สงครามการค้า: สมุดปกขาวกับสัญญาณรบจากจีน?/ อาร์ม ตั้งนิรันดร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 854
ผู้ติดตาม: 10

สงครามการค้า: สมุดปกขาวกับสัญญาณรบจากจีน?/ อาร์ม ตั้งนิรันดร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สงครามการค้า: สมุดปกขาวกับสัญญาณรบจากจีน?

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กองโฆษกของรัฐบาลจีนได้เผยแพร่สมุดปกขาวเกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลจีนในเรื่องสงครามการค้า

จุดยืนมี 4 ข้อครับ คือ 1. การเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียม 2. การเจรจาต้องอาศัยความสุจริตใจ 3. จีนจะไม่ยอมถอยในเรื่องที่เป็นหลักการ 4. ความท้าทายจากสงครามการค้าจะไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนได้

ในสมุดปกขาว ยังพูดจากมุมจีนว่าสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนท่าทีกลับไปกลับมาในการเจรจาถึง 3 ครั้ง และโยนความผิดว่าสหรัฐฯ ทำให้การเจรจาล้มเหลว (ส่วนสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นเพราะจีนเองกลับลำในช่วงสุดท้าย)

จีนย้ำว่า ถ้าสหรัฐฯ พร้อมเจรจาเมื่อไรภายใต้หลักความเท่าเทียมและสุจริตใจ จีนเปิดประตูรอเสมอ แต่ถ้าสหรัฐฯ เลือกจะรบ จีนเองก็จะสู้กลับให้ถึงที่สุด!

ในการแถลงข่าวเปิดสมุดปกขาว มีนักข่าวถาม รมช. พาณิชย์ของจีนว่า ฝ่ายสหรัฐฯ บอกว่าสงครามการค้าครั้งนี้ ฝ่ายจีนจะเป็นผู้แพ้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่? ท่านรมช. ตอบอย่างคมคายว่า สงครามการค้านั้นมีแต่แพ้ทั้งคู่ ไม่มีฝั่งใดชนะหรอก!

ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับสมุดปกขาวของจีน ดังนี้ครับ

1.รัฐบาลจีนใช้สมุดปกขาวสื่อสารกับประชาคมโลกก็จริง แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือต้องการใช้สมุดปกขาวสื่อสารกับคนจีนในประเทศด้วยครับ

รัฐบาลจีนต้องการสื่อสารกับคนในประเทศว่า ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาจากฝั่งสหรัฐฯ (ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลจีน) และเมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลจีนก็พร้อมยืนหยัดต่อสู้ หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ภาษาที่ใช้รอบนี้แรงขึ้นจากการแถลงในอดีต ชนิดที่บอกว่าถ้าเอ็งจะรบ ก็เข้ามาเลย!

ในสมุดปกขาว จีนยังพูดถึงหลักการสำคัญว่าสหรัฐฯ ต้องเคารพอำนาจอธิปไตยของจีน ซึ่งสะกิดต่อมความรู้สึกของคนจีนกลับไปที่ประวัติศาสตร์ช่วงที่ตะวันตกรังแกจีนและบังคับให้จีนทำสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมในช่วงปลายราชวงศ์ชิง

ข่าวลือก่อนหน้านี้มีว่า ดีลจีน-สหรัฐฯ ล่ม เพราะสหรัฐฯ ต้องการบันทึกในข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ถ้าในอนาคตจีนไม่สามารถปรับปรุงตัวในเรื่องต่างๆ จนสหรัฐฯ พึงพอใจ (เช่น การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา, การยอมเปิดบางภาคเศรษฐกิจของจีนให้นักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุน) รัฐบาลสหรัฐฯ สงวนสิทธิที่จะกลับมาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยที่จีนสัญญาว่าจะไม่ขึ้นภาษีตอบโต้

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงและพรรคคอมมิวนิสต์มองว่า ถ้าขืนยอมตกลงไปอย่างนี้ ก็จะเสียหน้ามาก ศัตรูทางการเมืองในพรรคอาจโจมตีว่า เข้าข่ายทำสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม แถมคนจีนชาตินิยมทั้งหลายอาจไม่พอใจ ทั้งหมดจึงเป็นเหตุให้ต้องย้ำแล้วย้ำอีกในสมุดปกขาวว่า การเจรจาต่อไปนี้ต้องยึดหลักความเท่าเทียม

ข้อสังเกตข้อที่ 2. สมุดปกขาวของจีนเน้นพูดเรื่องสงครามการค้าในมิติเศรษฐกิจและในมุมเศรษฐศาสตร์เป็นหลัก แต่หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวหาว่าสหรัฐฯ ใช้สงครามการค้าเป็นฉากบังหน้าเพื่อต่อรองเรื่องอื่น

นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า แท้จริงแล้ว จีน-สหรัฐฯ ขัดแย้งเชิงลึกในทางการเมืองและความมั่นคง มหาอำนาจเก่าอย่างสหรัฐฯ เห็นว่าการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่อย่างจีนเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน

สมุดปกขาวสะท้อนว่า จากฝั่งของจีน รัฐบาลจีนพยายามตีกรอบการเจรจาให้อยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจการค้าเท่านั้น และไม่เอาเรื่องอื่นมาปะปน หรือไม่ยกระดับว่านี่เป็นเรื่องมากกว่าการค้า

นักวิชาการจีนท่านหนึ่งมองว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างก็มีไพ่เด็ดอยู่ในมือทั้งคู่ ถ้าจะยกระดับเป็นสงครามเย็น ความขัดแย้งจะไม่มีวันจบ ดังนั้น เฉพาะหน้าควรจำกัดกรอบเป็นเรื่องการค้า และแสวงความร่วมมือด้านการค้าที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่ายให้ได้

แต่คำถามก็คือ ทางสหรัฐฯ จะเห็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่ เพราะยิ่งวัน ยิ่งอ่านทวีตของพี่ทรัมป์ หลายคนยิ่งงงว่า สหรัฐฯ ทำสงครามการค้าเพื่ออะไรกันแน่ จนนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ตอนนี้มองเป็นเรื่องการเมืองและความมั่นคงไปแล้ว บางคนถึงกับมองว่า ไพ่สงครามการค้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ต้องการปิดล้อมจีน รวมทั้งเอามาใช้ต่อรองเรื่องอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นให้จีนช่วยคุยกับเกาหลีเหนือ เรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และเรื่องไต้หวัน

3.ข้อสังเกตสุดท้าย การที่จีนออกสมุดปกขาวในช่วงนี้สะท้อนว่า ในระยะสั้น คงจะไม่มีการเจรจาหรือการยอมถอย แต่ในระยะยาว จีนพร้อมเปิดประตูสู่การเจรจาเสมอ

นักวิชาการจีนส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า รัฐบาลจีนออกสมุดปกขาวเร็วไป น่าจะรอปลายเดือนนี้ค่อยออกก็ได้ พอออกมาตอนนี้ยิ่งเท่ากับราดน้ำมันลงในกองเพลิง ไฟความขัดแย้งในระยะสั้นคงยิ่งโหมหนัก

รัฐบาลจีนเตรียมตัวขึ้นภาษีตอบโต้ รวมทั้งเตรียมออกมาตรการจัดการบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แบบที่สหรัฐฯ ทำกับหัวเว่ย (ตอนนี้มีข่าวลือว่า รัฐบาลจีนจะตรวจสอบบริษัท Fed-Ex รวมทั้งอาจเลิกใช้ซอฟต์แวร์ของ Microsoft) อันนี้ก็ต้องรอดูครับว่า พี่สีแกกำลังเลียนแบบยุทธวิธีเขียนเสือให้วัวกลัวแบบพี่ทรัมป์หรือเปล่า

สงครามการค้ายกก่อนหน้านี้ เนื่องจากตอนนั้นยังเป็นช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งการขึ้นภาษีรอบก่อนยังจำกัดเฉพาะสินค้าบางประเภทเท่านั้น คนในสหรัฐฯ จึงยังไม่รู้สึกเจ็บตัวจากสงครามการค้าเท่าใดนัก แต่เมื่อตอนนี้ความขัดแย้งเริ่มยกระดับ โดยสหรัฐฯ ขึ้นภาษีระลอกใหม่ และจีนเตรียมยกระดับการตอบโต้ สุดท้ายหนีไม่พ้นหรอกครับที่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเริ่มรู้สึก บริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ จะเริ่มเจ็บ และที่สำคัญ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเริ่มร่วงหนักขึ้น จีนมองว่าถึงตอนนั้น ทรัมป์ก็คงต้องหันกลับมาเจรจา

แต่วางท่าจะตีกันเต็มสูบแบบนี้ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะถูกกดดันให้กลับมาเจรจากัน ก็คงเจ็บหนักไม่น้อยหน้ากันทั้งคู่ครับT
โพสต์โพสต์