Start with why

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
นายมานะ
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1167
ผู้ติดตาม: 192

Start with why

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Start with why

บทความนี้ไม่ใช่สรุปความหนังสือ แต่จะบอกเล่าว่าผมได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้

ผมได้ยินว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจตั้งแต่หลายปีก่อน

พอหนังสือออกฉบับแปลไทย (โดย We Learn) ผมเลยรีบคว้าไว้ แต่ก็ดองมาหลายปี

จนกระทั่งได้อ่าน และเกิดแรงบันดาลใจเขียนบทความนี้ขึ้นมาครับ
...

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงความสำคัญของการตั้งคำถาม และเหตุผลของการเกิดขึ้นของหลายสิ่งหลายอย่าง

บริษัท Apple ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสร้างมือถือราคาแพงเวอร์

แต่สตีฟ จ็อบส์ตั้งบริษัทขึ้น เพราะ Device ในแบบดั้งเดิมมันทั้งห่วย แล้วก็ใช้งานยากเกินทน

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้จ็อบส์ทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ทั้งในเรื่องคุณภาพ ดีไซน์ และการใช้งาน

และสาวกของแอปเปิลในยุคดั้งเดิมก็ไม่ได้ซื้อ Mac หรือ iPhone เพราะแค่มันเป็นสินค้าที่ดี แต่ซื้อเพราะพวกเขาเชื่อในสิ่งที่จ็อบส์เชื่อ

ความเชื่อที่ว่าไอเดียแบบเก่าๆ มันน่าเบื่อ และทำให้โลกไม่ก้าวไปไหนสักที

นั่นทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ในยุคของจ็อบส์สร้างความแตกต่างในระดับปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เสมอ
...

คุณ Sinek ผู้เขียนฯ เชื่อว่า Apple เกิดมาเพราะจุดมุ่งหมายอันแรงกล้าของสตีฟ จ็อบส์

แต่ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่บริษัท Apple ที่มีจุดมุ่งหมาย แต่ชีวิตของจ็อบส์เองก็เกิดมาโดยมีจุดมุ่งหมาย

จ็อบส์มีความเป็นขบถ หลงไหลเทคโนโลยี และรักในความสมบูรณ์แบบ

สิ่งเหล่านี้หลอมรวมมาเป็นจุดมุ่งหมาย คือการสร้าง Device ระดับเปลี่ยนโลก
...

ตัวผมเองก็เชื่อว่าผมเกิดมาโดยมีจุดมุ่งหมาย

ตอนยังเด็ก ผมถามตัวเองบ่อยๆ ว่าผมเกิดมาทำไม และไม่เคยได้คำตอบเลย

เมื่อหาคำตอบไม่ได้ ผมก็สรุปง่ายๆ ว่า เราคงไม่ได้เกิดมาเพราะอะไรหรอก เราก็แค่บังเอิญเกิดมา

ผ่านไป 30 ปี ความเชื่อผมก็เปลี่ยนไป

จากผู้ตั้งคำถามก็กลายมาเป็นผู้ตอบเสียเอง

ผมเกิดมาโดยมี Mission อยู่ 3 ข้อ
1. ปฏิบัติธรรม
2. ปรนนิบัติครอบครัว
3. แบ่งปันองค์ความรู้ และสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้คนรอบตัว

ไม่ใช่จุดหมายที่ยิ่งใหญ่ระดับเปลี่ยนโลก

แต่ก็เรียบง่าย เหมาะสมกับคนตัวเล็กๆ แบบผม

และด้วย Mission ข้อ 3 ทำให้ผมตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้น
...

ในหนัง Spider-man ไตรภาคแรกของแซม ไรมี มีประโยคเด็ดที่ทุกคนคงจำได้

“พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”

แซม ไรมี หรือไม่ก็คนเขียนบท อาจจะเชื่อว่าปีเตอร์บังเอิญโดนแมงมุมกัด ทำให้ได้พลังมา และนั่นนำมาซึ่งความรับผิดชอบ

แต่ผมไม่เชื่อแบบนั้น

ผมเชื่อว่าเราเกิดมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย

ผมไม่เชื่อว่าจ็อบส์บังเอิญเกิดมาพร้อมอัจฉริยภาพในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ

แต่สตีฟ จ็อบส์เกิดมาเพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนโลกตั้งแต่แรก

โอเคคุณอาจไม่เชื่อเหมือนผม

แต่พวกเราทุกคนก็ต้องเชื่อในอะไรบางอย่าง จริงมั้ยครับ?

ถ้าคุณไม่เชื่อในพระพุทธศาสนาเหมือนผม คุณก็อาจจะเชื่อในศาสนาอื่น

ถ้าคุณไม่เชื่อในศาสนาไหนๆ เลย คุณก็น่าจะเชื่อในวิทยาศาสตร์

ถ้าคุณไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์ คุณก็อาจจะเชื่อในประชาธิปไตย

ถ้าคุณไม่เชื่อในประชาธิปไตย คุณก็น่าจะเชื่อในความดี

ถ้าไม่เชื่อในความดี อย่างน้อยคุณก็น่าจะเชื่อในตัวใครสักคน

เชื่อในตัวพ่อหรือแม่ สามีหรือภรรยา ลูกๆ หรือไม่ก็เชื่อในตัวคุณเอง

หรือถ้าไม่เชื่อในตัวคุณเอง คุณก็อาจจะเชื่อว่าการจบชีวิตตัวเองคือทางออก

ไม่ว่าจะเลือกที่จะสู้หรือไม่สู้กับวันพรุ่งนี้ พวกเราต่างก็ต้องเชื่อในอะไรบางอย่าง
...

ตอนยังเด็ก ผมเชื่อในระบบทุนนิยม

ผมไม่เคยรู้ตัวว่า Mission ของชีวิตคืออะไร แต่ถ้าจะมีสักข้อก็คงเป็น “หาเงินให้เยอะเข้าไว้”

ผมเชื่อว่าเงินเป็นคำตอบของหลายๆ อย่าง ทั้งในแง่การดำเนินชีวิต การมีคู่ครอง และหน้าตาในสังคม

ผมไม่ได้เป็นนักใช้เงินอะไร ออกจะเป็นเด็กขี้เหนียวมากกว่า แต่เงินก็เหมือนคะแนนพินบอล มันเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ และนั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อ

ความเชื่อในระบบทุนนิยม ส่งต่อไปที่เงิน และทำให้ผมเชื่อในการลงทุนในหุ้น

นั่นคือสิ่งที่ผมเคยเชื่อ..

การศึกษาพระพุทธศาสนาด้วยความมุ่งมั่น จริงจัง ทำให้ความเชื่อของผมเปลี่ยนไป

ผมไม่ได้เชื่อว่า “หาเงินให้เยอะเข้าไว้” แล้วทุกอย่างจะดีอีกต่อไปแล้ว

ผมหาเงิน เพราะเงินเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ต้องใช้ใน Mission ข้อ 2 และ ข้อ 3 ของผมเท่านั้น
...

เมื่อความเชื่อเปลี่ยน สไตล์การลงทุนของผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนตามไปเอง

จากการใช้วิธี Bargain Hunting เป็นหลัก เน้นเปลี่ยนหุ้นปีละหลายๆ รอบ

มาเป็นการลงทุนในหุ้นที่ผมตอบได้ว่า Mission ขององค์กรและผู้ก่อตั้งคืออะไร

ตัวอย่างเช่น
ผมลงทุนใน Google เพราะผมตอบได้ว่าบริษัทตั้งขึ้นเพื่อจัดระบบข้อมูลของโลก ผ่านการใช้เทคโนโลยี

และเมื่อทุกวันนี้ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งกว่าน้ำมัน การจัดระเบียบข้อมูล เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือ solution ที่ user ต้องการจึงเป็น Mission ที่สำคัญ

แลร์รี เพจ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google เป็นคนที่หลงใหลในการประดิษฐ์มาตั้งแต่เด็ก เพจอ่านชีวประวัติของนิโคลา เทสล่า แล้วร้องไห้ออกมา

เพจฝันอยากเป็นนักประดิษฐ์ และสำหรับนักประดิษฐ์ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการสร้างสิ่งประดิษฐ์ระดับเปลี่ยนโลก
นั่นเป็นเหตุผลให้เพจก่อตั้งบริษัท Google

ผมลงทุนใน Tesla เพราะผมตอบได้ว่าอีลอน มัสก์ซื้อบริษัทนี้มาเพื่อ Mission สำคัญ นั่นคือการแก้ปัญหาการใช้พลังงานฟอสซิล

มัสก์อาจจะไม่ใช่คนดีหรือน่าเชื่อถือในสายตาของใครหลายคน

แต่ก็เหมือนกับจ็อบส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้ว มัสก์ก็พร้อมจะแลกด้วยทุกอย่าง และใช้ทุกเครื่องมือที่มี

และแน่นอนว่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบ้าๆ ของมัสก์ เขาอาจจะไม่ได้สนใจจริงจังๆ ว่า Tesla จะทำกำไรอย่างยั่งยืนรึเปล่าก็ได้ (ในฐานะผู้ถือหุ้น ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ขนาดนั้น..)

Mission ของบริษัทเหล่านี้มาจากกลุ่ม Founder และกลั่นกรองมาเป็น Culture เฉพาะ ที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างจากคู่แข่งได้ เหมือนกับที่จ็อบส์ได้สร้างปรากฏการณ์กับ Apple มาก่อน
...

สไตล์การลงทุนของผมในตอนนี้เป็น mix ระหว่างแบบเดิมกับแบบใหม่

แต่ไม่ใช่ว่าเพราะผมเชื่อว่าแบบใหม่จะทำกำไรได้มากกว่าแบบเดิม ตรงกันข้ามผมไม่แน่ใจเลยว่าแบบใหม่จะมีโอกาสทำกำไรมากกว่ารึเปล่า

และวิธีนี้ก็อาจใช้เวลาเป็นสิบปี หรือมากกว่านั้น กว่าจะเห็นผล

แต่เมื่อ Mission ในชีวิตของผมเปลี่ยน สไตล์การลงทุนก็เปลี่ยนตามไปเอง
...

กลับมาที่ Mission ข้อ 3 ผมคิดว่าการแบ่งปันความรู้เป็นสิ่งสำคัญ

ผมเขียนบทความนี้มาเพื่อท้าทายให้ผู้อ่านได้กลับมาทบทวน Mission ในช่วงชีวิตของตัวคุณเอง

คุณอาจจะมีชีวิตอยู่ 89 ปี หรือ 120 ปี ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะกี่ปี ถ้าเทียบการเกิดขึ้นของโลก และการเกิดขึ้นของสังคมมนุษย์แล้ว ชีวิตของโฮโม ซาเปียนส์คนหนึ่งๆ มันสั้นจะตายไป

มาหาอะไรที่มีความหมายให้ช่วงชีวิตสั้นๆ นี้กันเถอะครับ

ในอีกทางหนึ่ง ถ้าคุณคิด Mission ไม่ยักกะออกสักข้อ ผมมีไอเดียอยากลองนำเสนอ

คืออันที่จริงผมใช้เวลาในการคิด ร่าง และเขียนบทความนี้นานพอสมควร ผมก็เลยเกิดเสียดาย ถ้ามันจะเป็นบทความในลักษณะอ่านครั้งเดียวจบไป

เลยอยากลองเสนอสัก 1 ไอเดียเผื่อจะมีคนอยากเอาด้วยกันกับผมครับ

ผมอยากลองจัดตั้ง Book Club เป็น Group ใน Facebook

โดยยังคิดไม่ออกว่าจะใช้ชื่อ Club ว่าอะไร หรือ Club นี้จะเกิดจากความร่วมมือของใคร หรือองค์กรใดได้บ้าง
(ทีแรกผมตั้งชื่อไว้ว่า Bookdit ก็กลัวจะลอก Blockdit เกินไป..)

นอกจากหนังสือ Start with why และงานพรีเซนต์หนังสือของพี่หมอเคแล้ว ผมยังได้แรงบันดาลใจจากการตามเพจ “อ่านแล้วเล่า” และเพจ “BooksDD”

ก็ต้องขอขอบคุณ และแอบโฆษณาทั้ง 2 เพจ และแอพ Blockdit ไว้ ณ ทีนี้ด้วยครับ

แต่เพราะยังอยากให้มีคนมาแชร์หนังสือดีๆ ทำเพจดีๆ แบบนี้อีกเยอะๆ และถ้าให้ดีก็อยากให้เป็นสังคมที่ไม่ใช่การตามอ่านแบบ one-way

เลยลองโยนหินถามทางผ่านบทความนี้ครับ

ถึงจะยังไม่แน่ว่าสำเร็จมั้ย (ให้โอกาสสำเร็จสัก 5-10% แล้วกัน..) และไม่มีกระทั่งชื่อ แต่ผมก็คิด Mission รอไว้แล้ว นั่นคือ
"การแบ่งปันสิ่งที่คุณได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มหนึ่งๆ”

เป็นการแบ่งปันแบบฟรีๆ สนุกๆ

และเป็นการทำทานที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ความรู้แก่ผู้อื่นครับ

หวังว่าบทความจะมีพลังมากพอ ที่จะส่งต่อไปให้ตัวผม และทุกคนที่ได้อ่านสร้างชุมชนรักการอ่านดีๆ เพิ่มขึ้น อีกสักแห่งหนึ่งในสังคมไทยได้สำเร็จ

เป็นบทความที่ยาวมาก..
ขอบคุณจากใจที่อ่านจนจบครับ
โพสต์โพสต์