กลยุทธ์การลงทุนในDividend Play ดร นิเวศน์ 12 กพ 2562

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2620
ผู้ติดตาม: 260

กลยุทธ์การลงทุนในDividend Play ดร นิเวศน์ 12 กพ 2562

โพสต์ที่ 1

โพสต์

กลยุทธ์การลงทุนในDividend Play

ดร นิเวศน์ พูดถึงการลงทุนในช่วงที่การเมืองไม่ชัดเจน ว่า การลงทุนแบบวีไอ หรือ ลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า
ไม่ค่อยมีผลกระทบจากการเมืองเพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว การเมืองจะกระทบกับชีวิตประจำวันมากกว่า

ทุกวันนี้มีคนพยายามหาว่าวิธีไหนที่ลงทุนดีที่สุด โดยเฉพาะกับคนธรรมดา
ดร เล่าต่อว่า มีคนไปถามนักลงทุนที่มีชื่อเสียงคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าการลงทุนอะไรดีที่สุด

บัฟเฟตต์ตอบว่า เคล็ดลับของการลงทุนคือไม่มีเคล็ดลับ
และบอกอีกว่า นักลงทุนแค่ทำสามเรื่องได้แก่

1.ลงทุนแบบ Value Investing ดูคุณสมบัติของหุ้นให้ครบถ้วน มีคุณค่าน่าลงทุนถึงจะซื้อ
2.ต้องคิดทำอะไรช้าๆ อย่าหวังรวยเร็ว
3.คิดถึงเรื่องปันผล

ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ เพราะหวังรวยเร็ว ชอบหุ้นที่มีลักษณะขึ้น ลงเร็ว
ปันผลคือพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น กำไรหรือจะสู้ปันผลได้ (กำไรอาจเป็นเพียงตัวเลข แต่ปันผลได้
แสดงว่าธุรกิจได้รับเงินสดเข้ามาจึงสามารถปันผลได้)

ดร ลงทุนมากว่า 20ปี ซึ่งเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านปี ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
ส่วนใหญ่ที่หุ้นที่เลือกราคาถูกมาก ทำให้ได้ปันผลปีแรก 10% คือ 1 ล้านบาท 50%ก็มาใช้จ่ายค่าเทอมของลูกที่เรียนInter ส่วนที่เหลือก็นำมาใช้จ่าย ซึ่งพอกับค่าใช้จ่ายในหนึ่งปี
บริษัทที่ลงทุนช่วงนั้น ได้แก่บริษัทที่ผลิตและขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งขายดีในช่วงต้มยำกุ้ง คู่แข่งสู้ไม่ได้

หลักในการดูหุ้น
1.รายได้ ตรวจสอบรายได้ย้อนหลัง พบว่า รายได้มีแต่เพิ่มขึ้นตลอด ถึงแม้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม
ก็สามารถขึ้นราคาได้ เป็นข้อดีของบริษัทใหญ่ที่เป็นผู้นำ
2.รายได้เพิ่ม กำไรก็เพิ่มขึ้น และ ธุรกิจไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มอีกแล้ว

ปันผลก็เพิ่มทุกปี 20ปีผ่านไป ถ้ามีขายหุ้นก็นำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น เงินลงทุนทั้งหมดอยู่ในหุ้น
ล่าสุดปันผลปีนึงเกิน 100ล้านบาท
ลงทุนช่วงแรกอย่าคิดถึงกำไร และ อย่าถอนออกมาใช้จ่าย ให้ไปใช้เงินตอนหลังเกษียณ
ยิ่งถ้าหาเงินได้ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินลงทุนส่วนนี้
มีความสุขกับการที่เงินเติบโต

ส่วนเงินลงทุนระยะยาวในกองทุนรวม ดร นิเวศน์ ก็ลงในLTF,RMF ไม่ต่ำกว่า 15ปีตั้งแต่เริ่มแรก
โดยลงเต็มสิทธิ 15%ของรายได้ ตอนนี้ก็มีเงิน 10กว่าล้านบาท ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า การลงทุนระยะยาว
ในกองทุนรวมก็สามารถเกษียณได้ด้วย LTF,RMF

ส่วนกองทุนหุ้น SETHD นั้นก็น่าสนใจ เพราะหุ้นในSETHDส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ที่ปันผลได้ติดต่อกัน
อย่างน้อย 5 ปี และ กำไรโตอย่างสม่ำเสมอ ปันผลอย่างต่ำ 3-5% ดีกว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทในSETHD
ลงทุนระยะสั้น 2-3ปี น่าจะoutperform แค่ปันผลก็คุ้มแล้ว
หลักการลงทุนคือ ขอให้ไม่ขาดทุน เหมือนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูด
และ กำไรก็จะมาเองโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง

ดร บอกว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ

1.นักเก็งกำไร และ รายย่อย ซึ่งจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่ง 10ปีที่ผ่านมาโตอย่างรวดเร็ว
และPEค่อนข้างสูง เพราะคนคาดหวังว่ากลุ่มนี้จะเติบโต ปรากฏว่าปีที่แล้ว พบว่าไม่เติบโตอย่างที่หวัง
ราคาจึงปรับลงมาจาก PE 100 เป็น 50 เท่า โดยราคาลงมาถึง 50% ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้ยังไม่น่าสนใจ
เพราะPEยังแพงอยู่ถึงแม้ราคาลงมาเยอะ ให้รอไปก่อน ยังไม่ใช่ช่วงที่น่าลงทุน

2.กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ และ สถาบันในประเทศ ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งoperationดีมาตลอด
กำไรก็เติบโตมาเรื่อยๆอย่างช้าๆ ปันผล 4-6% ดูน่าสนใจ แถมบริษัทยังมั่นคงด้วย
ปีที่แล้วราคาหุ้นขนาดใหญ่ลงมา ดูน่าซื้อไปหมด โดยเฉพาะSETHD ตลาดลงมา 10% แต่กลุ่มนี้รวมปันผล4-5% ปรากฏว่าลงแค่ 1-2% PE ก็ต่ำเกือบสุดด้วย ความแข็งแรงของธุรกิจก็ดี โอกาสถูกdisruptก็ยาก เช่น กลุ่มธนาคาร ก็เริ่มdisruptตัวเอง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ไม่มีใครมาdisrupt
กลุ่มที่จะโดนdisruptส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง

สำหรับคนที่ไม่ชำนาญในการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า ก็สามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนในSETHD
ได้ ก็สามารถที่จะเกษียณได้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
นักลงทุนส่วนใหญ่กว่า 70% ลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบIndex Fund

สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ วรรณ ที่จัดงานสัมมนาครับ
โพสต์โพสต์