ดร.นิเวศน์ ชี้วิกฤติรอบนี้หนักกว่าปี 40 คาดดัชนีมีโอกาสรูดหนัก

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pakapong_u
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 398

ดร.นิเวศน์ ชี้วิกฤติรอบนี้หนักกว่าปี 40 คาดดัชนีมีโอกาสรูดหนัก

โพสต์ที่ 1

โพสต์

‘เซียนหุ้น’พอร์ตแดงถ้วนหน้า ‘นิเวศน์’ ชี้วิกฤติรอบนี้หนักกว่าปี 40 คาดดัชนีมีโอกาสรูดหนัก

พิษ “โควิด-19” ทุบดัชนีร่วงหนัก “เซียนหุ้น” ยอมรับพอร์ตติดลบถ้วนหน้า “นิเวศน์” ชี้วิกฤติรอบนี้แรงกว่า “ต้มยำกุ้ง” เผยพอร์ตปีนี้ลดลงแล้ว 20% เตรียมเงินสดรอจังหวะเข้าซื้อ เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ลงลึก ณะ “เสี่ยป๋อง” เน้นถือเงินสด รอแรงขายหมดค่อยซื้อ

‘เซียนหุ้น’พอร์ตแดงถ้วนหน้า ‘นิเวศน์’ ชี้วิกฤติรอบนี้หนักกว่าปี 40 คาดดัชนีมีโอกาสรูดหนัก
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงค่อนข้างแรง ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนส่วนตัว “ลดลง” หรือ “ติดลบ” ราว 20% เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ใช้วิธีตุนกระสุนเพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้องพยายามเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งและมีพื้นฐานรองรับ โดยต้องติดตามบริษัทที่ราคาหุ้นปรับลดลงไปมากๆ แต่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง หรืออาจกระทบเพียงแค่ชั่วคราว ที่สำคัญ ต้องเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งในยามวิกฤติก็ยังคงประคองตัวรอดได้และคาดว่าหลังผ่านวิกฤติธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างน้อยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้อีกประเด็นที่สำคัญ คือ ต้องเป็นหุ้นที่ปันผลดี อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 4-5% ต่อปีขึ้นไป ขณะที่ราคาหุ้นต้องถูก สะท้อนได้จากอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ในปัจจุบันที่ควรไม่เกิดระดับ 10 เท่า เพราะเกินจากระดับนี้คงจะรับไม่ไหวยกเว้นแต่จะเป็นหุ้นที่สุดยอดจริง แต่ก็ไม่ควรเกินระดับ 30-40 เท่า

“ทุกวันนี้มีหุ้นที่สนใจอยู่ในเป้าหมายราว 20-30 บริษัท ซึ่งต้องรอให้สถานการณ์เริ่มนิ่งก่อนถึงจะทยอยเข้าไปเก็บ เนื่องจากตอนนี้นักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรยังค่อนข้างเยอะและปัจจุบันก็ยังไม่อยากเข้าไปเพราะตลาดยังมีโอกาสตกแรงๆได้อยู่”

นายนิเวศน์ กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นเดิมที่ซื้อไว้ก็ยังถืออยู่และยังมีเงินสดล็อตสุดท้ายที่ถือรอมานานไว้อยู่ประมาณ 5-6% ของพอร์ตหรือราวหลักหลายร้อยล้านบาท เพื่อเตรียมเข้าลงทุนช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นผ่านช่วงวิกฤติไปก่อน อย่างไรก็ตามประเมินว่าหากเริ่มทยอยซื้อหุ้นในรอบนี้คาดว่าราคาหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวและได้ผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในช่วง 2-3 ปี

“ผมประเมินว่าวิกฤติครั้งนี้น่าร้ายแรงรองจากวิฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่าการระบาดจะจบลงเมื่อไหร่ แต่คาดว่าการลงทุนระยะยาว 2-3 ปีน่าจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกแน่นอน”

นายวัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์ปัจจุบันยังค่อนข้างผันผวนสูง การประเมินการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจึงทำได้ยาก เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าต้องลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวดี ทำให้การลงทุนแทบจะไปไม่เป็น อย่างไรก็ตามพอร์ตการลงทุนของตัวเองในปัจจุบันเรียกว่าเสมอตัวหรือติดลบเล็กน้อย เพราะมีปรับพอร์ตแบบระวังตัวมาตั้งแต่ต้นปี

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้นั้น ส่วนตัวยังเน้นถือเงินสดอยู่ โดยต้องรอจังหวะแรงขายให้หมดไปเสียก่อนเพื่อรอการเข้าไปช้อนซื้อหุ้นรอบใหม่ ซึ่งการลงทุนก็ยังดูทั้งปัจจัยพื้นฐานและสัญญาณทางเทคนิคประกอบกัน ส่วนหุ้นในกลุ่มเป้าหมายคือหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ที่ราคาปรับตัวลดลงมาเยอะและมีพื้นฐานที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหุ้นที่ราคาถูกมากๆหลายตัว แต่ขอรอจังหวะให้สถานการณ์นิ่งกว่านี้เสียก่อน

“ตอนนี้คงต้องเล่นเป็นรอบๆไปก่อน เพราะหากแรงขายหมดตลาดก็อาจจะปรับตัวขึ้นยาว โดย ปัญหาตอนนี้คือยังไม่มีใครรู้ว่าขาลงจบลงแล้วหรือยัง หรือตลาดขาลงจะลากยาวไปอีกนานแค่ไหน”

นายอนุรักษ์ บุญแสวง (โจ ลูกอีสาน) นักลงทุนรายใหญ่สาย VI กล่าวยอมรับว่า พอร์ตการลงทุนส่วนตัวลดลงใกล้ๆ กับดัชนีตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในภาวะตลาดที่เป็นแบบนี้ โดยหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตยังไม่ได้มีการขายออก แต่ได้มีการบริหารความเสี่ยงด้วยการขายชอร์ต (Short Selling)ไว้บ้าง แต่ผลตอบแทนก็อาจไม่ได้ใกล้เคียงกับราคาหุ้นในพอร์ตที่ปรับตัวลดลง โดยเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไปราคาหุ้นก็น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้

ทั้งนี้มองว่าหุ้นที่จะรอดในวิกฤติครั้งนี้ งบการเงินต้องดีและหุ้นที่มีหนี้มากๆหรือธุรกิจอยู่ในช่วงขาลงจะไม่ลงทุน เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มยานยนต์ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจก็มีทั้งกลุ่มธุรกิจการเงินที่ราคาหุ้นลงมามากและหุ้นปันผลดีหลายๆตัว รวมถึงหุ้นค้าปลีกบางตัวที่ราคาลงมาลึกๆและมีโอกาสกลับมาได้ ขณะที่หุ้นขนาดเล็กหลายตัวที่ค่าพีอีต่ำกว่าระดับ 5 เท่าก็ถือว่าสนใจ เพราะหุ้นขนาดเล็กเวลาฟื้นตัวมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่

ขณะที่ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ เน้นซื้อหุ้นที่ราคาลดลงมาถูกมากแล้วและบางส่วนมีการเก็บกระสุนไว้เพื่อรอให้สถานการณ์มีแนวโน้มคลี่คลายหรือจบลง ซึ่งถึงตอนนั้นอาจมีการทยอยซื้อจนเต็มพอร์ต อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ก็พูดยากว่าตลาดผ่านจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง

“หากเราไม่เจ๊งก็มีโอกาสแก้ตัว แต่หากเจ๊งก็จบ ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าจะผ่านจุดต่ำสุดเมื่อไหร่ เราจึงยังไม่ลงทุนเต็มที่ เพราะต้องระวังและค่อยๆทยอยเข้าลงทุน แต่หากดัชนีฯลดลงมาถึงระดับ 800 จุดเมื่อไหร่ ผมว่าจะซื้อให้เต็มที่เท่าที่ซื้อได้”

นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา (หมอวิน) นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้คงทำอะไรได้ไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ก็รอเก็งจุดต่ำสุดของตลาดกันว่าจะอยู่ตรงไหน แต่คงไม่มีใครที่จะรู้แน่นอนจึงทำให้ตอนนี้สิ่งที่ตามมาคือหลายคนคิดว่าหากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จบลงคงจะเหมือนเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะวิถีชีวิตของคนจะเปลี่ยนไปและยังมีปัญหาหนี้สินที่จะตามมาอีกระลอกใหญ่

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนตอนนี้คือเน้นเล่นเข้าออกเร็วเท่านั้น ซึ่งยอมรับมีหุ้นในพอร์ตที่ยังคงติดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากมายนักเพราะได้ลดสัดส่วนพอร์ตลงทุนมาตั้งแต่เห็นสัญญาณช่วงปลายปีที่ผ่านมาแล้ว จึงทำให้ปัจจุบันในพอร์ตมีกระแสเงินสดอยู่พอสมควรไว้เข้าลงทุนในรอบหน้า อย่างไรก็ตามพอร์ตลงทุนของตนเองที่ผ่านมานั้นถือว่าว่าโชคดี เพราะหุ้นที่ลงทุนตั้งแต่ต้นปีที่ปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งส่งผลให้พอร์ตโดยรวมยังไม่ได้ติดลบ แต่เชื่อว่าในอนาคตก็คงไม่ได้เป็นแบบนี้ไปตลอดเพราะเทรนด์ตลาดสำคัญกว่า ซึ่งหากตลาดยังคงติดลบหุ้นทั้งหมดก็คงปรับตัวลดลงตามไปด้วย

“นักลงทุนหลายคนประมาทจึงแนะนำแต่ให้ซื้อ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าตลาดหุ้นมีให้เรียนรู้เยอะเพราะมีขึ้นและมีลง โดยมองว่าไม่มีหรอกตลาดหุ้นที่จะขึ้นตลอด”



https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/873269
โพสต์โพสต์