สัมมนาจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง ต้อนรับการเปิดประเทศ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2608
ผู้ติดตาม: 255

สัมมนาจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง ต้อนรับการเปิดประเทศ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัมมนาจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง ต้อนรับการเปิดประเทศ

โดย คุณ ศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่ลงทุน บลจ กรุงศี
คุณ อิสระ อรดีดรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล กรุงศรี
คุณ ชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์การลงทุน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ดำเนินรายการโดย คุณ ทีน่า เจ้าของเพจ Made in Tina

เริ่มที่ คุณชัยเกษม มาพูดถึงมุมมองของBlackRockในช่วงครึ่งปีหลัง
1.อัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาล จะน้อยกว่าในอดีต ความเสี่ยงไม่สูง แต่กระจายการลงทุนได้
2.ประเทศจีน เงินเข้าไปลงทุนจากไทย 70,000ลบ ช่วงครึ่งปีแรก จะเห็นเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง
จากภาครัฐและธนาคารกลาง ดำเนินมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด
ให้น้ำหนักสำหรับ หุ้นจีน เป็นกลางในระยะสั้น
และเพิ่มน้ำหนักของตราสารหนี้จีนขึ้น
3.การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เห็นพ้องต้องกันทั่วโลก แต่รายละเอียดไม่ชัดเจน เช่น ทำอย่างไร
กับ พลังงานเดิม หรือ จำนวนที่จะลงทุน
ทาง Blackrock ชอบ กลุ่มTechที่มีนวัตกรร ผลิต คิดค้นสินค้าแก้ปัญหาโลกร้อนอยู่แล้ว

คุณ ศิระ
Q; ตราสารหนี้ Yieldน่าจะปรับตัวขึ้นจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นล่าสุด 5.4% ปรากฏว่า Bond Yieldปรับลดลง
ทำไมเป็นเช่นนั้น
A: จังหวะที่ทุกคนกลัว เราควรกล้าลงทุน
-ปีนี้ ประเทศขนาดใหญ่ฟื้นได้เร็ว และเงินเฟ้อไม่ได้น่ากลัว
-สมัยก่อน ปี2013 เห็น Bond Yield ขึ้นไป 1.2 % แต่คราวนี้ Bond Yieldปรับขึ้นไปก่อน 1%แล้วค่อยปรับลง
-ช่วงจะขึ้นดอกเบี้ยต้องมีการประกาศ QE Taperingก่อน ตอนนี้ทุกคนก็คาดว่าจะเห็น QE Tapering
-การจ้างงานกลับมาไม่เต็ม100%ปีที่แล้ว คนตกงาน20ล้านคน ปีนี้ยังตกงาน 7-8. ล้านคน FEDยังห่วงตรงนี้
-ฟองสบู่ การปล่อยสภาพคล่องของFED เงินท่วมไปอยู่ในตลาด เช่น อสังหา เริ่มเห็นราคาบ้านเพิ่มเร็ว
สงสัยว่าจะเกิดฟองสบู่หรือไม่

คุณอิสระ
แนะนำว่าตอนนี้ลงทุนอยู่ในตลาดที่พัฒนา (DM) แต่อีก 3-6 เดือน ข้างหน้า ควรrotation หลังมีการฉีดวัคซีนเพียงพอ
ในEMหรือ non us market ดังนั้น กลุ่มCyclicalจะโดดเด่น

ในไทย อัตราการฉีดวัคซีน เนื่องจากนโยบายไม่แน่นอน มีการlockdown กลุ่มไหนจะโดนบ้าง เป็นriskที่มองไม่ออก
GDP คาดว่าโต1%ต้นๆ downsideเปิดกว้าง การปิดโดยการเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วสุด
นักลงทุนอยากเห็นความชัดเจนตรงนี้
ช่วงสั้น Criticalสำคัญมาก ไทยพิเศษกว่าตลาดEMที่อื่น คือ

ไทยต้องการเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเพิ่มเติม
-ส่งออก อีก2-3เดือนจะชะลอตัว และ ตค จะเริ่มฟื้นจากการเร่งผลิตเพื่อรองรับเทศกาลChristmas
ดังนั้นช่วงนี้ให้ซื้อ Defensiveไปก่อน
-การบริโภคในประเทศของus. 50-60%
-การคาดหวังในQ4 ควรเอาตัวเลขworst caseไว้ก่อน แต่อีก12เดือน หุ้นไทยจะไปถึง 1,700 จุดได้

คุณ ชัยเกษม พูดถึง มุมมองต่อสินทรัพย์ต่างๆดังนี้

1.หุ้นยังเป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลัง และครึ่งปีแรกของปีหน้า
เหตุผล คือ
1.1นโยบายผ่อนคลายต่อเงินเฟ้อของสหรัฐ ทำให้หุ้นน่าสนใจกว่าตราสารหนี้
1.2การกระจายวัคซีนได้เร็วขึ้น และ DMได้รับวัคซีนอย่างน้อย1โดสแล้ว

2.ตราสารหนี้
Blackrock มีมุมมองในตลาดสหรัฐเป็นหลัก มองหุ้นกู้เอกชน ลงทุนอายุ 6-12 เดือนได้
แต่ งดลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว

3. ส่วนเงินสดให้เป็นกลาง เพื่อพักเงิน มีสภาพคล่อง

1.หุ้นในแต่ละประเทศ
1.1 หุ้นUS ปรับจาก + เป็นกลาง เพราะราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่น้ำหนักหุ้นus ยังเยอะสุดในพอร์ต เพราะ หุ้นus คิดเป็น 60%ของหุ้นโลก
1.2 หุ้น EU ชอบ เพราะ ราคาไม่แพง มีเงินทุนไหลเข้า และ ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น
1.3 หุ้น UK ไม่ชอบ เพราะราคาหุ้นปรับขึ้นไปแล้ว
1.4 หุ้น JP ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น จาก Global rebound
1.5 หุ้น China มีความผันผวนระยะสั้น อยู่ในช่วงพัฒนาเศรษฐกิจ ให้เป็นกลาง แต่ชอบตราสารหนี้จีนมากกว่า
1.6 หุ้น Asia ex JP เป็นกลาง โดยมีจีนอยู่ในส่วนนี้ค่อนข้างมาก

2.Fixed Income
2.1ลดน้ำหนักพันธบัตร Investment grade , High Yield Bond ใน us, global
2.2 แต่ชอบ ตราสารหนี้สหรัฐที่เป็น Inflation Link bond ที่ให้ผลตอบแทนตามเงินเฟ้อ ได้ถึง 2%กว่า
2.3 ชอบตราสารหนี้จีนและเอเชีย คุณภาพดี ราคาใช้ได้ Yield 5-9%

คุณ ศิระ พูดถึง ภาวะของตลาดตราสารหนี้ที่ชอบ คือ ตลาดต้องโต แต่ไม่โตรุนแรง เงินเฟ้อไม่เพิ่มเยอะเกินไป
ถ้าเทียบระหว่าง ไทย และ สหรัฐ การลงทุนในตราสารหนี้ไทยน่าจะเหมาะสมกว่า

ดังนั้นแนะนำให้ลงทุนในกอง KFAFIX สำหรับระยะยาว และ ระยะสั้น ลงในกอง KFSMART , KFsplus
ถ้า Bond Yieldในไทยแตะ2%
ตราสารทุน
คุณอิสระ บอกว่าปีนี้มั่นใจจะเห็น 1,700จุด เหตุผลคือ
1.การนำเข้าวัคซีนเพียงพอหรือเปล่า
ถ้าดูจากข้อมูลน่าจะฉีดได้ 30-40%ของประชากร
รวมถึงการคาดการณ์กำไร ปีนี้ ปรับเพิ่ม10% และปีหน้าปรับเพิ่มกำไรอีก 6%

2.หุ้นไทย laggard หุ้น EMอื่นๆ
ทำให้ต่างชาติมีโอกาสหันมามองหุ้นไทยมากขึ้น
มองว่า ช่วงrange 1,400 – 1,700 จุด

ตราสารทางเลือก
REITs underperform หุ้นไทย และ REITs โลกมาก
เปิดประเทศเมื่อไหร่ น่าจะปรับขึ้นได้ดี

หลักเกณฑ์ การคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตคือ
Laggard, Service , Inflation Hedge
พบว่า มีหุ้นน่าสนใจ คือ BBL,KBANK , PTTEP,BDMS และ REITs คือ CPNREIT

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ คุณชัยเกษม จัดพอร์ตรับการเปิดประเทศ
โดย ใช้port แบบ Global Tactical Asset Allocation (GTAA)
ปรับพอร์ตอย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สิน และ มีความสม่ำเสมอในทุกสถานการณ์
ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง บลจ กรุงศรี และ Blackrock ซึ่งเป็นบลจ ที่มีขนาดใหญ่สุดของโลก
เหมาะกับ การให้ผู้จัดการกองทุน ปรับสัดส่วนassetได้ เราแค่ซื้อและถือรออย่างเดียว
ถือว่าเป็น product one stop service จริงๆ
มีตัวอย่างพอร์ตในสไลด์

สุดท้ายขอขอบคุณ วิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้ครับ
แนบไฟล์
56BD9C09-5475-4635-A281-202BA75B8BA7.jpeg
5815647A-C25A-4CCC-B0C0-E00473274685.jpeg
0BA17A3D-4D7D-4939-A010-87C04CBA87CA.jpeg
9D70085F-DDC0-48F6-9B4C-723D1FC2DB7A.jpeg
FCE587ED-60C8-4E65-B763-3C8A56475690.jpeg
F768CBE5-822F-4306-93BA-10DA4D29B706.jpeg
962F250B-4052-455E-AECA-9A8D5244DBF9.jpeg
FC6E3EF3-8587-4772-B48D-8DC9A1733A49.jpeg
66ACAD2B-4AE7-4B5B-936C-864B18371D66.jpeg
3C97E9E7-A236-4C33-B517-B82F150EE5E0.jpeg

โพสต์โพสต์