ตลาดปรับฐานหรือยัง โดย ดร วิศิษฐ์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2608
ผู้ติดตาม: 255

ตลาดปรับฐานหรือยัง โดย ดร วิศิษฐ์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ตลาดเตรียมปรับฐานหนักกลางปีหรือครึ่งปีหลัง FED จะลด QE เร็วกว่าคาด คือลด QE ในปีนี้เลย ต้นอาทิตย์ฟัง ดร.วิศิษฐ์ ก็ตกใจเล็กน้อย เดี๊ยวแอดสรุปให้ฟัง อาจจะไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่สำหรับมือใหม่ แต่ถ้ามีพื้นฐานน่าจะพอฟังรู้เรื่องบ้าง มาดู Model กันว่าทำไม ดร.ถึงคิดว่าครึ่งปีหลังต้องระวังเป็นพิเศษ มาดูกัน (bond yield 10 ปี มักจะใช้วัดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ถ้าร้อนแรงไป แบงก์ชาติก็อาจจะเข้ามาควบคุม)



1. เริ่มจาก Bond yield 10 ปี จากสถิติถ้า Bond yield ปรับตัวขึ้น 1.3% ใน 6 เดือนมักจะเจอการปรับฐานที่รุนแรง รอบนี้จุดต่ำสุดคือ 0.6 ดังนั้น ถ้า Bond yield ขึ้นไป 1.9 จะถือว่าอันตรายมาก ดร.บอกว่า 1.8-2% คือตัวเลขที่อันตรายเพราะ ช่วงที่ Yield ขึ้น (ราคา bond จะร่วง) เงินจะไหลออกมาลงทุนในหุ้น และเมื่อ Yield เริ่มหยุดขึ้นเงินจะไหลกลับไป Bond หุ้นมักจะถูกเทขาย คำถามต่อไป แล้วอะไรบ้าง ที่ จะทำให้ Bond yield 10 ปีไหลระดับ 1.8 ได้ ปัจจุบันอยู่ที่ 1.4%

2. แกให้เหตุผลมาราวๆ 4 ข้อ สิ่งที่จะทำให้ bond yield พุ่งไปถึงจุดๆนั้น
2.1 การอัดฉีด 1.9 TL จะทำให้ Dollar อ่อน และเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ รวมถึง demand ในกลุ่ม Commodities ก็จะเพิ่มขึ้น คนจับจ่ายใช้ส่อยมากขึ้น
2.2 Wealth Effect (demand pull) ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นเยอะมาก ทำให้คนรวยมากขึ้น และเมื่อคนเหล่านี้ ออกมาใช้เงินมากขึ้น ก็จะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อเช่นกัน
2.3 การเปิดเมืองที่เร็วขึ้น ตอนนี้อเมริกามีการฉีดวัคซีน 1.6 ล้านคนต่อวัน และคาดว่า เงินจากการอัดฉีดของไบเดน Demand pull และเงินออม เมื่อเมืองเริ่มเปิดคนเริ่มออกมาใช้เงินกัน จะทำให้เงินเฟ้อมาเร็วกว่าคาด วัดได้จาก GDP อเมริกาที่คาดว่าจะมากถึง 7% ซึ่งเดิมคาดไว้ 5-6% ตัวเลขนี้ถือว่าร้อนแรงมาก เพราะปีที่แล้ว อเมริกา -3.5% ถ้าปีนี้ +7% คือสถานการณ์กลับมาก่อนวิกฤต ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยก็ควรจะอยู่ในระดับก่อนวิกฤต เพราะทุกอย่างจะกลับไปค่าปกติ
2.4 Cost push inflation เพราะ supply ขาดแคลนจากวิกฤต จนทำให้ราคา Commodities พุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะน้ำมัน Copper สินค้าการเกษตร ค่าระวางเรือ ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น

เหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้ ดร. เชื่อว่าจะเป็นตัวเร่งให้ ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเร็วมาก จนถึง 1.8% นี่คือระดับที่แกเชื่อว่า จะทำให้ตลาดกังวลแบบสุดๆ นอกจากนี้ แกยังให้จับตาดูเงินเฟ้อในเดือน 5 และ 6 ถ้าเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไป (น่าจะ Core CPI) ขึ้นไประดับ 2.5% (ตอนนี้ 1.4%) นี่คือเป้าหมายที่ FED จะยืนยันว่า เศรษฐกิจร้อนแรงไปแล้ว และน่าจะเริ่มคิดถึงเรื่องการหยุดผ่อนคลาย หรือลด QE ซึ่งแกคาดว่าจะเกิดในเดือน กย ถ้าเงินเฟ้อมาแรงในช่วงกลางปี

มาวิเคราะห์ตลาดไทย แกบอกว่า EYG(ผลต่างระหว่างผลตอบแทน bond vs หุ้น) ปีที่แล้ว 7-8% ที่ 1100 เป็นระดับที่น่าลงทุน และตอนนี้ EYG=3.5% ถ้าดูจากการส่งออก การท่องเที่ยวนักวิเคราะห์ไม่ได้ upgrade Earning ในตลาดหุ้นไทย จะทำให้เมื่อ Yield ของตลาดพันธบัตรยิ่งขึ้น จะทำให้หุ้นยิ่งแพง(ถ้า Earning ตามการคาดการณ์ในปัจจุบัน) จะทำให้ EYG ยิ่งแคบลงเรื่อยๆ = ยิ่งไม่น่าลงทุนในหุ้น และถ้าเกิด FED ลด QE(ลดการใส่เงินเข้าระบบ ไม่ได้ดึงเงินออกนะ) หุ้นไทยที่เรียกได้ว่าแพง จะโดนถล่ม เพราะเงินจะไหลเข้าไปพันธบัตรมากขึ้น บวกอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แกเลยบอกว่าหุ้นไทยช่วงรอยต่อ Q2 และ Q3 ดูอันตรายมาก

วิเคราะห์ต่อไปอีก ว่ากลุ่มไหนในไทยน่าเล่นบ้าง แกบอกว่าหุ้นปันผล เพราะถ้าอัดฉีด ในเดือนมีนา ดอลล่าจะอ่อน และเชื่อว่าบวกกับ Bond yield พุ่งขึ้นอีก จะทำให้นักลงทุน Bond ต้องย้ายเงินมาหุ้นปันผล เพื่อรักษาผลตอบแทน ในเดือนมีนาและเดือนเมษา ส่วนหุ้นที่น่าเล่นในช่วงครึ่งปีหลัง คือ climate change และ Commodities(อันนี้ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน ถ้าเงินเฟ้อขึ้น คนน่าจะใช้สินค้าลดลง ความจริงไม่น่าเล่นหรือเปล่า ไม่รู้แอดฟังผิดหรือเปล่า) สรุปแกบอก ครึ่งปีจะดี ครึ่งปีหลังจะไม่ค่อยดีหรือสู้ครึ่งปีแรกไม่ได้ ในส่วนกลุ่มเทคแกบอกให้ระวัง Regulator และกังวลหุ้น Consumer และสื่อสารในประเทศ

----------จบ------------ ของ ดร.วิศิษฐ์

สรุปของแอดบ้าง อันนี้เป็น Model ที่แกคิดว่า มีโอกาสเจอ ดังนั้น หน้าที่เราอาจต้อง Track ตาม และเราอาจต้องตั้งข้อสงสัยต่างๆใน Model ประกอบด้วย
1. สิ่งที่ต้อง Track คือ ถ้าเดือน 5-6 เงินเฟ้อขึ้นถึง 2.5% Model แกมีความเป็นไปได้เลยนะ ต้องระวัง แต่ถ้าไม่ ก็อาจจะยังไม่ต้องกังวลมาก
2. แกเชื่อว่า เศรษฐกิจอเมริกาตอนนี้ดีมาก ดีกว่าก่อนวิกฤตแล้ว ตัวเลขคนตกงานก็ใกล้กลับไปเหมือนเดิม อันนี้แอดคิดว่า ไม่น่าใช่ เพราะคนตกงาน 10 ล้าน หรือ 6.3% เทียบกับ 3.5% ยังห่างมากๆ อันนี้ อาจจะทำให้ Model แกผิดก็ได้นะ
3. เงินเฟ้อจะขึ้นได้เร็วขนาด 2.5%(Core CPI) เพราะ ในช่วง 10 ปีหลังอเมริกาไม่เคยถึงตัวเลขนี้เลย แม้กระทั่ง ทรัมป์อัดฉีดรอบที่แล้ว เงินเฟ้อยังขึ้นมาน้อยมาก Powell เองก็ยังไม่เชื่อว่าการอัดฉีดจะสัมพันธ์กับเงินเฟ้อมากมายอะไร ดังนั้นก็น่าจะยากอยู่ แต่ยังไงก็ต้องจับตา เพราะถ้าถึง Powell อาจจะมีลังเลได้เลยนะ แต่การที่คนตกงานเยอะมากแบบนี้ แอดเชื่อว่าไม่ง่ายแน่นอนที่ เงินเฟ้อจะพุ่งได้เร็วขนาดนั้น
4. มุมมองในตลาดไทย ที่ นักวิเคราะห์ไม่ upgrade เพราะเชื่อว่า วัคซีนอาจจะแพร่หลายในปลายปี 2022 ในเรื่องของการ upgrade forward EPS ในครึ่งปีหลังอาจจะยังเป็นไปได้ เพราะสถานการณ์วัคซีนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ครึ่งปีหลัง J&J ล่าสุดอเมริการับรองแล้ว supply น่าจะเข้ามาอีกในครึ่งปีหลัง

เอาเป็นว่า Model ดูน่าสนใจมากๆ สรุปสั้นคือ ถ้า เงินเฟ้อในเดือน 5-6 ขึ้นถึง 2.5% ก็ตัวใครตัวมันล่ะ เขียนมาทั้งหมด ดูแค่นี้แหล่ะตัวเดียวพอ อีกนิดก่อนจะถึงเดือน 5-6 ถ้าใครเก็ง Yield bond ขึ้น ต้องไปดักหุ้นปันผลสูงด้วย แต่บางคนก็ว่า Yield น่าจะขึ้นถึง 1.5% ก็อาจจะต้องระวังแล้ว เพราะหุ้นอเมริกาตอนนี้ให้ผลตอบแทนราว 1.5% เช่นกัน ดังนั้นถ้าถึง 1.5% Yield ก็คงไม่ขึ้นเท่าไหร่แล้ว หุ้นปันผลก็อาจจะไม่น่าสนใจ แต่ที่ต้องระวังอาจจะกลายเป็นตลาดอเมริกาที่แหล่ะจะเสี่ยงปรับฐานทั้งตลาดแทน

Clip เต็ม
https://www.youtube.com/watch?v=1xG3pSgIndU

โชคดีครับ
Boyles Bigmove club

Cr:Money Chat,ข่าวสารการลงทุน Bigmove Club New
แนบไฟล์
5FF90C55-5589-4E2E-91BE-453C446BDF7E.jpeg

โพสต์โพสต์