MoneyChat เจาะ3time frame เศรษฐกิจไทย ดร พิพัฒน์ KKP และ ดร กำพล SCB

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2607
ผู้ติดตาม: 248

MoneyChat เจาะ3time frame เศรษฐกิจไทย ดร พิพัฒน์ KKP และ ดร กำพล SCB

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Money Chat
เจาะ3time frame เศรษฐกิจไทย

ดร กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB
ดร พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

ดำเนินรายการโดย คุณ เนาวรัตน์ เจริญประพิณ

คุณเนาว์เชิญวิทยากรมาพูดถึง เศรษฐกิจใน 3 time frame คือปีนี้ ปีหน้า และ อีก สามปีข้างหน้าว่าเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นมาดูตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดกัน
ตัวเลข GDP ไทยจากเดิม และ ปรับใหม่ในแต่ละค่าย ตัวเลขปรับลดลงหมด กกร ปรับเป็นติดลบเลย

World Bank. 3.4% / 2.2%
สศค 2.3%/ 1.3%
กรุงศรี 2.0%/1.2%
กสิกรไทย. 1.8%/1.0%
BOT. 1.8%/0.7%
KKP Research. 1.5%/ 0.5%
กกร. - / -1.5%

ที่ไม่อยู่ในlist คือ SCB. 1.9% / 0.9%

ดร พิพัฒน์ บอกว่า ตัวเลขของที่KKP ให้ไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย แต่เป็นตัวเลขBest case 0.5%
แต่ถ้าเลวร้ายกว่าคาด อาจติดลบ
ขึ้นกับการlock down แต่คิดว่าต้องlock downอย่างน้อยสามเดือน จนถึง สิ้นเดือน กย
1.เราตรวจได้ 50,000 คนต่อวัน ติดเชื้อ 20,000คน ซึ่งถือว่าสูงมาก เราไม่รู้ติดจริงเท่าไหร่

2.ศักยภาพของสาธารณสุข ตอนนี้เกิน100% คนเสียชีวิตที่บ้านด้วย วัคซีนไม่เพียงพอ
ได้รับสองโดสแค่6% และเป็นsinovacส่วนนึง ประสิทธิผลของวัคซีนค่อนข้างต่ำ
ถึงปิดเมืองแล้ว แต่เปิดเมืองยาก เพราะภูมิต้านทานต่ำ
ปลายเดือน ตค จะมีแค่20%ที่ฉีดครบสองเข็ม ดังนั้นตัวเลข GDP มองที่ 0.5%

3.กระทบต่อdemand,supply การจับจ่ายใช้สอย เราถูกขอร้องให้อยู่บ้าน
ในตปท ชิลี มาเลเซีย อังกฤษ มาตรการเข้มงวดกว่านี้
ถ้าการติดเชื้อลุกลามไปถึงส่วนของภาคการผลิต เช่น โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม
โรงงานต้องปิด หรือ มาตรการเข้มข้นขึ้น ปิดโรงงาน จะกระทบGDPตรงๆ
ถ้าปิดโรงงานในส่วนกทมและปริมณฑลสัก20%จะเห็นGDP -0.8%
ตัวเลขยังมีdown sideอยู่พอสมควร ขึ้นกับไวรัสจะแพร่ไปขนาดไหน
4.วิธีที่ออกจากปัญหา คือ มีวัคซีนที่เพียงพอ แต่ตอนนี้ได้แค่5-6ล้านโดสต่อเดือนกระทบต่อการฉีด
ปัญหาคือsupplyไม่เพียงพอ
สิ่งที่ช่วยคือ การส่งออก เราต้องปกป้องชีวิตของคนที่อยู่ในส่วนของการผลิต
และวัคซีนต้องมากำหนด จะช่วยได้
จากงานวิจัยพบว่า วัคซีนแอสต้า เข็มแรก สร้างภูมิ30% เข็มสองภูมิจะเพิ่มไปที่70%
ดังนั้น เข็มแรกที่ฉีดส่วนใหญ่อยู่ต้นมิย ดังนั้น เข็มสองจะฉีดเยอะในช่วงต้น กย

5.มาตราการ lock down เพื่อลดแรงกดดันให้กับสาธารณสุข
มาตรการที่ใช้อยู่ยังไม่ได้ผล ดูจากตปท ที่เข้มข้นช่วงแรก และ ถ้าตัวเลขดีขึ้น
อีก14วัน ก็เริ่มคลายมาตรการลง
อีกเรื่องคือ รัฐจะเยียวยาคนที่ทำมาหากินได้ไหม เป็นความท้าทาย
ภาคธุรกิจ ที่ไม่สามารถWFH เช่น ภาคบริการ คนที่หาเช้ากินค่ำ
จนต้องปิดกิจการ กระทบใน4เรื่องคือ
5.1 การจ้างงาน ธุรกิจไปไม่ไหว ให้ลูกจ้างกลับไปก่อน แต่ถ้าหยุดสามเดือน
จะหาพนักงานยากขึ้น ศก จะไม่กลับมาเหมือนเดิม
5.2 Fix cost เช่น ค่าเช่า เกิดnegative cash flow , land lord ถูกกระทบ
5.3 ธนาคารที่ปล่อยกู้
5.4 Supply chain
จะกระทบเป็นลูกโซ่ ไปถึงคนต้นทาง เช่นคนเลี้ยงไก่ ว่าจะเลี้ยงเท่าเดิมไหม

Model ระบาดวิทยา
อินเดีย จะอยู่ในช่วง3-5 เดือน จึงเริ่มคลี่คลาย
สายพันธ์เดลต้า แพร่ระบาดได้เร็ว คนอินเดีย ฉีด6% แต่มีคนที่ภูมิคุ้มกัน70%
แสดงว่ามีคนติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว และ หายเอง มีภูมิคุ้มกันเพิ่ม
ซึ่งเราไม่อยากเป็นเหมือนเขา

แต่ควรทำเหมือนประเทศพัฒนาเช่นอังกฤษ
เวลาlock downก็มีการปิดเมืองจริงๆ ระหว่างทางฉีดวัคซีน ตอนนี้เขาฉีดไป60%แล้ว
ตอนนี้เริ่มเปิดเมืองได้

สรุป ตัวเลข GDP ติดลบได้จาก การlock downยาวนาน หรือ รัฐใช้มาตราเข้มข้น
ปิดโรงงานที่ผลิตเพื่อส่งออก

ถ้าเรามีวัคซีนที่เพียงพอ และเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ต้องฉีดทุกคน เพื่อลดการติดเชื้อให้เร็วสุด
การฟื้นตัวช่วงแรก อาจเป็นคนไทยไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวเหมือนปีที่แล้ว
ปัจจัยที่ผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตในปีหน้า มี
1.เงินออมเหลือมหาศาล ถ้าเมืองเปิดจะเกิดpaint-up demandสูง ศก จะเติบโตเร็วมาก
2.การท่องเที่ยว ต้องรอต่างชาติสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้อย่างปกติ อาจเป็น 2H2022
ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง กินบุญเก่าอยู่ เราควรพยายามปรับในส่วนนี้
เพื่อให้แข่งขันได้ พอเศรษฐกิจโลกฟื้น เราจะได้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น

ดร กำพล
ตัวเลขเศรษฐกิจของ SCBที่มองGDPโต 0.9% มาจาก EIC คาดการณ์ไว้
ตอนที่ออกตัวเลข มีพูดถึงสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ด้วย GDP อาจไม่ถึง 0.9%
เรื่องของวัคซีน EM market รวมไทย ได้วัคซีนค่อนข้างช้า Slow but not sure
ตัวเลขGDP อาจถูกปรับ จากนโยบายเรื่องชนิดของวัคซีน และการฉีดไม่ทั่วถึง
ปีนี้ ไม่มีสำนักไหนทำเกิน 1% แต่จะต่างกันที่ export, import
สะท้อนว่าไทยฟื้นตัวช้ามาก ปีที่แล้ว -6% และปีนี้โตแค่1%
เป็นอุปสรรคใหญ่มาก กระทบต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต ของคน และ Balance sheet
แผลเป็นทาง ศก เกี่ยวกับหนี้ของประชาชนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการระบาดไปที่ลูกค้าของเรา
ในอาเซียน ทำให้ trade partner ในอาเซียนก็จะลำบาก
แต่ถ้าเป็น DM ถึงแม้ปิดเมือง ความรุนแรงจะไม่เท่าเรา
การส่งออกถึงแม้ดีในครึ่งปีแรก แต่เราต้องมาดูว่าลูกค้าไหนจะแย่ในช่วงครึ่งปีหลัง
รวมถึงภายใน มีโรงงานจะถูกปิดหรือไม่ ซึ่งกระทบต่อส่งออก

ถาม ถ้าไวรัสเริ่มลดลงในQ4 ศก จะฟื้นไหม
ตอบ ถ้าดูจากหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา แรงกระตุ้นที่ทำให้ ศก โต เช่น การลงทุนภาครัฐ
การกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน
แต่ตอนนี้ จะใช้การกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือน พบว่า หนี้ครัวเรือนถึง90%แล้วรวม
ถึง ภาครัฐก็มีกระสุนจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประเมินว่าต้องใช้เวลาในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้าได้วัคซีนเร็ว และทั่วถึง ก็จะทำให้คนเริ่มมั่นใจ กล้ามาจับจ่ายใช้สอย แต่ก็เจอหนี้ครัวเรือนและ
ภาคการคลังที่ใช้มาเยอะที่ผ่านมา จะถึง60%ของGDPแล้ว
แต่จะส่งผลต่อGDP ในปีหน้าจะเติบโตขึ้น

มาตรการจากที่USใช้ รูปแบบจะเปลี่ยนไป จากเริ่มต้นแจกเงิน จะมาเป็น Family plan , Infra plan

การสร้างความเชื่อมั่นของคน เพื่อจะได้ขยับกิจกรรมมากขึ้น
หลักๆ อย่างแรก คือ การหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ
ภาครัฐอยากให้ข้อมูลอย่างชัดเจน เรื่อง การจัดหา การจัดสรรวัคซีน กับประชาชน

จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และ ภาคการผลิต จะได้price inในเรื่องความเสี่ยงได้
นโยบายการเงิน ดอกเบี้ยต่ำ มีsoft loan สภาพคล่องไม่มีปัญหา
แต่เป็นเรื่อง credit risk ไม่มั่นใจ ทำให้ปล่อยกู้ยาก
แนบไฟล์
A9AB28B7-111C-4384-BA10-E6DB5C48B801.jpeg

โพสต์โพสต์