิทัลครบวงจรแบบเต็มรูปแบบทันที ตั้งเป้าเป็นองค์กรชั้นนำในอาเซียนด้าน digital asset tokenization ภายในปี 2568

ก่อนหน้านี้ SCB 10X ยังได้ร่วมทุนกับ บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) จัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ บริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (TPOP) โดยถือหุ้น 40% เพื่อบริหารศิลปินและแพลตฟอร์มออนไลน์ ตั้งเป้าหมายพัฒนาแพลตฟอร์มให้สามารถรองรับการทำ NFT (nonfungible token) ได้

รวมถึง SCB 10X ยังได้ลงทุนใน APE BOARD แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับติดตามข้อมูลและบริหารจัดการการลงทุนใน digital asset ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 350,000 คน และยังเป็นหนึ่งผู้ร่วมลงทุนในการระดมทุนรอบ series C มูลค่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ของ Anchorage แพลตฟอร์มรับฝากสกุลเงินดิจิทัลแก่นักลงทุนสถาบัน ซึ่งถือเป็นการต่อยอดนำเอาองค์ความรู้มาใช้ในการพัฒนาให้บริการลูกค้า SCB ที่สนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

ผนึกกำลังเครือ ซี.พี.

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา “SCB 10X” ยังได้จับมือกับบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (CPG) จัดตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน (financial technology) ในด้านต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีบล็อกเชน decentralized finance ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกิดใหม่อื่น ๆ อีกด้วย

มุ่ง “เทคคอมปะนี” เต็มกำลัง

ภาพทั้งหมดนี้ เป็นไปตามคำประกาศของ “อาทิตย์ นันทวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้กล่าวไว้ในการแถลงปรับโครงสร้างธุรกิจ แปลงร่างจาก SCB เป็น SCBX เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา


“เราจะมีการทรานส์ฟอร์มบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS เป็นเรือธงในการทำเรื่อง digital asset โดยโฟกัสการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเน้นเรื่องการลงทุน ล่าสุด ก็ได้มีการจับมือกับ CPG ในการจัดตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนใน financial technology ในด้านต่าง ๆ”

เรียกได้ว่า ไทยพาณิชย์กำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากธุรกิจแบงก์แบบดั้งเดิมไปสู่บริษัทเทคโนโลยี หรือ “เทคคอมปะนี”



ปักหมุด 5 ปีผงาดระดับภูมิภาค

โดยหมุดหมายสำคัญภายใต้ยานแม่ลำใหม่ ก็คือ เป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2568 กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ จะก้าวสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาค ที่มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านคน จากปัจจุบัน 16 ล้านคน พร้อมกับการทำกำไรเพิ่มขึ้น 1.5-2 เท่า ด้วยมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านล้านบาท


เทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลบูม

ปัจจุบันคนไทยสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น โดย “จอมขวัญ คงสกุล” ผู้ช่วยเลขาธิการ สายระดมทุน ก.ล.ต. เคยระบุว่า คนที่ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งมีจำนวนเปิดบัญชีเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ นับตั้งแต่ปี 2561 ที่มีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมาบังคับใช้ โดยในปี 2562 มียอดบัญชีกว่า 100,000 บัญชี ต่อมาปลายปี 2563 เพิ่มเป็นกว่า 200,000 บัญชี และล่าสุดปี 2564 ทะลุ 1,600,000 บัญชีไปแล้ว

“ถ้าเทียบการเปิดบัญชีหุ้นช่วงระยะเวลา 20-30 ปี ยังมีจำนวนบัญชีหุ้นแค่ 1,800,000 บัญชีเท่านั้น สะท้อนพัฒนาการที่ต่างกันค่อนข้างมาก” ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าว

ขาใหญ่หุ้น VI เตือนความเสี่ยง

ขณะที่ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (value investor) ให้มุมมองไว้ว่า การที่ SCBX ยอมจ่ายเงินมูลค่าสูง เพื่อซื้อหุ้น Bitkub Online วัดจากปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ในช่วง 9 เดือนของบิทคับในปีนี้ คิดเป็นเงินระดับ 1 ล้านล้านบาท โดยหนุนให้บิทคับมีรายได้กว่า 3,000-4,000 ล้านบาท และทำกำไร 1,500 ล้านบาท

แต่ก็ต้องระวังความเสี่ยง เพราะตลาดการซื้อขายเงินเหรียญปีต่อ ๆ ไปอาจจะไม่บูม และถ้านับตามราคาของบิตคอยน์หรือคอยน์อื่น ๆ รายได้ก็จะหายไปได้มาก ขณะที่คู่แข่งซึ่งก็มีอยู่หลายแห่ง และอนาคตอาจจะรวมถึงรายที่มาจากต่างประเทศ จะเข้ามาแข่งได้อย่างจริงจังมากขึ้น

สุดท้ายแล้ว การเบนเข็มสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มกำลังของ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ครั้งนี้ จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ระยะเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ คงต้องติดตามกันต่อไป
SCBX.JPG
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 23

โพสต์

"บิทคับ" มั่นใจตลาดคริปโทไปต่อ สภาพคล่องหนุน-โอกาสกระจายลงทุน
19 พ.ย. 2564 เวลา 8:00 น.

“บิทคับ” ชี้มูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลปัจจุบันแตะ 90 ล้านล้านบาท มองปี 2565 โอกาสเติบโตต่อ สอดรับสภาพคล่องทั่วโลกสูง หนึ่งทางเลือกกระจายพอร์ตลงทุน

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีมูลค่ารวมประมาณ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 90 ล้านล้านบาท และคาดมีโอกาสสูงที่มูลค่าตลาดจะเติบโตต่อในปี 2565 โดยได้ปัจจัยหนุนจากสภาพคล่องทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง

ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมกว่า 8.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 280 ล้านล้านบาท) มากกว่ามูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลถึง 4 เท่าตัว โดยกระแสเงินดังกล่าวไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ตลาดทองคำ และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ส่งผลให้ดัชนีหุ้นและราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับราคาเหรียญในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล


นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลยังได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น ทั้งจากบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ สถาบันการเงิน กองทุน ฯลฯ รวมถึงได้รับการยอมรับจากรัฐบาลบางประเทศ หากนำมูลค่าสินทรัพย์ทั่วโลกมารวมกันจะได้ประมาณ 500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.6 หมื่นล้านล้านบาท) แต่มีเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ถึง 1% จึงมองว่ามีโอกาสสูงที่นักลงทุนจะกระจายพอร์ตเข้ามาลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล


อย่างไรก็ดี หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เข้ามากระทบ อาทิ เฟดประกาศดึงสภาพคล่องออกจากระบบ หรือการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์อาจส่งผลในทางตรงกันข้าม กล่าวคือ กระแสเงินลงทุนอาจไหลออกจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และส่งผลกระทบให้ราคาเหรียญในตลาดปรับตัวลง ซึ่งเป็นจุดที่นักลงทุนควรต้องระวัง โดยการลงทุนแนะนำศึกษาข้อมูลพื้นฐาน และควรใช้เงินเย็นในการเข้าลงทุน
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 24

โพสต์

สนามของ bitkub มิใช่ local แต่เป็น global
สนามนี้เปิด 24x7
ไม่มีวันหลับ นอกจาก maintenance ระบบเท่านั้น หรือตามระบบธนาคารพาณิชย์ ที่เขื่อมโยง
แถมปริมาณการซื้อขายต่อวัน ณ ตอนนี้ อยู่ที่ อันดับ 10 ปลายๆ ยี่สิบต้นๆ
ถ้า list ในตลาดหลักทรัพย์ ได้ ก็ยิ่ง ทำให้ market cap ใหญ่ขึ้นได้

ต้องรอหลัง m&a แล้วค่อยดูทิศทางอีกรอบ ว่า เส้นทางยังตามความฝันของผู้ก่อตั้งไหม
:)
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ค้าปลีกเปิดศึกสนาม"คริปโท"เดือด เร่งต่อจิ๊กซอว์ช้อปปิ้งดิจิทัล
By สรัญญา จันทร์สว่าง28 พ.ย. 2564 เวลา 23:11 น.

ยักษ์ใหญ่วงการค้าปลีก "เซ็นทรัล-สยามพิวรรธน์-เดอะมอลล์" ลุยสมรภูมิคริปโทเคอร์เรนซีเดือด กรุยทาง "ช้อปปิ้งดิจิทัล-สังคมไร้เงินสด" เต็มรูปแบบ เดอะมอลล์ ดึงพันธมิตร "บิทคับ" ผนึกความร่วมมือเปิดประสบการณ์ช้อปรูปแบบใหม่เขย่าคู่แข่ง

สมรภูมิค้าปลีกเมืองไทยเกาะติดเมกะเทรนด์โลก! การใช้จ่ายด้วยเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ปูทางสร้างอีโคซิสเท็มที่สมบูรณ์แบบของโลกช้อปปิ้งดิจิทัลแห่งอนาคต

ประเดิมด้วยพี่เบิ้มแห่งวงการ กลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “เซ็นทรัล รีเทล” โดยมี “Central Tech” เป็นเจ้าภาพในการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล “C-Coin” ทดลองใช้กับพนักงานในเครือกว่า 1,000 ราย ที่จะได้รับ "C-Coin" เป็นโบนัสพิเศษ และสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าภายในเครือเซ็นทรัล

C-Coin แซนด์บ็อกซ์ อยู่ระหว่างกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะทยอยขยายการใช้ครอบคลุมพนักงานกลุ่มเซ็นทรัลทั่วโลกกว่า 80,000 คน ในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับ “พนักงาน” เพื่อรองรับการใช้ของ “ลูกค้า” ในอนาคตเมื่อพร้อม 100% โดยขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน

โปรเจค C-Coin ที่จะเป็นอาวุธสำคัญของ เซ็นทรัลรีเทล บนเวทีต่อสู้ในโลกการค้าดิจิทัลนั้น แม้จะยังไม่นำใช้สู่สาธารณชน หรือ กลุ่มลูกค้า แต่น่าจับตาถึงศักยภาพ! ไม่น้อย



C-Coin การันตีจากรางวัล 2021 IDC Future Enterprise Awards Thailand สาขา Best in Future of Work จาก The Future Enterprise Award ประเทศสิงคโปร์ บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยข้อมูลการตลาดชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเชิดชูองค์กรหรือโครงการที่มีนวัตกรรมที่แปลกใหม่และล้ำสมัย ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เซ็นทรัล รีเทล ได้รับรางวัลนี้จากการคิดค้น “แอพลิเคชัน C-Coin” ซึ่งเป็นแอพพลิเคชันสำหรับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร ตลอดจนการให้ความร่วมมือกับองค์กรในทุกๆ ด้านอย่างสมัครใจและเต็มใจ โดยแอพลิเคชันนี้ประกอบด้วยกระเป๋าเงินและสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถใช้แทนเงินสดสำหรับการแลกซื้อสินค้าหรือบริการภายในเครือบริษัทเซ็นทรัล รีเทล โดยบริษัทสามารถให้เงินดิจิทัลนี้แก่พนักงานแทนคำขอบคุณ หรือตอบแทนความมีน้ำใจในการทำงาน หรือส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือแก่เพื่อนร่วมงานซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังมีระบบเช็คอินเข้าทำงานเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานในยุคนิวนอร์มอลอีกด้วย

นับเป็นความท้าทายของกลุ่มเซ็นทรัลในการก้าวสู่ “เทคคอมพานี” สอดรับไปกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกยุคดิจิทัล

ขณะที่ "กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์" เจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้ากลุ่มวันสยาม ประกอบด้วย สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยามและสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ เปิดเกมรุกสู่วงการคริปโทฯ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีบทบาทต่อโลกธุรกิจการค้า และอยู่ในวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่มากขึ้นทุกวัน

แน่นอนว่า เป้าหมายใหญ่ของสยามพิวรรธน์ มุ่งขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ และผู้ลงทุนในโลกดิจิทัล หรือ เทรดออนไลน์ (Trade Online) ที่มีกำลังสูงซื้อ!

งานนี้ สยามพิวรรธน์ เลือกจับมือพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญอย่าง ซิปเม็กซ์ (ZIPMEX) ผู้ให้บริการด้านการลงทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม “ZIPMEX” ที่นับว่าเติบโตเร็วที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย แลกเปลี่ยน ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.ล.ต. ในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันในรูปแบบ Collaborate to Innovate

โดยสยามพิวรรธน์ ดึงจุดแข็ง“ศูนย์การค้า”ในเครือที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นั่นคือ ประสบการณ์ความหรูหราระดับโลกที่แตกต่างแบบครบทุกมิติของไลฟ์สไตล์ที่ไม่อาจหาซื้อได้จากโลก “ออฟไลน์” แพลตฟอร์ม “ออนไลน์” ผสานศักยภาพZIPMEX ผ่านแพลตฟอร์มที่เรียกว่า“ZipWorld”เปิดการซื้อขายสินค้าบนโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

โดยจะมีการนำเทคโนโลยี NFT (Non-Fungible Tokens) มาสู่ผู้ใช้งานทั่วไปได้ง่ายขึ้น โดยจะเปิดให้ลูกค้าใช้ ZIPMEX Token (ZMT) เป็นเครื่องมือในการแลกเป็นสินค้าหรือบริการที่จับต้องและสัมผัสได้จริง

นับเป็นส่งมอบประสบการณ์พิเศษที่เรียกว่า “Money Can’t Buy Experiences”ต้องแลกซื้อผ่านแพลตฟอร์ม ZipWorld ของ ZIPMEX โดยใช้ Zipmex Token เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นคนแรกในการเข้าถึงคอลเลคชั่นเอ็กซ์คลูซีฟ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์

ระบบรีวอร์ดที่ไร้ขีดจำกัดของ Loyalty Program จะถูกเพิ่มดีกรีร้อนแรงมากขึ้น พร้อมเริ่มใช้ “VIZ Coins” เพื่อยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้า ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการภายในศูนย์การค้า บนช่องทางออนไลน์ และเป็นทางเลือกให้ลูกค้าเปลี่ยนคะแนนในบัตรเครดิตเพื่อเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม

ขณะที่ศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่แห่งฟากกรุงเทพฯ ตะวันออก “ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์” ยังขอแจมกระแสเงินดิจิทัล บนพื้นที่โซน MUNx2 (มัน มัน) แหล่งรวมคนรุ่นใหม่อินเทรนด์ โดยมีเรื่องของคริปโทฯ เป็นหนึ่งในนี้ ซึ่งร่วมกับพันธมิตรเปิดตัวคาเฟ่ที่ใช้จ่ายผ่านสกุลเงินดิจิทัล “The Moon : Crypto & NFT Café” แห่งแรก เป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้โลกคริปโทฯ กับผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ บนพื้นที่ Co-Trading Space ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญต่าง ๆ ให้เลือกเทรด แกลลอรี่งานศิลปะที่ลอกเลียนแบบไม่ได้ หรือ NFT Gallery การลงทุนในการขุดเหรียญคริปโทฯ จาก EVO project และ Cafe รูปแบบคริปโทฯ จาก I Learn A Lot พร้อมฉากถ่ายรูปตามแบบฉบับของ BitToon คลาสอบรมเกี่ยวกับคริปโทฯ เป็นการปูทาง ก่อนต่อยอดในมิติต่างๆ

ล่าสุด อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีก "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ดิ เอ็มโพเรียม ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ กระโดดลงมาเล่นเต็มตัว ด้วยการจับมือกับ “Bitkub" ผู้นำตลาด! ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ที่ก้าวขึ้นยานแม่ SCB แปลงสภาพสู่ยูนิคอร์นไปเป็นที่เรียบร้อย โดยวันที่ 30 พ.ย. นี้ ซีอีโอ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ศุภลักษณ์ อัมพุช และ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา แห่ง บิทคับ จะร่วมกันประกาศวิสัยทัศน์และความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญ “BITKUB X The Mall Group Partnership Announcement”

ประเดิมในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ “เดอะมอลล์” มุ่งสร้างการเรียนรู้ และรับรู้ต่อตลาดผู้บริโภค ภายใต้แคมเปญการตลาดซึ่งกลุ่มเดอะมอลล์ ร่วมกับ บิทคับ และพันธมิตรทางธุรกิจร้านค้า คู่ค้ากว่า 1,000 ราย ในกิจกรรม “HAPPY TREASURE HUNT GAME” ครั้งแรกของโลกกับ NFT : GIFT OF THE FUTURE แจกปังๆ 222,222 รางวัล จาก 663 รอบการเล่น เปิดโอกาสให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจได้ร่วมสนุกกับ DIGITAL GAME AR/QR และ CRYPTO CHARACTERS ที่ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ, บางแค, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค.2564-3 ม.ค.2565

พิเศษ!! ที่ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ, บางแค, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์” นอกจากลูกค้าจะได้พบกับ DIGITAL GAME AR/QR และ CRYPTO CHARACTERS แล้ว ยังจะได้สัมผัสประสบการณ์ “ช้อปปิ้งดิจิทัล” เพื่อเปิดประสบการณ์ในการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.2564-3 ม.ค.2565

สำหรับแพลตฟอร์ม Bitkub NFT เป็นก้าวใหม่ของ Bitkub Chain ที่เป็นการเปิดโลกใบใหม่สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ Non-Fungible Token (NFT) ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และส่งเสริมชุมชนนักสร้างสรรค์ชาวไทย ให้เข้าถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เกิดขึ้นจริง เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการขยายเครือข่าย Bitkub Chain ให้เข้าถึงผู้ใช้งานในวงกว้างได้มากยิ่งขึ้น

Bitkub NFT จะถูกพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มศูนย์รวม NFT ที่สร้างประสบการณ์ใหม่และยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร้านและผู้ซื้อให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ NFT และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ เช่น การเปิดประมูล NFT ชิ้นพิเศษ เพื่อสิทธิ์ในการร่วมประสบการณ์พิเศษกับเจ้าของร้าน เช่น Private Dinner, Professional Class, Exclusive Trip และ Meet & Greet การสะสมค่าพลัง NFT Power เพื่อแข่งขันชิงอันดับบน Leaderboard เพื่อรับสิทธ์ในการร่วมตัดสินใจ ร่วมกิจกรรม หรือกำหนดเลือกการดำเนินการบางอย่างกับเจ้าของร้าน NFT Official Store นั้นๆ การนำ NFT ไปเชื่อมต่อหรือใช้งานในแพลตฟอร์มหรือกิจกรรมต่างๆ บน BitkubChain ในอนาคต

ก้าวรุกของบรรดาผู้นำค้าปลีกไทยลงสนามคริปโทฯ ที่กำลังร้อนแรงไปทั่วโลกและประเทศไทยเวลานี้ ห้ามกระพริบตาทีเดียว!!
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 26

โพสต์

The Mall Group กับ Bitkub ร่วมมือกันทำอะไร ? ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น Hub ของการลงทุนและการท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชีย
Techsauce Team

The Mall Group จับมือ Bitkub ผนึกความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงาน “เดอะพินนาเคิล ออฟ พรอสเพอร์ริตี้” (THE PINNACLE OF PROSPERITY) ประกาศความร่วมมือในการรังสรรค์ปรากฏการณ์แห่งเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน ด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก GLOBALIZATION, DIGITALIZATION และ TOURISM เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจและยกระดับ ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนและการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย (HUB OF DIGITAL ASSETS INVESTMENT AND TOURISM IN ASIA)



นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จํากัด ผู้นําและพัฒนาโครงการ รีเทลแนวหน้าของประเทศไทย ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เดอะมอลล์ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ทุก สาขา สยามพารากอน ดิเอ็มดิสทริค อันประกอบด้วย ดิเอ็มโพเรี่ยม ดิเอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มสเฟียร์ เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์สําคัญยิ่งในการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ หลังเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโค วิด-19 และการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก คือการผนึกความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมียุทธศาสตร์ที่สําคัญ คือการมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจยุค 5.0 และ เศรษฐกิจดิจิทัล (DIGITAL ECONOMY) เป็นวาระเร่งด่วน ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก คือ โลกยุคใหม่ไร้พรมแดน (GLOBALIZATION) การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (DIGITALIZATION) และการท่องเที่ยวและการบริการ (TOURISM)

•GLOBALIZATION ให้ความสําคัญในการมีพันธมิตรธุรกิจระดับประเทศและระดับโลก ในการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ เพื่อเสริมสร้างรากฐานและ เพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งในการเติบโตของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่สําคัญของประเทศไทย คือการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน การเดินทางและท่องเที่ยว การบินและโลจิสติกส์ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชน ในหลายโครงการเช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), โครงการเส้นทางสายไหม (One Belt One Road (OBOR) และโครงการรถไฟความเร็วสูง (HIGH-SPEED TRAIN & AIRPORT LINK) ที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา เข้าไว้ด้วยกัน

•DIGITALIZATION องค์กรภาคธุรกิจหลักทุกภาคส่วนต้องมีนวัตกรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงให้เป็นโลก แห่งดิจิทัล (DIGITAL TRANSFORMATION) สู่เศรษฐกิจยุค 5.0 อย่างสมบูรณ์แบบ เข้าสู่โลกดิจิทัลแบบไร้ขีดจํากัด และมีระบบนิเวศทางดิจิทัลที่ครบวงจร (DIGITAL ECOSYSTEM) และต้องอาศัยการมี สมาร์ท ดิจิทัล แพลตฟอร์ม (SMART DIGITAL PLATFORM) หรือโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่อาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งยังต้องได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระดับทั้ง ในระดับภูมิภาค และระดับโลก

•TOURISM ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ กลยุทธ์ที่สําคัญคือจะต้องรี โพสิชั่นนิ่ง (REPOSITIONING) วางเป้าหมายทางการท่องเที่ยวใหม่ มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพเป็นหลัก เช่น กลุ่ม นักท่องเที่ยวที่มีกําลังซื้อสูง กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มเศรษฐีใหม่ (NEW WEALTH) จากการลงทุนใน สินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นภาครัฐต้องผลักดันการฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ตลอดจน ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยว เพื่อส่งผลดีต่อบ่วงโซ่ธุรกิจ คือ ธุรกิจ ค้าปลีก เอ็นเตอร์เทนเมนท์ โรงแรม สายการบิน เรือท่องเที่ยวและเรือสําราญ โรงพยาบาล สุขภาพและความงาม ตลอดจนธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และการท่องเที่ยว (HEAVEN FOR DIGITAL ASSET INVESTOR & TOURISM)

บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จํากัด ผู้นําธุรกิจรีเทลระดับโลกที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จึง ได้จับมือกับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จํากัด ผู้นําธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) และ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) รวมถึงเป็นผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือตลาดซื้อ-ขายค ริปโทเคอร์เรนซี ผ่านบริษัทในเครือ คือ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จํากัด ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศ ไทยได้ร่วมกันวางกลยุทธ์การขับเคลื่อนการสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Ecosystem) เพื่อยังผลให้ เกิดการโตเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน (Sustainable Digital Economy) ด้วยการผนึกความร่วมมือกับภาครัฐและ ภาคเอกชน ในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจหลักเพื่อให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และการ ท่องเที่ยว (HEAVEN FOR DIGITAL ASSET INVESTMENT &TOURISM)



The Mall Group จับมือ Bitkub ตั้งบริษัทร่วมทุน Bitkub M

บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮดดิ้งฯ และบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ปฯ ได้ร่วมทุนจัดตั้ง “บริษัท บิทคับ เอ็ม จํากัด” (Bitkub M Company Limited) ในสัดส่วน 50:50 เพื่อร่วมลงทุนและบริหารบิทคับ เอ็ม โซเชียล ( BITKUB M SOCIAL) ให้เป็นดิจิทัลคอมมูนิตี้ (Digital Community) แห่งแรกของเมืองไทยที่จะเป็นศูนย์กลางของการ แลกเปลี่ยน ความรู้ การจัดสัมมนาและการประชุม ทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนในการ สร้างองค์ความรู้สําหรับ สตาร์ทอัพ (Startup) และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Entrepreneur Economy) และเป็นแหล่ง พบปะของนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เป็นศูนย์การเทรคและการ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Trading & Exchange) รวมทั้งมี NFT Gallery & Gaming และนําเข้าสู่โลก ของ METAVERSE ในอนาคต

วิสัยทัศน์จากกลุ่มพันธมิตรธุรกิจภาครัฐและเอกชนในการสร้าง Hub ของการลงทุนและการท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชีย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการปรับตัวตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง ททท. จึงได้เตรียม แผนการยกระดับการให้บริการและการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการของผู้ประกอบการไทย ให้สอดคล้องกับ เทคโนโลยี Blockchain และอัตราการเติบโตของ Digital Asset ในรูปแบบ Cryptocurrency ของนักท่องเที่ยว กลุ่ม New Wealth ที่มีกําลังซื้อสูง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นผู้มีอิสระทางการเงิน มีอิสระด้านเวลา และ มีอิสระด้านการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งมีโอกาสมาพํานักระยะยาวในประเทศไทยหลังการเปิดประเทศที่กําลังจะ เกิดขึ้น

ความร่วมมือระหว่าง ททท. กับ บิทคับ รวมถึงความร่วมมือระหว่าง เดอะมอลล์ กรุ๊ป กับ บิทคับ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการส่งสัญญาณให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Asset (Owner และ Digital Asset Investor ทราบว่า ในขณะนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการให้บริการสอดคล้องกับพฤติกรรมของ นักท่องเที่ยวยุคใหม่ รวมถึงการขับเคลื่อนให้ Digital Asset Provider ยกระดับศักยภาพระบบการแลกเปลี่ยนให้ ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ ในขณะที่ Digital Asset Subscriber ซึ่งเป็นผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวรายย่อย จําเป็นต้องยกระดับความพร้อมเพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกับสินทรัพย์ดิจิตัลของนักท่องเที่ยว ได้อย่างทันท่วงที

การเสวนา The Pinnacle of Prosperity โดย บริษัท เดอะ มอลล์ กรุ๊ป จํากัด ในวันนี้ จะมีส่วนช่วยในการ เร่งอัตราการขับเคลื่อน Digital Economy ด้วย Digital Asset โดยการเตรียมความพร้อมในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก สาย การบิน ขนส่ง-ยานยนต์ โรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่กับโอกาส การนํา Metaverse ที่เป็นเทคโนโลยีสร้างโลกเสมือนมาเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในรูปแบบ Metaverse Economy ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

ในปี 2565 ททท. จะสามารถส่งเสริมให้เกิดรายได้สู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาพรวมได้ไม่น้อยกว่า 1,938,034 ล้านบาท ผ่านการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จํานวน 18 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย จํานวน 160 ล้าน คน/ครั้ง ฟื้นตัวกว่าร้อยละ 50 ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภาพรวมของปี 2562 ด้วย เรื่องราวใหม่ๆ อันน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิม และมากกว่าที่เคยสัมผัส ที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของนักท่องเที่ยว ตามแนวคิดการท่องเที่ยวไทยปี 2565 พลิกโฉมการท่องเที่ยวใหม่ “Amazing Thailand, Amazing New Chapters"

ไทยแอร์เอเชีย

นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จํากัด กล่าวว่า อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นลําดับแรก ซึ่ง ธุรกิจสายการบินเป็นผู้เชื่อมโยงสําคัญ ทําให้เกิดการเดินทาง และสร้างโอกาสใหม่ๆ เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม อื่นๆ การได้มาร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีความตั้งใจจริงในการช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ไทย ทั้งเดอะมอลล์ กรุ๊ป Bitkub การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคธุรกิจต่างๆ ยิ่งเป็นโอกาสดีที่จะช่วยกัน นําจุดแข็งมาต่อยอดร่วมกัน โดยเฉพาะการนํานวตกรรมต่างๆ มาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การนําสกุลเงิน ดิจิทัลมาแลกเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินหรือสินค้าบริการของแอร์เอเชีย ถือเป็นการขยายฐานลูกค้า เจาะตลาดกลุ่มคน รุ่นใหม่ที่กําลังเติบโต ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี

บางกอก เชน ฮอสปิทอล

ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสําคัญในชีวิต โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งที่ทําให้มีการใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการทํางานมาก ขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกระบวนการทํางาน โดยนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการ ส่งต่อคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคจะเป็นส่วนช่วยดํารงความสามารถในการแข่งขันในยุคเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบดั้งเดิม สู่รูปแบบดิจิทัล

ที่ผ่านมาเราเห็นวิวัฒนาการของระบบการรับชําระแบบดั้งเดิม ซึ่งมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัล การรับและแลกเปลี่ยนทรัพย์สินดิจิทัลเป็นสินค้าหรือบริการ กําลังจะ เปลี่ยนไปด้วยเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นนวัตกรรมตัวช่วยด้านความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ สะดวก และรวดเร็ว

ในนามผู้ประกอบการธุรกิจด้านสุขภาพ เราเล็งเห็นถึงโอกาสในการใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเพิ่ม ช่องทางการรับแลกเปลี่ยนแบบทางเลือก ในรูปแบบทรัพย์สินดิจิทัลซึ่งการเพิ่มช่องทางดังกล่าวไม่เพียงอํานวย ความสะดวกให้แก่กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชาวต่างชาติเพื่อลดข้อจํากัดทางการเงินระหว่างประเทศ และจะ เป็นการเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Millennial ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจในนวัตกรรม ทรัพย์สินดิจิทัลเป็นอย่างมากและจะเป็นกลุ่มผู้ซื้อตัวจริง (Real Buyer) ในอนาคต

โดยครั้งนี้ถือเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มพันธมิตรธุรกิจชั้นนําระดับประเทศในหลายภาคส่วนธุรกิจ โดยบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จํากัด (มหาชน) จะมีส่วนร่วมในการสร้างการรับรู้ถึงการประยุกต์ใช้ ทรัพย์สินดิจิทัล ซึ่งในอีกไม่ช้าจะเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจระดับมหภาคเพื่อส่งผ่านคุณค่าระยะยาว ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในวงจรธุรกิจ

ดุสิตธานี

คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม ดุสิตธานีขอร่วมแสดงความยินดีกับกลุ่ม THE MALL GROUP และ BITKUP รวมถึงพันธมิตรชั้นนํารายอื่นๆ ในโครงการรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) กับสินค้าและบริการ โดยในฐานะผู้ประกอบการ โรงแรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Tourism Ecosystem ทางกลุ่มดุสิตฯ มีความคิดเห็นสอดคล้องกับ การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ที่มองว่า โครงการนี้ จะมีส่วนช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศไทย ใน การดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม New Wealth ซึ่งเป็นกลุ่มคนมีฐานะที่สะสมความมั่งคั่ง จากใช้การเทคโนโลยีทําธุรกิจหรือลงทุน หรือกลุ่ม Digital NOMAD ที่นิยมทํางานผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยการใช้ ชีวิตจากที่ใดในโลกก็ได้ ให้หันมาสนใจประเทศไทย เพราะเรามีความพร้อมในทุกด้าน ไม่จํากัดอยู่เพียงแค่ อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ หรือวัฒนธรรมที่งดงาม แต่เรายังมีความพร้อมในเรื่องของระบบเทคโนโลยีประเทศไทยอีกด้วย

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อไทย จึงต้องเน้นการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ ด้วยการหาโมเดลหรือเรื่องราวใหม่ๆ มาดึงดูด นักท่องเที่ยวในยุคนี้ ที่นิยมท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเล็ก ให้ความสนใจกับเรื่องสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมเป็น สําคัญ และใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตเพื่อการเพิ่มความสะดวกสบาย ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มี ทัศนคติและพฤติกรรมแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งทุกภาคส่วนต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อทําให้กระแสดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนสําคัญในการใช้ชีวิตประจําวันของผู้บริโภคและการดําเนินธุรกิจ

ดิฉันเชื่อว่า รูปแบบการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตในโลกยุคใหม่ จะต้องดําเนินการควบคู่กันไปใน 3 มิติ คือ COLLABORATION, INNOVATION และ CONTRIBUTION ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ก็ตอบโจทย์ทั้งสาม

•COLLABORATION – เป็นการทํางานร่วมกันของพันธมิตรแวดวงชั้นนําในประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญไม่ว่าจะเป็น THE MALL GROUP ที่เป็นหนึ่งในผู้นําด้านค้าปลีกของประเทศไทย หรือ BITKUP ที่เป็น UNICORN ของประเทศไทยที่เป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สําหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึง พันธมิตรชั้นนํารายอื่นที่มาร่วมกันในวันนี้
INNOVATION - เรามองว่า บุคลากรด้านการบริการส่วนใหญ่อาจจะยังมองเรื่อง Digital Assets เป็นเรื่อง ไกลตัว และยังไม่มีโอกาสได้ทําความคุ้นเคย เนื่องจากปัจจุบันการใช้งาน Digital Asset ยังไม่แพร่หลายใน วงกว้าง ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นเหมือน Digital Sandbox Initiative ที่ทุกท่านตั้งใจจะดําเนินการ แบบจํากัดขอบเขตในวงกว้าง เพื่อช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ

•CONTRIBUTION - เมื่อโครงการนี้ได้เริ่มดําเนินการแล้ว น่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเตรียมความพร้อมในการสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในภาคธุรกิจ ท่องเที่ยว ให้เกิดความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี ใช้งานอย่างถูกต้อง จนเรียนรู้และสามารถสร้าง Customer Journey เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบดิจิทัลที่เหมาะสมและน่าประทับใจในระยะยาว

การนําเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อตอบโจทย์กระแส Contactless อีกทั้งยังสามารถนําข้อมูลมาใช้ วิเคราะห์และต่อยอดเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต การยกระดับแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว ที่จะช่วยอํานวยความสะดวกและดึงดูดนักลงทุน รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีกําลังซื้อสูง

สําหรับจุดยืนของกลุ่มดุสิตฯ นอกจากจะร่วมเป็นกําลังใจและพร้อมให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานใน การดําเนินโครงการนี้แล้ว เรายังกําลังศึกษาและเร่งเตรียมความพร้อมบุคลากร ตลอดจนระบบภายในของเราเอง เพื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจาก ดิฉันเชื่อว่า ด้วยความร่วมมือร่วมใจของ ทุกภาคส่วน พวกเราทุกคนจะสามารถช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวไทย ให้ยืนหยัดรับความเปลี่ยนแปลงและท้าทายต่างๆ เพื่อทําให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตไป อย่างยั่งยืนและมั่นคง

อนันดา ดีเวลลอปเม้นตท์

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นตท์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯ ในฐานะของผู้นําการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ติดสถานีรถไฟฟ้าได้เล็งเห็นถึงกระแสการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคในทุกมิติเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และสังคมแห่งนวัตกรรม โดยเทคโนโลยีบล็อคเชนได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างก้าวกระโดด ซึ่งหน้าที่ของ เราคือการทําความเข้าใจและปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปรวดเร็วนี้ บริษัทได้มีการนํานวัตกรรมและ เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสานในทุกองค์ประกอบของการดําเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตั้งใจนําเสนอสิ่งที่ดี ที่สุดให้แก่คนเมือง ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผนึกกําลังครั้งสําคัญของเดอะ มอลล์และบิทคับในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจของไทย ทัดเทียมการพัฒนาทางเศรษฐกิจยุคดิจิทัลในระดับโลก ทั้งช่วยพลิกฟื้นให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาเข้มแข็งขึ้น ได้เร็ววัน

บริษัทเองได้เริ่มมีเปิดรับ Digital asset และพัฒนาช่องทางการชําระเงินโดยนํา Cryptocurrency มาใช้ ชําระเงินสําหรับการซื้อขายบ้านและคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าของอนันดาฯ เป็นรายแรกของไทย โดยลูกค้า สามารถใช้เหรียญคริปโทฯ ชําระแทนเงินสดกับทุกโครงการของอนันดาฯ ผ่าน Wallet ของบิทคับ เพื่อเพิ่ม ความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในแง่ของการจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการมอบสิทธิพิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าของอนันดาฯ และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในการแลกเปลี่ยนผ่านสกุลเงินคริปโทฯ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของ อสังหาริมทรัพย์ไทยที่เป็นการปรับตัวสู่สังคมแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี

มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย)

คุณเจิดนภางค์ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จํากัด กล่าวว่า เอ็มจีซี-เอเชีย เป็นหนึ่งในผู้นําด้านธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ในประเทศ ไทย โดยสั่งสมประสบการณ์มากว่า 20 ปี มีความหลากหลายของยนตรกรรม ที่มีให้เลือกทุกระดับ รวมถึง บริการหลังการขายและ การบริการอย่างครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ โดยการดําเนินธุรกิจนั้นเรา ให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับ ประสบการณ์ของลูกค้า หรือ Customer Experience ผ่านช่องทางทั้งทางออนไลน์และ ออฟไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

การที่เราให้ความสําคัญกับลูกค้า โดยมองลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลางในการดําเนินธุรกิจนั้น สามารถตอบ โจทย์ในความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้ เราเชื่อว่าเทรนด์ของการใช้สินทรัพย์ ดิจิตัล จะเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นกําลังซื้อในอนาคตอย่างแน่นอน

เอ็มจีซี-เอเชีย เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าในความร่วมมือนี้ จะ สามารถเกื้อกูลและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าพร้อมความสะดวกในการใช้จ่ายอีกทางหนึ่ง อีกทั้ง ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดกําลังซื้อให้กับเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน

BDMS และ Bangkok Airways

นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรกลุ่ม BDMS และ สายการบิน Bangkok Airways เข้าร่วมด้วยเช่นกัน โดยได้มีการประกาศในงานแถลงข่าวว่า สายการบิน Bangkok Airways เตรียมจับมือกับ Bitkub ในการรับ Digital Asset ในการชำระเงิน โดยจะเริ่มรับที่สำนักงานใหญ่วิภาวดีรังสิต เป็นที่แรกวันที่ 1 มกราคม 2565 และในระยะต่อไปจะขยายสู่ออนไลน์
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 397

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 27

โพสต์

"เดอะมอลล์" เร่งเคลื่อน ศก.ดิจิทัล ผนึก "บิทคับ" ดันไทยฮับลงทุน-ท่องเที่ยว
By พรไพลิน จุลพันธ์01 ธ.ค. 2564 เวลา 8:08 น.

ยักษ์ค้าปลีก “เดอะมอลล์” ผนึก “บิทคับ” สตาร์ทอัพยูนิคอร์นเนื้อหอมแห่งยุค ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับไทยศูนย์กลางการลงทุนและท่องเที่ยวแห่งเอเชีย พร้อมรีโพสิชันนิ่งเปลี่ยนกฎใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เจาะกลุ่มทัวริสต์คุณภาพกำลังซื้อสูง เศรษฐีคริปโตฯ

ชี้ธุรกิจยุคใหม่ต้องเร่งทรานส์ฟอร์มปรับตัวรับ “เอ็กซ์โปเนนเชียล เคิร์ฟ” เพื่อความอยู่รอด แนะเล่นเกมใหม่รวมพลังผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ฮับ “ผู้ประกอบการนาโน” แห่งอาเซียน

ทุนค้าปลีกสัญชาติไทยยักษ์ใหญ่ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และพันธมิตรธุรกิจ “บิทคับ” (bitkub) สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น พร้อมผนึกความร่วมมือภาครัฐและเอกชนครอบคลุมเซ็กเตอร์ท่องเที่ยว บริการ และอสังหาริมทรัพย์ ประกาศความร่วมมือในการสร้างปรากฏการณ์แห่ง “เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างยั่งยืน สู่เศรษฐกิจยุค 5.0 จารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการค้าปลีก เร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย

หลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 มายาวนานกว่า 20 เดือน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก ไม่ต่างจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ทั้งยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อไร ล่าสุดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอไมครอน” ในประเทศแถบแอฟริกาเป็นอีกปัจจัยปั่นป่วนที่ต้องเฝ้าระวังความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดอีกระลอก

วานนี้ (30 พ.ย.) บนเวทีงานแถลงข่าว “The Pinnacle of Prosperity” ของ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป x บิทคับ” นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเดอะมอลล์กรุ๊ปและบิทคับ รวมถึงการผนึกกำลังภาครัฐและเอกชนครั้งนี้ จะมุ่งสร้างปรากฏการณ์เศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนและท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ โลกยุคใหม่ไร้พรมแดน (Globalization) การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) และการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism)

“ถ้าภาครัฐและเอกชนไม่จับมือกัน ประเทศไทยจะไปไม่รอด เพราะฉะนั้นต้องร่วมกันขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยซึ่งมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลัก เราไม่สามารถอยู่ได้แค่กำลังซื้อภายในประเทศ ในหลายๆ ประเทศก็เริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว เช่น สหรัฐ ยกเว้นประเทศจีนที่ยังคงนโยบายปิดประเทศ เพราะยังพึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศได้”

++ รีโพสิชันนิ่งจับทัวริสต์คุณภาพฟื้นรายได้

ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องรีโพสิชันนิ่ง (Repositioning) เปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใหม่ มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มเศรษฐีใหม่ (New Wealth) จากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและการท่องเที่ยว พลิกโฉมการสร้างประสบการณ์ชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยว

ทั้งหมดนี้จะช่วยฟื้นรายได้ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยซึ่งเคยเฟื่องฟู โดยเมื่อปี 2562 ก่อนเจอวิกฤติโควิดมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเกือบ 40 ล้านคน กระโดดกว่า 2 เท่าตัวจากฐาน 17 ล้านคนในปีหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ดึงชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นภายใน 2 ปีจาก 7 ล้านคน แม้ในช่วง 24 ปีนับตั้งแต่ปี 2540 ประเทศไทยจะติดหล่มกีฬาสีหรือความไม่สงบทางการเมืองเป็นเวลาร่วม 10 ปีก็ตาม ขณะที่คู่แข่งอย่างประเทศฝรั่งเศสมีอัตราเร่งด้านการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4 เท่าตัว จากฐาน 20 ล้านคนต่อปี สู่ 80 ล้านคนในปีก่อนเจอโควิด-19

“เราต้องช่วยกันเร่งฟื้นรายได้รวมการท่องเที่ยวของไทยจากที่เคยได้เกือบ 3 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2562 ซึ่งพอเจอวิกฤติโควิดทำให้รายได้หดตัว 90% เหลือเพียง 3 แสนล้านบาทเท่านั้น ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนั่งกันไม่ติดแล้ว กลยุทธ์ในการฟื้นรายได้รวมการท่องเที่ยวคือต้องรุกตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความมั่งคั่งสูงซึ่งกล้าใช้เงิน”



++ ร่วมทุนจัดตั้ง ‘บิทคับ เอ็ม โซเชียล’

ทั้งนี้ บิทคับ และ เดอะมอลล์กรุ๊ป ได้ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท บิทคับ เอ็ม จำกัด ในสัดส่วน 50:50 เพื่อร่วมลงทุนและบริหาร “บิทคับ เอ็ม โซเชียล” บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร บริเวณชั้น 8-9 ของโซนฮีลิกซ์ ควอเทียร์ อาคาร A ดิเอ็มควอเทียร์ ให้เป็นดิจิทัลคอมมูนิตี้แห่งแรกของเมืองไทยที่จะเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยน ความรู้ การจัดสัมมนาและการประชุมทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้สำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ทั้งยังเป็นแหล่งพบปะของนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งชาวไทยและต่างชาติ เป็นศูนย์กลางการเทรดและแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงมี NFT Gallery & Gaming และนำเข้าสู่โลกของ METAVERSE ในอนาคต



++ ปลุกท่องเที่ยวไทยเจาะเศรษฐีคริปโตฯ

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กลุ่มธุรกิจผู้นำด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน และดำเนินการตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีผ่าน บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกภาคการท่องเที่ยวจนสามารถสร้างรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของจีดีพี ภายใต้การเติบโตของกฎเก่านั่นคือการมุ่งสู่เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ระดับโลก (Top Destination)

แต่พอเจอวิกฤติโควิด ส่งผลให้รายได้รวมฯเหลือ 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 2% ของจีดีพี กว่าภาคท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวเต็มที่ต้องใช้เวลากว่า 2-3 ปี แน่นอนว่าเรารอไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องเปลี่ยนกฎใหม่ รุกเจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพ โฟกัสกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งครองสัดส่วน 20% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อรองรับแลนด์สเคปที่เปลี่ยนไปหลังยุคโควิด-19



++ ปรับตัวรับเอ็กซ์โปเนนเชียลเคิร์ฟดันธุรกิจรอด

นายจิรายุส กล่าวต่อว่า การพัฒนาของโลกทุกวันนี้เป็นเหมือนกราฟเอ็กซ์โปเนนเชียลที่พอถึงจุดเปลี่ยนโค้งสำคัญ จะเกิดการหักหัวพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปี 2020-2030 อยู่ในช่วงหลังของกราฟเอ็กซ์โปเนนเชียล เป็นแพ็คเกจของเทคโนโลยีต่างๆ ที่มาพร้อมกัน ทั้ง Blockchain, AI, AR, VR, Big Data, IoT และอื่นๆ

“โควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากกฎเก่าสู่กฎใหม่ของเกมเศรษฐกิจโลก สร้าง K-Shaped Recovery หรือการฟื้นตัวเหมือนตัว K คนที่สามารถเข้าใจและปรับตัวรับโลกดิจิทัลได้จะเรียกว่า Exponential Winner เหมือนกับขาขึ้นของตัว K ส่วนคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้กับดิจิทัลก็คือ Exponential Loser เหมือนกับขาลงของตัว K”

และในอีกไม่นาน เศรษฐกิจที่จะใหญ่ที่สุดในโลกไม่ใช่เศรษฐกิจทางกายภาพ (Physical) แต่เป็นเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะฉะนั้นคนที่จะชนะในเกมนี้คือคนที่เปิดใจและเข้าใจกฎใหม่ ทำให้ในช่วงนี้จะเริ่มเห็นบริษัทต่างๆ ที่มีสินค้าและบริการแบบ Physical จับมือกับบริษัทด้านเทคโนโลยีเพื่อทรานส์ฟอร์มสู่โลกอนาคต เพราะบริษัทที่จะอยู่รอดในอนาคตคือบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Company) โดยจะเห็นเทรนด์นี้ชัดขึ้นในช่วง 5-10 ปีนี้ ยิ่งการเปลี่ยนแปลงแรงเท่าไร โอกาสก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น



++ ดันไทยฮับผู้ประกอบการนาโนอาเซียน

แม้ว่า 10 ปีที่แล้วประเทศสิงคโปร์จะชิงโอกาสประกาศตัวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน แต่ประเทศไทยไม่ควรโฟกัสเกมเก่า ต้องโฟกัสเกมใหม่ เจาะกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งหรือเศรษฐีใหม่ ก้าวสู่การเป็นผู้นำหรือศูนย์กลางของผู้ประกอบการระดับนาโน (Nano Entrepreneur) ในภูมิภาคอาเซียน อาศัยจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวซึ่งสามารถรองรับการทำงานและท่องเที่ยวไปด้วย (Workation) เช่น ที่เกาะพะงัน ภูเก็ต และเชียงใหม่ และชูจุดขายใหม่ในฐานะจุดหมายปลายทางที่เป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาคนี้

“ปัจจุบันจีดีพีของไทยอยู่ที่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกมีมูลค่ารวมกันที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากประเทศไทยเดินหน้ายุทธศาสตร์สร้างการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อไร จะเติบโต 6 เท่าทันที นี่คือกลยุทธ์ควิกวินที่ประเทศไทยสามารถทำได้เลย เร่งประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าเราเป็นมิตรกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล”
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 28

โพสต์

ด่วน แบงก์ชาติ ประกาศไม่สนับสนุน การนำ “คริปโท” มาชำระค่าสินค้า
https://www.longtunman.com/34385
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Tanukicho
Verified User
โพสต์: 216
ผู้ติดตาม: 1

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 29

โพสต์

คนเริ่มเข้าใจแล้วครับ

ว่าคริปโตมันสร้างมาเพื่ออะไร ecosystem ที่ต้องการคืออะไร

ยังไงสายธารนี้ก็ไม่มีวันหวนกลับคืนมา
“ กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่เมื่อขาย ”
Cr.Richdad
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: BITKUB

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ช่วงเวลานี้ทำไม ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ พร้อมใจ เรื่อง stable coin และ DeFi พร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
อันนี้คือ สิ่งที่คิดไว้เท่านั้น
Stable Coin เนี่ยคือ เอกชนสร้างขึ้นมาโดยมี Asset Backup มูลค่าของ Coin
โดยพี่ใหญ่มี USDC /USDT /BUSD เป็นพี่ใหญ่ในตระกูลนี้
สิ่งที่เค้าทำคือ เอาสกุลเงิน USD มา Backup มูลค่าของ Coin และมีสินทรัพย์ประเภทอื่นๆรวมด้วย
บาง Stable coin ใช้ Algorithm ในการจัด Class ของ Asset ที่นำมา Backup
ดังนั้นหาก ธนาคารกลางจะออก CDBC ก็ต้องดูคู่แข่งคืออะไร นั้นเอง

ส่วน DeFi อันนี้คือ ตัวจุดกระแสของ Cryto รอบปี 2018 ถึงปัจจุบัน
มีการทำทั้งกู้/ยืม/ฝากได้ Coin หรือ ฝากได้ Token /แลกเปลี่ยนเหรียญโดยที่ไม่ต้อง convert เป็นสกุลเงินแห่งโลกความจริง
มันคือการทำงานของธนาคารนั้นเอง

มันเลยเป็นเหตุที่ทำให้ ธนาคารกลางของแต่ประเทศออก Action หากตัวเองต้องมาทำ CDBC นั้นเอง
ุจุดนี้สิ่งที่ต้องไปดูเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าสามารถออก CDBC ของตัวเองได้ไหม คือ พรบ เงินตรา ว่าให้อำนาจอะไรให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สามารถออกสกุลเงินของตัวเองได้ไหม ที่มาใช้งานแทนเงินบาท ซึ่งเป็นโจทย์ชิ้นใหญ่ของธปท ในปัจจุบัน หากออกมาโดยที่ละเมิดกฏหมายในส่วนของ พรบ เงินตรา งานนี้ก็ปฏิบัติงานโดยมิชอบ หากออกล่าช้าไป ก็ทำให้ตกรถ อันนี้คืองานหนักของธปท เลยทีเดียว
นั้นคือเดินไปข้างหน้าก็ไม่จะโดนมีดแทงจากกฏหมาย ถ้าหากถอยหลังไม่ทำก็ไม่ได้
อันนี้ต้องเข้าใจผู้ควบคุมกฏด้วย ว่ามีอะไรค้ำคอไว้ ซึ่งเป็นทุกธนาคารกลาง ณ เวลานี้

ในประเด็นก่อนหน้านี้ ที่บอกว่า ยานแม่ซื้อ BitKub แล้วคุ้ม เพราะ แค่มูลค่าของ Kub เองก็จะ Cover มูลค่าที่ ยานแม่ซื้อไปแล้ว อันนี้ สิ่งที่ควรระวังคือ Kub นั้น list ใน exchange น้อยแห่งมากๆ ถึงแม้นมันมี market cap ก็ตาม นั้นคือ การยอมรับ Kub ในแวดดวง Cryto มีน้อยไปหรือไม่ ลองไปเทียบกับ BNB ละกัน ว่าเป็นเช่นไร
BNB ถือว่าเป็นกรณีศึกษาในเรื่อง exchange ออกเหรียญของตัวเองได้ดีเหมือนกัน
เมื่อทำแล้วดี และเป็นที่นิยม exchange อื่นยอมรับ ที่อื่นก็ลอกกัน ทำให้ทุก Exchange ในระยะหลังก็ออก Coin เป็นของตัวเอง
:)
:)
โพสต์โพสต์