ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ถึงลงทุนในบริษัทยา

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Billionaire VI
Thai VI Partner
โพสต์: 15
ผู้ติดตาม: 37

ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ถึงลงทุนในบริษัทยา

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ในช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาออกมารัวๆเลย

ตั้งแต่ข่าวที่บริษัท Pfizer คิดค้นวัคซีนที่ป้องกันโควิดด้วยประสิทธิภาพมากกว่า 90% เพียงไม่กี่วันต่อมา Moderna ก็ออกมาว่าสามารถผลิตได้เช่นกันแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่ 94.5% แถมยังสามารถเก็บในตู้เย็นด้วยอุณหภูมิที่ไม่ได้ต่ำมากเหมือนของ Pfizer

แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้นักลงทุนทั่วโลกน่าจะเป็นข่าวที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจยาได้แก่ หุ้น Abbvie, Merck, Pfizer, Bristol-Myers Squibb ด้วยเงินกว่า $5,000 ล้าน

หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงได้ลงทุนในอุตสาหกรรมยาที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงและเป็นธุรกิจที่เข้าใจยาก

ต้องบอกว่าจริงๆแล้วคุณปู่สนใจในธุรกิจยามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว โดยในช่วงต้นๆของทศวรรษ 1990 เคยมีวิกฤตเกิดขึ้นกับหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงที่ Bill Clinton ออกกฎหมายปฎิรูปอุตสาหกรรมยา

แต่สุดท้ายแล้วก็มัวแต่เฝ้ารอไม่ได้ลงทุน คุณปู่ได้ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังเคยพูดไว้ในงานประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ในปี 1999 ดังนี้

“If you could buy a group of leading pharmaceutical companies at a below-market multiple, I think we’d do it in a second”

หลังจากนั้นคุณปู่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าการหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นยาแต่ละตัวทำได้ยากเพราะมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ

#แต่ด้วยอุตสาหกรรมมีการเติบโตที่มั่นคงเพราะเป็นสินค้าที่จำเป็น การลงทุนแบบซื้อเหมาหลายๆตัวในกลุ่มนี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

แล้วเหตุผลที่คุณปู่ซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คืออะไร? ผมได้รวบรวมข้อมูลจากที่ได้ค้นหาและมุมมองของผมดังนี้

1. บริษัทยาอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่โตดีเท่ากลุ่มเทคโนโลยี แต่ก็มีความมั่นคงมากกว่าเพราะยาเป็นปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต

บริษัทต่างๆแข่งขันกันด้วยการเร่งทำ R&D เพื่อจดสิทธิบัตรยาไม่ให้คู่แข่งรายอื่นมาทำตามได้ บริษัทจึงสามารถทำกำไรได้ดีในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่สิทธิบัตรยังคงไม่หมดไป

อุตสาหกรรมนี้แม้ไม่โดดเด่นสุดๆ แต่มีความแน่นอนสูง

2. หุ้นทั้ง 4 ตัวยังมีมูลค่าไม่แพงถ้าดูจาก Forward PE และเงินปันผลที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% (ข้อมูลจาก Morningstar และ CNBC)

Abbvie มีค่า Forward PE อยู่ที่ 8.14 เท่า ปันผล 5.27%

Merck มีค่า Forward PE อยู่ที่ 12.36 เท่า ปันผล 3.24%

Pfizer มีค่า Forward PE อยู่ที่ 12.15 เท่า ปันผล 4.19%

Bristol-Myers Squibb มีค่า Forward PE อยู่ที่ 8.19 เท่า ปันผล 2.9%

3. ทั้งหมดเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและต่อเนื่อง

โดย Abbvie มี Operating Cash Flow อยู่ที่ $16,000 ใน 4 ไตรมาสล่าสุด

ในขณะที่ของ Bristol-Myers Squibb และ Pfizer อยู่ที่ $12,400 ล้าน และ $12,500 ล้านตามลำดับ ส่วนของ Merck อยู่ที่ $11,000 ล้าน

โดยสรุปจะเห็นได้ว่าคุณปู่ลงทุนในกลุ่มหุ้นยาเพราะยังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตพร้อมความมั่นคง ที่มาพร้อมกับเงินปันผลที่สูง และที่แน่นอนคือราคายังไม่แพงอีกด้วย

ลองฝึกคิดลงทุนแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์กันครับ
โพสต์โพสต์