“รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 854
ผู้ติดตาม: 10

“รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 1

โพสต์

“รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?” โดย ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช

“รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

หลายคนเมื่อเข้าสู่ปีใหม่หรือตรุษจีน หลังจากได้รับโบนัส อั่งเปาแล้ว

เริ่มมีความคิดที่จะถอยรถใหม่สักคัน และคำถามที่ถูกถามบ่อยๆ คือ รถคันต่อไปควรจะเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าทั้งคันแบบเทสล่าหรือยัง? ข้อดีของรถดังกล่าว เราคงได้ยินกันมามากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นรถที่มีอัตราเร่งดีมาก เผลอๆ จะเร็วกว่ารถแข่ง หรือเป็นรถที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนน้อยมาก ทำให้การดูแลรักษาเป็นไปได้ง่ายกว่ารถใช้น้ำมันในปัจจุบันมากมาย อีกทั้งมีซอฟต์แวร์ต่างๆ าจุษจีน หลังจากได้รับโบนัส อั้งตอรี่ไฟฟ้าที่มีสมองกล (Artificial Intelligence; AI) เรียนรู้วิธีการขับรถของเรา แล้วทำให้คล่องตัวและสะดวกขึ้น จดจำสถานที่เราเดินทางไปบ่อยๆ แล้วมีการแนะนำเส้นทางที่เร็วและสั้นที่สุด หรือแม้กระทั่งขับรถแทนเรา (autonomous driving) และแน่นอนที่สุดคือ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยสารที่เป็นมลภาวะออกมาระหว่างที่มันทำงานอยู่ รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตราย หรือ pm2.5

ยิ่งเมื่อติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า หรือ Battery Electric Vehicle: BEV แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าโลกจะหมุนไปทางนี้แน่นอน ไม่ว่าข่าวล่าสุดที่ หนึ่งในสามคันของรถที่จำหน่ายในประเทศนอร์เวย์เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นรถ BEV ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของโลก หรือศาลที่ประเทศเยอรมนีสั่งห้ามรถดีเซลวิ่งในเมืองเบอร์ลิน แฟรงเฟิร์ต แมนส์ สตุ๊คการ์ด เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อีกทั้งข้อมูลยอดขายของเทสล่า โมเดล 3 ที่ขายได้เยอะกว่าคู่แข่งทุกยี่ห้อในอเมริกาเหนือ เมื่อเทียบกับ BMW series 3 หรือ Benz C class เมื่อไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หรือ ข้อมูลจาก Bloomberg New Energy Finance: BNEF ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัย พบกว่า รถ EV หนึ่งล้านคันแรกใช้เวลานับปี ขณะที่ล้านที่สองใช้เวลา 17 เดือน จากปี 2014-2016 และจากล้านที่สามสู่ล้านที่สี่ใช้เวลาแค่หกเดือนในปีที่ผ่านมา เป็นต้น ผมว่าผู้บริโภคหลายท่านคงไขว้เขวว่า ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ น่าจะต้องเลือกเหมือนที่ชาวยุโรปหรืออเมริกันเขาเลือกกันดีไหม

เมื่อเราวิเคราะห์ดู จะเห็นว่า BEV ส่วนใหญ่ที่ขายได้นั้น จะเป็นรถที่อยู่ในเซกเมนต์พรีเมียม และจะถูกเทียบกับรถยุโรปเป็นหลัก เนื่องจากราคาแบตเตอรี่ซึ่งเป็นต้นทุนหลักยังมีราคาค่อนข้างสูง แม้แต่ในสหรัฐหรือนอร์เวย์ก็ยังมีการอุดหนุน (subsidy) ด้านราคาจากภาครัฐอยู่พอสมควร โดยราคาตัวรถก่อนภาษีสรรพสามิตของประเทศไทยก็ยังอยู่ที่ 1.5-2 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งเป็นราคาของรถที่ประเภทราคาย่อมเยาหรือ mass market model (เทสลา โมเดล 3 ราคาก่อนรัฐบาลอุดหนุนอยู่ที่ $50,000) เมื่อเทียบกับรถ eco car ของเราที่ราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท หลังภาษีแล้ว หรือรถเทสล่า เอส ซึ่งเป็น SUV จะแพงกว่ารถประเภทเดียวกันของค่ายยุโรปกว่าเท่าครึ่ง ดังนั้นถ้าท่านที่จะซื้ออาจต้องเผื่อใจในส่วนของราคารถอยู่พอสมควร

ในส่วนของการใช้งานก็ต้องพิจารณาเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่ โดยส่วนใหญ่แล้ว รถ BEV ยังต้องใช้เวลาในการชาร์จให้เต็มระหว่าง 4-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ของรถ และจุดชาร์จที่เหมาะสมจึงเป็นที่ที่รถยนต์สามารถจอดได้นานๆ เช่นที่บ้าน ออฟฟิศ หรือโรงภาพยนตร์เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ถ้าที่พักอาศัยเป็นบ้านน่าจะสะดวกกว่าท่านที่พักอยู่ในคอนโด เนื่องจากที่จอดรถในคอนโดส่วนใหญ่ยังอาจจะไม่มีบริการด้านชาร์จไฟ อีกทั้ง การใช้ BEV เหมาะกับท่านที่เดินทางเป็นเส้นทางประจำ เช่นพนักงานออฟฟิศที่ทำงานในออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่ หรือการขนส่งสินค้าที่มีจุดหมายคงที่และชัดเจน เพื่อที่จะสามารถคำนวณระยะทางที่เดินทางได้ และประมาณการการเติมไฟในแต่ละครั้ง ถ้าขับรถออกนอกเส้นทาง ความเสี่ยงคือสภาพจราจร เราไม่สามารถคำนวณได้ว่าแบตเตอรี่จะหมดเมื่อไหร่ และระหว่างทางจะมีที่ชาร์จหรือไม่ เคยมีกรณีที่หนักกว่านั้น แม้จะหาที่ชาร์จเจอ แต่บัตรเติมเงินเป็นคนละรุ่นกัน แล้วใช้แทนกันไม่ได้ ต้องไม่ลืมว่ารถ BEV ถ้าแบตเตอรี่หมดก็คือรถจะจอดตายเลยนะครับ

อีกเรื่องที่สำคัญไม่น้อยคือ มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยหรือไม่ และศูนย์ซ่อมและบริการเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนของรถ BEV มีน้อยกว่ารถใช้น้ำมัน แต่การดูแลแบตเตอรี่ การดูแลซอฟต์แวร์รถยนต์ และส่วนประกอบอื่นๆ ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญทีเดียว

ข้อมูลที่น่าสนใจจาก BNEF ว่า สถานีชาร์จไฟสาธารณะในสหรัฐมีกว่า 50,000 แห่ง แต่มีปั๊มน้ำมันกว่า 100,000 แห่ง ซึ่งยังไม่รวมในแต่ละปั๊มมีหลายหัวจ่าย และใช้เวลา 3-4 นาทีในการเติม เมื่อเทียบกับ 30-40 นาที สำหรับ quick charge อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีของแบตเตอรี่จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและ Solid state lithium ion battery จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทั้งราคาและความจุ (หรือคือระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้) สามารถแข่งขันกับรถใช้น้ำมันได้ ซึ่งมองกันว่าในปี 2025-30 น่าจะได้เห็นรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ solid state ดังกล่าวในท้องถนน อีกทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสถานีชาร์จประจุที่คาดว่าต้องใช้เงินอีกหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และระบบสายส่งไฟฟ้าและสถานีจ่ายไฟย่อยที่ต้องเตรียมตัวรองรับการชาร์จ โดยเฉพาะ quick charge ของรถ BEV

อายุการใช้งานของรถหนึ่งคันอยู่ที่ 6-10 ปี ซึ่งคิดว่าใน 10 ปีข้างหน้า เราน่าจะเห็นทั้งการพัฒนาของแบตเตอรี่รถยนต์และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจนขึ้น แต่ในระหว่างนี้เราก็สามารถดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้รถที่มีการปล่อยมลภาวะต่ำเช่น Hybrid EV หรือ Plug-in Hybrid EV ที่มีจำหน่ายอย่างแพร่หลาย และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้มาตรฐานยูโร 5 เช่น E20 หรือ premium diesel ที่ได้มาตรฐานดังกล่าว น่าจะเป็นทางเลือกที่รักษ์โลกอีกทางหนึ่ง และช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm2.5 อีกด้วย
Gop
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 34
ผู้ติดตาม: 0

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอเสริมในฐานะกองเชียร์ TESLA (ที่ไม่มีรถใช้)

๑ เรื่องการชาร์จนั้น ถ้าเจ้าของรถมีบ้านอยู่ ติดตั้งอุปกรณ์เสริม ก็สามารถชาร์จทิ้งไว้ตอนกลางคืนเหมือนชาร์จโทรศัพท์ได้เลย(ถ้าชาร์จตรงๆจากไฟบ้านก็ได้ แต่จะใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมง) ตื่นมาทุกวันก็มีรถที่แบตเต็ม 100% ไม่ต้องแวะเข้าปั๊มน้ำมันเหมือนรถธรรมดา ส่วนการชาร์จในจุดชาร์จ ถ้าเป็น supercharger ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการชาร์จจาก 0-80% ซึ่งผู้ใช้รถหลายคนก็อาศัยโอกาสนี้ในการแวะพักระหว่างทางกินข้าว หรือซื้อของไปเลย ผมมองว่า supercharger ใช้สำหรับกรณีเดินทางไกลๆ อย่างเช่นไปเที่ยวต่างจังหวัดเท่านั้น ไม่ใช่ใช้สำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน

๒ เรื่องความคุ้มค่า ไม่ทราบว่าผู้เขียนบทความกล่าวถึงรถ SUV S ของเทสล่า นั้นหมายถึงรุ่นไหน เพราะ TESLA MODEL S เป็นรถซีดาน น่าจะหมายถึงเจ้า MODEL X ที่มีประตูแบบ falcon wing มากกว่าที่ราคาค่อนข้างแพงจริงๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบรถในราคาใกล้เคีียงกับสองรุ่นนี้ หลายคนให้ความเห็นตรงกันว่าของ TESLA คุ้มค่าที่สุด เมื่อเทียบกับ Performance และใช้จ่ายที่ตามมาหลังซื้อรถไปแล้ว เช่นไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบระยะ

๓ เท่าที่ทราบ ตอนนี้ทางเทสล่ากำลังเตรียมเปิดตัว MODEL Y ซึ่งเป็นรถ SUV ที่ราคาใกล้เคียงกับ MODEL 3 ซึ่งรถกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่สุดในตลาด ก็น่าสนใจว่าจะประสบความสำเร็จเหมือน MODEL 3 หรือไม่ เพราะถ้าทำได้จริง ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ 35,000 เหรียญ หรือประมาณล้านต้นๆเท่าน้ั้น ถือว่าถูกลงกว่ารุ่นก่อนๆเยอะ

๔ เรื่อง software เป็นอีกเรื่องที่ไม่ธรรมดา ทางบริษัทจะทำการ update ระบบให้ตอนกลางคืน ซึ่งทำให้ปัญหาจุกจิกหลายๆอย่างหายไปโดยไม่ต้องไปซ่อม เช่นถ้าระบบไฟ หรือเครื่องใช้ต่างๆมีปัญหา ถ้าทางบริษัทตรวจพบ ก็จะแก้ไขให้ผ่านการ update ทาง internet เหมือนโทรศัพท์เลย นอกจากนี้ พวก function ใหม่ๆ เช่น autopilot ก็สามารถ install พร้อมการ update ได้เลย

๕ อายุการใช้งานของ TESLA บางคนบอกว่า 100 ปีเลยครับ(ถ้ายังอยากใช้) การเปลี่ยนอะไหล่ไม่ซับซ้อน คือเปลี่ยนแบต กับเปลี่ยนมอเตอร์ แต่ถ้าทำแบบนี้ ไม่ทราบว่ามันจะคุ้มกว่าซื้อรถใหม่หรือเปล่า?

ทั้งนี้ทั้งน้ัน ราคาเหล่านี้คือในประเทศสหรัฐอเมริกา ผมเองก็ไม่ทราบว่า ถ้าเอาเข้าเมืองไทยมันจะเพิ่มอีกแค่ไหน ได้แต่ลุ้นว่า ถ้าโรงงานที่เซี่ยงไฮ้เสร็จ และหวังว่าทางการไทยและจีนมีการตกลงเรื่องลดภาษีส่งสินค้าข้ามแดน คนไทยอาจจะได้ใช้รถสุดล้ำในราคาที่พอเอื้อมถึง ผมมองว่าถ้าไม่โดนภาษีโหดนัก อยากให้เจ้า MODEL 3 มีราคาประมาณ CAMRY หรือ ACCORD คนไทยก็จะได้มีโอกาสได้ใช้มากขึ้น ส่วน MODEL S หรือ X ก็คงเป็นรถสำหรับคนมีฐานะเท่านั้น

ส่วนผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ ตอนนี้ได้แต่ลุ้นว่า การมา disrupt วงการของ TESLA จะทำให้ค่ายอื่นๆสนใจทำ BEV กันมากขึ้น ถ้ายอดขายยังพุ่งไม่หยุดอยู่อย่างนี้ ใครขยับช้าได้หนาวแน่ เท่าที่เห็น สมรรถนะของค่ายอื่นยังห่างไกลกับ TESLA อยู่มาก ทำให้ดูแล้วไม่น่าซื้อ เพราะได้รถที่สมรรถนะต่ำกว่ารถธรรมดาในราคาที่แพงกว่า
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 4

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Gop เขียน:ขอเสริมในฐานะกองเชียร์ TESLA (ที่ไม่มีรถใช้)

๑ เรื่องการชาร์จนั้น ถ้าเจ้าของรถมีบ้านอยู่ ติดตั้งอุปกรณ์เสริม ก็สามารถชาร์จทิ้งไว้ตอนกลางคืนเหมือนชาร์จโทรศัพท์ได้เลย(ถ้าชาร์จตรงๆจากไฟบ้านก็ได้ แต่จะใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมง) ตื่นมาทุกวันก็มีรถที่แบตเต็ม 100% ไม่ต้องแวะเข้าปั๊มน้ำมันเหมือนรถธรรมดา ส่วนการชาร์จในจุดชาร์จ ถ้าเป็น supercharger ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการชาร์จจาก 0-80% ซึ่งผู้ใช้รถหลายคนก็อาศัยโอกาสนี้ในการแวะพักระหว่างทางกินข้าว หรือซื้อของไปเลย ผมมองว่า supercharger ใช้สำหรับกรณีเดินทางไกลๆ อย่างเช่นไปเที่ยวต่างจังหวัดเท่านั้น ไม่ใช่ใช้สำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน

๒ เรื่องความคุ้มค่า ไม่ทราบว่าผู้เขียนบทความกล่าวถึงรถ SUV S ของเทสล่า นั้นหมายถึงรุ่นไหน เพราะ TESLA MODEL S เป็นรถซีดาน น่าจะหมายถึงเจ้า MODEL X ที่มีประตูแบบ falcon wing มากกว่าที่ราคาค่อนข้างแพงจริงๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบรถในราคาใกล้เคีียงกับสองรุ่นนี้ หลายคนให้ความเห็นตรงกันว่าของ TESLA คุ้มค่าที่สุด เมื่อเทียบกับ Performance และใช้จ่ายที่ตามมาหลังซื้อรถไปแล้ว เช่นไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบระยะ

๓ เท่าที่ทราบ ตอนนี้ทางเทสล่ากำลังเตรียมเปิดตัว MODEL Y ซึ่งเป็นรถ SUV ที่ราคาใกล้เคียงกับ MODEL 3 ซึ่งรถกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่สุดในตลาด ก็น่าสนใจว่าจะประสบความสำเร็จเหมือน MODEL 3 หรือไม่ เพราะถ้าทำได้จริง ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ 35,000 เหรียญ หรือประมาณล้านต้นๆเท่าน้ั้น ถือว่าถูกลงกว่ารุ่นก่อนๆเยอะ

๔ เรื่อง software เป็นอีกเรื่องที่ไม่ธรรมดา ทางบริษัทจะทำการ update ระบบให้ตอนกลางคืน ซึ่งทำให้ปัญหาจุกจิกหลายๆอย่างหายไปโดยไม่ต้องไปซ่อม เช่นถ้าระบบไฟ หรือเครื่องใช้ต่างๆมีปัญหา ถ้าทางบริษัทตรวจพบ ก็จะแก้ไขให้ผ่านการ update ทาง internet เหมือนโทรศัพท์เลย นอกจากนี้ พวก function ใหม่ๆ เช่น autopilot ก็สามารถ install พร้อมการ update ได้เลย

๕ อายุการใช้งานของ TESLA บางคนบอกว่า 100 ปีเลยครับ(ถ้ายังอยากใช้) การเปลี่ยนอะไหล่ไม่ซับซ้อน คือเปลี่ยนแบต กับเปลี่ยนมอเตอร์ แต่ถ้าทำแบบนี้ ไม่ทราบว่ามันจะคุ้มกว่าซื้อรถใหม่หรือเปล่า?

ทั้งนี้ทั้งน้ัน ราคาเหล่านี้คือในประเทศสหรัฐอเมริกา ผมเองก็ไม่ทราบว่า ถ้าเอาเข้าเมืองไทยมันจะเพิ่มอีกแค่ไหน ได้แต่ลุ้นว่า ถ้าโรงงานที่เซี่ยงไฮ้เสร็จ และหวังว่าทางการไทยและจีนมีการตกลงเรื่องลดภาษีส่งสินค้าข้ามแดน คนไทยอาจจะได้ใช้รถสุดล้ำในราคาที่พอเอื้อมถึง ผมมองว่าถ้าไม่โดนภาษีโหดนัก อยากให้เจ้า MODEL 3 มีราคาประมาณ CAMRY หรือ ACCORD คนไทยก็จะได้มีโอกาสได้ใช้มากขึ้น ส่วน MODEL S หรือ X ก็คงเป็นรถสำหรับคนมีฐานะเท่านั้น

ส่วนผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ ตอนนี้ได้แต่ลุ้นว่า การมา disrupt วงการของ TESLA จะทำให้ค่ายอื่นๆสนใจทำ BEV กันมากขึ้น ถ้ายอดขายยังพุ่งไม่หยุดอยู่อย่างนี้ ใครขยับช้าได้หนาวแน่ เท่าที่เห็น สมรรถนะของค่ายอื่นยังห่างไกลกับ TESLA อยู่มาก ทำให้ดูแล้วไม่น่าซื้อ เพราะได้รถที่สมรรถนะต่ำกว่ารถธรรมดาในราคาที่แพงกว่า
ชาร์จ ธรรมดา กะต้องต่อตรงจากเมน นะคับ แค่ ปลั๊กอิน สายยังไหม้
อีกอย่างเตรียมรื้อระบบไฟบ้าน ได้เลย เพราะใช้ไฟ สามเฟส

รถเครื่องยนต์ สมัยนี้ อย่าง เบนซ์ bmw volvo ระบบไฟฟ้า ท่วมคัน
ไปดูคันที่ซ่อมไม่จบ กับงานบริการหลังการขายครับ สารพัดความรวน
ลบcode กันเดือนเว้นเดือน กะมี
ศูนย์โดนด่า และ มีปัญหาแค่ไหน
ที่ว่า ระบบไม่ซับซ้อนๆ เอาจริงๆ จะเป็นงั้นไหม
เวลาซ่อมต้องยกบอร์ดไหม ราคาเท่าไหร่ ใครจ่าย ประกันครอบคลุมไหม?


ไม่ได้ต่อต้าน แต่คิดว่า มันมี ปัญหาที่เรายังคิดไม่ถึงอีกเยอะ
show me money.
ภาพประจำตัวสมาชิก
vim
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2770
ผู้ติดตาม: 23

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 4

โพสต์

รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอร์รี่มีราคาประมาณ 50% ของราคารถ ซึ่งจะเสื่อมในเวลา 3-5 ปี หลังจากนี้จะเปลี่ยนแต่แบตเตอร์รี่ก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีคนทำกัน ส่วนใหญ่ก็ขายซากคืนศูนย์แล้วซื้อใหม่ ใครจะซื้อโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐต้องคิดตรงนี้ด้วยครับ

พลังงานไฟฟ้าเราผลิตจากชนบท แล้วส่งเข้ามาใช้งานมาในเมือง ดังนั้นถ้าจะทำที่ชาร์จตามบ้าน โครงสร้างสายส่งไฟฟ้าสำคัญมากเลย ทุกวันนี้สายส่งเมืองไทยไม่พอ ไฟตกไฟดับเป็นเรื่องปกติ ในอเมริกาเขามีสายส่งที่ดีมากแล้วเปิดเสรีการไฟฟ้าให้รายย่อยผลิตไฟฟ้าขายได้ ส่วนสแกนดิเนเวียร์คนเขาน้อยและกระจายออกนอกเมืองอยู่แล้วเลยไม่ใช่ปัญหามาก โจทย์ในไทยค่อนข้างยากและต้องพึ่งพาการนำโดยรัฐที่ฉลาดรอบคอบ

ถ้าจะมองเรื่องเทรนด์รถไฟฟ้าในไทย ผมคิดว่าไม่ควรเทียบกับเคสเทสล่าหรือยุโรปเพราะบริบทในไทยมันไม่เหมือนกัน กระแสในไทยน่าจะต้องไปดูจากจีนมากกว่า ในจีนมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นไวมากจากเดิมที่เป็นแค่ฐานการผลิต ตอนนี้กลายเป็นว่ารถรุ่นใหม่ๆทำได้ดีกว่ารถอเมริกาเสียอีก โดยแรงผลักดันก็มาจากภาวะฝุ่นในเมืองทำให้คนหันมาสนใจการลดการปล่อยสารพิษในเมืองกันมากขึ้น อันนี้ใกล้เคียงกับไทยมากเลย ซึ่งหากเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่แข็งแรงเมื่อไหร่ ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีโครงการลดภาษีรถยนต์ EV จนราคาลงใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไป (ตามข้อแม้ต่างๆเช่นให้ประกอบในไทย หรืออื่นๆให้อุตสาหกรรมไทยได้ประโยชน์)

สรุปคือ ผมมองว่าในไทย ถ้าภาครัฐไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้ การปรับตัวไป EV ของไทยคงทุลักทุเลครับ คนซื้อก็เละ คนไม่ซื้อก็สูบควันกันไปครับ
Vi IMrovised
Gop
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 34
ผู้ติดตาม: 0

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 5

โพสต์

nut776 เขียน:
ชาร์จ ธรรมดา กะต้องต่อตรงจากเมน นะคับ แค่ ปลั๊กอิน สายยังไหม้
อีกอย่างเตรียมรื้อระบบไฟบ้าน ได้เลย เพราะใช้ไฟ สามเฟส

รถเครื่องยนต์ สมัยนี้ อย่าง เบนซ์ bmw volvo ระบบไฟฟ้า ท่วมคัน
ไปดูคันที่ซ่อมไม่จบ กับงานบริการหลังการขายครับ สารพัดความรวน
ลบcode กันเดือนเว้นเดือน กะมี
ศูนย์โดนด่า และ มีปัญหาแค่ไหน
ที่ว่า ระบบไม่ซับซ้อนๆ เอาจริงๆ จะเป็นงั้นไหม
เวลาซ่อมต้องยกบอร์ดไหม ราคาเท่าไหร่ ใครจ่าย ประกันครอบคลุมไหม?


ไม่ได้ต่อต้าน แต่คิดว่า มันมี ปัญหาที่เรายังคิดไม่ถึงอีกเยอะ
1 เท่าที่ทราบ ตัวชาร์จมีหลายแบบนะครับ ทั้งตรงทั้งสลับ ผมเห็นพวกฝรั่งชาร์จจากไฟบ้านเลยครับ แต่คงต้องขอใช้ไฟเพิ่มจากการไฟฟ้า ถ้าจำไม่ผิดเวลาชาร์จน่าจะใช้ประมาณ 30-50 ampere
ไม่แน่ใจว่า 3 เฟสนี่มีปัญหากับบ้านเรายังไงหรือครับ ผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องระบบไฟฟ้า เพียงแต่สนใจการพัฒนา BEV อย่างก้าวกระโดด ที่น่าจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็ว

2 เรื่องบริการหลังการขาย อันนี้ต้องว่ากันเป็นรายๆไปใช่มั้ยครับ ถ้าเจ้าไหนไม่ดี คนก็ไม่ซื้อ เท่าทีทราบ ทาง TESLA ใช้การ update ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้แก้ไขปัญหาได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งซ่อมเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นปัญหาเรื่อง sofware ภายในรถ ดังนั้นใครอยากแข่งขัน ก็ต้องทำแบบนี้ให้ได้ ไม่งั้นคุณก็ไม่รอด เพราะผู้บริโภคมีทางเลือก
Gop
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 34
ผู้ติดตาม: 0

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 6

โพสต์

vim เขียน:รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอร์รี่มีราคาประมาณ 50% ของราคารถ ซึ่งจะเสื่อมในเวลา 3-5 ปี หลังจากนี้จะเปลี่ยนแต่แบตเตอร์รี่ก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีคนทำกัน ส่วนใหญ่ก็ขายซากคืนศูนย์แล้วซื้อใหม่ ใครจะซื้อโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐต้องคิดตรงนี้ด้วยครับ

พลังงานไฟฟ้าเราผลิตจากชนบท แล้วส่งเข้ามาใช้งานมาในเมือง ดังนั้นถ้าจะทำที่ชาร์จตามบ้าน โครงสร้างสายส่งไฟฟ้าสำคัญมากเลย ทุกวันนี้สายส่งเมืองไทยไม่พอ ไฟตกไฟดับเป็นเรื่องปกติ ในอเมริกาเขามีสายส่งที่ดีมากแล้วเปิดเสรีการไฟฟ้าให้รายย่อยผลิตไฟฟ้าขายได้ ส่วนสแกนดิเนเวียร์คนเขาน้อยและกระจายออกนอกเมืองอยู่แล้วเลยไม่ใช่ปัญหามาก โจทย์ในไทยค่อนข้างยากและต้องพึ่งพาการนำโดยรัฐที่ฉลาดรอบคอบ

ถ้าจะมองเรื่องเทรนด์รถไฟฟ้าในไทย ผมคิดว่าไม่ควรเทียบกับเคสเทสล่าหรือยุโรปเพราะบริบทในไทยมันไม่เหมือนกัน กระแสในไทยน่าจะต้องไปดูจากจีนมากกว่า ในจีนมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นไวมากจากเดิมที่เป็นแค่ฐานการผลิต ตอนนี้กลายเป็นว่ารถรุ่นใหม่ๆทำได้ดีกว่ารถอเมริกาเสียอีก โดยแรงผลักดันก็มาจากภาวะฝุ่นในเมืองทำให้คนหันมาสนใจการลดการปล่อยสารพิษในเมืองกันมากขึ้น อันนี้ใกล้เคียงกับไทยมากเลย ซึ่งหากเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่แข็งแรงเมื่อไหร่ ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีโครงการลดภาษีรถยนต์ EV จนราคาลงใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไป (ตามข้อแม้ต่างๆเช่นให้ประกอบในไทย หรืออื่นๆให้อุตสาหกรรมไทยได้ประโยชน์)

สรุปคือ ผมมองว่าในไทย ถ้าภาครัฐไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้ การปรับตัวไป EV ของไทยคงทุลักทุเลครับ คนซื้อก็เละ คนไม่ซื้อก็สูบควันกันไปครับ
๑ ประเด็นเรื่องแบตเตอรี่ ผมคิดว่าตอนนี้เทคโนโลยีกำลังใกล้จุดเปลี่ยนสำคัญแล้วครับ หลายบริษัทกำลังทำแบตเตอรี่ที่มีความจุพลังงานต่อน้ำหนักที่มากขึ้นๆ ยิ่งทำให้อายุการใช้งานนานขึ้น เพราะทำให้ cycle ในการชาร์จลดลง ผมจำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ แต่รู้ว่าถ้าถึงจุดหนึ่ง พลังงานต่อน้ำหนักมากพอ การตัดสินใจซื้อรถ BEV หรือ รถแบบน้ำมัน จะไม่ต้องชั่งน้ำหนักเลย เพราะรถ BEV จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าและเดินทางได้ระยะไกลกว่าน้ำมัน

ณ ตอนนี้เอง แบตเตอรี่ของ TESLA นี่ทนมากเลยครับ มีคนทำข้อมูลเก็บเอาไว้ ว่าวิ่งไปเป็นแสนกิโลเมตร แบตเพิ่งเสื่อมไปประมาณ 10% ครับ !!!

รูปภาพ
https://steinbuch.wordpress.com/2015/01 ... tion-data/

๒ เรื่องระบบไฟฟ้าทำให้เสถียร ผมว่าไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย เพราะการไฟฟ้าเองก็บอกว่าผลิตไฟฟ้าได้เพียงพออยู่แล้ว เรื่องไฟกระชากก็ต้องมาทำวิจัยเก็บข้อมูลกันเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภค ในต่างประเทศเองก็มีปัญหาครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดแก้ไม่ได้ ทางการไฟฟ้าก็ต้องปรับระบบการจ่ายไฟให้รองรับการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น อีกปัจจัยที่สำคัญคือ เทคโนโลยี solar cell ก็กำลังโตวันโตคืนเช่นกัน ทำให้ยิ่งนานไป การใช้ solar cell ร่วมกับ battery เพื่อกักเก็บไฟฟ้าจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบไฟแบบ local grid ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ คือดูแล้ว เรื่องไฟฟ้าผมมองว่ามองไปในอนาคต มันไม่ได้ยากจนจะทำให้รองรับการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นไม่ได้ เพียงแต่ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น

๓ ส่วนเรื่องจะเทียบกับประเทศไหนนั้น ผมว่าไม่แน่ใจว่าคุณ vim ต้องการเปรียบเทียบเรื่องอะไรหรือครับ ผมมองว่าประเทศที่หันมาใช้รถไฟฟ้า ก็เพราะต้องการลดมลภาวะทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องฝุ่น pm 2.5 ยิ่งทำให้หลายคนยิ่งคิดมากขึ้น ผมเชื่อว่ารถ BEV จะกลายเป็น trend หลักของโลกแน่นอน เพียงแต่ว่า เราจะเปลี่ยแปลงแบบไหน แบบภาครัฐส่งเสริม หรือแบบโลกล้อมประเทศ ที่ใครๆเค้าใช้กันหมดจนเหลือแต่เราซึ่งผมคิดว่าไม่ควรเกิดขึ้นกับเมืองไทย ได้แต่หวังว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเร็ววัน ผมล่ะกลัวจริงๆ ว่าบริษัทใหญ่ๆในวงการรถยนตร์ที่อยู่เมืองไทย กำลังจะมีชะตากรรมแบบ NOKIA หวังว่าบริษัท supplier ต่างๆ จะไหวตัวหาธุรกิจใหม่ทำได้ทันการ disrupt ครั้งนี้

ปล. ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทู้ในพันทิปครับ
https://pantip.com/topic/38387405
https://pantip.com/topic/38500274
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 4

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 7

โพสต์

Gop เขียน:
vim เขียน:รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอร์รี่มีราคาประมาณ 50% ของราคารถ ซึ่งจะเสื่อมในเวลา 3-5 ปี หลังจากนี้จะเปลี่ยนแต่แบตเตอร์รี่ก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีคนทำกัน ส่วนใหญ่ก็ขายซากคืนศูนย์แล้วซื้อใหม่ ใครจะซื้อโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐต้องคิดตรงนี้ด้วยครับ

พลังงานไฟฟ้าเราผลิตจากชนบท แล้วส่งเข้ามาใช้งานมาในเมือง ดังนั้นถ้าจะทำที่ชาร์จตามบ้าน โครงสร้างสายส่งไฟฟ้าสำคัญมากเลย ทุกวันนี้สายส่งเมืองไทยไม่พอ ไฟตกไฟดับเป็นเรื่องปกติ ในอเมริกาเขามีสายส่งที่ดีมากแล้วเปิดเสรีการไฟฟ้าให้รายย่อยผลิตไฟฟ้าขายได้ ส่วนสแกนดิเนเวียร์คนเขาน้อยและกระจายออกนอกเมืองอยู่แล้วเลยไม่ใช่ปัญหามาก โจทย์ในไทยค่อนข้างยากและต้องพึ่งพาการนำโดยรัฐที่ฉลาดรอบคอบ

ถ้าจะมองเรื่องเทรนด์รถไฟฟ้าในไทย ผมคิดว่าไม่ควรเทียบกับเคสเทสล่าหรือยุโรปเพราะบริบทในไทยมันไม่เหมือนกัน กระแสในไทยน่าจะต้องไปดูจากจีนมากกว่า ในจีนมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นไวมากจากเดิมที่เป็นแค่ฐานการผลิต ตอนนี้กลายเป็นว่ารถรุ่นใหม่ๆทำได้ดีกว่ารถอเมริกาเสียอีก โดยแรงผลักดันก็มาจากภาวะฝุ่นในเมืองทำให้คนหันมาสนใจการลดการปล่อยสารพิษในเมืองกันมากขึ้น อันนี้ใกล้เคียงกับไทยมากเลย ซึ่งหากเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่แข็งแรงเมื่อไหร่ ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีโครงการลดภาษีรถยนต์ EV จนราคาลงใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไป (ตามข้อแม้ต่างๆเช่นให้ประกอบในไทย หรืออื่นๆให้อุตสาหกรรมไทยได้ประโยชน์)

สรุปคือ ผมมองว่าในไทย ถ้าภาครัฐไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้ การปรับตัวไป EV ของไทยคงทุลักทุเลครับ คนซื้อก็เละ คนไม่ซื้อก็สูบควันกันไปครับ
๑ ประเด็นเรื่องแบตเตอรี่ ผมคิดว่าตอนนี้เทคโนโลยีกำลังใกล้จุดเปลี่ยนสำคัญแล้วครับ หลายบริษัทกำลังทำแบตเตอรี่ที่มีความจุพลังงานต่อน้ำหนักที่มากขึ้นๆ ยิ่งทำให้อายุการใช้งานนานขึ้น เพราะทำให้ cycle ในการชาร์จลดลง ผมจำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ แต่รู้ว่าถ้าถึงจุดหนึ่ง พลังงานต่อน้ำหนักมากพอ การตัดสินใจซื้อรถ BEV หรือ รถแบบน้ำมัน จะไม่ต้องชั่งน้ำหนักเลย เพราะรถ BEV จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าและเดินทางได้ระยะไกลกว่าน้ำมัน

ณ ตอนนี้เอง แบตเตอรี่ของ TESLA นี่ทนมากเลยครับ มีคนทำข้อมูลเก็บเอาไว้ ว่าวิ่งไปเป็นแสนกิโลเมตร แบตเพิ่งเสื่อมไปประมาณ 10% ครับ !!!

รูปภาพ
https://steinbuch.wordpress.com/2015/01 ... tion-data/

๒ เรื่องระบบไฟฟ้าทำให้เสถียร ผมว่าไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย เพราะการไฟฟ้าเองก็บอกว่าผลิตไฟฟ้าได้เพียงพออยู่แล้ว เรื่องไฟกระชากก็ต้องมาทำวิจัยเก็บข้อมูลกันเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภค ในต่างประเทศเองก็มีปัญหาครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดแก้ไม่ได้ ทางการไฟฟ้าก็ต้องปรับระบบการจ่ายไฟให้รองรับการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น อีกปัจจัยที่สำคัญคือ เทคโนโลยี solar cell ก็กำลังโตวันโตคืนเช่นกัน ทำให้ยิ่งนานไป การใช้ solar cell ร่วมกับ battery เพื่อกักเก็บไฟฟ้าจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบไฟแบบ local grid ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ คือดูแล้ว เรื่องไฟฟ้าผมมองว่ามองไปในอนาคต มันไม่ได้ยากจนจะทำให้รองรับการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นไม่ได้ เพียงแต่ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น

๓ ส่วนเรื่องจะเทียบกับประเทศไหนนั้น ผมว่าไม่แน่ใจว่าคุณ vim ต้องการเปรียบเทียบเรื่องอะไรหรือครับ ผมมองว่าประเทศที่หันมาใช้รถไฟฟ้า ก็เพราะต้องการลดมลภาวะทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องฝุ่น pm 2.5 ยิ่งทำให้หลายคนยิ่งคิดมากขึ้น ผมเชื่อว่ารถ BEV จะกลายเป็น trend หลักของโลกแน่นอน เพียงแต่ว่า เราจะเปลี่ยแปลงแบบไหน แบบภาครัฐส่งเสริม หรือแบบโลกล้อมประเทศ ที่ใครๆเค้าใช้กันหมดจนเหลือแต่เราซึ่งผมคิดว่าไม่ควรเกิดขึ้นกับเมืองไทย ได้แต่หวังว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเร็ววัน ผมล่ะกลัวจริงๆ ว่าบริษัทใหญ่ๆในวงการรถยนตร์ที่อยู่เมืองไทย กำลังจะมีชะตากรรมแบบ NOKIA หวังว่าบริษัท supplier ต่างๆ จะไหวตัวหาธุรกิจใหม่ทำได้ทันการ disrupt ครั้งนี้

ปล. ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทู้ในพันทิปครับ
https://pantip.com/topic/38387405
https://pantip.com/topic/38500274
บ้านทั่วไปใช้ไฟ 2 เฟส ครับ ถ้าใช้สามเฟส กะต้องใช้แบบ โรงงานเล็กๆ เปลี่ยนสายไฟ ปลั๊ก หม้อแปลงใหม่คับ

ส่วนปริมาณไฟพอเพียงกะจริง แต่อย่าง คุณ vim ว่าไว้ คือ สายส่งคับ
ซึ่ง มันลงทุนสูงมาก
อย่าง ในลาว ที่ว่าจะเป็น battery of asia แต่ไม่ไปไหน เพราะ ลงทุนสายส่งไม่ไหว


อีลอน เป็นคนเก่งครับ แต่อย่าหลงมนต์มาก
ตื่นตาตื่นใจ แต่ค่อยๆดูไปจะดีกว่า
เรื่องการ combine batt กับ solar พยายามกันมาเกือบ สิบปีละคับ
ตั้งแต่ มี solar tower มาแข่งกับ solar cell สุดท้าย fail ทั้งproject
show me money.
Gop
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 34
ผู้ติดตาม: 0

Re: “รถคันใหม่ปีใหม่นี้ ควรเป็นรถแบตเตอรี่ไฟฟ้า?”

โพสต์ที่ 8

โพสต์

nut776 เขียน: บ้านทั่วไปใช้ไฟ 2 เฟส ครับ ถ้าใช้สามเฟส กะต้องใช้แบบ โรงงานเล็กๆ เปลี่ยนสายไฟ ปลั๊ก หม้อแปลงใหม่คับ

ส่วนปริมาณไฟพอเพียงกะจริง แต่อย่าง คุณ vim ว่าไว้ คือ สายส่งคับ
ซึ่ง มันลงทุนสูงมาก
อย่าง ในลาว ที่ว่าจะเป็น battery of asia แต่ไม่ไปไหน เพราะ ลงทุนสายส่งไม่ไหว


อีลอน เป็นคนเก่งครับ แต่อย่าหลงมนต์มาก
ตื่นตาตื่นใจ แต่ค่อยๆดูไปจะดีกว่า
เรื่องการ combine batt กับ solar พยายามกันมาเกือบ สิบปีละคับ
ตั้งแต่ มี solar tower มาแข่งกับ solar cell สุดท้าย fail ทั้งproject
ขอบคุณครับ อาจจะมีประเด็นแย้งเล็กๆน้อย ถือว่าแลกเปลี่ยนกันนะครับ

๑ ผมไม่แน่ใจว่า การชาร์จนั้น เรื่องเฟสจำเป็นหรือไม่ ผมคิดว่าเพียงแค่เฟสเดียวแล้วต่อ inverter เข้าแบต ก็น่าจะเรียบร้อย เพราะตัวแบตเอง การทำงานเป็นแบบกระแสตรงครับ ส่วน motor เท่านั้นที่ใช้กระแสสลับ

๒ เรื่องการลงทุนสายส่ง อันนี้ภาครัฐก็ต้องมาชั่งน้ำหนักล่ะครับ ว่าคุ้มมั้ย เพราะถ้าลดการนำเข้าน้ำมัน ลดการขาดดุล ลดมลภาวะ เมื่อประเมินแล้วคุ้มก็ควรลงทุน ฐานะทางการเงินของประเทศไทยก็ไม่น่าจะลงทุนไม่ไหวเหมือนลาว น่าจะพอทำไหว เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะอยู่กับประเทศไทยไปอีกนาน

๓ เรื่อง solar + battery ผมมองว่ามันเข้าใกล้เข้าไปทุกทีๆ เพราะต้นทุน solar cell กับ battery กำลังลดลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าตอนนี้มันยังไม่ถึงระดับที่คุ้มค่าใน scale ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีคนใช้ในระดับครัวเรือนกันแล้ว ผมมองว่าในระยะยาวมันจะค่อยๆเข้ามาผสมผสานกับระบบ grid ในที่สุด แต่ก็อย่างที่คุณบอกล่ะครับ ค่อยๆดูไปดีกว่า

๔ อันนี้นอกประเด็น ผมยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน fan club ของ Elon แต่ผมตามมาจาก SpaceX ครับ คือเคยได้ฟังเค้าพูดมานานแล้วว่าจะเอาจรวดกลับมาใช้ ผมก็คิดว่าไอ้นี่โม้แน่ๆ ใน presentation มีแต่จรวดเล็กๆ บินขึ้นลงในระดับความสูงไม่เกินสองสามกิโลเมตร ผ่านไปไม่กี่ปี พี่ท่านเอา first stage สูงพอๆกับตึกสิบชั้นกลับมาจากอวกาศได้ ไม่พอ เอามาใช้ซ้ำได้อีกด้วย!! ผมถึงได้รู้ว่าหมอนี่ของจริง แต่ก็แน่นอนล่ะครับ ดูเป็นเรื่องๆไป เรื่องรถไฟฟ้า ผมว่าแกก็ผลักดันได้ตามเป้าหมายอยู่นะ เพียงแต่แกมีข้อเสียคือ ชอบเพ้อเจ้อเรื่องกำหนดการณ์ต่างๆ คือไม่เคยทำได้อย่างที่คาดการณ์เลย แต่ข้อดีคือ ในที่สุดเป้าหมายนั้นจะไปถึงในที่สุด เช่นจะทำให้บริษัทผลิตรถได้วันละพันคัน ช่วงแรกๆ บางเดือนไม่ได้ซักคัน แต่ว่าปลายปีที่แล้ว ก็ทำได้ในที่สุด

๕ ในตอนนี้ ผมมองว่า TESLA กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ของ BEV คล้ายๆกับตอนที่ Apple สร้างมาตรฐาน smart phone ขึ้นมา TESLA แสดงให้เห็นว่า ในราคาเท่าๆกัน รถ BEV สามารถมีสมรรถนะหลายๆด้านเหนือกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน(ICE)ได้ บริษัทต้องการให้คนหันมาใช้รถ BEV เพราะมันดีกว่า ไม่ใช่เพราะมันไม่มีมลพิษ ดังนั้นบริษัทจึงออกแบบทุกอย่างให้คนใช้รถรู้สึกว่า คุ้มค่ากว่า ที่จะใช้รถแบบนี้ ผมเริ่มได้ยินคนบอกว่าจะชลอซื้อรถคนใหม่ รอซื้อรถ BEV มากขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ

ณ เวลานี้ แผนของ TESLA ดูแล้วเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าอะไรจะมาหยุดได้ ยอดจองรถ MODEL 3 ที่ราคาพอเอื้อมถึงสำหรับคนชั้นกลางยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทกำลังยกระดับเป็นบริษัทผู้ผลิตรถแบบ mass ได้ ตอนนี้เริ่มสร้างโรงงานที่จีน(Gigafactory 3) ต่อไปกำลังจะสร้างที่ยุโรป ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขยายไปอีกแค่ไหน ที่น่ากลัวคือ ยิ่งนานวัน บริษัทจะยิ่งได้ทั้งประสิทธิภาพในการผลิต ได้ economy of scale รถรุ่นใหม่ๆที่กำลังจะทยอยออกมา ก็ล้วนแต่กำลังจะแย่งส่วนแบ่งในตลาดรถ ICE

ที่ผมสนใจเรื่องรถ BEV กับการ disrupt วงการรถยนต์ เพราะผมรู้สึกว่ามันใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับประเทศไทยอย่างแรง ผมมองว่า TESLA กำลังเป็น Apple ในวงการรถยนต์ เป็น game changer ที่เปลี่ยน landscape ของทั้งวงการ ดังนั้นถ้าบริษัทไหนตามไม่ทัน หรือประเมินสถานการณ์พลาด ก็จะมีจุดจบแบบ Nokia ถ้าตามทัน ก็จะเป็น SAMSUNG หรือเจ้าอื่นๆที่แข่งขันได้ เท่าที่เห็น บริษัทรถใหญ่ๆที่จริงจังเรื่องการทำรถ BEV ก็มี NISSAN, เครือ VW, Hyundai ที่น่าเป็นห่วงคือ Honda, Mitsubishi หรือ Toyota ไม่ได้ลงมาเล่นเรื่องนี้ด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย ถ้าเกิดถูก disrupt ขึ้นมา อุตสหกรรมการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง เพราะการส่งออกรถยนต์ถือเป็นรายได้หลักของประเทศไทยเลยทีเดียว
โพสต์โพสต์