AMADO

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

AMADO

โพสต์ที่ 1

โพสต์

“อมาโด้” ทุ่ม 50 ลบ.รีแบรนดิ้ง 1 มี.ค.นี้ รับแผนเข้าตลาด mai

นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (Amado) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำ เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการรีแบรนด์ Amado อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564

โดยจะรีแบรนด์แบบเมเจอร์เชนจ์ (Major Change) ครบทุกมิติ ตั้งแต่กระบวนการทำงานภายในองค์กรไปสู่ภายนอก เพื่อรองรับธุรกิจที่เติบโตมากขึ้น มั่นคงมากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เริ่มจากการปรับเปลี่ยนโลโก้ Amado ดึงรูปหัวใจออกมาเป็นรูปโล่ (Shield) เพื่อให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของแบรนด์ที่ต้องการเป็นเกราะกำบังสุขภาพของผู้บริโภคชาวไทยและต่างประเทศที่วางใจบริโภคสินค้าแบรนด์ Amado

รีแบรนด์คำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise) ใหม่ เป็น “We Live For Your Health” ตามวิสัยทัศน์ “Vitamin & Supplement’s Expert” เพื่อตอกย้ำเป้าหมายที่มุ่งมั่นเป็นที่ 1 ในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยและระดับเอเชีย เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผลิตภัณฑ์และตอกย้ำความตั้งใจในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สุขภาพอันดีของผู้บริโภค รีแบรนด์โปรดักส์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรกการเปลี่ยนแพคเกจจิ้งผลิตภัณฑ์ Amado ใหม่ทั้งหมด ให้มีรูปลักษณ์ทันสมัยมากยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับแนวทางการสื่อสารของ แบรนด์ ส่วนที่สอง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ส่งเสริมโภชนาการให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารที่เพียงพอและได้รับประโยชน์สูงสุดที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันยึดหลักโภชนาการในระดับ Optimal Levels เพื่อให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดี จากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติ 100% อย่างถูกต้องปลอดภัย ตอบโจทย์การดูแลรักษาสุขภาพของคนผู้บริโภคมากขึ้น

ทั้งในกลุ่มบำรุงสายตา กลุ่มการเจริญเติบโตในเด็ก กลุ่มบำรุงกระดูกข้อ กลุ่มเกี่ยวกับระบบย่อย และกลุ่มบำรุงสมอง เป็นต้น ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ที่หันมาดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดทุกไตรมาส เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและขยายฐานลูกค้าไปหลายเซ็กเมนท์มากขึ้น

“ที่ผ่านมา Amado มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมาจากสตาร์อัพ วันนี้ Amado ไม่ใช่ เชน ธนา อีกต่อไปแต่เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพได้มาตรฐานเทียบเท่าแบรนด์ระดับสากล ที่กำลังเดินหน้าและอยู่ในกระบวนการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ขับเคลื่อนองค์กรด้วยพนักงานกว่า 250 ชีวิต สร้างช่องทางขายที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสูง มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแบบทันทีทันใด (Real-Time Strategic Platform) ด้วยดีลเลอร์ที่มีศักยภาพในการขายรวม 50 ราย พร้อมร้านอมาโด้ จำนวน 100 แห่งทั่วประเทศ กระจายอยู่ในศูนย์การค้าชั้นนำและแหล่งชุมชนชั้นนำทั่วประเทศ” นายธนาตรัยฉัตร กล่าว

นายธนาตรัยฉัตร กล่าวเสริมว่า การรีแบรนด์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในภารกิจนำแบรนด์ Amado ขึ้นแท่นอันดับ 1 ใน 3 ในแง่ยอดขายของแบรนด์ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในตลาดประเทศไทย พร้อมสร้าง Loyalty Consumer ให้ครองใจผู้บริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ Amado ยังได้เดินหน้าเพิ่มทัพเทเลเซลล์ เป็น 200 คน สายจากเดิม 100 คน เพื่อรองรับ Amado Shopping สุขทุกการสั่งซื้อ ธุรกิจใหม่ซึ่งจะช่วยให้ Amado มีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจหลัก และยังสามารถสะสมข้อมูลลูกค้าเพิ่มขึ้นในจำนวนมหาศาล นำไปสู่ฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสทางการขายด้วย Data Driven Marketing ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภค ช่วยให้ออกแบบการนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นนำไปสู่การปิดการขายได้ง่ายขึ้น จาก Big Data ซึ่งปัจจุบัน Amado มีข้อมูลฐานลูกค้าราว 1.2 ล้านคน และคาดว่าจำนวนฐานลูกค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100% ซึ่งจะช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีศักยภาพ เนื่องจากการเพิ่มช่องทางการขายที่ทรงประสิทธิภาพ แบบถูกที่ถูกเวลานำมาซึ่งจำนวนข้อมูลลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อผนวกเข้ากับการนำ Data มาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และโปรโมชั่นให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายได้ดีกว่าเดิมถึงสองเท่า
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 2

โพสต์

‘อมาโด้’ผนึกพันธมิตร ปักเป้ายอดขาย500ล.

“อมาโด้” จับมือ “ไทยยินตัน” ส่ง ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “โปรไบโอติก” เกรดพรีเมียม สินค้าขายดีอันดับ 1 ติดต่อกันนาน 23ปีซ้อนจากญี่ปุ่น บุกตลาดไทย ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 500ล้านบาท



นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (Amado) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำ เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ (JINTAN BIFINA EX) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติก ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่าง “อมาโด้” และ “บริษัท ไทยยินตัน จำกัด” ผู้ถือสิทธิ์ในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ (JINTAN BIFINA EX) จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง JINTAN BIFINA EX เป็นสินค้ายอดขายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น ติดต่อกันนาน 23ปีซ้อน โดยอมาโด้จะเป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวในประเทศไทยทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์



รุกขยายฐานลูกค้า



ทั้งนี้ การนำผลิตภัณฑ์ JINTAN BIFINA EX เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย นอกจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์นำอมาโด้ก้าวเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเทียบเท่าแบรนด์ระดับสากลแล้ว ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นระดับบน รวมทั้งมีเป้าหมายนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเข้าไปยังโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศอีกด้วย



สำหรับผลิตภัณฑ์ บิฟิน่า ในประเทศญี่ปุ่นมีจำหน่ายทั้งหมด 3 สูตร คือ ได้แก่ สูตรที่ 1อาร์ มีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่เป็นจุลินทรีย์ จำนวน 2,500 ล้านตัว สูตรที่ 2เอส มีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่เป็นจุลินทรีย์ จำนวน 5,000ล้านตัว และสูตรที่ 3 อีเอ็กซ์ มีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่อมาโด้เลือกมาจัดจำหน่ายในประเทศไทยมีความโดดเด่นกว่าอีก 2สูตรแรก เนื่องจากมีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่เป็นจุลินทรีย์ จำนวนมากถึง 10,000 ล้านตัว เป็นชนิดผง รับประทานง่าย ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่แต่เดิมในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้สุขภาพของลำไส้ดีขึ้น



อัพยอดขาย500ล.



“เทรนด์การรับประทานโปรไบโอติกในประเทศไทยกำลังเติบโต เนื่องจากคนใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายจากผลิตภัณฑ์ JINTAN BIFINA EX ในปีแรกไว้ที่ 500ล้านบาท ทั้งนี้ JINTAN BIFINA EX จะวางจำหน่ายในทุกช่องทางขายของอมาโด้ในวันที่ 3 มีนาคม 2564นี้เป็นต้นไป ในราคากล่องละ 1,990 บาท” นายธนาตรัยฉัตร กล่าว
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 3

โพสต์

AMADOเปิดตัวคอลลาเจน รองรับตลาด”ผู้สูงวัย”


AMADO เปิดตัวผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสูตรใหม่ “ซิลเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม (Silver Collagen Type II Plus Calcium)” เจาะตลาดผู้สูงวัย คาดยอดคอลลาเจนสูตรใหม่ 500 ล้านบาท เพื่อดันยอดขายเข้าเป้าในครึ่งปีหลัง เดินหน้าปั้นตัวแทนจำหน่ายเพิ่ม 1,000 คน หนุนเป้าดันยอดปี2564 สู่3,000 ล้านบาท



นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) กล่าวว่าบริษัทเห็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัด และถือเป็นกลุ่มประชากรที่มีอำนาจต่อรองในการซื้อ ตลอดจนมีกำลังซื้อสูง ถือเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการด้านวิตามินและอาหารเสริมที่ต้องเร่งสนับสนุนและดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพและเพื่อสอดรับกับประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society)



ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (เฮลท์) ซิลเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม (Silver Collagen Type II Plus Calcium) เป็นคอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide) เสริมด้วยแคลเซียม วิตามินดี 3 และเค 2 ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและกระดูก พร้อมเจาะกลุ่มผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสูตรใหม่ 500 ล้านบาทภายในสิ้นปี2564 และพร้อมวางจำหน่ายทุกช่องทางในวันที่ 6 มิถุนายน 2564



รุกครึ่งปีหลัง



นายธนาตรัยฉัตร กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีหลัง2564 บริษัทมีเป้ารุกตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อรองรับการขยายของธุรกิจและบรรลุยอดขายปีนี้สู่ 3,000 ล้านบาท โดยปรับกลยุทธ์การเปิดรับตัวแทนจำหน่ายใหม่ทั่วประเทศ ถือเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายหลักที่แข็งแกร่งของบริษัทมาตั้งแต่เปิดบริษัทในปี 2557 ซึ่งบริษัทไม่ได้เปิดรับตัวแทนมานานกว่า 7 ปี และในปีนี้เพื่อเป็นการฉลองที่บริษัทก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 จึงได้จัดแคมเปญยิ่งใหญ่เพื่อเชิญชวนให้คนไทยมาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายของอมาโด้ บริษัทจัดคลาสเรียนออนไลน์เพื่อถ่ายทอดทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางการขายออนไลน์ของบริษัทมาสอนตัวแทนและยังเปิดโอกาสให้คนไทยได้สร้างอาชีพและรายได้ในช่วงวิกฤตนี้ด้วยภายใต้แคมเปญ 10 วัน 10,000 บาท ซึ่งบริษัทยึดหลักธรรมาภิบาลในการขายของที่ดีในราคาที่จับต้องได้ สินค้าที่ดีคือสินค้าที่มีราคายุติธรรม



นอกจากนี้บริษัทยังมีการส่งเสริมการตลาด (โปรโมชัน) เพื่อกระตุ้นยอดขายเพื่อเป็นเครื่องมือและกลยุทธ์สำหรับตัวแทนในการจูงใจให้ลูกค้าซื้อซ้ำ คาดว่าแคมเปญดังกล่าวจะกระตุ้นยอดขายได้ถึง 3-5% และตัวแทนจะเพิ่มขึ้นตามเป้าที่วางไว้ประมาณ 1,000 รายทั่วประเทศ



Q3ยอดขายพีค



นายพร้อมวุฒิ อัศวโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมียอดขายทะลุกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจาก 1. ตัวแทนจำหน่าย 300 ล้านบาท 2. ช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งโซเชียลคอมเมิร์ซและอี-มาร์เก็ตเพลส จำนวน 150 ล้านบาท 3. เทเลเซลล์ 500 ล้านบาท 4. ร้านค้าอมาโด้หรือคี-ออสบนศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ 30 ล้านบาท 5. โมเดิร์นเทรดและต่างประเทศ 20 ล้านบาท



ทั้งนี้คาดว่าในช่วงไตรมาส3/2564 ยอดขายจะสูงสุด บริษัทจึงจำเป็นต้องขยายจำนวนตัวแทนพัฒนาสินค้าเพิ่ม หาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ ทั้งช่องทางการฝากขายใหม่ๆ (โมเดิร์นเทรด) ลูกค้าจีพีช่องทางขาย Amado Shopping ตลอดจนการขยายร้านค้าอมาโด้หรือคี-ออสบนศูนย์การค้าใหม่ๆ เพื่อบรรลุยอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 4

โพสต์

อมาโด้ ชี้ตลาดคอลลาเจน-วิตามินซี ช่องทางออนไลน์/ทีวีช้อปปิงโตแรง เจาะลูกค้ายุคนิวนอร์มอล
วันที่ 11 พ.ค. 2564 เวลา 17:41 น.

อมาโด้ กรุ๊ป เผยวิกฤตโควิด-19 หนุนตลาดเสริมอาหารวิตามิน กว่า 2.5 หมื่นล้านโต8% พร้อมส่งอมาโด้ วิตามินซี เจาะลูกค้าหันสั่งซื้อออนไลน์-ทีวีช้อปปิ้ง-ขยายตัวพุ่ง

นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) เปิดเผยว่า จากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยหันมาซื้อสินค้าเพื่อดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลของยูโรมอร์นิเตอร์ (2564) ล่าสุดระบุตลาดวิตามินและอาหารเสริมปี 2563 มีมูลค่า 25,269 ล้านบาทที่เติบตัวเลขเฉลี่ย 8% เนื่องจากสถานการณ์โควิค-19 ระบาด

รวมถึงปัจจัยผู้คนต้องการเสริมระบบภูมิต้านทาน และการตัดสินใจบนพื้นฐานของงบประมาณที่มีจำกัดของผู้บริโภค ทำให้เทรนด์สินค้าคอลลาเจน และวิตามินซี ขยายการเติบโตต่อเนื่องอย่างมากตั้งแต่ปีที่ผ่านมา


“จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงขึ้น เป็นปัจจัยเร่งให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตจาก New Normal กลายเป็น Normal ได้ทั้งในแง่การปฏิบัติตัวตามมาตรการการแพร่ระบาดของเชื้อ และการเปลี่ยนพฤติกรรมในการใส่ใจดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่หันมาเพิ่มภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้นจากภายใน” นายธนาตรัยฉัตร กล่าว

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ “อมาโด้ เบญ-ซี” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มบำรุงร่างกายกลุ่มวิตามินซี ชนิดเม็ดฟู่ละลายน้ำ ได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มลูกค้า ที่ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับจุดเริ่มต้นของอมาโด้ ที่ต้องการนำนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ารอบด้าน ทั้งวัตถุดิบ สูตรผลิตภัณฑ์ โครงสร้างราคาที่เป็นมิตรกับผู้บริโภค และผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ Pain Point เดิมๆ ของผู้บริโภคที่มีต่ออาหารเสริมได้


นอกจากนี้ อมาโด้ เบญ-ซี ยังใช้ฐานผลิตสินค้าในประเทศเกาหลี ซึ่งได้รับการรับรองจากซัมซุงมารีน แอนด์ อินชัวรัน บริษัทในเครืออุตสาหกรรมของซัมซุง ซึ่งให้ความคุ้มครองในด้าน “Product Liability” และให้ความคุ้มครองความรับผิดชอบต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ด้านมาตรฐานการผลิตและรับประกันความปลอดภัย โดยมีหน่วยงานหลักของรัฐบาลเกาหลีที่ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหารหรือ Korean Food & Drug Administration รับรอง

โดย อมาโด้ เบญ-ซี มีจุดเด่นผลิตภัณฑ์เป็นสูตรเข้มข้น ด้วยอะเซโลร่า เชอร์รี, ไนอาซิน, แคลเซียม ดี-แพนโททีเนต , วิตามิน บี 6 และบี 2 และใน 1 เม็ดมี 4,100 มิลลิกรัม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนเม็ดยาหรือไม่สามารถกลืนเม็ดยาขนาดใหญ่ได้

ทั้งนี้ หลังจากทำตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใน 4 เดือนแรกของปี 2564 มีอัตราเติบโต 100% จากยอดขายทั้งหมดของปี 2563 โดยมีกลุ่มเป้าหมายวงกว้างตั้งแต่อายุ 25-55 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนเมืองในกรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลัก และเน้นกลยุทธ์การขายเชิงปริมาณมากกว่าเน้นการทำกำไร เพื่อทำตลาดสินค้าในราคาไม่สูง เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสินค้าได้ง่าย

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา อมาโด้ฯ ยังใช้ระบบดึงข้อมูล(Data)ลูกค้า จากกลุ่มลูกค้าที่มีการสั่งซื้อซ้ำและมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น นำมาใช้ร่วมกับกลยุทธ์การตลาด โดยจัดโปรโมชันพิเศษ นำเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อมาร่วมเซท ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน – 9 พฤษภาคม 2564 เพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่มีศักยภาพของอะมาโด้ เพื่อส่งต่อสุขภาพที่ดีให้ในช่วงวิกฤตโควิดแพร่ระบาด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งให้ลูกค้าได้มีโอกาสเปิดใจทดลองผลิตภัณฑ์อมาโด้มากขึ้น ด้วย

นายธนาตรัยฉัตร เผยต่อว่า อมาโด้ฯ ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตผลิตภัณฑ์ในช่องทางออนไลน์และทีวี ด้วยเป็นช่องทางที่บริษัทมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Amado Shopping ทีวีโฮมช้อปปิ้ง แพลทฟอร์มใหม่ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยการนำดาต้าผนวกกับเครื่องมือการตลาดทำให้บริษัทใช้ประโยชน์จากการนำเสนอโปรโมชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกกลุ่มลูกค้าในระบบมากกว่า 100,000 รายชื่อ
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 5

โพสต์

อมาโด้ ขยายไลน์สินค้าคอลลาเจนสูตร ‘ผู้สูงวัย’ มีกำลังซื้อสูง เป้ารายได้รวมสิ้นปี64 แตะ 3พันล้าน
วันที่ 01 มิ.ย. 2564 เวลา 11:25 น.

อมาโด้ ขยายไลน์สินค้าคอลลาเจนสูตร ‘ผู้สูงวัย’ มีกำลังซื้อสูง เป้ารายได้รวมสิ้นปี64 แตะ 3พันล้าน
อมาโด้ กรุ๊ป แตกไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มคอลลาเจน เปิดตัวสูตรใหม่ ‘ซิลเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม’ เจาะตลาดผู้สูงวัย พร้อมเปิดรับตัวแทนจำหน่ายใหม่เพิ่ม 1,000 คน รับตลาดอาหารเสริมและวิตามินโต จากเทรนด์ดูแลสุขภาพอย่างเข้มข้น ดันยอดขายปีนี้ทะลุ 3,000 ล้านบาท

นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปี2564 บริษัทมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อมาโด้ เบญ-ซี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มบำรุงร่างกายกลุ่มวิตามินซีเติบโต 100% จากยอดขายทั้งหมดของปี 2563

ทั้งนี้ จากการบริหารข้อมูล (Data) ของบริษัทมองว่าการเติบโตของธุรกิจอาหารเสริมและวิตามินจะยังเติบโตได้อีกในกลุ่มผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่หันมาดูแลตัวเองอย่างตรงจุด และพบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าที่สามารถบำรุงกระดูก หรือประสบปัญหามวลกระดูกบาง จึงทำให้ตลาดสินค้าคอลลาเจนที่เสริมส่วนประกอบของแคลเซียมจะสามารถมีส่วนช่วยในการทำให้กระดูกและฟันทำงานตามปกติได้ และคาดว่าสินค้าชนิดนี้จะช่วยดันยอดโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ


สอดคล้องกับรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าในปี 2563 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 17.57% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจทำให้บริษัทเห็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารเสริม และถือเป็นกลุ่มประชากรที่มีอำนาจต่อรองในการซื้อ ตลอดจนมีกำลังซื้อสูง เนื่องจากมีเงินเก็บจากการทำงานมาทั้งชีวิต ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการด้านวิตามินและอาหารเสริมที่ต้องเร่งสนับสนุนและดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพและเพื่อสอดรับกับประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ด้วย

โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (เฮลท์) ซิลเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม (Silver Collagen Type II Plus Calcium) เป็นคอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide) เสริมด้วยแคลเซียม วิตามินดี 3 และเค 2 ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและกระดูก พร้อมเจาะกลุ่มผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสูตรใหม่ 500 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ และพร้อมวางจำหน่ายทุกช่องทางในวันที่ 6 มิถุนายน นี้


ขณะที่ในครึ่งปีหลัง บริษัทปรับกลยุทธ์ พร้อมเปิดรับตัวแทนจำหน่ายใหม่ทั่วประเทศ ถือเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายหลักที่แข็งแกร่งของบริษัทมาตั้งแต่เปิดบริษัทในปี 2557 ซึ่งบริษัทไม่ได้เปิดรับตัวแทนมานานกว่า 7 ปี และในปีนี้เพื่อเป็นการฉลองที่บริษัทก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 จึงได้จัดแคมเปญยิ่งใหญ่เพื่อเชิญชวนให้คนไทยมาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายของอมาโด้ บริษัทจัดคลาสเรียนออนไลน์เพื่อถ่ายทอดทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางการขายออนไลน์ของบริษัทมาสอนตัวแทนฯ และเปิดโอกาสให้คนไทยได้สร้างอาชีพและรายได้ในช่วงวิกฤตนี้ด้วยภายใต้แคมเปญ 10 วัน 10,000 บาท

“คาดว่าแคมเปญนี้จะกระตุ้นยอดขายได้ถึง 3-5% และตัวแทนฯ จะเพิ่มขึ้นตามเป้าที่วางไว้ประมาณ 1,000 รายทั่วประเทศ บริษัทมีเป้ารุกตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อรองรับการขยายของธุรกิจและบรรลุยอดขายปีนี้สู่ 3,000 ล้านบาท” นายธนาตรัยฉัตร กล่าว

นายพร้อมวุฒิ อัศวโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมียอดขายทะลุกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจาก 1. ตัวแทนจำหน่าย 300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นส่วนของตัวแทนฯ อยู่ที่ 30% ซึ่งมีตัวแทนทั้งประเทศเพียง 35 คน

2. ช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งโซเชียลคอมเมิร์ซและอี-มาร์เก็ตเพลส จำนวน 150 ล้านบาท คิดเป็น 15% 3. เทเลเซลล์ 500 ล้านบาท คิดเป็น 50% 4.ร้านค้าอมาโด้หรือคี-ออสบนศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ 30 ล้านบาท คิดเป็น 3% ในช่องทางนี้ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่บ้านและไม่ได้จับจ่ายซื้อของในห้างเช่นเดิม และ5. โมเดิร์นเทรดและต่างประเทศ 20 ล้านบาท คิดเป็น 2%

ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ยอดขายจะสูงสุด บริษัทจึงจำเป็นต้องขยายจำนวนตัวแทนฯ พัฒนาสินค้าเพิ่ม หาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ ทั้งช่องทางการฝากขายใหม่ๆ (โมเดิร์นเทรด) ลูกค้าจีพีช่องทางขาย Amado Shopping ตลอดจนการขยายร้านค้าอมาโด้หรือคี-ออสบนศูนย์การค้าใหม่ๆ เพื่อบรรลุยอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท พร้อมให้บริการผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ถอดกลยุทธ์ 'อมาโด กรุ๊ป' จากสตาร์ทอัพ สู่ธุรกิจพันล้านในตลาดหุ้น | BizJourney EP.10

phpBB [video]
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เปิดแนวคิด 'เชน-ธนาตรัยฉัตร' พลิกเส้นทางศิลปินสู่ซีอีโอพันล้าน 'อมาโด กรุ๊ป'
วันที่ 25 ก.ค. 2564 เวลา 11:02 น.

'เชน-ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์' อดีตศิลปินสมาชิกบอยแบนด์ 'ไนซ์ ทู มีท ยู' และ ศิลปินดี่ยวค่ายอาร์เอส ในยุคมิลเลนเนียล ปัจจุบันได้ผันตัวเองสู่การเป็นนักธุรกิจเต็มตัวในฐานะ 'ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร' บริษัทอมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้ทำตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสัญชาติไทยแบรนด์ 'อมาโด้' และจากความสามารถล้วนๆที่ได้นำกิจการสู่หลักพันล้านบาทได้ในระยะเวลาเพียง 7ปี พร้อมแผนเตรียมระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตอันใกล้
เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย เริ่มธุรกิจตั้งแต่อายุ 19ปี

ธนา เล่าจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจของเขาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นอายุ 19ปี โดยตอนนั้นก็เริ่มเปิดร้านขายกิฟต์ช้อป ขายเสื้อผ้าต่างๆ "รู้สึกว่าเราชอบเรื่องของเทรนด์ และตอนนั้นมันเป็นเรื่องของ Health and Beauty กำลังมาแรงมากเลยมองว่าอยากทำเรื่องของสุขภาพ แต่ก็ยังไม่ได้มองในเรื่องของธุรกิจ ไม่นานนักก็ได้เข้าไปเป็นพนักงานการตลาดของธุรกิจคลินิคแห่งหนึ่ง เพราะอยากไปศึกษาว่าธุรกิจปีหนึ่งๆที่เขาขายได้หลัก 3-4 พันล้านบาท เขาทำกันอย่างไร"


จากนั้นก็อาศัยเทคนิคเรียนรู้ด้วยตัวเองในแบบที่เรียกว่า 'ครูพักลักจำ ' จนกระทั่ง'ธนา' รู้สึกว่าพร้อมแล้ว ด้วยเห็นโอกาสของธุรกิจจากการนำเรื่องของนวัตกรรมบางอย่างมาใช้ ซึ่งจุดนี้ทำให้ตัดสินใจกระโดดเข้ามาทำธุรนกิจอมาโด ในเวลาต่อมา

"เราเข้าใจว่าคนไทยที่ผ่านมาต้องกินอาหารเสริมที่แพงเกินไป ทั้งที่ไม่ได้แพงขนาดนั้น เลยมีความตั้งใจที่จะเข้ามาเปลี่ยนรื่องของความเหมาะสม ความสมดุลย์ และสร้างอะแวร์เนส ด้านสุขภาพไปด้วย คือ ตอนนั้นทุกคนจะกินอาหารเสริมแบบเสี่ยง เราก็เลยอยากเป็นแบรนด์ๆ หนึ่ง ที่คนจะนึกถึงเสมอเมื่อกินอาหารเสริม ทำให้ตัดสินใจเข้ามาในตลาดนี้" ธนา ฉายภาพให้ชัดเจนขึ้น


ขณะที่ ช่องทางขาย หรือ ดิสตริบิวชัน ชาแนล ในยุคนั้น ธนาบอกว่าจะถูกผูกขาดด้วยโมเดิร์นเทรดอย่างเดียว ส่วนช่องทาง Tele Marketing จะมีผู้ครองตลาดช่องทางนี้จำกัดไม่กี่รายเท่านั้น ทำให้ อมาโด้ ต้องการเข้ามา 'ดิสรัปชัน' ในเรื่องนี้ และเป็นจังหวะเดียวกับในช่วงนั้นทื่ได้เห็นโอกาสทางการตลาดใหม่ในช่องทางการขาย

ด้วยสมัยที่ ธนายังเป็นศิลปิน และได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตในต่างจังหวัดทั่วประเทศ และเห็นว่ามีร้านขายส่งน้ำดื่ม กระจายอยู่ทั่วตามหัวมุมเมืองต่างๆ

"เราเลยเกิดไอเดียว่า ปัจจุบีนมีทั้งโลจิสติกส์ มีอีคอมเมิร์ซแล้ว ก็น่าจะลองเปลี่ยนวิธีการขายจำนวนเยอะๆ แบบนี้ให้จริงจัง โดยให้แต่ละบ้านคนเนี่ยเป็นคลังสินค้า แล้วขายผ่านอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็ให้บริการไปรษณีย์ หรือ เคอร์รี่ เอาของออกไป เราก็เริ่มจากโมเดลนี้ สุดท้ายมันเป็นโมเดลที่สนุกมากแล้วก็ซัคเซส ในระยะเวลาอันสั้น" ธนา เล่า

เส้นทางสร้างแบรนด์ 'อมาโด้' สุดทรหด

ธนา เสริมว่าปัจจุบันมาโด มีอายุ 7ปี และเตรียมเข้าสู่ปีที่ 8 โดยแนวทางการสร้างแบรนด์ที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความ "หิน" ไม่น้อย ด้วยในช่วงนั้นยังเป็นศิลปินนักร้องทำให้มีทุนจำกัด เลยตัดสินใจไปปขอ 'แองเจิล ฟันด์' แหล่งทุนจากธุรกิจรายหนึ่ง ซึ่งเป็นการ 'ดีลธุรกิจ" ในรูปแบบสตาร์ทอัพ และในช่วงนั้นการทำธุรกิจต้องเรียกว่า ทรหด และ อึดมากๆ ด้วยไม่สามารถเพิ่มทุนไปได้มากกว่านี้ แม้ว่าสินค้าจะไปได้ดีและมี โอกาสทางการตลาดอีกมากก็ตาม

"ในช่วงนั้น เราเลยกลายเป็นธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งที่มีทรัพยากรจำกัด ทำให้การเติบโตของอมาโด เหมือนเป็นวัยรุ่นที่มีกำลังเยอะและมีแรงสู้ แล้วก็ไม่ท้อ และพัฒนาจนพ้นจากเอสเอ็มอีมา กลายมาเป็นบริษัทหนึ่ง ที่ปีนึงอาจจะขายได้สอง สามพันล้านบาทแล้ว แต่ว่าก็ยังมีเลือดของสตาร์ทอัพไหลเวียนอยู่ตลอด" ธนา เสริม

'คีย์ ซัคเซส' ไขกุญแจความสำเร็จธุรกิจ

ธนา กล่าวว่ากลยุทธ์หลักที่ทำให้ อมาโด้ กรุ๊ป เดินมาถึงประตูบานแรกแห่งความสำเร็จได้นั้นมาจากการ "โซลูชั่น" อยู่ตลอดเวลา ด้วยหลักคิดของการเป็นเลือดสตาร์ทอัพ ที่จะต้องหาวิธีแก้จุดเจ็บปวด หรือ เพนพอยท์ ให้ทั้งกับธุรกิจและลูกค้า "เปรียบเสมือนหากเรามีผืนดิน เราก็ต้องเลือกผินดินที่ต้องปลูกข้าวให้ขึ้นเท่านั้น เราจะไม่หว่านข้าวในดินที่ปลูกไม่ขึ้น พอเรามีนิสัยแบบนี้ คือ ทำให้เราใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดแต่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด"


พร้อมกล่าวถึงกลยุทธ์สุดท้าย คือ โมเดลธุรกิจ ซึ่งหากธุรกิจมีสินค้าราวๆสองหมื่นชิ้น และมี 5 ข่องทางขาย ประกอบกับการนำข้อมูล (DATA) มาร่วมวิเคราะห์การทำตลาด ทำให้ อมาโด้ จะเลือกขายเฉพาะในช่องทางขายที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุด

ด้วยสุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้ คือ คีย์ซัคเซส ที่ผสมกันระหว่าง ทรัพยากรที่มีจำกัด บุคลากร และ ฐานข้อมูล ที่ผลักดันให้ธุรกิจอมาโด้ เติบโตถึงในวันนี้ โดยไม่มีของเสียเกิดขึ้นในระบบตามมา ภายใต้คอนเซปต์ 'simulity' ลงทุนน้อยในระยะเวลาที่น้อยลง แต่เกิดประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

พร้อมแต่งตัว เข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI

สำหรับแผนการนำธุรกิจเตรียมเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) เริ่มจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2560 ช่วงนั้น 'อมาโด้' มียอดขายกว่า 200 ล้านบาท และเชื่อว่าธุรกิจมีศักยภาพมากพอและกำไรถึงตามเป้า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ทำให้บริษัทเริ่มมองเห็นโอกาสในการเข้าไปหาแหล่งทุนเพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจใหม่ๆในอนาคต

พร้อมวางเป้าหมายการเข้าระดมทุนฯราวกลางปี2565 แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ปัจจัยต่างๆ ประกอบกัน ด้วยในปีนี้ยอมรับว่าเป็นปีที่มีความท้าทายสูง ในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการแข่งขันในช่องทางทีวีช้อปปิง แต่ ธนา บอกว่าก็ยังมีความสนุกในการรันธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่

ธนา เล่าต่อว่า "เป้าหมายธุรกิจหลังเข้าตลาดฯ คือ ลงทุนเพิ่มในส่วนของเอสเคยูใหม่ๆ ที่เราเห็นโอกาส หรือต่อยอดโปรดักส์เดิมของเรา อย่างแปรรูปคอลลาเจนเป็นน้ำดื่ม แปรรูปคอลลาเจนเป็นชนิดเคี้ยวเล่น รวมถึงการสร้างโรงงาน ด้วยมีสิ่งหนึ่งที่เราเห็นในสตาร์ทอัพยุคใหม่ คือเป็น Virtual Company ซึ่ง เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด ด้วยทุกกันนี้เราโออีเอ็ม จ้างผลิตโอนค่าต้นทุนปีหนึ่งๆ ก็ประมาณ 500-1,000 ล้านบาท สมมุติถ้าเราผลิตขายได้3,000 ล้านบาท เราประหยัดไป10% แสดงว่า 10% ที่เราสร้างโรงงาน ตรงนั้นมีจุดคุ้มทุนของมัน เราก็เอากลับมาเป็นปันผลของนักลงทุน หรือเป็นโบนัสให้พนักงานได้"

ดังนั้นสิ่งแรกในการลงทุน คือ หนึ่ง จะทำในส่วนที่อมาโด้เก่งอยู่แล้ว สอง คือ ต้นน้ำ การสร้างโรงงาน แล้วปลายทางอีคอมเมิร์ซ และยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจโลจิสติกส์ ในอนาคตด้วย

โค-มาร์เก็ตติง หนึ่งในกลยุทธ์ฝ่าโควิด

สำหรับ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกล่าสุด ที่ส่งผลกระทบในวงกว้างทุกภาคส่วน ล่าสุด อมาโด้ ร่วมกับ Tune Protect ประเทศไทย จัดแคมเปญใหญ่ ซื้อสินค้าอมาโด้แถมความคุ้มครองประกันภัยโควิด-19 เพื่อมอบให้คนไทยในช่วงวิกฤติโควิด-19

ธนา บอกว่า "อมาโด้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมกลุ่มสุขภาพ และความงาม ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มช่วงอายุและนำเสนอในราคาสมเหตุสมผล ด้วยฐานลูกค้ากว่า 1.2 ล้านรายทั่วประเทศ ทำให้เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และจัดโปรโมชันสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายแต่ละช่อง แต่ละรายการ ซึ่งมั่นใจว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้ถือเป็นการการันตีของอมาโด้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงามที่พร้อมส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและพร้อมจะอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์"

แผนอนาคตครบรอบ 10ปี 'อมาโด้'

ธนา เล่าถึงในอีก3 ปีข้างหน้าจากนี้ 'อมาโด' จะมีอายุครบรอบ1ทศวรรษ และเชื่อว่า จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของคนไทยทื่ทำได้ดีมาก โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแบรนด์แรกที่คนไทยนึกถึงเสมอ ภายใต้แท็คไลน์ We live For your Health เราหายใจอยู่ทุกวันนี้เพื่้อสุขภาพของคนไทย

"ผมฝันไว้ว่าจะเป็นฮับของทุกความรู้สึกดีๆของสุขภาพและความงาม คือเมื่อไหร่ที่เราอยากจะให้รางวัลชีวิต จ่ายเงินเพื่อสุขภาพที่ดีชีวิตทียั่งยืน อยากให้คนไทยนึกถึงอมาโดก่อนเป็นสิ่งแรกเสมอ และก้าวต่อไปในอนาคตพร้อมจะเป็นผู้นำพาทรัพยากรทั้งหมดที่ประเทศไทยมี ไม่ว่าจะเป็นเฮิร์บ สมุนไพร อินเกรเดียน ต่างๆ ไปสู่โลกว้าง ก็สามารถเอาแบรนด์อมาโด ไปในทุกที่ของโลก และเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ชีวิต หรือว่ารายได้ของคนไทยสูงขึ้นเป็นหนึ่งในธุรกิจของจีดีพีไทยที่ขับเคลื่อนได้" ธนา กล่าวทิ้งท้าย

โดย ดวงใจ จิตต์มงคล
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 8

โพสต์

อมาโด้อัดแคมเปญ แถมประกันโควิด ใกล้ลงตลาดmai

“อมาโด้” จับมือ Tune Protect ประเทศไทย จัดแคมเปญใหญ่ “ซื้อสินค้าอมาโด้แถมความคุ้มครองประกันภัยโควิด-19” เพื่อมอบให้คนไทยในช่วงวิกฤติโควิด-19 เตรียมเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai เร็วๆ นี้



นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำ เปิดเผยว่า อมาโด้ถือเป็นบริษัทสุขภาพและความงาม จากสตาร์ทอัปที่เติบโตไวและกำลังก้าวสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในเร็วๆ นี้



จังมือพันธมิตร



ทั้งนี้บริษัทได้เดินหน้าสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในการจับจ่ายซื้อของอย่างไร้ความกังวลโดยช่องทาง “Amado Shopping สุขทุกการสั่งซื้อ” ทีวีโฮมช้อปปิ้ง เพื่อเลี่ยงการเดินทางออกจากที่พักในวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 นี้ ด้วยการเสริมทัพช่องทางการขายทางทีวีที่แข็งแกร่งของ Amado Shopping นอกเหนือจากการดึงพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายแบรนด์ที่นำสินค้ามาขายผ่านช่องทางดังกล่าว เรายังต้องการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าในทุกมิติ



ล่าสุด อมาโด้ผนึกความร่วมมือกับ Tune Protect ประเทศไทย จัดแคมเปญพิเศษ “ซื้อสินค้าอมาโด้แถมความคุ้มครองประกันภัยโควิด-19” ซึ่งแคมเปญนี้เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าอมาโด้ครบตามเงื่อนไขผ่านทาง Amado Shopping ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองประกันภัยโควิด-19 จาก Tune Protect ประเทศไทย ฟรีทันที เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 สิงหาคม 2564 หรือจนกว่าจะครบสิทธิ์ กอปรกับการใส่ใจเรื่องสุขภาพต้องมาเป็นอันดับแรก เราจึงเล็งเห็นว่าการที่ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์ด้านความคุ้มครองจากบริษัทภัยชั้นนำระดับโลกจึงถือเป็นเรื่องที่ดี



เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย



ทั้งนี้ อมาโด้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมกลุ่มสุขภาพ (เฮลตี้) และความงาม (บิวตี้) ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มช่วงอายุและนำเสนอในราคาสมเหตุสมผล ด้วยฐานลูกค้ากว่า 1.2 ล้านรายทั่วประเทศ ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายและจัดโปรโมชันสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายแต่ละช่อง แต่ละรายการ จึงมั่นใจว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้ถือเป็นการการันตีของอมาโด้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงามที่พร้อมส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้เป้าหมายในการนำพาบริษัทก้าวเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามของไทย ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของแบรนด์ “We live for your health”



“ปัจจุบันถือได้ว่าช่องทางการจัดจำหน่าย “Amado Shopping สุขทุกการสั่งซื้อ”เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นในธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งด้วยจุดเด่นความสามารถในการรวบรวมรายการเรตติ้งคุณภาพของสถานีโทรทัศน์ชั้นนำมาสร้างช่องทางขายใหม่ทรงประสิทธิภาพ เสริมทัพด้วยขุมพลังเทเลเซลล์กว่า 200 สายสำหรับรับออร์เดอร์ให้บริการลูกค้า
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 9

โพสต์

“อมาโด้” รุกแรงโฮมช้อปปิ้ง รับดีมานด์อาหารเสริมพุ่ง
วันที่ 4 กันยายน 2564 - 02:58 น.

“อมาโด้” ต่อยอดยุทธศาสตร์สร้างการเติบโต รุกทีวีโฮมช้อปปิ้ง 16,000 ล้านเต็มสูบ รับกระแสโควิดเอื้อพฤติกรรมคนไทยติดบ้านติดจอ-เทรนด์รักสุขภาพดันดีมานด์อาหารเสริมวิตามินบูมจัด พร้อมปรับเป้าการเติบโตใหม่เป็น 3,600 ล้านบาท

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ปัจจัยจากโควิด-19 ที่เกิดขึ้นหนุนพฤติกรรมผู้บริโภคให้อยู่บ้านมากขึ้น ขณะที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดได้สร้างข้อจำกัดในการจำหน่ายสินค้าประเภทต่าง ๆ ส่งผลให้ปี 2563 ตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้ง ได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีมูลค่าที่ 16,000 ล้านบาท จากเดิมในปี 2562 มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็ทำให้หลายธุรกิจหลั่งไหลลงสนามโฮมช้อปปิ้งชิงเม็ดเงินกันอย่างคึกคัก เช่นเดียวกับ “อมาโด้” แบรนด์อาหารเสริมและวิตามินรายใหญ่ ซึ่งมีออนไลน์และทีวีเป็นช่องทางขายหลัก ประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ลุยทีวีโฮมช้อปปิ้งเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ “Amado Shopping”

นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามินภายใต้แบรนด์อมาโด้ (Amado) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดวิตามินและอาหารเสริมในส่วนของอมาโด้มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดโควิดสูงขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงวันละมากกว่า 17,000-20,000 ราย ส่งผลให้กระแสอาหารเสริม โดยเฉพาะกลุ่มรักษาสุขภาพ อาทิ วิตามินซี วิตามินดี คอลลาเจน มีการเติบโตด้านยอดขายกว่า 1,000% จากปกติเฉลี่ย 40,000 กล่อง/เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 500,000 กล่อง/เดือน

ขณะที่กลุ่มความงามยอดขายลดลงกว่า 40% ประกอบกับยอดซื้อต่อบิลก็มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกันเหลือเพียง 1,500-1,800 บาท จากเดิม 2,200 บาท สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจยังคงถดถอย และประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายต่อเนื่อง จากกำลังซื้อโดยรวมที่ลดลง สินค้าที่ได้รับความนิยมจึงเป็นเซ็กเมนต์สุขภาพที่จำเป็น และเป็นกลุ่มที่มีราคาไม่สูงมากนัก

ดังนั้น เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว นอกจากจะต้องวิจัยและพัฒนาวิตามินอาหารเสริมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทั้งวิตามินในรูปแบบเดลี่ยูส รับประทานได้ทุกวัน หรือการมองหาตลาดใหม่ ๆ อย่างสมุนไพร ที่มีความน่าสนใจและเป็นที่นิยม ซึ่งจะมีความชัดเจนในต้นปี 2565 ส่วนในแง่ของช่องทางการจัดจำหน่ายก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาอมาโด้จึงประกาศรุกตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งอย่างเป็นทางการ เพื่อเดินหน้าเข้าหาลูกค้าในทุกช่องทาง และขยายฐานตามหลักประชากรศาสตร์ จากกลุ่มวัยรุ่นในออนไลน์ ไปสู่กลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไปในทางทีวีมากขึ้น

“แม้ธุรกิจอมาโด้จะเริ่มต้นและเติบโตมาจากแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยในปีที่ผ่านมาทำยอดขายรวมได้ถึง 2,298 ล้านบาท เติบโต 231.14% มีสัดส่วนออนไลน์ถึง 1,500 ล้านบาท คิดเป็น 70% และช่องทางอื่น ๆ 30% เดิมเราก็ได้ขายสินค้าผ่านทางทีวี แต่เมื่อประกาศบุกทีวีโฮมช้อปปิ้งเต็มที่ ปรากฏว่าสัดส่วนยอดขายในปี 2564 ที่แม้จะยังไม่ปิดปี แต่ช่องทางทีวีได้พุ่งขึ้นมาถึง 50% ของพอร์ตแล้ว ในอนาคตธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งอาจมากกว่าขาหลักธุรกิจอาหารเสริมและวิตามิน และหากนับรวมเฉพาะยอดขาย อมาโด้อาจขึ้นมาเป็นอันดับท็อป 5 ของวงการทีวีช็อปปิ้งแล้ว”

นายธนาตรัยฉัตรระบุว่า โมเดลธุรกิจนี้เกิดจากการมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ หลังเดินหน้าทำการตลาดผ่านการนำสินค้าโปรโมตขายตามรายการต่าง ๆ ของสถานีโทรทัศน์ ประกอบกับในยุคโควิดที่หนุนพฤติกรรมคนดูทีวีมากขึ้น ทำให้ทีวีโฮมช้อปปิ้งยังมีแนวโน้มเติบโตได้ ซึ่งปีที่ผ่านมา อมาโด้ได้เริ่มทดลองตลาดและทำยอดขายได้ประมาณ 900 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% จากตลาดมูลค่า 16,000 ล้านบาท


จึงเป็นที่มาในการต่อยอดอีโคซิสเต็ม ด้วยการนำจุดแข็งด้านการคัดสรรช่วงเวลาที่ดีของช่อง ผนวกเข้ากับ data driven marketing ฐานข้อมูลของบริษัท เพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง และทำให้ยอดเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ เพื่อลดต้นทุนในอนาคต บริษัทอาจทำโลจิสติกส์ ส่งสินค้าด้วยตนเองอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น จากตอนนี้เริ่มนำร่องในเขตกรุงเทพฯแล้วประมาณ 50% จากที่ต้องรองรับค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งราวเดือนละ 10 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็เตรียมนับถอยหลัง ที่จะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 4 ปี 2564-ต้นปี 2565 พร้อมกันนี้ การปรับเป้ารายได้ใหม่สำหรับปีนี้เป็น 3,600 ล้านบาท จากเมื่อต้นปีตั้งไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทำได้เกินเป้าแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากเปิดตัว Amado Shopping ไปเมื่อต้นปี 2564 อมาโด้ได้มีพาร์ตเนอร์แบรนด์ชั้นนำ ร่วมจัดจำหน่ายผ่านช่องทางขาย Amado Shopping ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มสิงห์ Purra Vitamin Water สเนลไวท์ เนเจอร์กิฟ หมอนยางพารา Soft Pillow บอนแบค เครื่องดื่มรังนกแท้ และแลคตาซอย
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 10

โพสต์

อมาโด้ (Amado) องค์กรแห่งอนาคต ตัวแทนของคนรุ่นใหม่

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยแห่งการ Transformation มีองค์กรรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในหลากหลายธุรกิจ ขณะเดียวกันชื่อของ “อมาโด้” (Amado) ก็ก้าวขึ้นสู่องค์กรธุรกิจระดับแถวหน้า ที่ถูกจับตามองมาอย่างต่อเนื่อง จากความสามารถในการเข้ามาดิสรัปท์ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในกลุ่มคอลลาเจน พร้อมการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสามารถสร้างรายได้แตะ 2,000 ล้านบาทได้สำเร็จในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี

“อมาโด้” (Amado) ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 จากการมองเห็นโอกาสทางการตลาดของนักธุรกิจรุ่นใหม่อย่าง คุณธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ (เชน-ธนา) โดยวาง Brand Promise ไว้ที่ We Live for Your Health ซึ่งสอดคล้องกับการกำหนด Brand Purpose คือ Vitamin & Supplement’s Expert ที่มุ่งเน้นการค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีมีคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมใหม่ในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด


โดยเป้าหมายระยะสั้นของ “คุณธนาตรัยฉัตร” ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของอมาโด้ คือการนำธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ในช่วงปลายปี 2565 พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในระยะยาวกับการมุ่งสู่การเป็นที่ 1 ในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย

เริ่มต้นอย่างสตาร์ทอัพ

อมาโด้ ประสบความสำเร็จจากการทำตลาดผลิตภัณฑ์คอลลาเจนผง “คอลลิจิ คอลลาเจน” ที่มีจุดขายในเรื่อง “ชงแล้วใส ไม่ใส่สี ไม่มีน้ำตาล” พร้อมสร้างเครือข่ายของตัวแทนขายบนช่องทางออนไลน์มาช่วยขยายตลาดจนสามารถก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคได้ในเวลาไม่นาน

อมาโด้ยังสร้างความโดดเด่นด้านการสื่อสารด้วยการทำ Presenter Strategy ผ่านดารานักแสดงที่มีชื่อเสียง อย่าง “ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ “คอลลิจิ คอลลาเจน” รุ่นกระป๋องทอง และ “ฮยอนบิน (Hyun Bin)” เมกะสตาร์ระดับเอเชีย ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของ เอช-คอลลาเจนไตรเปปไทด์ รุ่นกระป๋องแดง


ความสำเร็จของอมาโด้เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยแนวคิดของการทำธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องมีความไดนามิกอยู่ตลอดเวลา โดยในปี 2561 ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกำลังเจอกับวิกฤตความเชื่อมั่นในสินค้ากลุ่มคอลลาเจน ซึ่งอมาโด้แก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยการใช้เงินกู้เพียง 20 ล้านบาท ในการสร้างการเติบโตให้กับยอดขายจาก 300 ล้านบาท มาเป็น 690 ล้านบาท ในปี 2562 และพุ่งขึ้นสู่หลัก 2,200 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 24 เดือน นับตั้งแต่เกิดวิกฤต

คุณธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า อมาโด้มีจุดเริ่มต้นจากมุมมองของการเป็นสตาร์ทอัพ และเติบโตในยุคที่ยังไม่มีแพลตฟอร์มสตาร์ทอัพมารองรับการทำงานเมื่อกว่า 8 ปีที่แล้ว ทำให้ทางบริษัทต้องมีการบริหารจัดการแบบ Risk Management ที่ทุกการลงทุนต้องมีความปลอดภัยสูงสุด ต้องลงทุนในแบบถูกที่ถูกเวลา ซึ่งต้องประสบความสำเร็จด้วยความเร็วสูงสุด ลงทุนน้อยสุด และเห็นผลมากที่สุด

ส่งผลให้อมาโด้ประสบความสำเร็จและเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาเพียง 6 ปีหลังการก่อตั้ง ด้วยมุมมองการดำเนินธุรกิจในสไตล์ขององค์กรยุคใหม่ที่แตกต่างไม่เหมือนองค์กรในยุคก่อนหน้านี้

“สิ่งที่ทำให้อมาโด้แตกต่างจากองค์กรในยุคก่อนๆ เรื่องแรก คือความเร็ว (Fast) เราพยายามลีนบริษัทมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มทำธุรกิจ โดยลดขั้นตอนการบริหารจัดการ เช่น การขออนุมัติจะมีแค่ 2 ชั้น คือ ระดับที่ตัดสินใจได้ และระดับปฏิบัติการ พอเรามีระบบการทำงานที่ค่อนข้างลีน ทำให้เรามีความเร็วมากขึ้น ต่อมาเป็นเรื่องของแนวคิด ก่อนหน้านี้แนวคิดต้องเป็นรูปธรรมจับต้องได้มีความแน่นอนมากๆ แต่วันนี้แนวคิดจะมีความเป็นนามธรรมเข้าไปผสมด้วย เพราะเราขับเคลื่อนด้วย Reach ซึ่ง Reach ของลูกค้าเป็นหัวใจของบริษัทแบบเรา คือการทำออนไลน์

เพราะที่ไหนมี Reach ที่นั่นมีออกซิเจน แต่ Reach ไม่ได้มาแบบลงเงินปุ๊บ Reach มาปั๊บ ก็จะเป็นเรื่องของความเร็วที่เราจะทำทุกอย่าง คือการเป็นบริษัทยุคใหม่ ต้องเร็วต้องวัดผลได้ (ภายในระยะเวลาที่ชัดเจน) ต้องสร้างความเข้าใจวิธีการทำงานให้แก่พนักงาน และคณะกรรมการบริหาร สุดท้ายก็ต้องมีเรื่องของยอดขาย หรือผลกำไรเป็นตัววัดความสำเร็จ”

แข็งแกร่งด้วย Data และ Ecosystem

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของอมาโด้ คือการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Data บนหลักการของ ROI และ Rating เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน และตอบโจทย์การลงทุนมากขึ้น โดยไม่มีเรื่องของ Emotional เข้ามาเกี่ยวข้อง


“เรามีมาตรฐานในแบบของเรา เช่น การขายออนไลน์จะเรียกว่า Conversion ถ้าทั่วไปอาจจะได้ Conversion ประมาณ 5-10% จากรายการที่ลูกค้าเข้ามาคลิกแล้วตอบ หรือซื้อขาย แต่วันนี้อมาโด้มีสถิติ Conversion สูงสุดอยู่ประมาณ 22-35% ตัวเลขตอกย้ำว่า เราบริหารด้วย Data จริงๆ ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยความสำเร็จที่มาจากเรื่องของ Data ที่ค่อนข้างบรรลุ และมองเห็นในทุกมิติ”

การขยายช่องทางขายไปยังแพลตฟอร์ม TV Shopping เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสุดในเรื่องการนำ Data มาใช้เพื่อการวางกลยุทธ์ ในขณะที่คนอื่นๆ อาจมองว่า ทีวีกำลังเป็นขาลง แต่อมาโด้กลับมองว่า นั่นคือช่องทางที่เต็มไปด้วยกลุ่มเป้าหมายของอมาโด้ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใหญ่ หรือกลุ่ม Elder ก็ยังนิยมการดูทีวี แต่ทั้งนี้ต้องมีการสร้างสมดุลในเรื่องของราคาหรือต้นทุนค่ามีเดีย เป็นเรื่องที่ท้าทายที่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้


แม้ว่า Data จะเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ แต่ คุณธนาตรัยฉัตร กลับมองว่า สิ่งที่ท้าทายในแง่ของการทำงานมากที่สุดมาจาก Core Business ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ R&D, Distribution Channel และ Data Driven คือเรื่องของ Distribution Channel เนื่องจากเป็นการสื่อสารแบบ 2 ช่องทาง อีกทั้งยังมีเรื่องของ Disruption ในมิติต่างๆ แฝงอยู่

ดังนั้น หากมองในเชิงการวางยุทธศาสตร์ แต่ละวงกลมของ Distribution Channel ที่ประกอบด้วย ตัวแทนจำหน่าย ออนไลน์ คีออส ทีวี ช้อปปิ้ง และโมเดิร์นเทรด วงกลมเหล่านี้ก็คือ Ecosystem ที่อมาโด้พยายามสร้างให้แต่ละส่วนเกิดความเชื่อมโยงถึงกัน และวันนี้กำลังแก้ข้อด้อยด้วยการทำ IPO

“ตัวซัพพอร์ตทั้งหมดวิ่งด้วย Data แม้กระทั่งเรื่องของ R&D ที่เป็นหัวใจหลัก หากคน 100 คน ทดลองแล้วชอบไม่ถึง 90 คน เราจะไม่ขาย ตอนนี้ Distribution Channel เราแข็งแรงอยู่แล้ว ในเรื่องของทีวี คีออส ออฟไลน์ ออนไลน์ และตัวแทนจำหน่าย พอลงขายก็จะมีการสั่งซื้อซ้ำ เราจะตบลูกค้าเข้าไลน์ เข้าเฟสบุ๊คให้มากดไลค์เพจ หรือเข้าเบอร์โทรที่เป็นเอาท์บาวด์ทีวีทั้ง 3 ตัว ที่เป็นการวัดผล สุดท้ายเราก็จะวัดได้ว่า R&D ดีจริงหรือไม่ ถ้าคุณเทสต์ในระบบปิด 100 คน มี 90 คนชอบ ผมจะเทสต์ในระบบเปิด 1 แสนคน มี 9 หมื่นคน ชอบหรือไม่ ต้องตอบให้ได้ ซึ่งสถิติการสั่งซื้อซ้ำเราอยู่ที่ 20% ส่วนการสร้าง SKU ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ก็ติดตลาด ตอนนี้เราเหยียบคันเร่งเต็มที่ รอวันที่จะมี Funding มาอีกครั้ง”

คุณธนาตรัยฉัตร อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่ออมาโด้สามารถเชื่อมต่อ Ecosystem ได้แล้ว จึงจะมาพิจารณาดูว่าช่องทางไหนดีไม่ดีอย่างไร เมื่อ Distribution Channel มีความแข็งแรงมากพอ และได้เข้ามาอยู่ในระบบของตลาดทุน การจะจัดตั้งโรงงานผลิตก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก เพราะสามารถคำนวณต้นทุนได้ว่าจะคืนทุนได้ภายในกี่ปี

“รวมถึงเรื่องของ Ecosystem ปลายน้ำอย่างระบบโลจิสติกส์ หากมีต้นทุนที่แพงเกินไป เราซื้อรถกระบะแล้ววิ่งส่งเองก็สามารถทำได้ เราทำไปถึงตรงนี้แล้ว นี่คือความน่ากลัวของ Data ของอมาโด้ เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า Distribution Channel นั้น หรือว่าซัพพลายเออร์เปลี่ยนไปเราก็พร้อมที่จะดิสรัปท์ เพราะเราเป็นสตาร์ทอัพ จึงต้องหาวิธีการที่จะทำให้บริษัทอย่างเราสามารถเทคแคร์ลูกค้าด้วยราคาที่คุ้มค่าจริงๆ ด้วยการเสริมสร้างประสิทธิภาพต่างๆ เพิ่มเข้ามา”


ตัวแทนของคนรุ่นใหม่

อมาโด้ ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรของคนรุ่นใหม่ เพราะมากกว่าครึ่งหนึ่งของบุคลากรในองค์กรเป็นคน Gen Z และ Gen Alpha ดังนั้นการจะบริหารจัดการองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ดี จึงต้องทำความเข้าใจในเรื่อง Generation Gap ให้ดีเสียก่อน เมื่อเข้าใจถึงความแตกต่างก็จะรู้ถึงวิธีการสื่อสารกับคนเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ และนำไปสู่การจัดสรรการทำงานได้อย่างเหมาะสม ถูกที่ถูกเวลา

“แต่ละเจนมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ถ้าเป็น Gen X จะเป็นคนที่มีประสบการณ์ มีความสุขุม และสามารถทำให้เราเย็นลงได้ กลุ่มนี้จะทำในเรื่อง R&D, HR หรือว่า IT ได้ดี แต่ถ้าเป็น Gen Y ก็คือคนรุ่นผม ต้องคุยกันแบบใจๆ แลกกัน เปิดใจหมด ซึ่งคน Gen Y เป็นยุคแรกของการเปลี่ยนแปลงในหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนจากแพคลิ้งค์เป็นมือถือ เดสก์ท็อปเปลี่ยนเป็นโน้ตบุ๊ค เปลี่ยนการส่ง SMS มาเป็นอีเมล และปัจจุบันมาเป็นการส่งไลน์ ยุคของ Gen Y เกิดมาเพื่อถูกดิสรัปชั่น เพื่อถูกเปลี่ยนแปลง ซึ่ง Gen Y เป็นหัวใจสำคัญที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ Gen Z”

คุณธนาตรัยฉัตร ย้ำว่า การทำงานร่วมกับคน Gen Z คือความท้าทายในการบริหารจัดการองค์กร ความจริงแล้วการเรียนรู้พฤติกรรมของคน Gen Z มีมากกว่าการจะได้รู้ว่า Gen Z ชอบอะไร รู้สึกอย่างไร เพราะโลกของคน Gen Z คือโลกในอนาคตของ อมาโด้ และเป็นภารกิจสำคัญที่จะปรับเปลี่ยนองค์กรในวันนี้ให้รองรับกับกลุ่มเป้าหมายในอนาคต


“จึงดูเหมือนกับว่า Gen Z และ Gen Alpha เข้ามาดิสรัปท์เรา เราต้องทำความเข้าใจกับสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน ซึ่งเราก็จะได้ประโยชน์จากการที่สามารถรองรับความต้องการของ Gen Z เพราะเมื่อเราดูแล Gen Z ได้ดี หมายความว่า เราพร้อมจะเป็น One Stop Service พร้อมที่จะ Survive ไปกับการเปลี่ยน Generation Gap เพราะเรามีความสุขุมในอดีต เรามีความมันส์ในปัจจุบัน และมีความท้าทายรออยู่ในอนาคต เราสามารถตอบโจทย์กลุ่มหลักของประเทศไทยใน 5-10 ปีข้างหน้านี้ได้ ทั้งหมดนี้คือยูนิเวิร์สที่เราสร้างขึ้นมา เป็นการเรียนรู้ Generation Gap ได้ดีในระดับหนึ่ง”

ภายใต้แรงขับเคลื่อนของการเป็น “องค์กรแห่งนวัตกรรม” สิ่งสำคัญ คือการกำหนดแนวทางเพื่อให้บุคลากร ภายในองค์กรสามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ โดยอมาโด้ได้มีการสร้างแนวคิด “SHESA” ที่เปรียบเสมือน Amado DNA ที่จะทำให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกันได้สำเร็จ ซึ่งประกอบด้วย

Singularity = ทำน้อยได้มาก ทำมากได้ทวีคูณ ทุกคนสามารถเลิกงานภายใน 4-6 ชม. ได้ ถ้ามีความรับผิดชอบมากพอ เพื่อนำเวลาที่เหลือไปหาแรงบันดาลใจกลับมาสร้างสรรค์งาน

Happiness = มีความสุขในทุกลมหายใจ ไม่คิดลบ เพราะต้องใช้พลังมหาศาลในการเป็นที่ 1 ของประเทศ

Enthusiastic = กระตือรือร้นในการทำงาน กระตือรือร้น ขยัน สมาร์ท ไม่ซ้อนทับ ไม่เกิดเวลาขยะในการทำงาน

Simulation = คิดก่อนลงมือทำงาน เสนอไอเดียหรือทำงานแบบมีการจินตนาการ กระบวนการ ความรู้สึกของคน เห็นผลลัพธ์ที่จะเกิด

Appreciate = ขอบคุณที่ได้เป็นครอบครัวอมาโด้ ภูมิใจ ดีใจ ที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันที่นี่

“ท้ายที่สุดในยูนิเวอร์สของ SHESA จะทำให้เกิด Mindset ของอมาโด้ที่เป็นแบบตัวผม แบบน้องๆ หรือในบอร์ดบริหาร ทำให้ทุกย่างก้าวของอมาโด้เป็นไปอย่างมั่นใจ รู้สึกสมาร์ท ซึ่งเป็นแนวคิดในการบริหารงาน HR ภายในองค์กร และเป็นแนวคิดของคนนิวเจนในอมาโด้ทั้งหมด และเป็นหัวใจในด้านการบริหารจัดการของเรา”

สร้างวิธีคิด เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

คุณธนาตรัยฉัตร กล่าวเสริมถึงกระบวนการสร้างแนวคิด และวิธีการข้ามผ่านอุปสรรคเมื่อมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นจะต้องใช้องค์ความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่มาเป็นเครื่องมือในการพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชุดข้อมูลที่เป็นสถิติเก่า เช่น ส่วนแบ่งการตลาด ศักยภาพของพาร์ทเนอร์ เป็นต้น

“เราทำงานกันหนักมาก ทุกอย่างจะมีโซลูชั่นเป็นวินาทีอยู่ในสมองเสมอ หลักการคิดบางครั้งก็ไม่ได้ตัดเรื่องของสัญชาตญาณออกไป แต่เราจะใช้สัญชาตญาณคิดขึ้นมาว่า เรามีวิธีกี่ตัวเลือก และจะเลือกโซลูชั่นไหนในการเดินต่อไป เมื่อต้องมีการตัดสินใจต้องพิจารณาจากหลายสิ่ง ทั้งหมดทั้งมวลเหมือนว่าสมองเราเป็น AI และกำลังเล่นหมากรุกกับคอมพิวเตอร์อยู่ ในความเป็นมนุษย์อาจใช้ Gut Feeling ในการเดินหมากจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพราะเรามี Mindset ว่าเคยทำแล้วสำเร็จมาแล้ว แต่คอมพิวเตอร์ไม่ได้คิดแบบคน เพราะคอมพิวเตอร์จะมีโซลูชั่นในการเดินหมากตัวนี้ด้วย เวลาที่เหลืออยู่กับหลากหลายตัวเลือก แต่ถ้าเรามองแบบ AI ในร่างมนุษย์ ก็จะรู้ว่าเรามีตัวเลือกอยู่แค่ไหน เราจะเลือกเดินแบบไหน อาจจะเสี่ยงน้อยแต่ปลอดภัย หรือเสี่ยงมากแล้วได้เยอะ”

อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันองค์กรให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืน ต้องอาศัยปัจจัยที่เกื้อหนุนในหลากหลายมิติ โดยคุณธนาตรัยฉัตร ย้ำว่าวันนี้อมาโด้มีมากกว่าความยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือ Ecosystem ในหลายๆ วงกลม ให้สามารถเติบโตไปพร้อมกัน เป็นการสร้างโอกาสให้ประเทศชาติ และสร้างพื้นที่ทางการตลาดใหม่ๆ ให้แก่อุตสาหกรรม

“คำว่า ‘ยั่งยืน’ ในมุมของผมจะลึกกว่าคนอื่นๆ ความยั่งยืนของเรามันเท่ตรงที่ว่าเรามี Second Dimension หรือมิติที่สองเกิดขึ้นมา ความยั่งยืนของเราจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปักต้นไม้ลงไปในดินแล้วเติบโต แต่เรายังทำให้พื้นที่โดยรอบๆ เติบโตเขียวชอุ่มไปพร้อมกัน ทำให้ความยั่งยืนของเราสตรองกว่าความยั่งยืนที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆ วันนี้ ถ้าไม่มีอมาโด้เกิดขึ้นมา ผมว่าน่าเสียดาย เพราะคนจะต้องซื้อวิตามินซีที่แพง หรือซื้อคอลลาเจนที่ไม่มีคุณภาพ และแน่นอนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ล้วนเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้น ความยั่งยืนของอมาโด้ จึงลงลึกไปถึงระดับอะตอม”

เมื่อเปรียบเทียบในระยะทางจาก 1-10 ของการดำเนินธุรกิจ คุณธนาตรัยฉัตร มองว่า วันนี้อมาโด้เพิ่งออกเดินมาได้เพียงจุดที่ 2 เนื่องจากการเริ่มต้นแบบสตาร์ทอัพทำให้ขาดเงินทุนสำหรับการขยายงาน แม้ว่าหัวใจจะเต็มไปด้วยพลัง แต่ติดปัญหาเรื่องความพร้อมของทรัพยากร

“เราเป็นสตาร์ทอัพที่มองเห็นโอกาสอยู่เต็มไปหมด ในส่วนของรากฐานเรามีความพร้อมหมดแล้ว เรานับ 1 ได้แล้ว แต่วันนี้เราเพิ่งเหยียบเลข 2 เท่านั้น ในช่วงวิกฤตปี 2561 เราใช้เงินเพียงแค่ 20 ล้านบาท ในการขยับยอดขายจาก 300 ล้านบาท มาเป็น 690 ล้านบาท และเป็น 2,200 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 24 เดือน ดังนั้นวันนี้ถ้าเราได้มวลสาร อีกเพียงน้อยนิดมาเพิ่ม เราจะสามารถสร้างระเบิดปรมาณูได้ และจะกลายเป็น Ecosystem ที่น่ารักสำหรับประเทศไทย”


อนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาส

อีกหนึ่งความท้าทายของอมาโด้ และถือเป็นโจทย์ที่ยาก คือการเดินหน้าตามแผนการผลักดันองค์กรเข้าตลาดหลักทรัพย์ ที่กำหนดไว้ในช่วงปลายปี 2565 ปัจจุบันยังเป็นไปตามแผนเดิมที่เคยกำหนดไว้ แต่อาจจะใหญ่กว่าที่ประเมินไว้ตั้งแต่ครั้งแรก เนื่องจากวันนี้อมาโด้เติบโตได้ค่อนข้างเร็วในมุมของ TV Shopping หรือธุรกิจคอมเมิร์ซ ทำให้ทางอมาโด้มีการวิเคราะห์กันภายในว่า จะกำหนดให้บริษัทอมาโด้ไปในทิศทางไหน จะยังคงเป็นซัพพลิเม้นต์ 100% หรือเป็นคอมเมิร์ซด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความพยายามเพื่อให้มองเห็นโครงสร้างยูนิเวิร์สของอมาโด้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“การเข้า MAI จึงอาจจะใหญ่กว่าที่คิด เพราะปีนี้มีการประเมินอย่างไม่เป็นทางการในระยะเวลา 6 เดือน เราสร้างยอดขายเฉพาะคอมเมิร์ซไปแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในปีที่ผ่านมา ที่มียอดขายรวมที่ 2,200 ล้านบาท แบ่งเป็นจากออนไลน์ 1,500 ล้านบาท คอมเมิร์ซในทีวี 600 ล้านบาท และออฟไลน์ 100 ล้านบาท แต่ตอนนี้ยอดขายเฉพาะคอมเมิร์ซเติบโตเป็น 2 เท่า

วันนี้เรากำลังสนุกสนานอยู่ในโลกของปลายน้ำ ถ้าเราได้ IPO เข้ามาก็จะเป็นเรื่องของ Input มีเรื่อง SKU ที่เพิ่มขึ้น สามารถสร้างโอกาสทางการขายที่มากขึ้น รวมถึงแผนการสร้างโรงงาน เพราะวันนี้เรามียอดการสั่ง OEM ถึงปีละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งโรงงานจะมีกำไรขั้นต่ำอยู่แล้ว 20% หมายความว่า แค่เรานำเงิน IPO มาสร้างลงทุนสร้างโรงงานสัก 200 ล้านบาท เพียง 6 เดือน ก็คืนทุนแล้ว”


อย่างไรก็ตาม ในวันที่อมาโด้จะมีชื่อขึ้นอยู่บนกระดานหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ ภาพของอมาโด้จะกลายเป็นองค์กรที่มีความไดนามิกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งคุณธนาตรัยฉัตร ยังคาดหวังว่า เมื่อบริษัทมีเงินทุนมากขึ้นจะมีโอกาสช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น รวมถึงการสร้างโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้เดินตามความฝัน ผ่านประสบการณ์การเป็นสตาร์ทอัพของตนที่ไม่มีหลักสูตรสอนในมหาวิทยาลัย หากประสบความสำเร็จก็จะให้การสนับสนุน และนำมาพัฒนาร่วมกับแบรนด์อมาโด้ต่อไป

หลังการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เป้าหมายต่อไปของอมาโด้ คือการเติบโตไปสู่ระดับ Regional ซึ่งวันนี้ระบบโลจิสติกส์พัฒนาเป็นโกลบอลไปเรียบร้อยแล้ว จึงมีโอกาสทางการตลาดอีกมากมาย

“ถ้าเราสามารถดูแลตรงนี้ได้ เราจะไปได้ไกลมาก เพราะเราเป็นองค์กรที่เข้าใจอัลกอริทึมของออนไลน์ เราเกิดมาในยุคที่เป็นคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เมื่อเราเข้าไปทดแทนและสร้างความบาลานซ์ให้มีมากขึ้นก็ย่อมจะส่งผลดีทั้งระบบ อนาคตเราจึงจะไปโกลบอลแน่นอน และอาจพาแบรนด์ในไทยไปซื้อ TV Shopping ในต่างประเทศด้วยกัน เพราะเราเข้าใจทุกจังหวะของอัลกอริทึมการซื้อขายบนออนไลน์ทั้งหมดแล้ว” คุณธนาตรัยฉัตร กล่าว
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 11

โพสต์

จับตา “Amado Shopping”
เมื่อ“อมาโด้” ไม่ได้ขายแค่คอลลาเจน
.
การทรานสฟอร์มตัวเองจากแค่การทำธุรกิจขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาสู่การทำธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นของอมาโด้ในช่วงที่ผ่านมานั้น กลายเป็นการผลักดันตัวเองเข้าไปสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ อย่างการเปิดตัว Amado Shopping ช่องทางขายในรูปแบบของทีวีโฮมช้อปปิ้ง ที่รับขายสินค้าให้กับพันธมิตรนอกเครือนั้น ถือเป็นการรุกเข้าไปสู่ธุรกิจใหม่ ที่อาศัยจุดแข็งของการสามารถ รวบรวมรายการเรตติ้งคุณภาพของสถานีโทรทัศน์ชั้นนำมาสร้างช่องทางขายทรงประสิทธิภาพและมีความเชี่ยวชาญบริการรับออร์เดอร์ให้ลูกค้าด้วยขุมพลังเทเลเซลล์
.
ทำให้มีพันธมิตรหลายรายเริ่มเข้ามาให้อมาโด้ จัดจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลืองแลตตาซอย สิงห์ เพอร่า วิตามิน วอร์เตอร์ สเนลไวท์ เนเจอร์กิฟ เอ็กซ์เซ่ แซลมอน พลาเซนต้า หมอนยางพารา Soft Pillow บอนแบค เครื่องดื่มรังนกแท้
.
การเพิ่มช่องทางขายผ่านทีวิโฮมช้อปปิ้งของสินค้าในกลุ่ม FMCG สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของตลาดได้ดีว่า การทำตลาดในยุคนี้ต้องมีช่องทางขายที่หลากหลายในรูปแบบของออมนิชะแนล เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบครอบคลุมทุกความต้องการ โดยการตีเส้นแบ่งช่องทางขายนั้น จะถูกแบ่งด้วยแพ็กไซส์อย่างชัดเจน อย่างในกรณีของแลตตาซอย ที่นำแลตตาซอย โกลด์ซีรี่ส์เข้ามาขายผ่าน Amado Shopping ที่ในช่วงแรกจะเลือกจัดจำหน่ายเซ็ทโปรโมชัน ‘นมถั่วเหลืองโกลด์ซีรีย์’ 4 รสชาติ บรรจุขนาด 180 มิลลิลิตร สูตรแรก ไฮแคลเซียมผสมโสมสกัด จำนวน 2 หีบ (บรรจุหีบละ 36 กล่อง) เหลือ 599 บาท (ราคาเต็ม 980 บาท) สูตรสอง เอ็กซ์ตร้า ช็อกโก จำนวน 2 หีบ (บรรจุหีบละ 36 กล่อง) แถมฟรี 1 หีบ เหลือ 980 บาท (ราคาเต็ม 1,470 บาท) สูตรสาม ชาเขียวมัทฉะ จำนวน 2 หีบ (บรรจุหีบละ 36 กล่อง) เหลือ 599 บาท (ราคาเต็ม 980 บาท) และสูตรสุดท้าย คอลลาเจน ใยอาหาร จำนวน 2 หีบ (บรรจุหีบละ 36 กล่อง) แถมฟรี 1 หีบ เหลือ 980 บาท (ราคาเต็ม 1,470 บาท) ซึงจะจับกลุ่มเป้าหมายหลักกลุ่มเดียวกับอมาโด้ทื่ให้ความสำคัญดูแลใส่ใจสุขภาพ
.
เหตุผลสำคัญอีกอย่างของการเลือกใช้ช่องทางขายผ่านทีวีโฮมช้อปปิ้งของสินค้าในกลุ่มนี้ มาจาก การที่ตลาดโฮมช้อปปิ้งมีทิศทางการเติบโตที่น่าสนใจ โดยตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้ง ได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีมูลค่าที่ 16,000 ล้านบาทในปี 2563 จากเดิมในปี 2562 มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท
.
การเข้ามารับจัดจำหน่ายสินค้าให้กับแบรนด์พันธมิตรในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการทรานสฟอร์มที่อมาโด้มีการประกาศรีแบรนด์ใหม่ไปตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2021 โดยเป็นการรีแบรนด์ แบบเมเจอร์ เชนจ์ ที่ทำครบ 360 องศา ตั้งแต่กระบวนการทำงานจากภายในองค์กรไปสู่ภายนอก การปรับโลโก้ที่มีการดึงรูป หัวใจออก พร้อมกับใส่รูปโล่ (Shield) เข้าไป เพื่อสื่อถึงการเป็นเกาะกำบังเรื่องสุขภาพให้กับลูกค้า
.
นอกจากนี้ยังมีการรีแบรนด์คำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise) ใหม่ เป็น “We Live For Your Health” ตาม วิสัยทัศน์ “Vitamin & Supplement’s Expert” เพื่อตอกย้ำเป้าหมายที่มุ่งมั่นเป็นที่ 1 ในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย และระดับเอเชีย เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผลิตภัณฑ์และตอกย้ำความตั้งใจในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สุขภาพ อันดีของผู้บริโภค
.
เป้าหมายสำคัญของการรีแบรนด์นั้น อมาโด้ต้องการสื่อถึงภาพลักษณ์ของการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยภาพความสำเร็จที่ เกิดขึ้นกับอมาโด้นั้นจะมาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1.การวิจัยและพัฒนา (Research & Development) คิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพสูง 2.สร้างช่องทางขายที่หลากหลายและทรงประสิทธิภาพที่ตอบสนองทันทีทันใด (Real-Time Strategic Platform) และสุดท้าย 3.การขับเคลื่อนการตลาดด้วยข้อมูล หรือ Data Driven Marketing ด้วยการนำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ หาความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก (Customer Insight) สู่การออกแบบโปรโมชั่นและนำเสนอสินค้าให้ตรงตามความ ต้องการของลูกค้า
.
สิ่งที่จะตามมากับการทรานสฟอร์มในครั้งนี้ก็คือ วิธีคิดในการดำเนินธุรกิจที่จะใช้รูปแบบของการขับเคลื่อนผ่านการสร้างอีโคซิสเท็มที่แข็งแกร่ง เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ แน่นอนว่า สิ่งที่จะตามมาหลังจากการทำตลาดของ Amado Shopping ก็คือ การเปิดตัวธุรกิจโลจิสติกส์ที่ส่งสินค้าด้วยตัวเองอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้การบริการทำได้แบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น
.
ทั้งหมดนั้น จะทำให้การนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 4 ปี 2564 หรือต้นปี 2565 สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น....
#BrandAge_Online
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 12

โพสต์

อมาโด้ ปรับทัพองค์กร พร้อมก้าวกระโดด

อมาโด้ ปรับทัพองค์กร พร้อมก้าวกระโดดและรับมือกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Next Normal เต็มตัว


บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด โดยนายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติให้จัดโครงสร้างผู้บริหารใหม่ เนื่องจาก “นายพร้อมวิชญ์ กรณ์อัศวกุล” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ลาออกมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ จึงได้แต่งตั้ง นางกาลย์กัลยา ภูโชคอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดำรงตำแหน่งรักษาการ Chief Financial Officer (CFO) หรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน แทน

อมาโด้ ปรับทัพองค์กร พร้อมก้าวกระโดด

ทั้งนี้ นางกาลย์กัลยา ภูโชคอนันต์ ซึ่งดูแลสายการปฏิบัติการ สายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายการบริหารคลังสินค้า และสายบริหารทรัพยากรมนุษย์อยู่แล้ว จึงมีความเหมาะสมดูแลสายงานด้านการเงิน และบัญชีของบริษัทฯ เนื่องจากเป็นผู้มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ร่วมขับเคลื่อนและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ อย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา โดยโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ของบริษัทฯ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป

สำหรับการจัดโครงสร้างใหม่ครั้งนี้ จะทำให้บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด มีความแข็งแกร่ง (strength) และมีความยืดหยุ่น (resilience) มากขึ้น เพื่อสามารถบริหารงานและเชื่อมต่อการทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อตอบโจทย์โลกยุค Next Normal ที่ทุกอย่างจะต้องเชื่อมต่อกันอย่างไร้ขีดจำกัด และสามารถนำเอาประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพมาขับเคลื่อนบริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 13

โพสต์

“ธนาตรัยฉัตร” นักธุรกิจรุ่นใหม่ เคลื่อน “อมาโด้” ด้วยความกล้า บ้าบิ่น

นักธุรกิจรุ่นใหม่ คิดเร็วทำเร็ว เคลื่อนธุรกิจด้วยความ กล้า-บ้าบิ่น อย่างมีกลยุทธ์ "ธนาตรัยฉัตร" พร้อมทลายระเบิดเวลา ผลักดัน "อมาโด้" เข้าตลาดหลักทรัพย์ ปลดล็อกเงินทุน สร้างการเติบโตในระยะยาว

โรคโควิด-19 สร้าง “ปฏิริยาเร่ง” มากมายเกิดขึ้น รวมถึงระเบียบโลกใหม่ๆ เบรกผู้คนให้ต้อง “ล็อกดาวน์” กิจการการค้า ทำให้คนอยู่กับปัจจัยความกลัว(Fear Factor) ร่วมมือกันเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” แต่หากต้องการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ มีกติกาเกิดขึ้นจากเจ้าถิ่นจะต้องฉีด “วัคซีน” ยี่ห้อนั้นนี้ ฯ

ตัวอย่างสารพันตัวแปรที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมาก ในโอกาส “กรุงเทพธุรกิจ” ครบรอบ 35 ปี จึงระดม “แม่ทัพ” องค์กรธุรกิจชั้นนำ ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ แนวคิดรับโลกใบเดิม ภายใต้กติกา ความท้าทายใหม่ๆหรือ New Era, New Challenge แล้ว Next Generation - ผู้ขับเคลื่อนปัจจุบันสู่อนาคต มีก้าวย่างอย่างไร ติดตาม

จากศิลปินนักร้องวัยรุ่น ผันตัวสู่บทบาท “นักธุรกิจ” ปลุกปั้นแบรนด์ “อมาโด้”(AMADO) ให้ติดท็อปของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ความงามอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้ปัจจุบันหลัก “พันล้านบาท” คือหนึ่งในเวอร์ชั่นที่ดีสุดของ ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด

ทว่า กว่าธุรกิจจะเติบใหญ่ทำเงินจากหลักหมื่นสู่หลักล้าน ไม่ง่าย เพราะเส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรค สารพัดปัญหาให้แก้

ย้อนสู่ยุคศิลปิน “ธนาตรัยฉัตร” เท้าความชีวิตการร้องเพลง สร้างความสุขให้แฟนๆ เป็นลมหายใจที่แลกด้วยคำว่า “โอกาส” จึงเต็มที่กับงานเพลง พร้อมวางเป้าหมายจะเป็นศิลปินในเวอร์ชั่นที่ดีสุดใน 10 ปี จะเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ชื่อเสียง เงินทองแล้ววางไมค์

เมื่อธุรกิจเพลงขาลง ต้นสังกัดเปลี่ยนนโยบายเคลื่อนองค์กร การดิสรัปอาชีพศิลปินมาเร็วกว่าที่คิด ประกอบกับ “จุดเปลี่ยน” สำคัญ เมื่อออกงานโชว์ตัว ได้ผลตอบแทน 20,000 บาท วันเดียวกันเจ้าตัวขายสินค้าผ่าน “ออนไลน์” มียอดขาย เงินเข้าบัญชีทั้งวันร่วม 80,000 บาท เห็น “ขุมทรัพย์” ใหม่เบื้องหน้า จึงตัดสินใจผันตัวเป็น “นักธุรกิจ” เต็มตัว

การออกสตาร์ทด้วยทุนหลัก “แสนบาท” ใช้บ้านเป็นออฟฟิศ ยึดโต๊ะทานข้าวเป็นโต๊ะทำงาน จน “มารดา” ต้องยืนทานข้าวในครัว ความเกรงใจจึงพลิกโรงรถเป็นออฟฟิศใหม่ พัฒนาสินค้าสร้างยอดขายได้หลัก “สิบล้านบาท” นำเงินไปลงทุนขยายออฟฟิศใหม่

ตลอด 8 ปี การเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ แนวคิดขับเคลื่อนธุรกิจเต็มไปด้วยความ “กล้า บ้าคลั่ง” ไม่กลัวความเสี่ยง แต่การที่ “อมาโด้” เติบโตเช่นวันนี้ เกิดจากวิสัยทัศน์มองทุกการ “ลงทุนเพื่อโอกาส”

“เราไม่เคยทิ้งโอกาส ทุกโอกาสที่เข้ามาเราคว้าไว้หมด แต่บางครั้งเราลืมว่าส่องกระจกว่าเราเป็นสตาร์ทอัพที่ไม่มีเงินทุน เราดับเครื่องชน แลกกับประโยชน์ยอดขาย เพื่อผลงานใหญ่สุด เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด”

ทว่า ปัจจุบันไม่ใช่ เมื่อธุรกิจเติบโตพร้อมกับวัยวุฒิ ทำให้ต้อง “บริหารจัดการความเสี่ยง” มากขึ้น เพราะการที่ธุรกิจเติบโตเร็วจนน่าหวาดเสียว แต่บริษัทยังมีข้อจำกัดด้าน “เงินทุน” ที่ต้องระวังอย่างยิ่ง ประกอบกับที่ผ่านมา บริษัทเคยเจอวิกฤติใหญ่สุด ปี 2561 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อหนึ่ง(เมจิกสกิน) ได้สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้ตลาดเสริมอาหารถูกลดทอน “ความน่าเชื่อถือ” จากผู้บริโภคอย่างหนัก จากบริษัทมียอดขายหลักร้อยล้าน ดิ่งสู่ภาวะ “ขาดทุน” กว่า 60 ล้านบาท จนเกือบปิดกิจการ

18 เดือน ต้องแก้วิกฤติ เดือนที่ 6 สุ่มเสี่ยงเจ๊ง! แน่ จึงตัดสินใจเรียกรวมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) เพื่อบรรเลงธุรกิจครั้งสุดท้ย นำสินค้าในคลังออกมาขายให้หมด คำนวณยอดขายจะเหลือเงินเท่าไหร่ แต่ใน “ร้าย” มี “ดี” การสำรวจคลัง กางดู “ข้อมูล”(Data)จริงจัง พบ “คอลลาเจน” ในพอร์ตโฟลิโอเติบโต ส่วนสินค้าความงาม วิตามินต่างๆ กลับทรงตัว จึงโฟกัสพระเอกใหม่จนสร้างยอดขายระดับ 1,800 ล้านบาท(เฉพาะคอลลาเจน) จากภาพรวมรายได้ปี 2563 อยู่ระดับ 2,200 ล้านบาท

การฝ่ามรสุมใหญ่ “ธนาตรัยฉัตร” ตกผลึกการใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน หรือ Data Driven Marketing สำคัญและทรงพลังมาก ฐานลูกค้า “นับล้าน” ที่เก็บและวิเคราะห์ทุกวัน ทำให้เห็นแนวโน้มการขายสินค้าผ่าน “ออนไลน์” แผ่ว แต่ฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มคนดูทีวีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่วัย 50 ปี บริษัทจึงปรับตัวรุกช่องทางทีวีโฮมชอปปิง ยึดหน้าจอทีวีดิจิทัลเก็บเกี่ยวขุมทรัพย์ใหม่ทำเงินหลัก 900 ล้านบาท

อนาคต การทำธุรกิจมีโจทย์ใหม่ให้ตีแตกต่อเนื่อง วันนี้เก็บข้อมูลผู้บริโภคได้ แต่ปีหน้าจะยากขึ้น เพราะ “นโยบายความเป็นส่วนตัว” ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(พ.ร.บ.)จะบังคับใช้ แบรนด์ นักการตลาดจะเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ยาก เป็นอุปสรรคต่อการทำตลาดไม่น้อย

“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ตอนนี้นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อความน่าอยู่ของสังคมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทายมาก ดิจิทัล อัลกอริธึ่มเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ และการเข้าถึงผู้บริโภคหรือ Reach คือลมหายใจของธุรกิจ คือยอดขาย แต่ออนไลน์ยอดตกลง โตช้าลงต่อเนื่อง หากเราไม่ปรับตัวมุ่งสู่ทีวีโฮมชอปปิง อมาโด้อาจเจอ Bad Crisis ได้”

“อมาโด้” กำลังก้าวสู่ปีที่ 10 จุดเปลี่ยนใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทคือการพาธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็น “มหาชน” เพื่อ “ระดมทุน” นำเงินที่ได้ไป “ปลดล็อก” การขยายธุรกิจ สร้างโรงงานผลิตคอลลาเจน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ ต่อจิ๊กซอว์อาณาจักรให้เติบใหญ่

ธนาตรัยฉัตร เล่าว่า ปัจจุบันบริษัทโตร้อนแรงมาก ปี 62 มีรายได้หลัก 690 ล้านบาท ปี 2564 หวังทะยานสู่ 2,500-3,000 ล้านบาท แต่เมื่อขาด “เงินทุน” จึงเป็น “ระเบิดเวลา” กระทบการเติบโตรวมถึงเป้าหมายการเป็นอมาโด้เวอร์ชั่นที่ดีสุด ทั้งการเป็นองค์กรธุรกิจแถวหน้า “ใหญ่” กว่าบริษัทไอดอลที่ “อมาโด้” หมายตา การขยายธุรกิจให้สวยงาม สร้าง “กำไร” ดีกว่าเดิม ฯ จากปัจจุบันต้องแข่งกับเวลา ปั๊มยอดขาย นำเงินทุนไปจ่ายเครดิตหมุนเวียนต่างๆ

“คนเรามี Best Version อย่างน้อย 10 ปี ผมจึงต้องกรทำสิ่งที่มหัศจรรย์ สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับอมาโด้ เพื่อดิสรัปชั่นสิ่งต่างๆอีกมาก ผ่านการเคาท์ดาวน์ไอพีโอ เมื่อเราขายหุ้นให้กับประชาชน ระดมทุนได้จะเกิดสมการ E= MC2 เหมือนสูตรคำนวณปรมาณู สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นแน่ รวมถึงการสร้างรายได้มหาศาล ย้ำ Best Version ของอมาโด้ที่จะเติบโต สุขุม นิ่งขึ้น ไม่ใช่โตร้อนแรงจนน่าหวาดเสียวแบบปัจจุบัน”

ธนาตรัยฉัตร เป็นหนึ่งในตัวอย่างนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่คิดเร็ว ทำเร็วแบบสตาร์ทอัพ การเก่งกาจ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ดิจิทัล ยังดิสรัปการทำงานวัยเก๋า แต่อนาคต เจนเนอเรชั่นใหม่ จะเข้ามามีบทบาทเคลื่อนธุรกิจแทนคนยุคก่อน ตามวัฏจักร แต่วิคราะห์แนวโน้มเจนฯ “อัลฟ่า”(เกิด 2553-2567) รวมถึงเจนฯ “ซี” (เกิด2538-2552) จะเคลื่อนธุรกิจเร็ว เกิดความเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิม 10 เท่าตัว

“อนาคตคนรุ่นใหม่จะมาแทนที่เรา เดิมเจนฯเอ็กซ์กลัวเจนฯวายแค่ไหน เจนฯวายต้องกลัวเจนฯอัลฟ่ามากกว่า 10 เท่า เราดิสรัปผู้ใหญ่ได้ เพราะเราเขียนโปรแกรมเป็น อยู่ในยุค MS-dos แต่เด็กรุ่นนี้โตมากับเทคโนโลยี จะหาวิธีง่ายสุด เร็วสุด เพื่อประสบความสำเร็จ”

ปี 2563-64 ทั้งโลกเผชิญมหาวิกฤติโรคโควิด-19 ระบาด กระเทือนธุรกิจ “อมาโด้” กระทบไม่ต่างกัน จึงชะลอแผนในไตรมาส 2-3 รับเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่แผ่วลง การปรับตัวยังเกิดแบบ “รายวัน” ไม่ใช่ระยะยาว เพื่อก้าวพ้นช่วงยากลำบาก

“ผู้นำรุ่นใหม่มีวิสัยทัศน์การทำงานภายใต้วิกฤติตลอดเวลา และการเป็นซีอีโอ เคยคิดว่าต้องมานั้งก้าอี้เรียกรวมบอร์ดเพื่อประชุม แต่ซีอีโอกลายเป็น Cheif Everything Officer ทำทุกอย่างทั้งปิดงบ นับสต๊อกในคลังสินค้าเป็น เพื่อให้รู้การไหลเข้าออกของลมหายใจ(เงินเข้าบริษัท) ตรงไหนมีจุดเลือดไหล ห้ามเลือดตรงนั้น ขณะที่ท่ามกลางวิกฤติโควิด อมาโด้ยังโชคดีที่บาลานซ์การขายสินค้าสุขภาพแทนโฟกัสความงามที่ชะลอตัว แต่ระเบิดเวลาที่อันตรายเป็นเรื่องของเงินทุนมากกว่า จึงจำเป็นต้องระดมทุนด่วนที่สุด ด้วยการเข้าตลาดในไตรมาส 4 ปี 2565 หรือไตรมาส 1 ปีถัดไป”
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 14

โพสต์

อมาโด้ ส่ง ‘อมาไพร’ ลงตลาดกัญชง รองรับกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายผลิตภัณฑ์

นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ เปิดเผยว่ากลยุทธ์การดำเนินงานของอมาโด้ จะไม่พึ่งพิงการขายผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งที่เป็นเรือธงมากเกินไป โดยจะเน้นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมถึงกระจายช่องทางการขายในหลายช่องทาง โดย 9 เดือนแรกปีนี้พบว่า ยอดขายในช่องทางออนไลน์ทำได้ 895 ล้านบาท และยอดขายผ่านช่องทางทีวี หรือเทเลเซลล์ ที่ 913 ล้านบาท

ทำให้ล่าสุด อมาโด้ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ภายใต้ อมาไพร ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในกลุ่มสมุนไพร ที่ตอบโจทย์ธรรมชาติโภชนา เน้นส่วนประกอบจากธรรมชาติเป็นหลัก และยังเป็นแนวโน้มของตลาดผู้บริโภคที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ธรรมชาติโภชนา ซึ่งมีส่วนประกอบจากสารสกัดธรรมชาติ หรือ วีแกน อีกทั้งบริษัทยังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในตลาดสมุนไพรกัญชง และเพื่อเพิ่มแนวทางและจุดแข็งของธุรกิจจึงนำแนวคิด ธรรมชาติโภชนา มาเสริมจุดแข็งให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของอมาโด้

โดยประเดิมผลิตภัณฑ์แรกด้วย อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส (Amaprai Hemp Seed Oil Plus) ที่มีน้ำมันเมล็ดกัญชงเป็นส่วนประกอบหลัก อีกทั้ง ยังมีน้ำมันจากธรรมชาติอีก 9 ชนิด ที่ผ่านกระบวนการสกัดเย็น มีตราสัญลักษณ์ Vegan รับรอง ซึ่งรองรับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทุกเพศทุกวัยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ดี เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาปลูกต้นกัญชง 3-5 เดือน และขั้นตอนการเก็บเกี่ยว สกัดวิเคราะห์ และผลิตกว่า 45 วัน ทำให้มีสินค้าพร้อมจำหน่ายในล็อตแรก 10,000 กล่อง เป้าหมายยอดขายที่ 19.9 ล้านบาท สำหรับล็อตแรกปีนี้ และ ภายในไตรมาส 1 ปี 2565 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านบาท

ขณะที่มี 3 ช่องทางในการจัดจำหน่าย คือ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอมาโด้ เบื้องต้นเปิดรับ 500 ราย ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายในล็อตแรกที่ 60% ช่องทางจำหน่ายทางโทรศัพท์ หรือ เทเลเซลล์ 30% และช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งโซเชี่ยลคอมเมิร์ซ และ อี-มาร์เก็ตเพลส ในสัดส่วน 10%

โดยวางจำหน่าย 1 กล่อง บรรจุ 20 แคปซูล ราคา 1,990 บาท พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ผ่านตัวแทนจำหน่าย และ Amado Shopping Call Center 1451 หรือทาง LineOA: @amaprai ขณะที่ สินค้าล็อตต่อไปจะพร้อมจำหน่ายในเดือนม.ค. ปีหน้า ขณะเดียวกันในอนาคตจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอมาไพรออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์จากฟ้าทะลายโจร กระชายขาว มะขาม หรือหากผู้บริโภคตอบรับดี อาจมีการทำตลาดยาหม่องสีเขียวด้วยในอนาคต

ด้านน.ส.จง ซาน ฟั่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาด ได้ประเมินว่าปี 2564 ยอดขายตลาดสินค้าสมุนไพรของโลกจะมีมูลค่า 204,070 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5.9% ในปี 2563-2570 ถือว่ามีการเติบโตสูงจากสถานการณ์โลกที่โดนผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติและออร์แกนิกมากขึ้นสอดคล้องกับ อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชงพลัส

โดยบริษัทตั้งเป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้า แบรนด์อมาไพร จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดได้ถึง 10% จากมูลค่าตลาดสินค้าสมุนไพรไทยและสมุนไพรจีนในไทยรวมกว่า 40,867 ล้านบาท
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 15

โพสต์

อมาโด้ ลุยสินค้าสมุนไพร ส่ง "อมาไพร" ลงตลาดกัญชงรายแรกของไทย
24 พ.ย. 2564 เวลา 17:46 น.

อมาโด้ กรุ๊ป เปิดตัวแบรนด์ "อมาไพร" พร้อมส่ง น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส สู่ตลาดรายแรกของประเทศไทย โดยชูแนวคิด “ธรรมชาติโภชนา” และตั้งเป้ายอดขาย 120 ล้านบาท

จากการประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาต และการอนุญาตผลิตนำเข้า ส่งออกจำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชง พ.ศ. 2563 เปลี่ยนจากกัญชงให้พ้นยาเสพติดเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ จะมีการพัฒนาและวิจัยกัญชงที่จะใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ทำยา สมุนไพร อาหาร เครื่องสำอาง เพราะกัญชงออกฤทธิ์กลุ่มเดียวกันกับกัญชา

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ผลักดันกัญชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ให้มีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น และรักษาอาการปวดศีรษะ ขณะที่ "เปลือก" และ "ลำต้น" เป็นเส้นใย "เนื้อ" สามารถผลิตกระดาษได้ ส่วน "แกน" นำไปทำเป็นพลังงานชีวมวล ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงเพื่อแก้ไขกฎกระทรวงเดิมที่มีความเข้มงวด โดยกฎหมายใหม่นั้นมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการพัฒนาประเทศ เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของคณะรัฐมนตรีในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรพร้อมพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตร

ข้อมูลอ้างอิงงานวิจัยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ประมาณการมูลค่าอุตสาหกรรมกัญชงของไทยไว้ ณ กรกฎาคม 2564 หลังจากการปลดล็อคการประกอบธุรกิจกัญชงได้เชื่อมโยงไปสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรม 5 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องดื่ม อาหาร ยาและอาหารเสริม เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ด้วยมูลค่าตลาดกัญชงรวมประมาณ 15,800 ล้านบาท และใน 5 ปีข้างหน้าหรือสิ้นปี 2568 จะเติบโตเฉลี่ย 126% ต่อปี



นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) เปิดเผยว่า อมาโด้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในตลาดสมุนไพรกัญชง และเพื่อเพิ่มแนวทางและจุดแข็งของธุรกิจจึงนำแนวคิด ธรรมชาติโภชนา มาเสริมจุดแข็งความเป็นผู้นำตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อมาโด้จึงพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ในหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มสมุนไพรตอบโจทย์ธรรมชาติโภชนา ซึ่งเน้นสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากธรรมชาติ โดยเปิดตัวภายใต้แบรนด์ อมาไพร มีที่มาจาก อมาโด้ + สมุนไพร ประเดิมสินค้า SKU แรกของแบรนด์ คือ อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส (Amaprai Hemp Seed Oil Plus) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกัญชงตัวแรกของประเทศไทยที่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ทั้งนี้ อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีน้ำมันเมล็ดกัญชงเป็นส่วนประกอบหลัก เสริมประสิทธิภาพให้มากขึ้นด้วยน้ำมันจากธรรมชาติอีก 9 ชนิด ที่ผ่านกระบวนการสกัดเย็นทำให้คงคุณค่าของวิตามินต่างๆ

สำหรับประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดกัญชงนั้นมีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 จัดเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย จับกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และตอบโจทย์โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการบำรุงระบบประสาทและสมอง บำรุงกระดูกและข้อ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ

เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลาปลูกต้นกัญชงนานถึง 3-5 เดือน เลยทำให้ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว สกัดวิเคราะห์ และผลิตนานกว่า 45 วัน จึงทำให้มีสินค้าในการพร้อมจำหน่ายในล็อตแรกเพียง 10,000 กล่องเท่านั้น โดยมีแผนการจัดจำหน่ายผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ

1. ตัวแทนจำหน่ายอมาโด้ จำนวน 11.94 ล้านบาท คิดเป็น 60%

2. เทเลเซลล์ 5.97 ล้านบาท จำนวน คิดเป็น 30%

3.ช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งโซเชียลคอมเมิร์ซและอี-มาร์เก็ตเพลส จำนวน 1.99 ล้านบาท คิดเป็น 10%

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายของล็อตแรก 10,000 กล่องยอดขายคิดเป็น 19.9 ล้านบาท โดย 1 กล่อง บรรจุ 20 แคปซูล ราคา 1,990 บาท

พร้อมวางจำหน่ายแล้วทางตัวแทนจำหน่ายอมาโด้, Amado Shopping, Call Center 1451 หรือทาง LineOA: @amaprai

ซึ่งสินค้าล็อตต่อไปจะพร้อมจำหน่ายในเดือนมกราคม 2565 ซึ่งจนถึงไตรมาสแรกปี 2565 อมาโด้ตั้งเป้ามียอดขายจากอมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส ถึง 120 ล้านบาท


ด้าน นางสาวจง ซาน ฟั่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดได้ประเมินว่าปี 2564 ยอดขายตลาดสินค้าสมุนไพรของโลกจะมีมูลค่า 204,070 ล้านบาท ในปี 2563 หรือมีอัตราการเติบโต (CAGR) คิดเป็น 5.9% ในปี 2563-2570 ถือว่ามีการเติบโตสูงสวนกระแสสถานการณ์โลกที่โดนผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ผู้บริโภคจึงหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติและออแกนิกมากขึ้นจนเกิดกระแส Healthy Living สอดคล้องกับ อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติ 100% มีตราสัญลักษณ์ Vegan รับรอง ซึ่งแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของอมาโด้ได้พัฒนาสูตรให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความโดดเด่นและแตกต่าง เพิ่มความหลากหลายของสินค้ากลุ่มสมุนไพรให้สามารถขยายฐานกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น ซึ่งเราคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า แบรนด์อมาไพร จะแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดได้ถึง 10% จากมูลค่าตลาดสินค้าสมุนไพรไทยและสมุนไพรจีนในไทยรวมกว่า 40,867 ล้านบาท

“นอกจากนี้ จากภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกัญชง ปี 2564 อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีกัญชงผสมจะมีมูลค่า 280 ล้านบาท คิดเป็น 46.6% รองมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารจากกัญชง 240 ล้านบาทคิดเป็น 40% ยาและอาหารเสริมจากกัญชง 50 ล้านบาท คิดเป็น 8.3% เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยใยกัญชง 30 ล้านบาทคิดเป็น 5% และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลประเมินว่ายังอยู่ในช่วงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นหลักในปีแรก

ทั้งนี้ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะมีการนำกัญชงไปใช้มูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท โดยอมาโด้ได้นำผลิตภัณฑ์ อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส ออกมาอย่างรวดเร็วและเป็นเจ้าแรกของตลาด คาดว่า 10,000 กล่องแรกจะสามารถแชร์ส่วนแบ่งการตลาดจากอุตสาหกรรมยาและอาหารเสริมจากกัญชงภายในสิ้นปีนี้ได้

หลังจากหน่วยงานรัฐปลดล็อกใช้สารสกัด CBD เมื่อสิงหาคม เรายังมีแผนออกสินค้าในกลุ่มที่ใช้สารสกัด CBD ในอาหารเสริมด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคในอนาคต ดังนั้น อมาไพร จะเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ให้ธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค เมื่อพูดถึงสมุนไพร จะนึกถึงแบรนด์อมาไพรเป็นแบรนด์แรก และในปีหน้าเราจะพัฒนาสินค้าใหม่ให้หลากหลายตอบโจทย์ ธรรมชาติโภชนา พร้อมต่อยอดการเติบโตของบริษัทในอนาคต” นายธนาตรัยฉัตร กล่าว
amado1.JPG
amado2.JPG
amado3.JPG
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

Re: AMADO

โพสต์ที่ 16

โพสต์

จากสตาร์ทอัพด้านอาหารเสริมที่ดับเครื่องชนจนประสบความสำเร็จมาแล้ว ก็ยังเจอวิกฤติหลายครั้งหลายครา แม้สมองจะมองถึง Worse Case แต่ในฐานะผู้นำองค์กร “เชน - ธนาตรัยฉัตร” แววตาของเขาต้องส่องประกาย Best Case เสมอ

ฟัง “ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด เล่าวิธีคิดเรื่องการทำธุรกิจและการจัดการความท้าทายใหม่ๆ

https://fb.watch/9Ayq9x6lv4/
โพสต์โพสต์