MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2622
ผู้ติดตาม: 262

MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

โพสต์ที่ 1

โพสต์

MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

ช่วง 1 หุ้นเด่น ต้องจับตา (กุมภา ปี ‘62 )
• บริษัท MTC โดย คุณชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร MTC
• บริษัท SEAFCO โดย คุณณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จักการใหญ่ SEAFCO
• บริษัท JUBILE โดย คุณอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JUBILE
ดำเนินรายการโดย อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และนายแพทย์ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิชย์


คำถามแรก เรื่อง อัพเดทธุรกิจ
คำถามทีสอง เรื่อง การเติบโตไปข้างหน้า และความเสี่ยงที่ต้องระวังในการลงทุน


### SEAFCO ###

หมอเค ถามว่า ช่วยเล่าธุรกิจของSeafcoอีกทีได้ไหมครับว่าปัจจุบันเรารับงานก่อสร้างประเภทไหนเป็นหลัก

คุณณรงค์เล่าให้ฟังว่า เราเป็นบริษัททำเสาเข็มเจาะที่เป็นเบอร์ หนึ่ง
ฝุ่น PM 2.5 มาจากการเผาป่า โรงงานอุตสาหกรรม ส่วนฝุ่นจากงานก่อสร้างจะเป็น PM 10 แต่อาจจะส่งผลให้รถติด และเกิดฝุ่น PM 2.5 ได้ ปกติหน้างานก่อสร้างจะฉีดน้ำอยู่แล้ว เพื่อช่วยเหลือตามที่ กทม ขอความร่วมมือ
บริษัททำมา 45 ปี ทำเฉพาะเสาเข็มเจาะ และหล่อในที่อย่างเดียว ส่วนใหญ่รับงานตึกสูง รถไฟฟ้า ทางด่วน ในรอบหลายปี มีธุรกิจดีมาก แต่ปีที่แล้วอยู่ๆ Backlogกระโดดมาถึง 4,000 ล้านบาท ปกติเสาเข็มเจาะจะมีBacklogแค่ 1,000 ล้านบาทก็ดีมากแล้ว ที่งานเยอะเพราะไปรับงาน One Bangkok ซึ่งมีพื้นที่ 100 ไร่ ได้มา 3 ใน 4 ส่วน (ประมาณ 1,800 ล้านบาท) รถไฟฟ้าสายสีส้ม รับเหมาต่อมาจาก CK (1,500 ล้านบาท) สายสีชมพูอีก
นับเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท SEAFCO ตั้งแต่เปิดดำเนินการมา ผลประกอบการปีนี้จะต้องดีกว่าปีที่แล้ว

หมอเคถามว่า ช่วยยกตัวอย่างงานที่เราทำมาในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา
คุณณรงค์ตอบว่า งานเก่าๆ ได้แก่ ตึกใบหยก ไอคอนสยาม ศูนย์ประชุมสิริกิติ์
ส่วนโครงการใหม่ ได้แก่ One Bangkok ใช้เสาเข็มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.8 m. ยาว 90 m. (ราคาต้นละ 2-3 ล้านบาท) เป็นตัวอย่างงานที่ใช้เสาเข็มเทคโนโลยีใหม่

หมอเคถามต่อว่า ระดับงานที่เราทำ มีคนอื่นทำได้สักกี่คน และ เราต่างจากคนอื่นๆอย่างไร
คุณณรงค์ตอบว่า ทุกธุรกิจ ต้องมีคนอื่นทำตามขึ้นมาอยู่แล้ว สิ่งนี้จะช่วยเป็นตัวเปรียบเทียบว่า บริษัทเราทำงานดีกว่าคนอื่นอย่างไร โดยปกติแล้ว จะรับงานเองหลังจากการชนะเปิดซองประกวดราคา (ไม่ได้เหมางานต่อให้คนอื่น) เข็มมีมูลค่าประมาณ 7% ของงานทั้งโครงการ

หมอเค ถามเรื่องมูลค่าของเสาเข็มปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้วไหม
คุณณรงค์ เล่าว่า ภาพรวมของงานเสาเข็มปีน่าจะดีกว่าปีก่อนๆ แค่งานรถไฟเชื่อมสามสนามบิน ค่าเสาเข็มเป็นหมื่นล้านแล้ว ตอนนี้แค่มีคนมาปรึกษายังไม่ถึงขั้นตอนของงานเสาเข็ม แต่มองว่า ทางบริษัทคงมีส่วนร่วมในงานด้วย ได้ส่วนแบ่งเเค่สัก 30% ก็มีความสุขแล้ว
ส่วนตลาดคอนโด อาจจะกระทบระดับกลาง ล่าง แต่ระดับบนที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นตลาดของบริษัทอยู่แล้ว คงไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไร

อาจารย์เสน่ห์ถามว่า เราเป็นธุรกิจต้นน้ำ แต่งานอื่นๆเช่นปูกระเบื้องเราไม่เอา มีหนี้สูญมากน้อยแค่ไหน
คุณณรงค์ตอบว่า หนี้สูญน้อยมาก เคยมีสมัยต้มยำกุ้ง แต่งานสมัยยนี้ไม่ค่อยเจอหนี้สูญ

ผลประกอบการและความเสี่ยง

ปี 2560 เรามีการซื้อเครื่องมือเข้ามาและมีback log 4,000 ลบ มีgrowth 25%
ปี2561 รายได้ของ 3Q โตเท่ารายได้ปี 2560 ทั้งปี ดังนั้นการเติบโต30-35% จะมากกว่าปี 2560 คือ 25%
ปี2562 ทำงานเต็มมือตั้งแต่ไตรมาสแรก ขึ้นต้นมาสวยงามมาก คาดว่าทั้งปีน่าจะทำได้ถึง 3,000 ล้าน (conservative) แปลว่าโตจากปีที่แล้ว อีกสัก 10%
Gross margin เราได้ 20%กว่ามา2-3ปีแล้วปีนี้น่าจะได้พอๆกับปีที่ผ่านมา เพราะไม่มีปัจจัยลบอะไร
ส่วนปัญหาคู่แข่งตัดราคา มองไม่เห็นว่าจะเข้ามาจนกระทบกับผลประกอบการในระยะยาวได้ เพราะ demand-supply ในภาพรวมไม่ได้แตกต่างกันมาก
ตอนนี้มองว่าไม่จำเป็นต้องเพิ่มคนและเครื่องจักร แค่รักษาไม่ให้มี idle time ต้องการขยายไปต่างประเทศ เคยไปทำที่สิงคโปร์ มองว่ายาก แต่จากที่เข้าไปพม่า มา 5 ปีแล้ว ดูดี แนวโน้มงานมากขึ้น ใช้แรงงานพม่า (มีคนไทยคนเดียว เป็น foreman ) ตั้งเป้าแค่ 5% แต่ตอนนี้มีรายได้เป็นสัดส่วนเกือบ 10% กำลังมองจังหวะเข้าไปกัมพูชา

ความเสี่ยง ไม่น่าจะมีปัจจัยมากระทบ เพราะงานเราเป็นงานต้นน้ำ ค่าวัสดุก่อสร้างเป็นงานระยะสั้น ล๊อคราคาได้ ค่าแรงซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 7-8% ถ้าเพิ่มขึ้น10% ก็หมายถึงเพิ่มแค่ .7-0.8%ของโครงการ ถือว่าไม่เยอะ เมื่อเทียบกับมูลค่าของงานทั้งโครงการ ถือว่าไม่มีนัยยะ

อาจารย์เสน่ห์ถามว่า หลังเลือกตั้ง มีกระทบต่อบริษัทไหม
คุณณรงค์ตอบว่า หลังเรื่องตั้ง นโยบายของรัฐบาลไหน ก็ต้องมีก่อสร้าง infrastructure เพราะเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม

หมอเคถามว่า นโยบายปันผลเป็นอย่างไร มีผลต่อสถานะเงินทุนในการขยายธุรกิจไหม ?
คุณณรงค์ตอบว่า นโยบายปันผลในอดีต ปันผลไม่ต่ำกว่า50% และสามารถทำได้ตาม หรือดีกว่านโยบายที่กำหนดไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 40%
ปี 2561 จ่ายปันผลไป 3 ครั้ง
ปี 2562 วางแผนว่าจะจ่าย 4 ครั้ง ก็ยังมีเงินเหลืออีก 50% ไปหมุนเวียน ทำงานอื่น
กู้เงินน้อยมาก เพราะเราเก็บเงินได้ตามรอบ งานต่างประเทศจัดเป็นอีกส่วนนึง พยายามบริหารความเสี่ยง ยังไม่กู้เงินเยอะ


### MTC ###

หมอเค ถามคุณชูชาติว่า MTC ทำธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ การเติบโตเป็นอย่างไรบ้าง
คุณชูชาติตอบว่า MTC ในช่วง 3 ปี โตเฉลี่ย 60%
บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มาได้ 4 ปี ปีแรกใช้เงินIPOทำให้บริษัทโต 60% ปีที่ 2 ขยายสาขาและโต80%
ปีที่ 3 โต 50% ปีที่4 โต 40%
เริ่มจากมี 500 สาขา >>> ตอนนี้มี 3,300 สาขาแล้วในช่วงสิ้นปี 2018

ที่ผ่านมาคือเติบโตได้ โดยที่หนี้เสียต่ำมาก ประมาณ 1.5%
ปี2018 โต 40%
ปีนี้ 2019 ตั้งไว้โต 35% เดือนแรกทำได้, ปีนี้เปิดอีก 600 สาขา
ปี2020 ตั้งเป้าโตอีก 30% เปิดอีก 600 สาขา

หมอเคถามว่า เข้าใจว่า คนเห็นกำไรโตดี ก็อยากโดดเข้ามาแข่งขันมากขึ้น แล้วภาพรวมธุรกิจจำนำทะเบียนรถตอนนี้เป็นอย่างไร red oceanหรือยัง

สิ่งที่แตกต่างจากคู่แข่ง นอกจากดอกเบี้ย การบริการ ยังมีสาขามากที่สุดในประเทศไทย ใกล้บ้านลูกค้า เวลาจะกู้เงินก็กู้ข้างบ้านเลย ทำให้คนเข้ามาแข่งมาก เพราะ MTC เปิดสาขาเข้าไประดับตำบล ใครเข้ามาแข่งก็จะลำบาก
ทุกวันนี้แข่งขันกันสูงมากอยู่แล้ว โดยบริษัทนอกตลาดเยอะมาก จังหวัดนึงมีคู่แข่งประมาณ 40 ราย มองว่าเป็นคู่แข่งหน้าเดิมๆ

หมอเคอยากให้เล่าที่มาของบริษัท
คุณชูชาติเล่าว่า บริษัทเปิดมา 27 ปี ตั้งแต่ปี 2535 ฐานมากที่สุดเป็นรถจักรยานยนต์มีฐานใหญ่ที่สุด และยังคงเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดีที่สุด ชำนาญในการปล่อยกู้ ติดตามหนี้ หรือติดตามรถ (เฉลี่ยปล่อยไม่เกิน 15,000 บาทต่อราย) เริ่มมาขยายเข้าสู่รถยนต์ (80,000 บาท ต่อราย) โฉนดที่ดิน (80,000 บาท ต่อราย) และเริ่มได้สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ แบบไม่มีหลักประกัน 5% และสินเชื่อส่วนบุคลล P-Loan 5%

ปัจจุบันมีลูกค้า 2 ล้านบัญชี (1.7 ล้านคน ทั่วประเทศ) ตอนนี้ไปทุกภาคแล้ว ยังไปได้อีกแถวริมแม่น้ำโขง นครพนม ชายแดนแม่ฮ่องสอน พิษณุโลก เหล่านี้ยังเติมสาขาได้อีก โดยลูกค้าหลักๆยังเป็นคนไทย เพราะต่างด้าวยังไม่มีบัตรประชาชน สิทธิ์ในการครอบครองรถยังไม่มี ถ้ามีโอกาสก็อยากจะปล่อยกู้ต่างด้าว

หมอเคถามว่า มีความกังวลเรื่องมาตรฐานบัญชีใหม่กับแบงค์ชาติที่ออกมาควบคุม ล่าสุดมีความชัดเจนแล้ว ที่ให้ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถอยุ่ภายใต้แบงค์ชาติ ตรงนี้ส่งผลดี ผลเสียต่อเราอย่างรา และเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ
คุณชูชาติอธิบายว่า แบงค์ชาติจะออกมาควบคุม มาตรฐานบัญชีใหม่ จะกระทบกับการสำรอง แถมแบงค์ชาติออกประกาศให้สินเชื่อ P-Loan สามารถทำสินเชื่อหลักประกันได้ ในวันศุกร์ที่1กพ ที่ผ่านมา

มีประโยชน์ 4 ข้อ
1 ใช้จักรยานยนต์มาเป็นหลักประกัน
2 เพดานดอกเบี้ย กำหนด 28% ตอนนี้เก็บอยู่ 23% ยังขยายดอกเบี้ยได้อีก
3 ใบอนุญาติใบเดียวทำได้ทั่วประเทศ
4 ปล่อยสินเชื่อได้ ไม่จำกัดวงเงิน
คู่แข่ง รวมไปถึงระบบธนาคารจะเข้ามาทำธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น แต่คนที่เข้ามาจะเป็นคนที่ทำอยู่แล้ว ขอใบอนุญาติ เริ่มต้นที่ 50 ล้านบาท ส่วนธนาคาร สนใจแน่นอน ในแง่เพดานดอกเบี้ย 28% แต่ไม่ง่ายที่คู่แข่งจะเข้ามา สาขาของ MTC ก้อเต็มประเทศอยู่แล้ว

ผลประกอบการและความเสี่ยง

หมอเคถามต่อว่า ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และ ปีนี้คาดการเติบโตของสินเชื่อและกำไรเท่าไหร่
คุณชูชาติบอกว่า ปีนี้มองว่าการเติบโต 35% น่าจะทำได้ เพราะการปล่อยสินเชื่อใหม่ และหนี้เสียไม่ขึ้น (< 2.0%) กำไรจะไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของรายได้

อุตสาหกรรมมี NPL 2.5%-3% MTC มี NPL 1.2-1.3% เพราะประสบการณ์ และการรู้จักลูกค้า ทำให้ควบคุมหนี้เสียได้ดีกว่า เวลาลูกค้าเข้าไปขอสินเชื่อจะปล่อยประมาณ90%

ปล่อยหนี้ไปประมาณ 50,000 ล้านบาท การควบคุม และการโตไม่ยาก เพราะสาขาเก่าต้องเติบโต ต้องมีการหาลูกค้ามาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นกู้รายใหม่ หรือดึงมาจากคู่แข่ง สาขาใหม่ก็ต้องมีลูกค้าใหม่มาใช้บริการ

หมอเค ถามว่า เงินทุนเพียงพอไหม มาจากไหน
คุณชูชาติตอบว่า เงินทุนในการปล่อย ตอนนี้ D/E 3x (4x benchmark) ยังสามารถระดมทุนเพิ่มได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะกู้ธนาคาร หรือออกหุ้นกู้

หมอเคถามว่า ยุคดิจิตัล ธุรกิจการเงินพยายามลดสาขา ทำไม MTC พยายามเพิ่มสาขา
คุณชูชาติตอบว่า เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อมีหลักประกัน ส่วนการพัฒนาไปสินเชื่อนาโน ที่ไม่ต้องมีหลักประกัน สามารถเพิ่มยอดเงินกู้จากประวัติลูกค้าได้
MTC จะพัฒนาให้กู้ผ่าน online ได้ ชำระเงินผ่าน counter service เป็นการยื่นใบสมัครออนไลน์ แต่ยังต้องเอารถมาให้ดูอยู่ดี

การยึดรถจากหนี้เสีย และการระบายรถ มีศูนย์ประมูลเอง 6 แห่ง แต่ละแห่งประมูลเดือนละสองรอบ ทุกวันที่ 15และ25
หรือ วันที่ 10/20 รถที่ยึดมากี่คัน ก้อปล่อยได้ทั้งหมด เพราะมีลูกค้าประจำที่มาซื้อรถมือสอง มือสาม รวมถึงส่งไปประเทศเพื่อนบ้าน

หมอเคถามว่า IFRS 9 ที่จะเริ่มใช้ในปีหน้ามีผลอย่างไรกับบริษัท
คุณชูชาติตอบว่า มาตรฐานทางบัญชีIFRS 9 มีผลเรื่องการตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น
ถ้าปล่อยแล้ว สิ้นเดือนสำรอง 1%
ถ้าอายุ <90 days, ตั้งสำรอง 2%
ถ้ามากกว่า 91 days, สำรอง 100%
ได้เตรียมการไว้แล้ว ตอนนี้สำรองแล้ว 250% มากเกินเพียงพอ จะตั้งสำรองลดลงมั้ย จะต้องดูอีกที

อาจารย์เสน่ห์ สอบถามเรื่องCSRของบริษัท?
คุณชูชาติ ตอบว่าเรื่อง CSR - MTC อาจจะร่วมบริจาคในโครงการลดอุบัติเหตุ 7 วันอันตราย


### JUBILE ###

คุณอัญรัตน์ หรือ คุณอัญ เล่าถึง ตัวเองเป็นผู้บริหาร 4th Generation
บริษัทเริ่มทำตั้งแต่เหล่ากง ซึ่งถือเป็นรุ่นแรก เปิดที่สะพานเหล็ก
บริษัทขายเครื่องประดับเพชร ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา เครื่องประดับ กับ data เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่ Jubile ใช้ dataมาบริหารองค์กร และการจัดการภายใน

Jubile I moment application บอกว่าคนมาซื้อเพชรส่วนใหญ่เป็นเพราะมีความสุข ไม่ใช่คนมีความทุกข์ พอเราทราบพฤติกรรมลูกค้าแบบนั้น ทาง Jubile จะทำให้ความทรงจำเหล่านั้นจับต้องได้ เลยเชื่อมโยงกับมือถือ เลยเอาความทรงจำของลูกค้าใส่เข้าไปในแหวนเพชร โหลด app มือถือ แล้วทาง Jubile จะอัพโหลดภาพเหล่านั้นขึ้นไปให้ พอส่องไปที่แหวนเพชร ภาพความทรงจำนั้นจะขึ้นมาที่มือถือเลย app มือถือ จะช่วยง้อแฟนได้ด้วยเวลาทะเลาะกัน

เบื้องหลังคือใช้ AI อ่านสัญลักษณ์ผ่าน Jubile ถึงจะแสดงบน app ได้ มีดีเจพุฒิ คุณจุ๋ยเป็นลูกค้าด้วย เลยคุยกันให้เป็น brand ambassador ด้วยเลย ความยากตรงให้ app อ่านก้านแหวนของผู้หญิงได้ เพราะว่ามันเล็กมาก ต้องพัฒนาเป็นปี พอทำกับแหวนได้แล้ว สามารถทำกับเครื่องประดับชิ้นอื่นได้หมด เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของ Jubile

หมอเคถามว่า ช่วงupdateเรื่องธุรกิจJubile เป็นการซื้อเพชรจากเบลเยี่ยมซึ่งเป็นแหล่งเพชรที่คุณภาพดีที่สุด
ออกแบบดีไซน์เองและไปจ้างคนขึ้นตัวเรือนให้ โมเดลหลักๆยังเป็นอย่างนี้อยู่ใช่ไหม
คุณอัญตอบว่า ซื้อเพชรจากเบลเยี่ยม (Thailand sole exclusive) เค้าส่งให้แบรนด์ชั้นนำอื่นของโลก แต่กับเมืองไทยจะส่งให้เราเจ้าเดียว และออกแบบขึ้นตัวเรือนเอง ตอนนี้กำลังเจรจากับ supplier เจ้าใหญ่อีกเจ้านึง เป็นเพชรที่มีความพิเศษ แต่จะเปิดตัวในปีนี้ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้


หมอเคถามต่อว่า Jubileอยู่ในห้างทั้งหมดเลยไหมครับ ส่วนใหญ่อยู่ที่ไหนบ้าง เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์ มีไปตาม
Hypermarket บ้างไหม
คุณอัญตอบว่า ตอนนี้มีอยู่ทุกห้างชั้นนำในไทย เคาน์เตอร์ของ Jubile หมดแล้ว แม้กระทั่ง hypermarket ในต่างจังหวัด สาขาล่าสุดเปิดที่ icon siam

Jubile แบ่งสาขาเป็น 3 แบบ
1) Flagship store (ที่สีลม มีขนาด 2,000 ตรม.) 4 ชั้น มีขายเพชรแยกเป็นเม็ดเพื่อการลงทุนด้วย
2) เคาน์เตอร์ตามห้าง ที่เห็นทั่วไป เป็น open pan 20 ตร.ม. มีที่ปรึกษาให้ลูกค้า
3) ร้านเพชร เป็น stand alone เช่นสาขาสะพานเหล็ก ซึ่งเป็นสาขาแรก แหล่งกำเนิด



ผลประกอบการและความเสี่ยง

หมอเคถามว่า ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตอย่างไร มีกลยุทธ์อะไรที่จะทำให้เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจได้
คุณอัญตอบว่า ปีนี้เน้นยอดขายโต 10% การเปิดสาขาไม่เน้นมาก จะขยายไปต่างจังหวัดมากขึ้น 3-5 สาขา

การเพิ่ม SSSG จะมาจาก
 สินค้า ต้องมีนวัตกรรม และวัตถุดิบมีความพิเศษมากขึ้น
 จำนวนลูกค้าต้องเพิ่มจากลูกค้าใหม่ ต้องเกิดขึ้น 15% จากฐานเดิม
ลูกค้าเก่า 60%, ลูกค้าใหม่ 40% ของยอดขายปกติ แต่ต้องขายให้ลูกค้าใหม่ได้มากกว่าเดิม
เพราะจะนำข้อมูลมาช่วยในการเพิ่มยอดขาย สามารถแก้โจทย์ได้ทันที มองว่ากำไรน่าจะเพิ่มตามขึ้นด้วย
ปีที่แล้ว กำไรจะโตมากกว่ารายได้ เพราะมีการใช้ข้อมูลมาช่วยปรับกลยุทธ์
ปัจจุบันมี 126 สาขา มองว่ายังโตได้อีก เพราะมีอีกหลายจังหวัดที่ยังไม่ได้ไป และมีห้างสรรพสินค้าตามต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้น มองว่า 300 สาขาน่าจะเป็นไปได้ และพยายามเพิ่มออนไลน์ด้วย
4Q/2018 มีทำออนไลน์กับ JD Central และ Robinsons
Forever marks ปัจจุบันมี 5 สาขา มีการเติบโตที่ชัดเจนในปีที่แล้ว แต่สัดส่วนยังน้อย เพราะสาขาน้อยกว่า Jubile มาก ปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นมาก

Hello Kitty (Licensed products) ปีที่แล้วดีมาก ปีนี้จะทำเพิ่ม เพราะได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆเข้ามา ทำให้ช่วยสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มลูกค้าใหม่

Disruption ของเครื่องประดับ เพราะอย่างนาฬิกา มีเป็น smart watch เข้ามาแทน เริ่มจับก้าว วัดการเต้นของหัวใจได้ Jubile เริ่มมีนวัตกรรมเข้ามาแล้ว มองว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว

อาจารย์เสน่ห์ ถามว่าบริษัทมีส่วนในเรื่องCSRอย่างไร
คุณอัญตอบว่า ในเรื่องCSR - Jubile ได้ร่วมบริจาคเงินในการซ่อมแซมกังหันน้ำชัยพัฒนาที่ตอนนี้มีอยู่ 2,000 อันซึ่งมีอยู่ในไทยและต่างประเทศ

สุดท้ายขอขอบคุณผู้บริหารทุกท่านที่มาให้ข้อมูล ขอบคุณ อาจารย์เสน่ห์ และ หมอเค ที่ถามคำถามเพื่อได้ข้อมูลที่สำคัญของแต่ละบริษัทด้วยครับ ขอขอบคุณทีมงาน MoneyTalk ทุกท่าน
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2622
ผู้ติดตาม: 262

Re: MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

โพสต์ที่ 2

โพสต์

MoneyTalk@SET ช่วงที่2 กลยุทธ์ลงทุนและหุ้นเด่นปี62

ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล TRINITY
กวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล KSEC
สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล SCBS
เจษฏา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMINA
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญหุ้น
ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อาจารย์ เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ


อาจารย์เสน่ห์เริ่มรายการด้วยบทกลอน

“ ปีหกสอง มองลงทุน มองหุ้นเด่น
วิเคราะห์เน้น เป็นแนวทาง วางวิถี
กลยุทธ์แบบไหน อย่างไรดี
ดร วิศิษฐ์ ทรีนีตี้ มีข้อมูล
คุณสุกิจ เอสซีบี สิชำนาญ
มองรอบด้าน ไทยเทศ เขตลงทุน
เซียนกวี กสิกรผ่านร้อนหนาว
ลงทุนยาว ลงทุนสั้น ผ่านผันผลุน
ฟิโนมิน่า เจษฏา หน้าละมุน
รวมกองหุ้น ลงทุนง่าย กลุ่มไหนดี
ดร นิเวศน์ ผู้เชี่ยวชาญ วิจารณ์เก่ง
หุ้นไหนเจ๋ง หุ้นไหนจอด รอดไหมนี่
หลักวีไอ ใช้เป็นหลัก ประจักษ์ชี้
ปีหกสอง ต้องแนวนี้ ชี้ทางรวย”

คำถามแรก มองแนวโน้มหุ้นปี62อย่างไร?

ดร วิศิษฐ์ เป็นท่านแรกโดยพูดถึง หุ้นปี62มีมุมมอง4มิติ ได้แก่
มิติที่1 เศรษฐกิจ
มิติที่2 Fund Flow
มิติที่3 Valuation
มิติที่4 ปัจจัยที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น


มิติแรก เรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจทั่วโลกที่อิ่มตัวไปแล้วและกำลังถดถอย

คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีที่แล้ว3.7% ปีนี้โต 3.5% และคาดว่าปีหน้า2020 โต 3.2%
ซึ่งเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เป็นการforcastจากนักวิเคราะห์ทั่วโลกมาให้มุมมองทั้งปีนี้และปีหน้า
เศรษฐกิจไทย ปีนี้คาดการณ์โต 3.8%จากปีก่อนโต 4.2% ถดถอยจากปีที่แล้ว
ซี่งผลมาจากสงครามการค้าจีนและสหรัฐ

ส่วนเศรษฐกิจไทยเติบโตลดลง ส่งออกของไทยติดลบสองเดือนติดต่อกัน โดยเดือนธค ติดลบไป 1.72%
ตัวเลขนำเข้า เดือนธค เติบโตติดลบครั้งแรกในรอบ 27 เดือน นำเข้าวัตถุดิบ -20% หมายถึงตัวเลขส่งออกเริ่มชะลอลง
เดือน มค 2019ยังไม่ประกาศ แต่ถ้าดูดัชนีชี้นำจากประเทศส่งออกเช่นเกาหลีใต้และสิงคโปร์ ส่งออกน่าจะลดลงอีก
สิ่งที่น่าสนใจต่อคือ Global PMI หรือ คำสั่งซื้อล่วงหน้า บ่งบอกว่าเจริญเติบโตถดถอยลง
ทำให้ดุลบัญชีการค้าของไทยเกินดุลเกือบพันล้านเหรียญในเดือนธค กลับข้างกับเดือนพย ที่ติดลบเกือบ1,000ลบ
ทำให้ค่าบาทแข็งค่าขึ้นเกือบ 4.5% ในเดือนที่ผ่านมา

สิ่งที่เป็นบวกของเศรษฐกิจไทยได้แก่
การท่องเที่ยวในเดือนธค บวกเกือบ 8% ตอนนี้คิดเป็น17%ของGDPและคาดการณ์ว่าจะเป็น 27%ของGDPในปี 2027
ซึ่งมีผลมาจากInfrastructer spending , การท่องเที่ยว

สงครามการค้าจีนกับสหรัฐ ซึ่งสหรัฐมีโอกาสขึ้นภาษีจาก10%เป็น25%ในเดือนมีนาคม จำนวน 200,000 ล้าน$
และยอดส่งออกมาสหรัฐอีก 267,000 ล้าน$มีโอกาสขึ้นภาษีอีก ผลกระทบคือทำให้ส่งออกจากไทยไปจีนลดลงไปอีก

ดร วิศิษฐ์เชื่อว่า สงครามการค้า ได้กระทบอยู่ในราคาหุ้นแล้ว
แต่ที่คาดการณ์เรื่องการท่องเที่ยวของคนจีนมาไทยและการบริโภคของจีนยังไม่สะท้อนในราคาหุ้น
อีกอย่างเรื่องการเพิ่มภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากประเทศต่างๆเป็น 25% กระทบต่อการส่งออกของทั่วโลกอีกมาก
ประเทศสหรัฐมีเวลา90วันในการตัดสินใจในเรื่องภาษีรถยนต์

ตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจ ต้องยอมรับว่าอยู่ในภาวะอิ่มตัวและถดถอย
ปีนี้ผลตอบแทนสินทรัพย์เป็นบวกมาจากการที่ว่า เฟดขึ้นดอกเบี้ยช้าลงหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ย
ปีหน้าอาจลดดอกเบี้ยด้วย ปีนี้นักลงทุนต่างประเทศเพิ่มการลงทุนในTIPมากขึ้น
ซึ่งการลงทุนจากต่างประเทศในไทยคิดเป็นสัดส่วนต่ำสุดประมาณ 29% ของmarket cap

มิติเรื่อง FundFlow

อย่างไรก็ตาม จากFund Flowที่เข้ามาในเดือนมค 2019 พบว่า
ราคาน้ำมัน หรือ กลุ่มoil ได้ผลตอบแทน 20%
Emerging market equityได้ 7.3%
US 6.9 %
EU และ TIP 6%
Thai 5.2%
JAPAN 3.8%
Gold 3%ในรูปค่าเงิน$ แต่คิดเป็นผลตอบแทนในรูปเงินบาทติดลบ 0.8%
Vietnam ผลตอบแทนในรูปเงินdongเป็น+2% แต่ถ้าแปลงเป็นเงินบาทผลตอบแทน -1.4%


สรุปว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงในปีนี้จะเป็นบวก ตรงข้ามกับปีที่แล้ว ส่วนใหญ่90%ติดลบ

บ่งบอกถึงนโยบายของFEDในปีนี้ที่เอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
นักลงทุนต่างประเทศในรอบ10ปี ซื้อหนักปี 2010,2011 ประมาณ100,000 ลบ
ปี 2012 ซื้ออีก 76,000 ลบ
แต่ขายระดับแสนล้านในปี 2013 ในช่วงที่FEDประกาศหยุดทำQE ต่างประเทศขาย 190,000 ลบ
วิกฤตchina ทำให้ราคาหุ้นของPTT ลงมาถึง200บาท ฝรั่งขาย 150,000 ลบ
ปีที่แล้ว ต่างประเทศขายไป 287,000 ลบ
ฝรั่งจะซื้อต้องมีตัวกระตุ้น หรือ Catalyze รอบนี้ซื้อเพิ่ม 6,000-7,000 ลบ ในเดือนมค 2019
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดูจากประวัติการซื้อที่ผ่านมา ก็พบว่าต่างชาติน่าจะมีซื้อเพิ่มอีก 70,000-80,000 ลบ
นักวิเคราะห์มองที่จีน มีการตั้งสำรองของธนาคารพาณิชย์ มีโอกาสปรับการตั้งสำรองจาก 14%เหลือ10%
ทุก1%ที่ตั้งสำรองลดลง มีผลต่อการไหลเข้า Fund flow ของต่างชาติ 1.5 ล้านล้านหยวน

มุมมองเรื่องValuation

ตั้งแต่ต้นปีขึ้นมากเกือบ5% เพราะว่าEarning Yield Gap หรือ ผลตอบแทนตลาดทุน-ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทย = 4.7% จะทำให้ผลตอบแทนหุ้นไทยในหนึ่งเดือนจะแตะ 5% มีโอกาสถึง 10%ในสามเดือน
ส่วนEarn Yield Gap ของสหรัฐ ตอนนี้ = 4.1% ณ ตรงนี้ นักลงทุนต่างประเทศไม่ขายหุ้นไทยแล้ว
แต่ถ้ามองในระยะยาว กำไรต่อหุ้น ต้นปี 115 บาท ตอนนี้ปรับลดเหลือ 113 บาท
การปรับdowngradeเรื่องกำไรต่อหุ้นจะไม่supportดัชนีหุ้นไทยให้ขึ้นได้อีก
ดังนั้นด้วยEPS 113 Baht ต้องเลือกหุ้นที่ให้ผลเงินปันผลดี
ที่ผ่านมาหุ้นปันผลจะขึ้นมาเยอะ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณสุกิจ เป็นวิทยากรที่พูดต่อจากดร วิศิษฐ์
ตอนนี้รูปร่างผอมลง จากการไปวิ่งมาเหมือนคุณกวี
คุณสุกิจออกตัวว่า ได้ออกกำลังกายนิดหน่อย
ตอนนี้เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น

คุณสุกิจได้เห็นมุมมองตลาดหุ้นดังนี้

1.ความเคลื่อนไหวที่เห็นชัด ช่วงเดือน ธค ปีที่แล้ว
หุ้นตกทุกsectorทั่วโลก มีเงินไหลออกไปเยอะ นักลงทุนสถาบันขายหุ้นและถือเงินสด
เหตุผลมาจากการเตรียมตัวเข้าสู่ปี 2019

คำถามคือ เขากลัวอะไรกัน
ทีมงานของSCBS มองว่าเป็นช่วง LATE Cycleช่วงปลายแล้ว ปีที่แล้วGDPทั่วโลกถือว่าสูง
การที่ตัวเลขGDPปีนี้จะสูงกว่าปีที่แล้วยาก โดยเฉพาะUS มีลดภาษีในปีก่อนหน้า ปีนี้ไม่มีการลดภาษี
นักลงทุนไม่ชอบขากำลังลงของเศรษฐกิจ เลยกังวลว่าชะลอ หรือ ลงไปขนาดไหน
ปีที่แล้วดอกเบี้ยFEDขึ้นเร็ว ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร2ปีกับ10ปีต่างกันน้อย กลัวว่าจะเกิดinverse yield curve
ผลประเมินไม่สูง แต่คาดว่ากำลังจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในปี 2020
ทำให้ตลาดหุ้นในช่วงเดือนธค แย่สุดในรอบหลายปี

พอเดือนมค 2019 ตลาดหุ้นฟื้นค่อนข้างแรงมาก บวกเดือนเดียวมากที่สุดเดือนนึง
เมื่อเทียบกับเดือนธค ตกแรงในรอบหลายปี
นักลงทุนกังวลมากเกินไป แต่ดูตอนนี้ตลาดหุ้นผ่อนคลาย
มาจาก ดอกเบี้ยสหรัฐไม่ปรับขึ้นเร็ว ประธานเฟดลดความแข็งกร้าวลง
Trade war ก็มีการพัฒนาในเรื่องการพูดคุยกันระหว่างจีนและสหรัฐ

กลับมาดูที่ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในปีนี้
เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่ไม่ต่ำมาก ถึงแม้ปีหน้า เศรษฐกิจโลกก็ยังโต 3%กว่า
อิตาลี ถึงแม้เศรษฐกิจติดลบแต่ไม่มาก เราต้องแยกประเทศที่มีปัญหาออก
เศรษฐกิจปีนี้ยังเติบโตได้ ถึงแม้ผลประกอบการชะลอตัวลง
ช่วงปลายปีที่แล้วมีผลกระทบจาก trade war

อีกเรื่อง คนกลัวว่าชะลอจริง จึงมีประกาศของบริษัทยักษ์ใหญ่ ลดประมาณการณ์ผลประกอบการ
รวมถึง บางบริษัทลดพนักงานลง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลมากเกินไป
ผู้ดำเนินนโยบายทางการเงินเลยมาช่วยบ้าง
วัฐจักรเศรษฐกิจแบบนี้ ตลาดหุ้นจะขึ้นไม่แรง จะขึ้นสูงแบบอดีตยาก
จากเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตเหมือนในอดีต รวมถึงสภาพคล่องก็ลดลงจากในอดีต

สิ่งที่เห็นปีนี้ คือ ฟื้นตัวขึ้นไปในฐานที่ควรจะเป็น ผมเชื่อว่าระดับดัชนีควรไปที่ 1,750-1,800
ถ้าเรามองถึงแนวโน้ม ทิศทางหุ้น แบ่งเป็นสี่ไตรมาส
ช่วงครึ่งปีหลัง (2H) น่าจะขึ้นมาก และ ช่วงQ1 ดัชนีต่ำสุด และดัชนีจะขึ้นในช่วง Q2-Q4 หลังเลือกตั้งเรียบร้อย
เพียงแต่ปีนี้ ปัจจัยเข้ามาในตลาด มีทั้งปัจจัยคาดการณ์ได้ เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน
แต่คาดการณ์ยากในเรื่องการเมืองใน US, EU ,Brexit ,Trade war

ถึงแม้ปัจจัยที่คาดการณ์ได้ ก็ไว้ใจไม่ได้ มีโอกาสเกิดความผันผวน ปีนี้มีลุ้น หุ้นที่พื้นฐานดี
ปีนี้ประมาณคล้ายกับปี2014 คือช่วงปี 2013 FEDประกาศหยุดQE แต่มาเลิกQEจริงในปี2014
ตลาดprice in ไปแล้วในปี2013 ดังนั้นในปี2014 ดัชนีขึ้นไป 15%
ส่วนนึงที่มีน้ำหนักคือความกังวลในปี2018 มีเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และ ดอกเบี้ยขึ้นไม่หยุด
ส่วนหลังเลือกตั้งมา ให้ดูนโยบายของรัฐบาลใหม่ด้วย รวมถึง ผลการดำเนินงานของบริษัท
หุ้นน่าจะไปได้ แต่หุ้นขึ้นไปไม่ไกลเหมือนตอนหุ้นที่อยู่ในช่วงค่าPEสูงๆในอดีตหลังเลือกตั้ง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณเจษฏา

ประเด็นแรกอยากชี้ให้เห็น วลีในปลายปีที่แล้ว “พาวเวลล์ เรมิน่า”
คุณเจอโรม พาวเวลล์ ประธานFED บอกว่าไม่เคยมีเศรษฐกิจที่โตติดต่อกัน 40 ไตรมาสในรอบ 100 ปี
ปีที่แล้วเศรษฐกิจโตต่อเนื่องจนครบ 39 ไตรมาส ผู้ว่าบอกว่า ไม่น่าจะยากที่ได้ 40 ไตรมาสติดต่อกัน
มีโอกาสที่สามารถทำลายสถิติเดิมได้
แต่Ray ladio จากBridgewaterไม่เชื่อ จึงได้ shortดัชนีไปตั้งแต่ เมย 2018
ซึ่งปรากฏว่าหุ้นตกหนักในช่วงเดือนธค ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนบวก 12% ในปลายปี

ประเด็นที่สอง PMI ดัชนีLeading ซึ่งมีการไปsurveyผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทุกเดือน
ปรากฏว่า ตัวเลขของจีนต่ำกว่า 50แต่หุ้นจีนยังไม่ลง
ส่วน Japan PMI = 50 ต่ำสุดในรอบ 30 เดือน เศรษฐกิจเริ่มไม่โต
EU PMI 50.5 เศรษฐกิจ เช่น อิตาลีถดถอย ติดลบ 2 ไตรมาส -.1%/-.2% (ลบน้อยมาก)
ดัชนีชี้นำ การส่งออกของเกาหลี หรือ PMI ต้องระมัดระวัง
ซัมซุงยอดขายติดลบไป 10% การส่งออกของเกาหลี ธุรกิจต่อเรือ หรือ chip semiconductorติดลบ

ประเด็นสุดท้าย การเติบโตของกำไรของบริษัทไทยไม่ได้โตเยอะ
PEถูกลง แต่ไม่ได้ถูกมากเมื่อเทียบกับปี2008
ซึ่ง PE หลักเดียว เศรษฐกิจถดถอยน่าจะเกิดได้ในปีหน้า
ในภาวะแบบนี้ ไม่ใช่ภาวะเอาคืนของปีที่แล้ว แต่เป็นการตั้งหลัก ไม่ควรเอาคืน
PE 12 และกำไร 113 บาท เท่ากับ ดัชนี 1,356 จุด คือ Downsideของปีนี้
ตอนนี้อาจดีใจระยะสั้น ดอกเบี้ยไม่ขึ้นแล้ว FED ทำ QT เริ่มพูดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนปีที่แล้ว
แต่ดูครั้งที่แล้ว จะมากับการปรับฐานครั้งใหญ่ ช่วง Dot com , Hamberger

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณกวี มองdownsideของตลาดหุ้นไทยประมาณ 1,350 จุด และ upside 1,750 จุด

ปัญหาคือตอนนี้ดัชนีหุ้นไทยใกล้1,700จุด น่าจะมาถึง1,750จุดก่อนเลือกตั้งในเดือนมีนาคม
แต่ให้ระวังหลังเลือกตั้งดัชนีอาจลงมาถึง 1,300 จุด

คุณกวีบอกว่ามาจากจินตนาการล้วนๆ ดังที่ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

ไตรมาสหนึ่ง หุ้นขึ้นไม่เกี่ยวการเมือง หุ้นในกลุ่มTIP หุ้นฟิลิปปินส์ หุ้นอินโดนีเซียและหุ้นไทยขึ้นมาจาก
Fund Flow เรื่องความคาดหวังว่า FED ไม่ขึ้นดอกเบี้ยถึง4ครั้งในปีนี้
แต่ดูหุ้นของบริษัทAppleขึ้นก่อนหน้าเพราะ บริษัททำการซื้อหุ้นคืนเยอะสุด ซึ่งคุณWarren Buffettชอบมาก
บริษัทในอเมริกาที่หุ้นขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพราะซื้อหุ้นคืน โดยการกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ 0%-0.5%
แต่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าอัตราเงินปันผล ต่อไปจะไม่มี Fundflowแบบหลอกๆอีกแล้ว
Bridgewaterไม่สนผลตอบแทนในระยะยาว แต่สนในแค่ปีนี้ ว่าจะได้Absolute returnเท่าไหร่
จะมองแค่ระยะสั้นเท่านั้น

มือถือiphoneที่ผลิตออกมาในปี 2007 ถือเป็น new innovation โดยใช้นิ้วปัดบนมือถือ
ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมของโลกมือถือ เหมือนกับ บริษัทBig camera ก็โตจากกล้องถ่ายรูปMirrorless
แต่ตอนนี้ไม่มีinnovationใหม่ๆแล้ว รอบนี้จะจบด้วย Steve Job crisis ???
เวลาวิกฤต จะเกิดขึ้นจากอะไร คุณกวีไม่อยากคาดเดา
ปี2007 smartphoneเกิดขึ้นมา หรือ 10 ปีหลังจากไอโฟนถือกำเนิด ตอนนี้ไม่มีอะไรใหม่ขึ้นมาอีก
วิกฤตจะมาตอนที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงอัตราสูง

แต่ 4 วิกฤตที่ผ่านมา มีวิกฤตเทียมสองครั้ง คือ วิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย และ วิกฤตดอกคอม
ส่วนวิกฤตจริงคือ วิกฤตต้มยำกุ้ง กับ แฮมเบอร์เกอร์

ครั้งนี้น่าจะเป็นวิกฤตเทียม อาจจะเป็นวิกฤตเช่น วิกฤตsmartphone , Startup, E commerce
ถ้าAmazon ขาดทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผมจะไม่แปลกใจเลย
เพราะกำไรสุทธิหรือ NP 1% กว่า ส่วน Walmart กำไรสุทธิยังได้ 4%
ลองนึกว่ากำไรสุทธิของ E commerce อื่นๆจะเป็นอย่างไร ไม่ว่า shoppee, Lazada ไม่ทำกำไรทั้งนั้น
ครั้งหน้าอาจเกิดจากวิกฤต E commerce
และส่งผลต่อโรงงานอุตสาหกรรมจากจีนจะเจ็งตาม หลังจากนั้น E commerce ก็จะกลับมาโตใหม่อย่างแท้จริง
ดังนั้นวิกฤตเทียมจะกระทบบางส่วนของเศรษฐกิจเท่านั้น
เดือนที่แล้วหุ้นขึ้น ไม่ใช่มาจากการคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลก ทั้งจีน อเมริกา อียู จะโตมากกว่านี้
มาจากTrade war หรือเปล่า หรือจากtechnologyใหม่ที่disruptหรือเปล่า
กลับมาที่ไทย เศรษฐกิจยังมีศักยภาพ เชื่อว่ารอบใหม่ของเศรษฐกิจไทยจะมาในอีก 5-10ปี
สถานการณ์ฝุ่นมีมาก หุ้นก็ขึ้น วันนี้ ฝุ่นน้อยลง หุ้นจะ ????

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ดร นิเวศน์ ได้เปรียบเปรยหุ้น ดอกเบี้ย และ ผลประกอบการ กับ เครื่องบิน ตุ้มถ่วง และ เครื่องยนต์ดังนี้

เปรียบหุ้นเหมือนเครื่องบิน บินสูงแปลว่าหุ้นขึ้นสูง บินต่ำแสดงว่าหุ้นตก
ดอกเบี้ยคือตุ้มถ่วงเครื่องบิน ดอกเบี้ยสูงคือตุ้มถ่วงเครื่องบินหนัก
ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เครื่องบินสูงได้

ผลประกอบการของบริษัทคือเครื่องยนต์ ถ้าสูงทำให้เครื่องบินมีเครื่องยนต์ใหญ่
สรุปจากวิทยากรทุกคนด้วยเครื่องบินหนึ่งลำมีตุ้มถ่วง

นาทีนี้ Apple ผลประกอบการไม่ดี เพราะขายเครื่องไม่ดี
บริษัททั่วโลกก็เจอคล้ายกัน ซัมซุงกำไรลดเหลือครึ่งเดียว
บริษัทใหญ่ของโลก เช่น บริษัทในเมืองจีนขายของไม่ออก
เปรียบเหมือนเครื่องยนต์กำลังแย่ลง เมืองไทยก็ไม่ดี มีคนแก่เยอะ
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ค่อยดี

ตอนนี้ตุ้มถ่วงหยุดแล้ว คงจะไม่หนักขึ้น หุ้นเลยฟื้นขึ้นมาหน่อย
ดอกเบี้ยก็คงไม่ลง แต่เครื่องยนต์แย่ลง โดยสรุปแล้วปีนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่ตอนนี้มีบางอย่างที่ทำให้คนคิดว่าเดี๋ยวจะดี เอาจริงไม่มีใครรู้ว่าดี
แต่จะทำให้เศรษฐกิจไทยดี คงยาก เพราะเราได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
สรุปปีนี้ไม่ดี แต่ลงทุนหุ้นเป็นรายตัวได้

-------------------------------------------------------------------------------------------------

คำถามที่สอง ให้แนะนำกลุ่มเด่น และ กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง หุ้นที่เด่น

ดร วิศิษฐ์
จากการศึกษาของบริษัทพบว่าหุ้นกลุ่ม High Dividend Yield ได้ผลตอบแทน 10%ในช่วง4เดือนแรกของปี
ดูจากตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศออกมาด้วยความเชื่อมั่น 90%
เช่นหุ้นปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ปันผลดี ด้วยความเชื่อมั่นผลตอบแทน 96%
จากการศึกษาหุ้นจะมีpatternเหมือนเดิม สามารถแกะหุ้นได้
ใน8ปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย4เดือนแรก 10% สามารถลงทุนในกลุ่มนี้ ได้ผลตอบแทน ตั้งแต่4%ถึง16%

ดังนั้นช่วง 4 เดือนแรก บล ทรีนิตี้ได้แนะนำให้ลงทุนใน High dividend Yield ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2562
ได้แก่ หุ้น SCC, PTT , KTB ,Advance, BBL ผลตอบแทนช่วงเดือนแรก ได้ 5%แล้ว ไม่แนะนำลงทุนอีก

ดังนั้นตอนนี้ควรเลือกบริษัทอื่น ได้แก่
บริษัทQH ซึ่งเป็นบริษัทที่มีvaluationสูงและปันผลสูงด้วย


High Dividend Yield เป็น Themeของเอเชียด้วยอัตราปันผลเฉลี่ย 3.8%
เศรษฐกิจไม่ดี บริษัทต่างๆจะลงทุนน้อยลง จะมีกระแสเงินอิสระเยอะขึ้น ก็จะจ่ายเงินปันผลมากขึ้น
Free cash flow yield ที่4.5% ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียจะโตโดดเด่น
กลุ่มที่หลีกเลี่ยง ได้แก่บริษัทที่มีคะแนนธรรมมาภิบาลต่ำ หรือ IOD ให้ดาวต่ำมาก ให้ระวัง

แต่ให้สนใจในบางบริษัทที่เพิ่มดาวตัวเองจาก 3 ดาวไป 4-5 ดาว จากได้ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลง
Performanceของราคาหุ้นและผลประกอบการจะดีขึ้น
ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ในการทำให้นักลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกจังหวะได้

คุณสุกิจ จะเน้นหุ้นที่มีโอกาสลงน้อยหรือขึ้นได้
หุ้นปันผลที่ดร วิศิษฐ์พูดมาก็เห็นด้วย
เราเลือก บริษัท TISCO , KKP ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูง แต่ต้องดูจังหวะในการซื้อโดยดูจากYieldในช่วงที่น่าสนใจ
หุ้นสื่อสาร เช่น บริษัทAdvance ก็น่าสนใจ ให้ลงทุนในช่วงประมูลคลื่นอาจได้ราคาที่ถูกลง
หุ้นที่เป็นวัฐจักร เช่น หุ้นท่องเที่ยว ก่อนหน้าปรับตัวลงจากที่นักท่องเที่ยวจีนที่หายไปซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงและปรับขึ้น จากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นคือ เอเชีย แต่ยอดการใช้จ่ายน้อยกว่าจีน
เช่น ERW , MINT

คุณเจษฏา จะไล่ทีละsector ตัดchoiceที่ไม่ชอบออกก่อน
ต้องไม่ใช่หุ้นวัฐจักร ไม่ผูกราคากับสินค้าcommodity
หุ้นที่ตัดออกได้แก่
1.หุ้นเกี่ยวกับน้ำมัน พลังงาน
2.หุ้นเกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ ปีที่แล้ว โต4% ปีนี้โตลดลงเหลือ 3% หลีกเลี่ยงกลุ่มcommerce
แต่ถ้า SSSG ของกลุ่มนี้ติดลบเมื่อไหร่ น่าสนใจลงทุนเพิ่ม เพราะหุ้นตกช่วงนั้นได้ราคาที่ถูกลง
3. อุตสาหกรรมไม่ถูกTechnology disruptive เช่น ค่าธรรมเนียมโดนกระทบ รายได้หายไป หรือ
ตอนนี้ใช้โทรศัพท์คุยน้อยลง ใช้appโทรแทน คิดว่าค่าโทรศัพท์น่าจะลดลง
กลุ่มที่โดนกระทบ เช่น กลุ่มธนาคาร สื่อสาร
มาดูกลุ่มที่ข้ามวัฐจักรได้เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า เห็นว่าคนยังใช้ไฟฟ้าไปเรื่อยๆ
เช่น BPP ซึ่งราคาไม่แพงมาก แต่ไล่ดูลึกๆ ก็ยังดูแพง และ ไม่แน่ใจว่าจะโตในอนาคตได้อีก ก็ตัดอีก
กลุ่มท่องเที่ยว ตอนนี้ 27% ของ GDP ยังไงก็น่าจะมา รายได้ของพนักงานของฟินโนมิน่าไม่เยอะแต่จะซื้อประสบการณ์
คุยกับMJ ทีน่า คนจีนรายได้เยอะกว่าคนไทยแล้ว และ คนจีนสามารถซื้อประสบการณ์ในราคาไม่แพงในเมืองไทย
แต่ก็รสนิยมของคนจีนอาจเปลี่ยนได้ ซึ่ง starbuckในจีน ก็ถูกร้านกาแฟในจีน disruptแล้ว
จีนเปลี่ยนเร็วมาก ดังนั้นการขายของให้คนจีน ต้องระวังอาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่ดูส่วนที่โรงแรมที่ราคาหุ้นตกมา เน้นในไทย บ. Centel PE 30กว่าเท่าลงมาเหลือ 20กว่าเท่า
ยังรวมถึงบ. ERWด้วย

Startupจะมาสร้างโรงแรมแข่งยาก คิดว่ายังมีช่องทางที่โตได้อยู่

คุณกวี มโนอย่างมีเหตุผล เวลาซื้อหุ้น ไม่ควรซื้อตอนนี้
รอหุ้นลง ควรจะซื้อหุ้นอะไรบ้าง
1.QH Dividend สูง
2.ERW ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่บูม โรงแรมอยู่ในไทยเป็นส่วนใหญ่
3.Commodity ผมยังคิดว่า PTT น่าจะมาเช่น ร่วมทุนกับโครงการรถไฟฟ้า หรือ IPO PTTOR
4.BBL เลือกตั้งมา investment cycleมาก็ได้ประโยชน์
แต่ไม่ใช่ช่วงที่จะซื้อหุ้นพวกนี้


หุ้นที่น่าสนใจ
หุ้นที่ผันผวนตามวัฐจักร จะหลีกเลี่ยง เช่น กลุ่มธนาคาร พลังงาน ปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์
ดร วิศิษฐ์ มีความเห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ลงมาก่อน เพราะว่าเศรษฐกิจขาลง กำไรก็ลง ดังนั้นคนไม่มั่นใจ ก็ไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นกลุ่มที่ไปได้เรื่อยๆ ราคาไม่แพง และเลือกซื้อตอนหุ้นตก
เช่น กลุ่มโรงแรม ลงทุนในช่วงไตรมาสสามและสี่
เป็นโรงแรมที่มีทำธุรกิจอาหารด้วย เช่น Centel ,MINT
แต่ที่ผ่านมารายได้อาหารไม่ค่อยโต แต่กระแสเงินสดดีมาก
คุณเจริญยังมาซื้อKFCเลย ตอนนี้ร้านอาหารเกิดอิ่มตัว และจะถูกซื้อโดยรายใหญ่
โรงแรมอยู่ในจุดที่ยังไปต่อ รวมถึงกระแสAging society คนยังอยากไปท่องเที่ยว
ถือเป็นสินค้าจำเป็น Centel ในราคา 35-40 บาท น่าสนใจซื้อ
ส่วน MINT ต้องระวังเรื่องลงทุนใน NHH ยิ่งช่วงยุโรปไม่ดีก็ต้องยิ่งระวัง
ผมมอง Centel ตอนหุ้นตกมากๆน่าสนใจ
ควรมีหุ้นอยู่ในport ถ้าไม่มีหุ้นก็มีโอกาสเสี่ยง

ส่วนหุ้นพลังงาน PTT or AOT ไม่ควรถือในportตอนนี้
ส่วนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล PE สูง ก็ควรระวัง
ส่วนกลุ่มสื่อสาร ADVANCE PE 15 เท่า ถ้าราคาลงมา 15x บาท ก็ดูน่าสนใจ

ดร นิเวศน์ จะมาฟันธง
แนะให้ซื้อหุ้น Supercheap โดยหุ้นลักษณะนี้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
PE <= 10 เท่า
Dividend Yield 4-5%
แต่เป็นธุรกิจที่ควรตัดทิ้ง มีอยู่ในหมวดพลังงาน แต่ผลประกอบการไม่ใช่ธุรกิจแบบ commodity

เช่น SCC นี่คือธุรกิจที่มีธุรกิจcommodityหลากหลาย จะมีจังหวะที่อย่างหนึ่งดี อย่างหนึ่งไม่ดี
ดูย้อนหลัง ต่อให้แย่บางธุรกิจ แต่ผลประกอยการย้อนหลังโตขึ้น ให้เลือกหุ้นแบบนี้
เพราะคนเข้าใจผิดว่าอยู่ในหมวดcommodity
และอนาคตยังอยู่กับไทยอีกนานจึงน่าสนใจ ถึงแม้เกิดวิกฤตก็กลับมาได้ เพราะมีปันผลระหว่างทาง 4-5%ต่อปี
แม้แต่ Bankบางแห่งที่ผลประกอบการของบริษัทไม่ตกในช่วง5ปี ก็น่าสนใจ
แต่หลีกเลี่ยง บริษัทที่มีสินค้าcommodityเพียวๆ
ให้เลือกหุ้นแบบนี้ในแต่ละsector ซึ่งหุ้นดูแย่ๆ แต่จริงๆดูมั่นคง อนาคตไม่น่าห่วง มีการจ่ายปันผล

คุณเจษฏาแนะว่าถ้าอยากหาหุ้น ให้พิมพ์ ชื่อหุ้น งบ10 ปี จากGoogle
ซึ่งจัดทำโดย Finnomina ( คุณเจษฏาและคุณMarch )

สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ อาจารย์เสน่ห์ และ ดร นิเวศน์ รวมถึงทีมงานMoneyTalkทุกท่าน

MoneyTalk@SETเดือนถัดไป
วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2562
ช่วงที่1 วางแผนการเงิน และการบริหารการเงินแบมืออาชีพ
ดร. สมจินต์ ศรไพศาล
คุณ เอ ศักดิ์ดา ศรรพปัญญาวงศ์
คุณ วิไลวรรณ ศรีสำรวน
ดร. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์


ช่วงที่2 วีไอรุ่นกลาง มองหุ้นไทยปี ‘62
คุณชาย มโนภาส
คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ
นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิชย์
คุณทิวา ชินธาดาวงศ์
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สำรองที่นั่ง เสาร์ 23 กุมภาพันธ์ เวลา 7.00 ที่ Facebook Moneytalk
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 1

Re: MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ วันนี้มาเข้าค่าย ได้อ่านสรุปตอนค่ำพอดีเลย :idea:
Go against and stay alive.
auspicja
Verified User
โพสต์: 404
ผู้ติดตาม: 0

Re: MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
ยิ่งรู้มากขึ้น ทำให้เข้าใจว่าเรานี่ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2622
ผู้ติดตาม: 262

Re: MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

โพสต์ที่ 5

โพสต์

i-salmon เขียน:ขอบคุณครับ วันนี้มาเข้าค่าย ได้อ่านสรุปตอนค่ำพอดีเลย :idea:
เป็นเวลาเที่ยงคืนในไทยพอดี
โพสต์โพสต์