สงครามการค้า: ทฤษฎีหมู 3 ชั้น / อาร์ม ตั้งนิรันดร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 854
ผู้ติดตาม: 10

สงครามการค้า: ทฤษฎีหมู 3 ชั้น / อาร์ม ตั้งนิรันดร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สงครามการค้า: ทฤษฎีหมู 3 ชั้น / อาร์ม ตั้งนิรันดร

คนจีนบอกว่าทรัมป์เหมือนธานอสในหนังอเวนเจอร์ นั่นก็คือเพียงแค่ขยับนิ้ว โลกก็พังทลายไปครึ่งหนึ่ง

คิดดูสิครับ เพียงแค่เมื่อคืนวันอาทิตย์ ทรัมป์ขยับนิ้วทวีตเตรียมจะขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐฯ ในจีน และทั่วโลก ต่างตกกระหน่ำทันทีตั้งแต่ต้นสัปดาห์

ทวีตมฤตยูของทรัมป์ผิดจากความคาดหมายของหลายฝ่าย ที่ก่อนหน้านี้มีการปล่อยข่าวบวกออกมาเป็นระยะๆ ว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังดำเนินไปด้วยดี ราบรื่น ชื่นมื่นจนทรัมป์เองเคยทวีตชมความก้าวหน้าของการเจรจามาหลายครั้ง

หลายคนถึงกับเคยคาดว่า การเจรจาการค้ารอบล่าสุดที่สหรัฐฯ ช่วงปลายสัปดาห์นี้ อาจจะมีข้อตกลงร่วมกันออกมาได้ แต่อนิจจา ต้นสัปดาห์ก่อนการเจรจาไม่กี่วัน พี่ทรัมป์กลับทวีตหักมุมว่า การเจรจาตอนนี้ไม่ได้ดั่งใจและเตรียมขึ้นภาษีถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่อง เล่นเอาตลาดโลกแตกตื่นไปตามๆ กัน

ข่าวจากบางแหล่งของจีนรายงานว่า สาเหตุมาจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิงไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเจรจาของทีมจีน ซึ่งได้ยอมและโอนอ่อนตามสหรัฐฯ มากเกินไป จนทำให้ทีมจีนส่งสัญญาณจะกลับลำก่อนเข้าสู่การเจรจารอบใหม่ เล่นเอาทีมสหรัฐฯ และพี่ทรัมป์ของขึ้น

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ในสหรัฐฯ มองว่า ลูกไม้การเจรจาของจีนอาจเป็นการพยายามซื้อเวลา โดยทำท่าจะโอนอ่อนตามสหรัฐฯ จนดูเหมือนที่ผ่านมาการเจรจามีความคืบหน้า แต่จุดประสงค์แท้จริงเพียงต้องการให้สหรัฐฯ เลื่อนกำหนดการขึ้นภาษีออกไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ (จากเดิมที่ทรัมป์เคยจะขึ้นภาษีมาตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่ แต่ยอมเลื่อนออกไปเมื่อจีนยอมมานั่งโต๊ะเจรจา)

นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ในสหรัฐฯ หลายรายยังไม่เชื่อลมปากของจีน หลายคนบอกว่าจีนปากหวาน ออกมาสัญญาว่าจะค้าขายอย่างเป็นธรรมและจะเคารพทรัพย์สินทางปัญญา แต่จีนมักพูดอย่างทำอย่าง และยากมากที่จะหากลไกมาบังคับให้จีนทำจริงตามคำหวานของตัวเอง

ดังนั้น พอปรากฏว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกลับลำจริงๆ แตะเบรกใส่ทีมเจรจาจีนว่ายอมสหรัฐฯ มากไป เลยยิ่งกระตุกต่อมพญาอินทรีย์ ว่าที่ผ่านมานี่ เธอหลอกซื้อเวลาฉันเล่นใช่หรือไม่

นักวิเคราะห์ในจีนเองก็พยายามวิเคราะห์ว่า เหตุใดสีจิ้นผิงจึงออกมาแตะเบรกเช่นนี้ หลายคนมองว่า ตอนนี้จีนเริ่มรู้สึกว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลเริ่มเห็นผล และมีกระแสว่าการยอมโอนอ่อนตกลงตามสหรัฐฯ มากเกินไปเพียงเพราะความกดดันจากสงครามการค้า สุดท้ายจะทำให้จีนเสียประโยชน์ในระยะยาว และหลายอย่างจีนก็ไม่สามารถทำได้จริงอย่างที่สหรัฐฯ เรียกร้องอยู่แล้ว

น่าสังเกตครับว่า วันเดียวกับที่ทรัมป์ออกมาทวีตขู่จะขึ้นภาษีจีน ธนาคารกลางของจีนได้ออกประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ให้กับธนาคารขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารเหล่านี้ของจีนสามารถปล่อยเงินทุนเข้าสู่ตลาดราว 2.8 แสนล้านหยวน (ประมาณ 4.16 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อมาเป็นสินเชื่อเงินกู้ให้แก่บริษัท SME ในจีน เรียกว่ารัฐบาลจีนส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหญ่อีกครั้ง เตรียมรับศึกสงครามการค้าในระยะยาว

2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่เริ่มมีข่าวหนาหูว่า 2 ยักษ์ใหญ่กำลังจะตกลงกันได้ ผมได้วิเคราะห์มาตลอดว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ น่าจะเป็นศึกยาว ไม่จบง่ายๆ ตามข่าวหรอก ถ้าหากตกลงกันได้หรือมีข่าวดีออกมา ก็น่าจะเป็นการสงบศึกเพียงระยะสั้น แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาตีกันยาวๆ อยู่ดี

สาเหตุสำคัญเพราะสงครามการค้าในครั้งนี้เป็นความขัดแย้งมากกว่าเรื่องการค้าครับ ผมมักเรียกเล่นๆ ของผมเองว่า “ทฤษฎีหมู 3 ชั้น” โดยชั้นแรกที่เราเห็นผิวๆ คือเรื่องการค้า ที่อ้างกันว่าสหรัฐฯ ขาดดุล เสียเปรียบอะไรต่างๆ นั่นเป็นเพียงเรื่องผิวๆ ครับ

ต้องมาดูต่อชั้นที่ 2 คือความขัดแย้งเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งสหรัฐฯ กังวลว่าจีนกำลังก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยมีการวางแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม Made in China 2025 และจีนทุ่มสุดตัวกับเทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งล้วนเป็นหัวใจของโลกอนาคต ทั้งหมดนี้จึงทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องเล่นเกมกดดันจีนด้วยการใช้สงครามการค้าเป็นหน้าฉาก

แต่ยังมีชนวนความขัดแย้งชั้นที่ 3 ซึ่งสำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องความมั่นคงครับ เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็น 5G หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ล้วนมีประเด็นความปลอดภัยของข้อมูล รวมทั้งการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปปรับใช้กับการทหารได้

ลองคิดดูสิครับว่า ถ้าในอนาคต จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เหล่านี้ได้จริง ถ้าข้าวของเครื่องใช้ของผู้บริโภคสหรัฐฯ ในยุค Internet of things ล้วนมาจากจีนหรือมีชิ้นส่วนจากจีน สำหรับสหรัฐฯ แล้วต้องถือว่ามีความเสี่ยงเรื่องความมั่นคง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยของข้อมูล ดังเช่นที่สหรัฐฯ ออกมาแสดงความกังวลเรื่องเทคโนโลยีของหัวเว่ยในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อแก่นแท้ของเรื่องสงครามการค้าเป็นมากกว่าเรื่องการค้า แต่เป็นการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและความมั่นคง เราจึงเข้าใจได้ไม่ยากครับว่า นี่เป็นเหตุให้สีจิ้นผิงพลิกไพ่ไม่ยอมโอนอ่อนตามสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจีนจะทำท่าส่งคนไปนั่งโต๊ะเจรจา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ เช่นให้จีนหยุดลอกเลียนเทคโนโลยีหรือหยุดการทำแผนอุตสาหกรรมนั้น จีนหยุดไม่ได้

และนี่คือเหตุผลที่สงครามการค้าระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่และความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเมื่อ 2 ยักษ์ชนกัน จะอยู่กับเราไปอีกนานครับ
โพสต์โพสต์