ใครเป็นผู้ไล่ราคาหุ้นที่ร้อนแรงในอเมริกา...บางตัวราคาทะลุฟ้า

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Billionaire VI
Thai VI Partner
โพสต์: 15
ผู้ติดตาม: 37

ใครเป็นผู้ไล่ราคาหุ้นที่ร้อนแรงในอเมริกา...บางตัวราคาทะลุฟ้า

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ถ้าเราจะชี้ว่าใครคือคนผิด จงเอาตัวเองออกจากกระจกก่อน
.
บทความนี้นาย Jason Zweig ได้เขียนไว้ใน The Wall Street Journal ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
.
นักลงทุนรายย่อย หรือ กองทุนดัชนี (Index Fund)?
.
ฝ่ายไหนเป็นคนไล่ราคาหุ้น Zoom ขึ้นไปถึง 660% หรือ 7.6 เท่าภายในระยะเวลาน้อยกว่าหนึ่งปี
.
บางท่านอาจจะคิดว่าเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือเทรดเดอร์รายวัน
.
ถ้าไปดูที่สถิติการซื้อขายของหุ้น Zoom บนแพลตฟอร์มยอดนิยมของรายย่อยอย่าง Robinhood จะพบว่าสัดส่วนการซื้อขายอยู่ที่อันดับ 49 มีแค่หุ้น Peloton และ Moderna เท่านั้นที่ติด 25 อันดับแรก
.
#ความจริงคือนักลงทุนสถาบันเป็นผู้ที่ไล่ซื้อหุ้นร้อนแรงในตลาดมากกว่า
.
หุ้นคลาวด์ที่ร้อนแรงอย่าง Fastly ปรับตัวขึ้นมา 540% ในปีนี้ จนมาถึงเดือนตุลาคม
.
หุ้นมีราคาแพงเป็น 47 เท่าของยอดขาย แต่นักลงทุนสถาบันก็ยังไล่ซื้อจนสัดส่วนเพิ่มเป็น 62% ของหุ้นทั้งหมด
.
แต่หลังจากที่ผู้บริหารปรับประมาณการณ์รายได้ของไตรมาสที่สาม หุ้นก็ปรับตัวลดลงถึง 33% ในสองวัน
.
มาดูที่หุ้น Zoom ที่ขึ้นมา 7.6 เท่าในปีนี้ นักลงทุนสถาบันก็ถือครองเพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 52% เป็น 55%
.
นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนวีไอหลายสิบคนเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ด้วยสัดส่วนประมาณ 0.4% ของมูลค่าตลาด
.
จนสิ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้น Zoom มีค่าพีอีอยู่ที่ 690 เท่า และคาดว่าจะเป็น 203 เท่าในปีหน้า
.
นาย Jason #เปิดเผยว่านักลงทุนสถาบันใช้หลักการพนันกับหุ้นที่ร้อนแรงหลายๆตัว
.
#ขอให้ซื้อถูกซักตัวแล้วได้ผลตอบแทน 10 เท่าในหุ้นตัวนั้น ก็จะช่วยให้ผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมดีขึ้นทันที
.
ยกตัวอย่างเช่น กองทุน A ถือหุ้นอยู่ 200 ตัวๆละ 0.5% ของเงิน 10 ล้านบาท หรือ 50,000 บาท
.
ถ้าหุ้น B สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10 เท่า ในขณะที่ตัวอื่นผลตอบแทนเป็น 0%
.
ผลตอบแทนรวมของพอร์ตเมื่อจบปีจะเป็น 4.5%
.
แต่ถ้าหุ้น B ขาดทุนเหลือ 0 บาท พอร์ตโดยรวมก็จะได้ผลกระทบแค่ 0.5% เท่านั้น
.
มีตัวอย่างกองทุนแนววีไออย่าง Hodges Capital Management Inc ที่บริหารจัดการเงินกว่า $976 ล้าน ได้ลงทุนในหุ้นร้อนแรง ที่ราคาแพงเวอร์ ถ้าใช้การประเมินราคาทั่วๆไปคงไม่ได้ลงทุน
.
เมื่อสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2020 หุ้นที่ Hodges ลงทุนได้แก่
.
0.06% ในหุ้น Zoom
.
0.05% ในหุ้น Novavax ที่ร้อนแรง แต่ยังไม่มีกำไร
.
1.25% ในหุ้น Snap ที่ร้อนแรง แต่ยังไม่มีกำไร ล่าสุดซื้อขายที่ราคา 21 เท่าของยอดขาย สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่าตัว
.
และ 0.5% ในหุ้น 2U หุ้นสอนหนังสือออนไลน์ ที่ยังไม่มีกำไร
.
แต่เมื่อสิ้นสุดเดือนกันยายน 2020 กองทุน Hodges ได้ขายหุ้น Zoom Novavax และ 2U ทิ้งเกือบทั้งหมด เหลือไว้แค่หุ้น Snap
.
แล้วเปลี่ยนมาลงทุนในหุ้น Draftking ซึ่งเป็นหุ้นพนันกีฬาออนไลน์ ซึ่งหุ้นขึ้นมา 500% ในปีนี้จนถึงต้นเดือนตุลาคม แล้วได้ปรับตัวลงมาเกือบ 33%
.
พร้อมทั้งลงทุนในหุ้นสั่งอาหารออนไลน์ Waitr Holdings ซึ่งขึ้นมา 1,600% ในถึงต้นเดือนสิงหาคม แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ปรับตัวลดลงมามากกว่า 40%
.
จากบทความนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้แนวการลงทุนอีกรูปหนึ่ง ที่นักลงทุนหลายๆท่านก็ใช้
.
คือแนวคิดที่ลงทุนหลายตัวในหุ้นที่ร้อนแรง ขอให้ลงถูกหนึ่งถึงสองตัว เท่านั้นก็จะทำให้พอร์ตได้กำไรอย่างงดงาม
.
อย่างไรก็ตามการบริหารพอร์ตแบบนี้น่าจะต้องใช้พลังในการหาหุ้น ศึกษา และเฝ้าหุ้น อยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเผลอแป๊ปเดียว หุ้นหลายๆตัวก็ปรับตัวลดลงอย่างหนัก
.
ผมชอบที่จะได้กำไร 15-20% ต่อปีแบบต่อเนื่อง เน้นไม่ขาดทุน

แม้ไม่ได้กำไรกระฉูดในบางปี แต่ก็ไม่ต้องติดลบเยอะในปีถัดไป
.
#ผมชอบในการเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอนในระยะยาวมากกว่าครับ #หุ้นอเมริกา #หุ้นร้อนแรง
โพสต์โพสต์