Rising economic uncertainties in 2019 / Billionaire VI

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 854
ผู้ติดตาม: 10

Rising economic uncertainties in 2019 / Billionaire VI

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ผมได้เข้าร่วมงานสัมมนา "Bangkok Trading Symposium - Rising economic uncertainties in 2019: How should investors navigate through market volatility?"

จัดขึ้นโดย บล.ฟิลลิป* ที่โรงแรม Waldorf Astoria ราชดำริ ในวันที่ 31 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา

พึ่งทราบว่า งานแนวนี้ ฟิลลิปจัดขึ้นเป็น Annual Event จัดเป็นปีที่ 2 แล้ว

จุดประสงค์เพื่อให้นักลงทุนได้รับฟังมุมมองทิศทางการลงทุนในปี 2019 จากนักเศรษฐศาสตร์ระดับแถวหน้าของโลก

วันนี้เลยขอโอกาสแชร์ข้อมูลและแนวคิดที่ได้จากงานสัมมนา โดยเริ่มจากคุณ Erik Norland ซึ่งเป็น Executive Director & Senior Economist of CME Group ที่เป็นคนพูดหลักในงานดังนี้

-ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เพิ่งส่งสัญญาณบวกไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ แต่จะติดตามอัตราการว่างงาน เงินเฟ้อและตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆเพื่อพิจารณา จึงเป็นข่าวดีต่อหุ้นทั่วโลก

- ตลาดหุ้นเอเชียจะโดดเด่นที่สุดในปีนี้หลังจากถูกเทขายอย่างหนักเมื่อปีที่แล้วทำให้ราคาหุ้นลดลงจนทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาสนใจอีกครั้ง ส่วนตลาดยุโรป ญี่ปุ่นยังมองว่าทรงๆไม่โดดเด่น

- สาเหตุที่ FED ปรับดอกเบี้ยขึ้น 9 ครั้งติดต่อกันทั้งที่อัตราเงินเฟ้อก็ไม่ได้สูงจนน่ากลัว ที่ผ่านมาก็อยู่ในช่วง 1.9%-2.1%

โดยทาง FED เชื่อในทฤษฎี U-Star การพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยไม่สามารถดูได้เฉพาะค่าเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ต้องดูอัตราการว่างงานที่ลดลงเรื่อยๆ เพราะเมื่ออัตราการว่างงานต่ำมากบริษัทก็ต้องเพิ่ม

ค่าแรงเพื่อแข่งขันในการแย่งชิงพนักงาน จึงทำให้คนมีรายได้สูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ

- มองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่น่าจะเกิดวิกฤตเร็วๆนี้แต่อยู่ในช่วงปลายๆของการขยายตัว (Late Expansion)

โดยดูได้จากอัตราการว่างงานที่ต่ำมาก และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น (2 ปี) และระยะยาว (10 ปี) ใกล้เคียงกันมากจนผลต่างเข้าใกล้ศูนย์ ตอนนี้อัตราการว่างงานก็ต่ำแค่ 4% และผลต่างของพันธบัตรทั้งสองก็ลดลงเหลือแค่ 0.18%

- มองตลาดหุ้นอเมริกาน่าจะไปต่อได้เพราะ FED ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ถ้าหุ้นโดนเทขายอย่างหนักกดดัชนีลดลงอย่างรุนแรง ทาง FED ก็อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งก็ได้

- แนะนำให้ลงทุนในตลาดทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง ทองคำน่าจะให้ผลตอบแทนดีในปีนี้ถ้า FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลล่าร์ก็จะอ่อนค่าลง ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าในส่วนของซัพพลายทองในตลาดโลกจะเติบโต 1.6% ต่อปี แต่อัตราความต้องการก็ยังมากกว่าอยู่ดี

- น้ำมันน่าจะเป็นลักษณะตลาด Sideway ในปีนี้หลังจากปรับตัวลดลง 44% ในไตรมาสที่แล้ว ข้อมูลจากสถิติแนะนำให้ติดตามดูราคาถั่วเหลืองเพราะเป็นดัชนีชี้นำที่ดีต่อราคาน้ำมัน ถ้าราคาถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้น ภายใน 6 เดือนตามมาราคาน้ำมันก็จะขึ้นตาม

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลดีๆจาก Panel Discussion จากกูรูตลาดฟิวเจอร์โภคภัณฑ์ดังนี้

- มีมุมมองที่ดีต่อตลาดทองคำจากปัจจัยบวกดอลลาร์อ่อนค่า การปรับลดดอกเบี้ยของ FED และสภาวะไม่แน่นอนทางการเมืองทั้งสงครามการค้าและจากตะวันออกกลาง

- ราคาน้ำมันปาล์มได้รับผลบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เพราะผู้ประกอบการจีนหันมานำเข้าปาล์มที่เป็นสินค้าทดแทนกันมากขึ้นเนื่องจากน้ำมันถั่วเหลืองมีราคาสูงขึ้นจากการขึ้นภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐ

- มุมมองที่ดีต่อตลาดทองแดงเพราะความต้องการยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะจากจีน และมีปัจจัยบวกในปีนี้จากค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลง ราคาทองแดงก็น่าจะปรับตัวขึ้น

สุดท้ายการลงทุนในปีนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายความสามารถในการลงทุน การกระจายลงทุนไปในสินทรัพย์ เช่น ทอง พันธบัตร และอื่นๆ อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตามผมเน้นให้ศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุนในทุกสินทรัพย์เพราะไม่มีผลกำไรใดในโลกที่ได้มาอย่างง่ายดายและยั่งยืน

เลือกสินทรัพย์ที่ตัวเองเข้าใจและชอบในการลงทุนครับ

(ข้อมูลที่แชร์เป็นความคิดเห็นจากวิทยากรในงานเท่านั้น ผมไม่ได้เพิ่มมุมมองลงไปในเนื้อหาเพื่อให้ทุกท่านได้รับข้อมูลโดยตรงจากงานสัมมนา)

*บล. ฟิลลิป มีบริการ Phillip Global Markets ที่ให้บริการลงทุนต่างประเทศทั้งลงทุนหุ้นและฟิวเจอร์สต่างประเทศ จุดเด่นคือ มีบริการ Support 24 ชั่วโมง

#Globaleconomy
#Phillip
#หุ้นต่างประเทศ
โพสต์โพสต์