ขนาดของบริษัทมีผลต่อความเคลื่อนไหว (ช้าหรือเร็ว) : ปีเตอร์ ลินซ์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
penpha
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 28
ผู้ติดตาม: 0

ขนาดของบริษัทมีผลต่อความเคลื่อนไหว (ช้าหรือเร็ว) : ปีเตอร์ ลินซ์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หุ้นบริษัทขนาดใหญ่มักจะวิ่งขึ้นไปไม่มาก ในภาวะที่ตลาดมันดีก็จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกลับมาได้ แต่เราก็จะเห็นหุ้นของบริษัทขนาดเล็กวิ่งไปวิ่งมา

คุณจะไม่ซื้อหุ้นอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ Coca-Cola แล้วคิดว่ามันจะขึ้นมาเป็น 4 เท่าตัวในเวลา 2 ปี แต่ถ้าได้ซื้อ Coca-Cola ที่ราคาเหมาะสม คุณอาจทำเงินเป็น 3 เท่าในเวลา 6 ปี แต่ก็ไม่ใช่ภายในเวลา 2 ปี

บางครั้งเรื่องร้ายๆก็เกิดเป็นชุดที่ถึงกับทำให้บริษัทใหญ่ๆซวนเซได้ แต่เมื่อมันฟื้นตัวราคาหุ้นก็ปรับตัวอย่างมหาศาลได้ Chrysler ขึ้นมามาก เข่นเดียวกับ Ford และ Bethlehem Steel

เมื่อ Burlington Northern ตกต่ำ หุ้นได้ตกจาก 12 เหรียญ เหลืออยู่ 6 เหรียญ และไต่กลับไปถึง 70 เหรียญ เหล่านี้คือสถานการณ์พิเศษเข้าอยู่ในกลุ่มของหุ้นฟื้นตัว

ในกรณีของธุรกิจปกติบริษัทที่มีระดับพันล้านเหรียญ อย่าง Chrysler, Coca-Cola, Dow Chemical ไม่สามารถโตเร็วพอที่จะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งได้

อย่าง GE นั้นใหญ่มาก มีค่าเท่ากับเกือบ 1% ของรายได้ประชาชาติของสหรัฐ ทุกครั้งที่จ่าย 1 เหรียญ GE จะได้ไปเกือบ 1 เพนนี นี่คือบริษัทที่ทำได้ทุกอย่างประสบความสําเร็จไปหมด

เช่น เทคโอเวอร์กิจการอื่นอย่างมีเหตุผล ลดต้นทุน พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสําเร็จ ตัดบริษัทในเครือที่ขาดทุนทิ้ง หลีกเลี่ยงธุรกิจคอมพิวเตอร์ที่ดูดเลือด

ซึ่งดูแล้วมันดีมากๆ แต่ราคาหุ้นก็แทบจะไม่ขึ้นเลย แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของ GE ที่มันค่อยๆไปเพราะมันผูกติดอยู่กับบริษัทที่ใหญ่ แต่มันมีความแข็งแรงของกิจการ

แต่กิจการอาจไม่ได้โตรวดเร็วเหมือนในอดีต สิ่งที่โดดเด่นในหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ “เงินปันผล” โดยปีเตอร์ ลินซ์เองจะซื้อหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เพราะจะอาศัยความแข็งแกร่งของกิจการให้รอดพ้นภาวะซบเซาไปได้ แถมยังได้เงินปันผลตอบแทนด้วย

จากหนังสือ เหนือกว่า วอลสตรีท
โพสต์โพสต์