Unknown China เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ดร อาร์ม

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2620
ผู้ติดตาม: 262

Unknown China เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ดร อาร์ม

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Unknown China
Economicจีนที่คุณต้องติดตาม
เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
โดย ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร

ดร อาร์มบอกว่า มีคนถามว่า China 5.0 เกี่ยวข้องกับ Thailand 4.0อย่างไร

4.0 หมายถึงยุคดิจิตอล แต่5.0หมายถึง ปัญญาประดิษฐ์หรือAI
...

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น.. ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้ และ.. จะเป็นไปอีกหลายปี

ตั้งแต่ จีน มีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ
โดย เติ้ง เสี่ยว ผิง เมื่อ 40 ปีก่อน

ปัจจุบัน "สี จิ้น ผิง"
เป็น.. ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ

เป็น.. ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารและมหาศาล. การเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น2ยุค

ยุคแรก จากช่วงประธานเหมาเจ๋อตุงต่อมาช่วงเติ้งเสี่ยวผิง
ในช่วง40ปีที่แล้ว ช่วงนั้นประธานเหมาต้องการให้ศกเจริญแบบสหรัฐ
ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าอุตสาหกรรมไหนของสหรัฐน่าสนใจและมีผลต่อการเติบโตทางศก
ทำให้จีนช่วงนั้นก้าวจากอุตสาหกรรมการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นของภาครัฐ100%
ซึ่งอุตสาหกรรมไหนทำขาดทุน รัฐก็มาอุดหนุน
การวางแผนการผลิตก็มาจากส่วนกลาง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการ
พอเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมา ก็ไม่รู้อะไรมากมากยเพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ทำที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ก็กลับไปแก้ไข
เช่น เซิ่นเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านชนบท ก็ถูกพัฒนาจาก40ปีที่แล้วมาเป็นเขตศกพิเศษ
ได้ชวนนักลงทุนจากฮ่องกงมาลงทุน ซึ่งมีคำถามว่าจะขายใคร เพราะที่เซิ่นเจิ้นไม่น่าจะมีกำลังซื้อ
ซึ่งได้คำตอบคือผลิตและส่งออกสินค้าไปขายตลาดโลก

ซึ่งจีนมีโชค2เด้ง
1. ชาวจีนโพ้นทะเลที่มีฐานะหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจในต่างแดนลงขันมาช่วย
2.ศกโลกช่วงจีนเริ่มเปิดประเทศอยู่ในช่วงจังหวะฟื้นตัวพอดี

การลงทุนในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นซึ่งจีนได้เปรียบเรื่องค่าแรงถูก
และต่อมาศกจีนก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นเอกชน90%ดำเนินธุรกิจ
แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังคงเป็นของรัฐวิสาหกิจ
รัฐยังยอมให้เอกชนมีบทบาททางการตลาด

รัฐบาลต่อมา เจียงเจ๋อหมองมีนายกรัฐมนตรีที่เก่งคือคุณจูหรงจี
รัฐวิสาหกิจใดไม่กำไร ก็ควรให้เอกชนไปทำแทน
แปรเปลี่ยนกลไกภาครัฐมาทางเอกชนมากขึ้น

ยุคที่สอง
ผู้นำยุคที่สี่คุณหูจิ่นเทา สถานการณ์โลกมาบีบจีนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ศกโลก หดตัว กระทบต่อการส่งออกของจีนฟุบ
ได้ขยายการลงทุนอย่างมหาศาลซึ่งถือเป็นยุคที่สอง
ถือเป็นการกระตุ้นศกอย่างมโหฬาร
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่น สร้างสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ถนน สะพาน
การทำแบบนี้มีข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี
1.ทำให้เกิดโมเดลความสำเร็จของจีนซึ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
2.เกิดเมืองใหม่
3.เกิดความเชื่อมโยงด้วยรถไฟความเร็วสูงเกิดClusterเมือง 4แห่งรวมประชากรกว่า600ล้านนคร

ข้อเสีย
1.จากการส่งออกได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ทำให้เกิดสงครามการค้า
2.เกิดอุปทานส่วนเกินในการผลิตover capacity เช่นเหล็ก ถ่านหิน Cement
เกิดปัญหา over capacity ปัญหาหนี้และสิ่งแวดล้อมคือ PM2.5 ซึ่งเกิดก่อนไทยอีก
ดังนั้นจึงแก้ไขโดยส่งออกวัตถุดิบไปขายต่างประเทศ
ส่งออกคนที่มีความสามารถไปทำงานช่วยประเทศอื่นในอาเซียน
เช่นเป็นที่ปรึกษาในการสร้างรถไฟความเร็วสูง
โดยนำโมเดลขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เมือง และ ความเชื่อมโยงไปใช้ในประเทศต่างๆ
ส่วนต่างๆของจีนก็ไปเชื่อมโยงกับประเทศพื้นบ้าน
เช่น กวางตุ้งเชื่อมกับอาเซียน

และทำให้จีนเจริญรุดหน้าประเทศอื่น

"สี จิ้น ผิง"
ทำได้อย่างไร และ จะทำอะไรต่อไป
จีน กำลังจะมุ่งหน้าไปทางทิศทางไหน
ไทยเราควรปรับตัว ฉวยโอกาสอย่างไร

จุดสนใจ..

- อังกฤษใช้เวลา 150 ปี กว่า GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ในขณะที่ เยอรมัน ใช้เวลา 65 ปี สหรัฐ 53 ปี
แต่.. จีน.. ใช้เวลาเพียง 12 ปี

ตัวเลขดังกล่าว จะช่วยให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า "เวลามีต้นทุน" ได้อย่างดี

โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะถ้าคุณแค่อยู่เฉยๆ ในจีน เท่ากับคุณถอยหลังแล้ว

คำกล่าวที่ว่า 1 ปีของจีน เท่ากับ 10 ปีของประเทศอื่น ดูจะไม่เกินความจริงเท่าไหร่
เพราะจีนเป็นสังคมที่ dynamic มาก ประเทศกำลังขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่

โลกของจีนกลางเป็นวิชาบังคับ..ที่ทุกคนต้องศึกษา ไม่ใช่วิชาเลือกอีกต่อไปแล้ว

- การเมืองของจีน
มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว "สี จิ้น ผิง" เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเลือกจะปฏิรูประบบการเมืองของจีน ให้อยู่ได้ด้วยแนวทางที่เข้ากับพื้นฐานของประเทศ ไม่ตามชาติตะวันตก จนควบคุมไม่ได้ !!

- งานแรกที่ "สี จิ้น ผิง" เลือกที่จะทำ คือ การสลายขั้วอำนาจของการเมืองทั้งสอง ด้วยการปราบคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ !! นักการเมืองสองขั้ว โดนจับมากกว่า 120 คนในช่วงเวลาเพียง 2 ปีแรกที่.. สี จิ้น ผิง.. เข้ารับตำแหน่ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะมี..การปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่เกิดขึ้นด้วย

- หลายฝ่ายมองว่า "สี จิ้น ผิง"
คือ สุดยอดของการคอมมิวนิสต์
คือ รวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัวผู้เดียว
แต่.. การกระทำดังกล่าว ทำให้สั่งงานได้ง่าย งานเห็นผล และสร้างความพอใจแก่ประชาชนได้มากที่สุด โดยรัฐบาลจีน ก็ยอมรับเสียด้วย และเรียกตัวเองว่า เป็น.. รัฐบาลเผด็จการเพื่อประชาชน !!

- แน่นอนว่า การเป็นเผด็จการนั้น ย่อมเป็นเป้าให้ถูกวิจารณ์ แต่รัฐบาลจีน เลือกที่จะปล่อยให้วิจารณ์ไป.. โดยไม่ตอบโต้
แต่กลับรับมือด้วยการจ้าง "กองทัพนักโพสต์" ประมาณ 2 ล้านคน เพื่อคอยโพสต์ผลงานด้านดีของรัฐบาล
เรียกว่า..กระหน่ำโพสด้านดี จนคน..ลืมด้านเสียไปเลย

- สิ่งเดียวที่รัฐบาลจะเซ็นเซอร์ คือ ข้อความที่เรียกให้คนออกมารวมตัวกัน

- เหตุผลที่.. "สี จิ้น ผิง" ต้องรวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเอง น่าจะเป็นเพราะ

1. รวมอำนาจมาไว้..
เพื่อความเด็ดขาดในการปราบคอรัปชั่น

2. รวบอำนาจ..
เพื่อสร้างฐานการเมืองให้มั่นคง พอจะต้านกับกลุ่มทุนอำนาจ (ซึ่งน้อยลงทุกทีเพราะโดนล่อจนเรียบ)

3. เพื่อสร้างความมั่นคงของรัฐบาล ในการนำประเทศภายใต้นโยบายใหม่ คือ เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งขัดกับรัฐบาล ก่อนๆ.. ที่เน้นการเติบโตแบบร้อนแรง

นโยบายเศรษฐกิจของ "สี จิ้น ผิง" เน้นให้ประเทศเติบโตจากการลงทุนของเอกชน ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อน ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน และ เน้นการลดกำลังการผลิตส่วนเกิน หันไปสู่การผลิตที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

โดยพยายามส่งเสริมภาคการผลิต ที่เป็นสินค้าเชิงคุณภาพ และมูลค่าสูง เช่น อิเลคโทรนิคส์ หรือ เน้นนวัตกรรม

*****
รัฐบาลจีน..ยังคงลงทุนอยู่ แต่จะลงทุนเฉพาะ

1. สาธารณูปโภคในเมืองห่างไกล
2. ลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
ที่จีนกำลังขาดแคลน
3. ลงทุนในด้านนวัตกรรม หรือ
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI
และ ลงทุนในการยกระดับเทคโนโลยี

Milestones ของจีน
ภายใต้การนำของ "สี จิ้น ผิง" คือ

ปี 2021 (พรรคคอมมิวนิสต์ครบ 100 ปี)
คนจีนทั้งประเทศ จะอยู่ดีกินดีระดับหนึ่ง
ปราศจากความยากจน (แค่ 3ปีนับจากนี้)

ปี 2035 จีนจะเป็นประเทศที่ทันสมัย

ปี 2049 ประเทศจีนจะครบรอบ 100 ปี
จีน.. จะเป็นประเทศมหาอำนาจสมัยใหม่ ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม สมานฉันท์ และสวยงาม

- ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีน
แบ่งตามความเหมาะสมของแต่ละ ภาคส่วน (cluster) ดังนี้

1. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนยังมีเทคโนโลยีห่างไกลจากประเทศตะวันตก
เช่น อเมริกา เยอรมัน

จีนจะใช้วิธีการเข้าไป takeover บริษัท แล้วดึงความรู้กลับมา (ดูด know how) หรือไปตั้งศูนย์วิจัยของตัวเอง ที่ประเทศดังกล่าว (ดูดคน) หรือ ชักชวนบริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงาน หรือมาลงทุนในจีน และสุดท้าย คือ
ส่งเสริมให้ R&D ของจีน ค้นคว้าด้วยตัวเอง

2. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนมีเทคโนโลยีเหนือประเทศอื่น รัฐบาลจะลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดนิ่ง

3. ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่มีแรงงานเป็นหลัก
ผลิตของราคาถูก จะเน้นให้..ยกระดับไปผลิตของที่มีมูลค่าสูงขึ้น
แต่ถ้าเป็น อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถยกระดับได้ จะให้ย้ายโรงงานฐานการผลิตไปยัง ประเทศที่มีต้นทุนค่าแรงการผลิตต่ำกว่า (ย้ายจากตะวันออกไปตอนกลางของประเทศ)

4. ภาคอุตสาหกรรมใหม่
หรือเศรษฐกิจใหม่ (New Ecomomy)
ที่จีนเริ่มต้น พร้อมประเทศอื่นๆ เช่น AI

จีนได้เปรียบในเรื่อง จำนวนทรัพยากรมนุษย์อยู่แล้ว
จึงทำให้ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้น มีโอกาสประสบความสำเร็จ หรือเป็นรูปธรรมได้มากกว่า

- นโยบายเศรษฐกิจสำคัญ
ที่เราจะได้เห็นจากจีนนับจากนี้ คือ

ปี 2025
นโยบาย Made in China 2025
ที่จะพลิกจีนจากประเทศ การเป็นแหล่งผลิตสินค้าราคาถูก สู่ศูนย์กลางการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมก้าวหน้า เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ หุ่นยนต์ รถยนต์ พลังงานสะอาด

ใครที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ การนำเข้าของจากจีน หูตาต้องกว้างไกลแล้ว เพราะต่อไปการขนส่งสินค้าจีน จะเปลี่ยนจากคำว่า Made in China ไปเป็น Made by Chinese
แต่โรงงานอยู่ประเทศอื่น

ปี 2030 จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำ ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

- เมื่อปี 2015
จีนประการสร้าง cluster แห่งอภิมหาเมืองรวม 11 แห่ง
หลักการ คือ การเชื่อมเมืองใหญ่ และเมืองเล็กโดยรอบหลายเมืองเข้าไว้ด้วยรถไฟความเร็วสูง

พัฒนาเมืองใหม่ขึ้น ตรงกลางของ Cluster เพื่อเป็นการ
กระจายความเจริญ ลดความหนาแน่นจากเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนอยู่เมืองเล็ก ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาอัดแน่นในเมือง เพราะรถไฟความเร็วสูงสามารถ พามาถึงเมืองใหญ่ภายในชั่วโมงเดียว

3 แห่งที่จะเป็นอภิมหาเมืองระดับ Super Cluster

Jing-Jin-Ji ศูนย์กลางอยู่ปักกิ่ง
เชื่อม 13 เมือง 130 ล้านคน

Yangtze River Delta
ศูนย์กลางอยู่เซี่ยงไฮ้
เชื่อม 16 เมือง 80 ล้านคน

Pearl River Delta
ศูนย์กลางอยู่กวางเจา
เชื่อม 11 เมือง 80 ล้านคน

ทั้งหมดที่ว่ามา เราจะได้เห็นในปี 2050

- โครงการเชื่อมโลก
One-Belt-One-Road ที่เราคุ้นหู

ประเทศไทย อยู่ในส่วนที่เรียกว่า
"ระเบียงเศรษฐกิจคาบสมุทรอินโดจีน"
ซึ่งรวมเวียดนาม และกัมพูชาด้วย
ระเบียงนี้เป็นเพียง 1 ใน 6
ระเบียงเศรษฐกิจย่อยเท่านั้น

ภาพรวมของโครงการนี่ ต้องบอกว่า ใหญ่ระดับที่ส่งผลกระทบ กับชีวิตคนมากกว่าครึ่งโลกจริงๆ

มากกว่าส่งคนไปดวงจันทร์เสียอีก
เพราะผลกระทบนี้ เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา ทุกมิติจริงๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ

การอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คน
การหลั่งไหลแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

ยุทธศาสตร์นี้เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า

จีนพร้อมแล้ว !!
ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลก

แต่ วิธีการนั้น.. จะเป็นมิตรกว่าอเมริกา
ที่เข้าไปเอาแต่ผลประโยชน์

ในขณะที่ จีน พร้อมให้ความร่วมมือ
กับทุกประเทศที่เข้าไป
(แม้จีนจะต้อง Win กว่าอยู่ดี) และ
สนับสนุนความเป็นโลกาภิวัฒน์มากกว่า

- จีนประกาศจะเป็นผู้นำ
ด้าน AI ในปี 2030 (อีก 12 ปี นับจากนี้) โดยถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญว่า จีนจะทำได้จริงหรือไม่

- แม้วันนี้จีนยังเป็นรองในด้านระบบการประมวลผล Computer Processor กับ ขั้นตอนของการวิเคราะห์ (Algorithm)

แต่สิ่งที่จีนมีเหนือกว่ามากคือ
ปริมาณข้อมูลมหาศาล (Big Data)

- การทำงานของ AI
ใช้ทั้ง 3 อย่างนี้ประกอบกัน

2 อย่างแรกจีนใช้วิธีการซื้อ และ ดูดคน ดูดองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดจีน จะตามทันแน่นอน

แต่ในเรื่อง Big Data นั้น จีนสามารถปิดข้อมูลการใช้งานของคนในประเทศได้ นั่นคือ สิ่งที่ทำให้จีนได้เปรียบในที่สุด

- AI จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ
การแข่งขันของจีนในทุกด้าน เช่น

ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้พลังงาน
เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ
เอาไว้ควบคุมสังคมในประเทศนั่นเอง

- บริษัทเทคฯ ใหญ่ ตอนนี้
ต่างหันมาพัฒนาด้าน AI ชนิดเต็มสูบ
ทั้ง alibaba baidu tencents

แข่งกันแบบวิ่งร้อยเมตรทุกวันจริงๆ

"เพื่อรู้เท่าทันอนาคตของเรา และ
อนาคตของโลก จงจับตามองทุกฝีกก้าว"

Credit : ข้อมูลเพิ่มเติมจากLINE,ข้อมูลจากน้องเป้
หนังสือ CHINA 5.0
โพสต์โพสต์