กระทิงมา??

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Samadha
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 87
ผู้ติดตาม: 0

กระทิงมา??

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หลายท่านกำลังงงงวย รวมถึงผมด้วย ว่ามันเกืดอะไรขึ้น

ไม่ใช่เฉพาะ ประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก

คิดว่า กระทิงมาแล้ว
หรือ just technical rebound

ขอความเห็นหน่อยครับ
ส่วนตัว คิดว่า กระทิงมาแล้วครับ ซื้อหมดหน้าตัก กลัวตกรถครับ
nopthank09
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 14
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมเชื่อว่ากลับขึ้นไปเพราะความคาดหวังครับ เพราะเรื่อง covid ที่ปิดเมืองกันไป เปิดได้เร็วกว่าที่ทุกคนคาดว่าจะลากไปถึงไตรมาส 3 และเงินในระบบมันเยอะมากจริงๆครับ และตอนนี้มองข้ามไตรมาส 2 ไป จุดที่น่าสนใจคือถ้าไตรมาสสามสถานการณ์ดูดีและสถานการณ์ต่อไปดีเช่นกัน อาจจะเห็น super bull market ได้เลยครับ

เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ
A lot of people work really hard for their dreams.
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 8

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 3

โพสต์

หุ้นขึ้นเพราะกองทุนไทย เทศ รุมซื้อและจะยั่งยืนหากเศรษฐกิจไทยดี

:8) :8) :8) :8) :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
XO
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1027
ผู้ติดตาม: 94

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 4

โพสต์

คงจะคล้ายๆกับว่า ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า วันนึงมันก็ต้องจบ แล้วกลับไป 1600 เหมือนเดิม
แต่ถ้านักลงทุนมองตามสภาพ น่าจะค่อยๆกลับขึ้นไป กว่าจะ 1600 น่าจะอีก ปีสองปี

แต่ก็เหมือนเป็นเกมที่ทุกคนรุ้อยู่แล้ว แล้วมีคนกลุ่มนึงไม่อยากรอนานขนาดนั้น
(เน้นว่าภาพเดียวกัน แต่ไม่อยากรอ) ก็เลยซื้อกลับซะเลย ประมาณนั้นครับ

แล้วพอคนบางส่วนที่รออยู่เหมือนกัน เห็นหุ้นขึ้นกลับมาได้อย่างมีนัยยะ ก็รีบซื้อตามครับ

แต่ถ้ามองปัจจุบัน ตอนนี้ก็ 1400 กว่าแล้ว ก็ถือว่าขึ้นมามากแล้ว
ไม่รุ้เหมือนกันนะครับว่าถ้ามองระยะเวลาแค่ภายในปีนี้ จะยังไปต่อได้รึเปล่า
อย่าพยายามเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก :oops:
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 5

โพสต์

กระทิง แน่นอนครับ
กระทิงตัวนี้คล้ายปี 2009 มากกว่าครับ
เพราะได้อานิสงค์ จาก การอัดเงินไม่อัดของ ภาพการเงินของ US และ ภาพการคบังที่อัดเงินออกมาเรื่อยไปเป็นชุดๆ
ส่วนประเทศต่างๆ ก็ใช้ทั้งภาคการเงินและภาคการคลังพยุงเศรษฐกิจ

แต่สิ่งที่ไม่เหมือน ในครั้งวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์คือ
1 ครั้นนั้น US เป็นคนเดียวที่อัดเงินเข้าระบบ ผ่านนโบายทางการเงิน และมี budget และกรอบเวลา รอบนี้ใช้ทั้งการเงินและการคลัง โดยภาคการเงิน ไม่มี budget ในการใช้ และระยะเวลาจำกัดที่ ท่านประธานาธิบดีคนใหม่รับตำแหน่งได้ซักพักหนึ่ง ค่อยว่ากัน
2 ครั้นที่แล้วทองคำ วิ่งทำ new high แต่รอบนี้ ยังไม่ทำ new high รอเวลาหรือเปล่า ยังไม่แน่ใจ
3 ครั้นที่แล้ว US ต่อด้วยกรีซ และไอร์แลนด์ ลามเข้ายูโรโซน แต่รอบนี้ ทั่วโลกเกิดพร้อมกันหมด
4 รอบที่แล้ว เกิดตอนเปลี่ยนใกล้ ประธานาธิบดี หมดวาระสองสมัย แต่รอบนี้ ยังไม่ได้ตัวแทนพรรคก็เกิดเรื่องแล้วมีแนวโน้มว่าได้คนใหม่เหมือนกัน ณ ตอนนี้
(รีพับรีกัน ทำร่วง เดโมแครต ซ่อม)

ของไทยเอง แตกต่างจากรอบที่แล้ว
รอบที่แล้วเราไม่กระทบ แต่รอบนี้กระทบหนัก ไม่ต้องพูดอะไรมา โดนหนักมาก
รอบที่แล้ว ดอกเบี้ยลดลง ทำ new low รอบนี้หนักกว่า all time new low interest rate ของ BOT
รอบที่แล้ว มี tvi meeting คนไป ไม่ถึง 10 คน แต่รอบนี้ จัดไม่ได้

จบตามนี้ครับ
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lastpun
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 819
ผู้ติดตาม: 2

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 6

โพสต์

บางช่วงเวลาก็ไม่แปลกที่ตลาดหุ้นจะมี Excess ทั้งด้าน positive / negative แต่สิ่งหนึ่งที่ Covid19 ทำ อาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปผลกระทบ จริงอยู่หลายประเทศควบคุมได้ดี แต่ผลเสียทางเศรษฐกิจที่พังไปแล้วยากเกินที่จะคาดเดา ปี 2019 อาจจะเป็น Pre-covid ซึ่ง กว่า earning จะไปกลับจุดเดิมยังยาก

ตลาดหมีในอดีต จะมี Bear rally เสมอ จริงอยู่เงินล้นโลกแต่ครั้งนี้จะ This time is different?
sukit2020
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 184
ผู้ติดตาม: 2

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เรื่องวุ่นๆ เมื่อเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ 5 คน นั่งพูดเรื่องเศรษฐกิจหลังยุค Covid กัน..

เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ 5 คน นัดเจอกันที่ร้านอาหารหลังมาตรการปลดล็อคดาวน์ของรัฐบาล

คนแรกเริ่มก่อน เขาพูดกับเพื่อนทั้ง 4 ด้วยความมั่นใจ

"ผมคิดว่า Covid รอบนี้ เผลอๆ หนักกว่าต้มยำกุ้ง เพราะเศรษฐกิจ real sector พังเป็นแแถบ คนตกงานพุ่งมหาศาล SME ล้มระนาว หนี้เสียแบงค์พุ่งกระฉูด การท่องเที่ยวเครื่องจักรสุดท้ายตัวเดียวที่เหลือของประเทศไทยตายสนิท ตลาดหุ้นจะพังทลาย เพราะปัจจัยพื้นฐานเลวร้ายมาก.. ผมมองไม่เห็นทางเลยว่าตลาดไทยจะวิ่งขึ้นได้ยังไง"

🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐

"เดี๋ยวๆๆๆ.." คนที่ 2 พูดแทรก

"ช้าก่อนเพื่อน.. คุณเทียบ Covid กับต้มยำกุ้งไม่ได้หรอก เพราะในยุคต้มยำกุ้ง โลกเรายังไม่รู้จัก QE ผมคิดว่า Covid รอบนี้หุ้นจะขึ้นทั่วโลกเหมือนตอนหลัง Subprime นั่นแหละ เพราะเงินมหาศาลต้องการที่อยู่"

"ด้วยปริมาณเงินที่ธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเข้ามาแบบไม่ยั้ง มันจะไหลเข้าตลาดหุ้น แล้วทำให้หุ้นวิ่งขึ้นอย่างหนัก ในขณะที่ภาวะเงินฝืดจะยังคงรุนแรงทั่วโลก เศรษฐกิจตกต่ำ แต่ตลาดหุ้นจะวิ่งสวนทางเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในทศวรรษแห่ง QE หลังปี 2008 ที่ผ่านมา"

"คุณเห็นตลาดช่วง 4-5 วันนี้มั้ย สังเกตมั้ยว่า fund flow ต่างชาติเริ่มไหลเข้าอย่างต่อเนื่องแล้วนะ"

🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐

"แต่ชั้นว่านะ.. " คนที่ 3 แย้ง

"คุณเอา Covid ไปเทียบกับ Subprime ไม่ได้หรอกค่ะ.."

"เพราะในยุค Subprime เศรษฐกิจ real sector ไม่ล่มสลายถึงระดับ the great depression กลุ่มที่ล้มกลุ่มแรก คือกลุ่มแบงค์ แต่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ส่วนใหญ่เอาตัวรอดได้ ผลประกอบการยังโอเคและค่อยๆ ดีขึ้นหลัง QE ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้น โดยที่ valuation ไม่ได้แพงมากจนเกินไป PE ประคองตัวอยู่ในโซนที่นักลงทุนยังรับได้"

"แต่ดู Covid รอบนี้สิคะ บริษัทยักษ์ใหญ่ล้มทั้งยืน ทยอยล้มละลาย ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดูไม่จืดเลย เรียกได้ว่าเลวร้ายเป็นประวัติการณ์ คิดว่าตลาดหุ้นจะขึ้นทั้งๆ ที่ผลประกอบการแบบนี้จริงเหรอคะ ถ้ามันขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วผลประกอบการเลวร้ายลงทุกไตรมาส คิดว่า PE หุ้นจะวิ่งไปเท่าไหร่คะ ถ้าตลาด PE 60 คนจะยังอยากไล่ซื้อหุ้นอยู่หรือเปล่า..? ชั้นเห็นด้วยที่เงินจะฝืด เงินจะไหลไปสินทรัพย์เสี่ยงจริง แต่คงไม่ใช่หุ้น"

"อย่าลืมนะคะว่า สินทรัพย์ในโลกมีมากมายให้เลือกลงทุน hedge fund ชอร์ตตลาดหุ้นก็กำไรได้ แถมคนเก่งๆ ทำกำไรได้จากอนุพันธ์ได้เยอะกว่าซื้อหุ้นด้วย ดังนั้นการที่เงินย้ายไปสินทรัพย์เสี่ยง ไม่ได้หมายถึงหุ้นต้องขึ้นอย่างเดียวค่ะ ถ้าราคาหุ้น มันไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ท้ายสุดก็ฟองสบู่แตกอยู่ดี นอกจากนี้เงินอาจจะไหลไปสินทรัพย์อื่น เช่น Crypto, Hedge Fund, Infrastructure, Commodities หรือ Private Equity ก็ได้ค่ะ"

"ชั้นคิดว่า Covid รอบนี้ไม่เหมือนต้มยำกุ้ง ไม่เหมือน subprime แต่ถ้าดูระดับ real sector มันเลวร้ายในระดับ the great depression ช่วงทศวรรษที่ 20 ค่ะ"

🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐

คนที่ 4 นั่งฟังมานานได้โอกาสพูดขึ้นมาบ้าง

"พวกคุณทุกคน มองว่าเงินที่รัฐอัดฉีด จะไหลไปที่สินทรัพย์เสี่ยง ไม่ว่าจะตอน Subprime ที่โลกเริ่ม QE รวมถึง Unlimited QE ครั้งนี้เหรอ..?"

"ผมมองต่างนะ..."

"ความแตกต่างของ QE รอบ Covid กับ QE ตอน Subprime คือ เส้นทางของเงินที่อัดฉีด ชัดเจนว่า QE รอบนี้พุ่งตรงไปที่ real sector ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่อัดฉีดเงินเข้ามือรายย่อย และภาคธุรกิจโดยตรง แตกต่างจาก QE รอบที่แล้วที่เงินไปอยู่กับกลุ่มนายแบงค์ ที่แห่เอาไปเก็งกำไร"

"ผมกลับคิดว่า ถ้าการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ทำได้ถูกต้อง ประชาชนจะอยู่รอดได้ ธุรกิจเล็กอาจจะพังบ้างถ้าทดพิษบาดแผลไม่ไหว แต่ถ้าทนจนผ่านช่วง Covid ไปได้ วัคซีนมาเมื่อไหร่ โลกเราคงไม่พังถึงระดับ the great depression หรอก วัคซีนมาโลกก็จะเริ่มฟื้น GDP จะกลับมาค่อยๆ ดีเหมือนเดิม Velocity of Money หลังจากนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เงินจะเริ่มเฟ้อขึ้นจากการอัดฉีดระดับ real sector ส่วนตลาดหุ้นก็คงมีทิศทางตามผลประกอบการบริษัทน่ะแหละครับ"

🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐

คนที่ 5 ทนไม่ไหวแทรกขึ้นมาบ้าง

"คุณคิดว่าวัคซีนมา แล้วโลกจะกลับมาเหมือนเดิมเหรอคะ..?"

"ชั้นว่าไม่ใช่หรอก.. มนุษย์เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปมากแล้ว ที่ชอบเรียกกันว่า new normal ไง"

"พวกคุณคิดว่า ร้านอาหารจะขายดีเหมือนก่อน Covid มั้ย ในเมื่อคนชินกับการ delivery แล้ว, คุณคิดว่า โรงแรมจะยังขายดีเหมือนก่อน Covid มั้ย ถ้ารูปแบบการให้บริการเปลี่ยนไป แบบที่บางคนบอกว่า จะยกเลิกไลน์บุฟเฟ่ ฯลฯ, คุณคิดว่า ออฟฟิศจะยังค่าเช่าสูงเหมือนเดิมมั้ย หลังจากที่คนเห็นว่า work from home ก็ทำงานได้"

"อะไรๆ จะเปลี่ยนไปเยอะมากหลังวัคซีน Covid คุณมั่นใจไม่ได้หรอก ค่ะ ว่าโลกเราจะฟื้นกลับมาเป็นแบบเดิม GDP จะวิ่งขึ้นเหมือนเดิม ยังไงก็ต้องมี sector ที่ decline ลงในระดับที่จะไม่ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว ด้วย new normal"

😱😱😱😱😱😱😱😱😱😱

นั่งกินข้าวกันไป ถกกันไปถกกันมาแบบนี้ ท้ายสุดท้าย 5 คนก็แยกย้ายกลับบ้าน โดยไม่มีใครโน้วน้าวใครให้คิดแบบตัวเองได้เลยซักคน

แล้วคุณล่ะ เชื่อนักเศรษฐศาสตร์คนไหน ใน 5 คนนี้..?


Niran Pravithanaติดตาม
6 มิถุนายน เวลา 10:46 น.
sukit2020
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 184
ผู้ติดตาม: 2

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ลูกผีลูกคน ?

ตลาดที่ขึ้นเอาๆ เพราะได้น้ำทิพย์ชโลมใจจากธนาคารกลาง !

วันก่อนผมนัดพบ 'นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์' สหายนักลงทุนที่รู้จักชอบพอกันมาสิบกว่าปี เพื่ออัพเดตมุมมองและความรู้ด้านการลงทุนเหมือนเช่นทุกครั้ง โดยได้ถกกันถึงสภาวะตลาดหุ้นเวลานี้ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ

ประเด็นหนึ่งที่ผมกับนิ้วโป้งต่างเห็นตรงกันว่าน่าจับตามองมากๆ คือการที่หุ้นสหรัฐฯ รวมทั้งหุ้นไทย 'ขึ้น สวนทางเศรษฐกิจ' หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้ามา 'อุ้ม' สถาบันการเงินทั้งหลาย รวมทั้งแพ็คเกจเยียวยามูลค่ามหาศาลจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์

นี่คือ 'จุดทดสอบใหม่' ของตลาดหลักทรัพย์ ที่เรียกได้ว่าแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กับการที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรงขนาดนี้ ผู้คนล้มตายเป็นเบือจากโรคระบาด อัตราการว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ดัชนีตลาดสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ยังไม่นับการประท้วงที่กำลังลุกลามไปทั่วประเทศ หลังจาก จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำถูกตำรวจผิวขาวใช้ความรุนแรงขณะเข้าจับกุมจนเสียชีวิต ซึ่งไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร

จุดที่ควรเขียนเป็นเครื่องหมายคำถามไว้ตัวโตๆ เวลานี้ก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งเฟด 'กระสุนหมด' คือซื้อจนไม่สามารถซื้อต่อไปได้อีกแล้ว แต่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นคืนกลับมา ขณะที่ดอกเบี้ยก็ลดต่ำลงจนเหลือศูนย์ และไม่เหลือเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ให้หยิบใช้

พูดอีกอย่างก็คือ ความช่วยเหลือ 'ไล่ไม่ทัน' กับความสูญเสียและผลกระทบที่เกิดขึ้น

ฉากทัศน์แรกซึ่งน่าจะเป็นไปได้ คงเป็นเช่นเดียวกับที่กูรูระดับโลกหลายคนออกมาเตือนไว้ก่อนหน้านี้ คือการสรุปจบแบบ 'ศพไม่สวย' โดยตลาดที่ขึ้นเอาๆ เพราะได้น้ำทิพย์ชโลมใจจากธนาคารกลาง ถึงคราวต้องยอมรับความเป็นจริงอันโหดร้าย และพังครืนลงมาอีกครั้ง

ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจะกลายเป็น 'ตลาดหมี' ซ้ำสอง เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นไทยที่อาจถูกลากตามลงไปจนเหลือแค่เลขสามหลัก

ฉากทัศน์ที่สองซึ่งผมมองว่าเป็นไปได้ คือการที่ตลาดเข้าสู่ภาวะ 'ตกท้องช้าง' กล่าวคือ หุ้นที่เคยวิ่งเอาๆ อาจ 'หยุดวิ่ง' และเข้าสู่ภาวะซึมๆ หรือ 'ออกข้าง' ดังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า sideways

โดยหากเป็นเช่นสองฉากทัศน์แรก ก็จะเป็นอีกครั้งที่คนทั่วโลกพูดตรงกันว่า 'วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถูกเสมอ'

ทว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากให้เกิดขึ้น คือการที่เฟดทยอยซื้อต่อไปได้เรื่อยๆ และสร้างความเชื่อมั่นถึงระดับที่ตลาดเข้ามา 'รับไม้ต่อ' แบบเต็มตัว ซึ่งจะทำให้ตลาดที่พุ่งขึ้นเวลานี้ ลอยละลิ่วติดลมบนโดยไม่ร่วงหล่นลงมา และนั่นจะเป็นการพิสูจน์ว่าบรรดานักลงทุนชั้นเซียนทั้งหลาย 'คิดผิด' เหมือนๆ กัน

แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ ในภาวะ 'ลูกผีลูกคน' เช่นทุกวันนี้

ชัชวนันท์ สันธิเดช
9 มิถุนายน 2563
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ของไทย ระบบมีปัญหาตรงที่ ตราสารหนี้ ที่อุ้มนั้น ต้องได้ BBB- เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้น ไม่เข้ามาตราการ
จุดนี้เป็นเหมือนหลุมดำเลย

ตอนนี่รู้ตัวแล้วหลุมดำอันนี้น่ากลัวแค่ไหน แต่ต้องรอ กระทรวงการคลัง + ตลท+ก.ล.ต.+ธปท+บริษัทจัดอันดับ +ธนาคารพาณิชย์ และ ตลาดตราสารหนี้ (tahibma) มารวมหัวชนกันออกมาตรการ

เพราะหนี้คือหัวใจการหมุนเงิน ถ้าหากหนี้หมุนไม่ได้ เท่ากับกระแสเงินสด ของบริษัทเดี้ยงถึงกับ เข้าฟื้นฟูกิจการแล้วไม่ออก

ส่วนอีกคนที่ไม่ได้รัยการข่วยเหลือคือ ประชาชนที่ส่วประกันสังคม อันนี้ลูกเมียน้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว
รัฐอัดเงินลงมา ก็ไม่ได้ ไปยื่นประกันว่างงานขอช่วยเหลือ มีสารพัดปัญหาจน สุดท้ายหวยไปออกที่ระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานประกันสังคมว่าช้า (US) เค้าเปิดให้การแก้ไขโปรแกรมเป็นpublic เพื่อระดมคนแก้ไขเลยทีเดียว แต่ของไทยยังติดที่การฟ้องร้องของ ปปช มานานมากแล้ว ไม่ฟันซักที
ส่วนคนที่ทำงาน ก็นั่งมองว่า ทุกคนได้เงิน แต่ตอนเองเสียเงินส่งประกันสังคม แล้วไม่ได้เงินอะไร มีนก็ออกแปลกไป ขนาดพระยังได้รับค่าชดเชยย้อนหลัง 60 บาท ต่อวันต่อรูป จากสำนักงานพระพุทธศาสนา เอาซิเนี่ยเมืองไทย

ฝนตกไม่ทั่วฟ้า

ส่วนเรื่องต่อไปคือ จะฟื้นอีกท่าไหน เพราะตอนนี้แยกตลาดการเงิน (ตลาดการลงทุน และตลาดการเงิน) ออกจากเศรษฐกิจจริง วิ่งนำหน้า ไปไกล เงินก็ต้องมีที่ไปดังน้ำ เมื่อมองไปมองมาก หาที่ลงไม่ได้ ก็มีไม่กี่ตลาดคือตลาดหุ้น ก็จะได้เห็น pe20-30 เท่าเป็นเรื่องปกติอีกคำรบหนึ่ง หรือพวก super growth ก็ 100-1,000 เท่า หรือหุ้นเน่าลอยฟ้า แตกกระจายดังพลุ
ส่วนตลาดโภคภัณฑ์ ก็รอวิ่งอยู่

ตอนนี้มือที่ขยับเคลื่อนมิใช่มือที่มำเรื่องการเผชิญหน้ากับวิกฤติหรือแก้ไขวิกฤติ แต่เป็นมือที่บริหาร ตอนผ่านวิกฤติไปแล้วรอเงยหัวขึ้น ถ้าเปลี่ยนจากรุกเป็นรุก และรับเป็นรุกนั้นยาก เปลี่ยนทีมงานก็ดีน่าครับ จะได้ทำอะไรได้เร็ว เพราะหลักการบริการวิกฤติต้องเร็วต่อการปรับตัว

จบแค่นี้ ตอนนี้ mode recovery ซึ่งใช้เวลา 2-4 ไตรมาส แต่ใช่หรือว่าเป็นmode ทำลายล้างนั้น เวลาคือคำตอบ
:)
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18396
ผู้ติดตาม: 75

Re: กระทิงมา??

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ลืมไป รอบนี้ เศรษฐกิจของ US ขยายตัว 128 เดือน นานที่สุดในประวัติศาสตร์ของUS ประมาณ 10 ปีหลังจากเกิดการหดตัวอย่างรุนแรงของ วิกฤติ sub prime ต่อด้วย วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
รอบนี้ อาจจะเป็น V shape นำโดยภาคการเงิน เป็นหัวหอก ตามด้วยภาคการผลิต ที่เปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปจากเดิม และการขนส่งที่แตกต่างจากเดิม

คือ change จากสิ่งเดิมที่ทำกัน จาก global supply chain สู่ local supply chain หรือ regional supply chain กลับมาอีกครั้ง คือผลิตใกล้ๆ เหมือน 2530-2534 ก่อนเกิดวิกฤติแม็กซิโก้ต่อด้วยสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบแรกที่อิรักบุกยึดคุเวตนั้นเอง

ตอนนี้จังตาค่าเงินดอลล่าร์ กับยูโร ว่าใครจะออกกว่าใคร เพราะขยันปั้มเงินกันมากในคู่นี้

ส่วนตัวเล่นที่สำคัญคือซาอุดิอาระเบีย อันนี้ต้องจับตาว่า โดนโจมตรีค่าเงินจากการเอาเงินไปลงทุนโดยใช้เงินวำรองในประเทศหรือไม่ ต้องรอดูต่อไป
:)
โพสต์โพสต์