สงครามยืดเยื้อ” ที่ไม่จบแค่เชื้อโรค/ ชัชวนันท์ สันธิเดช

[always24]

นักลงทุนกับวิกฤตโควิด-19 “สงครามยืดเยื้อ” ที่ไม่จบแค่เชื้อโรค"/ ชัชวนันท์ สันธิเดช

ชัดเจนแล้วว่า ไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง ผู้รู้บางคนมองว่า ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด อาจเหมือนกับยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เมื่อปี 1929 คือมีคนตกงานในสหรัฐฯ ถึง 25% และบางประเทศสูงถึง 33%

เวลานี้ อุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกล้วนโดนผลกระทบกันถ้วนหน้า ไล่ตั้งแต่ “ด่านหน้า” อย่างสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ ที่จำนวนมากเริ่มทยอย “เลิกจ้าง” คน แต่หากจะว่าไป ต้องบอกว่าแทบไม่มีอุตสาหกรรมไหนไม่ได้รับผลกระทบเลยจึงจะถูก

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศที่โดนไวรัสเล่นงาน หรือแม้จะไม่มีการระบาดรุนแรง ก็ย่อมจะ “เจ็บ” ด้วยไม่มากก็น้อย เพราะในโลกยุคโลกาภิวัตน์ แทบทุกประเทศต่างก็โยงใยถึงกันหมด

เช่น ประเทศหนึ่งอาจมีคนป่วยน้อย แต่พอเกิดโรคระบาด รายได้จากการส่งออกก็ลดลงฮวบฮาบ เพราะส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักอย่างเมืองไทย ซึ่งหนักหนาสาหัสแน่นอนอยู่แล้ว

สำหรับนักลงทุน ผมมองว่าสิ่งสำคัญ คือต้องเริ่มมองจาก “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” (worst-case scenario) ซึ่งอาจถึงขั้นเกิด Global recession หรือ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก”

ทั้งนี้เพราะถึงแม้หลายประเทศจะดิ้นรนหามาตรการแก้ไขช่วยเหลือธุรกิจน้อยใหญ่ในชาติของตน รวมทั้งอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือ ECB ที่เพิ่งประกาศไป แต่หากโคโรน่าไวรัสลากยาวไปเป็นปีหรือนานกว่านั้น ก็ย่อมจะมีจุดหนึ่งซึ่งเครื่องมือในการพยุงเศรษฐกิจใช้ไม่ได้ผลอีก หรือทุ่มเงินกันจนหมดหน้าตักก็ยังทานไม่อยู่

เมื่อครั้งเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เศรษฐกิจโลกตกต่ำลากยาวเกือบหนึ่งทศวรรษ ที่แย่หนักคือสามปีแรก ระหว่างปี 1929-1932 ที่ GDP ทั่วโลกติดลบเฉลี่ยปีละ 15% ต่างจากวิกฤตการเงินปี 2008-9 ที่ GDP โลกลดเพียง 1% เท่านั้น

ถึงจุดนี้ มีแนวโน้มว่าผลกระทบที่ไวรัสโคโรน่าจะมีต่อเศรษฐกิจโลก น่าจะก้าวข้ามวิกฤตการเงินปี 2008-9 ที่เริ่มต้นในสหรัฐฯ ไปไกลลิบ เพราะนี่เป็นวิกฤตที่กระทบถึงคนทุกชาติ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น ผลลัพธ์สุดท้ายจึงอาจคล้ายกับ The Great Depression ที่วนกลับมาอีกครั้ง

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ เมื่อเริ่มจาก “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” แล้วมองย้อนกลับมา ก็จะทำให้รู้จักระแวดระวังมากขึ้น ไม่หลงทุ่มเงินไปกับหุ้นที่กระเด้งกระดอนขึ้นจากข่าวดีชั่วครั้งชั่วคราว โดยวางแผนไปในระยะยาว และเตรียมกระสุน หรือหา “กลยุทธ์หมอบ” ที่น่าจะเหมาะสมที่สุด

กับสงครามยืดเยื้อ ที่จะ “ไม่จบแค่เชื้อโรค” ครั้งนี้