“Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ผักกาด
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 11

“Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 1

โพสต์

“Stay The Course” - The story of Vanguard and the Index Revolution

หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสนี้จะขออนุญาตค่อยๆเล่าถึงหนังสือเล่ม (น่าจะ) สุดท้ายของ Jack Bogle ก่อนที่เค้าจะเสียชีวิตเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาค่ะ
เล่มนี้ออกมาประมาณเดือนกันยายน 2018 ไม่ใช่การสรุปหนังสือทั้งหมดนะคะ เเค่อยากจะหยิบบางส่วนที่น่าสนใจมาเล่าเฉยๆค่ะ
book cover.jpg
20190121_170726.jpg
“If a statue is ever erected to honor the person who has done the most for American investors,
the hands down choice should be Jack Bogle.”

-Warren Buffett-

เป็น quote แรกที่เขียนถึงเจ้าของหนังสือ Jack Bogle (หรือชื่อจริงคือ John Clifton Bogle) ค่ะ

Jack เขียนคำนำหนังสือไว้เมื่อวันที่ 1 กันยายนปีที่แล้ว (2018) เล่าว่า เค้าเขียน “Stay The Course” ขึ้นมาเพื่อย้ำว่าการลงทุนไม่ว่าจะเป็นใน
กองทุนดัชนี หรือหุ้นก็ตาม เราต้องลงทุนเป็นระยะยาว ถือเอาไว้นานๆ อย่าไปหวั่นไหวกับความผันผวนรายวันของตลาดหุ้น
(stay the course แปลว่า keep going strongly to the end of a race or contest)

Jack บอกว่าหนังสือเล่มนี้จะแบ่งเป็น 4 parts โดย
Part 1 - จะเป็นเรื่องราวความเป็นมาของ Vanguard ที่เริ่มก่อตั้งปี 1974 และเริ่มทำ index fund ในปี 1975
Part 2 - จะเป็นกองทุนหลักที่ Vanguard funds ทำมา เช่น Wellington fund, index funds, Windsor funds, PRIMECAP funds, และพวก bond funds
Part 3 - Jack จะมาบอกว่าเค้ามองอนาคตของ investment management เป็นอย่างไรและมันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
Part 4 - จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Personal reflection ค่ะ

ส่วนตัวสนใจ Part 3 จะเล่าถึงละเอียดหน่อยค่ะ


“The First Index Investment Trust” ชื่อเดิม ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น “Vanguard 500 Index Fund”
มาดูผลงานกันก่อนค่ะ ตารางนี้บอกเราว่า ถ้าเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน $500 เหรียญ ตอนที่เริ่มมีกองทุนในปี 1977
เเล้วเติมเงินเเบบ DCA ไปเรื่อยๆ $100 ทุกเดือน ผลตอบแทน ณ. สิ้นปี 2017 จะเป็นดังนี้ค่ะ
untitled.png
Vanguard เป็นกองทุนที่มีขนาด US$ 5 Trillion บริหารเงินให้ลูกค้า 20 ล้านราย ดำเนินงานด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด คือเก็บแค่ at-cost basis เพราะวางโครงสร้างไว้ตามรูปด้านล่างนี้ค่ะ จะเห็นความแตกต่างจากกองทุนอื่นๆ ทั่วๆไป
structure.jpg
Jack Bogle เริ่มเล่าตั้งเเต่สมัยเป็นนักเรียนทุน ไปเรียนในโรงเรียนประจำทึ่ Blair Academy, New Jersey ช่วงนั้นประมาณปี 1945
พบจบเเล้วมาได้ทุนต่อที่ Princeton university เค้าเป็นนักศึกษารุ่น 1951 เเต่เรื่องมันเริ่มตอนที่ต้องทำวิทยานิพนธ์ แต่หาเรื่องทำไม่ได้
เเล้วไปอ่าน Fortune magazine ที่ออกมาของเดือน ธันวาคม 1949 หน้า 116 เป็นบทความเกี่ยวกับเรื่อง "Big Money in Boston"น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจเค้าเลยทีเดียว

ตามไปอ่าน ที่ Jack เขียนถึงบทความนั้นได้ที่นี่ค่ะ
http://johncbogle.com/wordpress/wp-cont ... -17-13.pdf

ไว้มาเล่าต่อค่ะ
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2636
ผู้ติดตาม: 269

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณนะ ตามมากด+ให้เลย
ผักกาด
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 11

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เย่ๆ ขอบพระคุณมากค่ะพี่ :oops: :wink:


เราโพสช้าหน่อยนะคะ วันละกล่อง พอดีทำงานด้วย ^^

###

Big Money in Boston เล่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติ, นโนบาย และการดำเนินงานของ Massachusetts Investor Trust (M.I.T) ก่อตั้งในปี 1924 เป็น open-end fund กองแรกและจนถึงปัจจุบันใหญ่ที่สุด
เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ Jack เขียนวิทยานิพนธ์ที่ไม่เคยมีนักศึกษาคนไหนเขียนมาก่อน
MIT.png
อันนี้ไปดึง factsheet 3Q2018 บางกองมาแปะค่ะ
MIT2.png
1951 Welter L. Morgan (Mr. Morgan) ซึ่งเป็นทั้งศิษย์เก่าที่ Princeton และเป็นทั้ง Mentor ในชีวิตการทำงานของเค้า
... พอ Mr. Morgan ได้อ่านวิทยานิพนธ์ของ Jack ก็ชวนเค้ามาทำงานที่ Wellington fund เลย
สมัยนั้นกองทุนยังไม่ค่อยใหญ่ ทั้งอุตสาหกรรมมีสินทรัพย์ ประมาณ $2 billion แต่ Jack บอกว่า
เค้าเห็นอนาคตเลยว่าอุตสาหกรรมนี้จะโตไปได้อีกและจะมีเม็ดเงินเข้ามาสูงขึ้น
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้มีสินทรัพย์สูงถึง $ 21 trillion

Wellington fund ลงทุนแบบ balanced fund คือถือพวกหุ้นผสมพันธบัตร บริหารไปเรื่อยๆ
แต่อุตสาหกรรมเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรต 1960s เค้าเรียกมันว่า Go-Go era
เป็นยุคที่กองทุนเริ่มเสนอแนวการลงทุนที่หวือหวามากขึ้น เริ่มมีไปลงใน speculative stocks
ทำให้กองทุนของเค้าถูกมองว่า หัวโบราณมากเกินไป มันเหมือนกองทุนของ Wellington เป็น bagel
ถ้าเคยทานมันจะแบบแห้งๆ แข็งๆ (แต่ Jack บอกว่ามันเต็มไปด้วยสารอาหาร) พออุตสาหกรรมเริ่มมีโดนัทเข้ามา
มันชวนอร่อยกว่า เพราะว่ามันนุ่มนิ่ม สีสันสดใส รสชาติหวานถูกใจ

Fidelity ก็เป็นหนึ่งในผู้นำของยุค Go-Go era ที่ทำให้กองทุนเหล่านั้นกลายเป็น “เหมืองทอง” ของผู้จัดตั้งกองทุน
.. แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน บางกองถึงกับส่อแววพิรุธในการรายงานผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม
บางครั้ง Jack ถึงกับสงสัยเลยว่านี่ใช่ของจริงแน่หรือ
?

เค้ายกตัวอย่างกอง Enterprise Fund ที่เพิ่งจะจัดตั้งกองทุนในปี 1967 แต่กลับมี return สูงถึง 117%
และพอสิ้นปี 1968 มีสินทรัพย์เพิ่มเป็น $950 million … แต่ว่าพอถึงปี 1977 สินทรัพย์ของกองทุนลดลง 84%
คือเหลือไม่ถึง $150 million แถมกระแสเงินสดติดลบถึง 22 ปี จากระยะเวลาดำเนินงาน 25 ปี (1970-1994)
สุดท้ายก็ต้องปิดกอง ออกจากตลาดไปในปี 2011

กลับมาที่ Wellington ความฮอตของหุ้นหวือหวาตอนนั้นทำให้ market share ของพวกกอง balanced fund ลดลงอย่างน่าใจหาย
ลดลงจาก 1955 = 40%, 1965 = 17%, 1970 = 5%, 1975 = แทบจะเหลือ 1%

Mr. Morgan ก็เรียก Jack มาคุยว่า เราจะเอายังไงดี เราเริ่มอยู่ไม่ได้แล้วนะ (ตอนนั้นปี 1965 เค้าอายุ 35 ปี)
Mr. Morgan บอกว่า “Jack, I want you to take charge and do whatever it takes to solve our problems”
มันเป็นอะไรที่เค้าจำได้ดีจนถึงวันนี้ (วันที่เขียนหนังสือ) ประมาณว่าเป็นการบอกกลายๆว่าเค้าจะต้องเป็นผู้สืบทอดต่อจาก Mr. Morgan
... ในที่สุด Jack ก็ตัดสินใจ ทางรอดคือต้องไป merge กับ fund firm อื่น ตอนนั้นเค้าคัดมา 3 ที่ เลือกเอาที่แบบงบการเงินแข็งแกร่ง
แล้วก็ยื่นข้อเสนอไปทุกแห่ง

แห่งแรก เป็น American Funds group ของ LA ที่ดูแลสินทรัพย์ประมาณ $1 billion (สมัยนั้นกองนี้จัดเป็นอันดับที่ 5 มีสินทรัพย์ประมาณ 3% ของอุตสาหกรรม )

แห่งที่ 2 เป็น กอง stand alone ใน Boston ชื่อ Incorporated Investors ซึ่งต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของ Putnam fund complex

แห่งที่ 3 เป็น Franklin Custodian Funds เป็นกองเล็กๆ ซึ่งตอนนั้นมีสินทรัพย์เพียง $ 17 million เท่านั้น
..ทุกวันนี้เรารู้จักกันในชื่อ Franklin Templeton Investments มีสินทรัพย์ประมาณ $415 billion ในปี 2018

ผลของการเสนอ merger proposal ไปคือทุกที่ปฏิเสธเค้าหมด!
สุดท้ายเค้ามาได้ที่ Thorndike, Doran, Pain & Lewis, Inc.ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆใน Boston มี partners 4 คนเป็นเจ้าของ
แต่มีทำกองประเภท Go-Go ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ชื่อ Ivest ตอนนั้นมีสินทรัพย์ประมาณ $ 17 million
และทำธุรกิจเกี่ยวกับเป็นที่ปรึกษากองทุนบำนาญด้วยค่ะ

แล้ว Mr. Morgan ก็อนุมัติการควบรวมในปี 1966



ตอนหน้าจะเป็น.. กำเนิดของ Vanguard !!!
jupiterwin
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 9

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ ติดตามด้วยคนครับ
ผักกาด
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 11

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณมากค่า ตามมาๆ


##

หลบหน่อยพระเอกมา

(ป.ล. เราไม่ได้เรียงตามหนังสือนะคะ อยากจะเล่าก็เล่า)



กำเนิดของ Vanguard – The Birth of a New Flagship
Vanguard logo.png
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ภายใต้การนำของ จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต กลายเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการทหารโดดเด่นไปทั่วทวีปยุโรป
นโปเลียนต้องการจะบุกเกาะอังกฤษเพราะอังกฤษถือเป็นภัยคุกคามสำหรับฝรั่งเศส
อังกฤษมีกองทัพเรือที่ขึ้นชื่อว่าทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก ที่กองเรือฝรั่งเศสเคยพ่ายแพ้มาแล้วอย่างหมดท่า
เมื่อเห็นดังนั้นฝรั่งเศสจึงหันไปร่วมมือกับสเปนที่เป็นพันธมิตร ซึ่งกองทัพเรือสเปนก็จัดว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร เข้าบุกหมายจะตีเกาะอังกฤษ

สิงหาคม 1978 ในการรบที่สมรภูมิแห่งแม่น้ำ Nile ทัพเรืออังกฤษภายใต้การนำของ พลเรือโท ลอร์ดเนลสันผู้ซึ่งบัญชาการรบอยู่บนเรือหลวง Vanguard
(ช่วงนั้นอยู่ภายใต้ ดยุคแห่ง Wellington) นำทัพเรืออังกฤษ 14 ลำ แยกเป็นสอง กอง กองนึงล้อมอยู่ด้านนอก
กองนึงแอบล่องเข้าไปตรงกลาง สามารถจมเรือรบของฝรั่งเศสได้ 17 ลำได้สำเร็จ (ดัดแปลงมาจาก Wikipedia และ history today.com ค่ะ)

โป๊ะ เช๊ะ! ในช่วงฤดูร้อนปี 1974 Jack ปิดหนังสือที่เค้าเพิ่งซื้อมา ... พึมพำกับตัวเอง อะไรมันจะเข้ากับชีวิตเราขนาดนี้
นายพลเนลสัน, ดยุคแห่ง Wellington (หมายถึง Mr. Morgan ในบริบทของ Jack) ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่หลังชนฝา
... บัญชาการรบบนเรือหลวง Vanguard... อีกอย่าง Vanguard ก็แปลว่าผู้นำแห่งแนวทางใหม่ด้วย .. อะไรจะลงตัวขนาดนั้น

เอาชื่อนี้ละวะ !!



##

กลับมาที่การควบรวมกับ 4 สหายแห่ง Boston ซึ่งเป็นการให้หุ้นของ Wellington Management Company
โดยที่ 4 partners ถือ 40%, ตัว Jack ถือ 28% และที่เหลือเป็น ผถห ในตลาดถือ 32%

สมัยนั้น พวกเค้าถูกเรียกว่า whiz kids
Whiz kids2.png
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หุ้น Nifty-Fifty กำลังมาแรงและไม่มีใครคิดว่าหุ้นเหล่านั้นจะตก ลงมาได้เลย
หุ้นแบบ Xerox, Polaroid, IBM, Avon, Digital Equipment พุ่งขึ้นไปสูงเกินกว่า 50 เท่าของ earning
แต่หลังจากที่ฟองสบู่แตกในปี 1973 ไมใช่เพียงเม่าอเมริกันที่ตายเกลื่อน แต่ยังรวมไปถึงผู้จัดการกองทุน,
นักลงทุนสถาบัน, บริษัทประกัน, และพวก college endowment funds

เหตุการณ์ดังกล่าว พลอยทำให้ business model ตัวใหม่ของ Wellington เละไปด้วย
สินทรัพย์ของ Ivest หายไปถึง 65% รวมไปถึงเจ้ากอง Go-Go 2 กองที่ทำเอาไว้ก็มีผลประกอบการย่ำแย่
และสุดท้าย failed ไปในที่สุด

ส่วนลูกพี่ once-conversative Wellington (กอง Wellington ที่ครั้งนึงเคยหัวโบราณ) ก็เละเป็นโจ๊กในช่วงปี 1966-1976

“we had a fiduciary duty both to our mutual fund shareholders and to our management company shareholders.
But when a privately held management company becomes publicly held, this conflict of interest is exacerbated”


1971 Jack เสนอแนวความคิดว่าเมื่อมันเกิด conflict of interest ในการบริหารจัดการกองทุนแบบนี้ เราควรจะเดินหน้า Mutualization ให้เต็มตัว
นั่นคือการเสนอให้ funds acquire management company เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุน (หุ้น) เป็นเจ้าของกองทุน และเค้าอยากจะทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆ


แต่ในความตลาดหมี ช่วง 1973-1974 ทำให้ partnership ที่ก่อตั้งขึ้นตอนปี 1966 ต้องแยกตัว ช่วงนั้นสินทรัพย์ของ Wellington
ที่เคยมีสูงสุดประมาณ $2 billion ในปี 1965 ลดลงมาเหลือไม่ถึง $ 1 billion และต่ำสุดที่ $ 480 million billion ในปี 1975
(คิดดู ว่าจาก 2000 เหลือ 480) ราคาหุ้นจาก $50/share >> $ 4.25/share

ช่วงเวลาแบบนี้... เราต้องหาแพะรับบาป ... แน่นอนว่าทุกคนชี้นิ้วมาที่ Mr. Bogle
ใช่ค่ะ.. Jack Bogle ถูกไล่ออกจาก CEO ของ Wellington Management Company ในวันที่ 23 มกรา 1974 และ Robert W. Doran ถูกโปรโมทขึ้นเป็น CEO
มันเป็นช่วงเวลาที่เค้าบอกว่าใจสลาย ... แต่ว่าเค้าเลือกที่จะสู้กลับ ในสมัยนั้นกองทุนจะถูกควบคุมดูแลโดยคณะกรรมการอิสระ ทำให้เค้ายังมีโอกาสสู้

เช้าวันต่อมา เค้าเรียก บรรดา board of directors ของกองทุน Wellington 11 กอง ประชุมกันที่นิวยอร์ค เสนอว่าเราควรจะประกาศตัวเป็นอิสระ
จาก Wellington Management Company แล้วจะทำการ mutualize กลุ่มกองทุน 11 กองของพวกเค้า เพื่อที่จะมาทำกันเองแบบ “at-cost” basis
ซึ่ง Jack บอกว่ามันจะเป็นการ disrupt อุตสาหกรรมกองทุน เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน แม้แต่ New York Times ยังไม่เข้าใจเลยว่า
อะไรกำลังเกิดขึ้น ... วันที่ 14 มีนา 1974 New York Times ลงข่าว “Ex-Fund Chief to Come Back”
Ex fund Chief to come back.png
แต่ว่าในประชุมครั้งนั้นบรรดา board of directors ของกองทุน Wellington กลับขอให้เค้าไปคิดดีกว่าเราจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างไง
ช่วงนั้นมันเป็นเหมือนสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่าง กลุ่มของกองทุน, CEO (Jack), และ Wellington Management Company
เค้าไปทำร่างเสนออยู่หลาย options แต่แน่นอนว่าเค้าค่อนข้างเอนเอียงไปทาง mutualization การดำเนินงานของกลุ่มกองทุน โดยการซื้อ Wellington’s mutual funds กลับมาทำกันเอง
แทนที่จะไปพึ่ง Wellington Management Company

แต่เพราะว่าขอเสนอของเค้าไม่เคยมีใครทำมาก่อน ทำให้ กลต. สหรัฐเองก็ไม่ค่อยแน่ว่าเค้าจะทำมันยังไง
สุดท้ายก็จบลงที่ประมาณว่า the Wellington funds จะต้องตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาบริหารจัดการกองทุน
โดยที่มี Jack เป็น CEO โดยนิยามของการบริหารจัดการนั้น .. ทำได้แค่ financial affairs, share holder recordkeeping,
legal & compliance, handling share purchases & redemptions
ประมาณว่าบริษัทใหม่ที่เค้าจะเข้าไปทำได้นั้นถูกจำกัดสิทธิ์ และกิจกรรมในการดำเนินงาน
(ประมาณว่าเค้าจะถูกจำกัดเรื่องการตลาด การโฆษณา การ distribution การเป็นที่ปรึกษาทางการลงทุน นู่น นี่ นั่น
แค่คอยซื้อขายหุ้น หรือหน่วยลงทุน ทำบัญชีรายงานงบได้แค่นั้นค่ะ)

เค้าถึงกับเซ็งไปเลย แล้วไม่เอาแล้วเลิก แต่ Jack บอกว่าเค้ายังโชคดีที่มีบอร์ดคนนึง
คือ Charles D. Root Jr. ที่เป็นคนที่เห็นต่างจากคนอื่น และเชื่อมั่นในตัวเค้า .
.. Jack ถึงกับบอกว่า ในเวลาที่แย่ๆ ขอแค่มีคนคนเดียวที่เข้าใจ มันก็เปลี่ยนโลกของเค้าทั้งใบแล้ว

Root บอกเค้าว่า ให้ทำต่อ “Jack, you can call the group anything you want.
And then go out and make it the finest name in the whole damn mutual fund industry!”

จะตั้งชื่อบริษัทอะไรก็ตั้ง แล้วทำให้มันเป็นชื่อที่ดีที่สุดของโลกของกองทุนเลยนะ

ทำยังไง Jack ก็คิดชื่อไม่ออกหรอกค่ะ จนกระทั่งไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้าที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่ มีคนขายสิ่งพิมพ์เก่าๆผ่านมาหาที่ออฟฟิศ
แล้วเสนอสิ่งพิมพ์และหนังสือที่เกี่ยวกับสงครามนโปเลียน แล้วมีเสนอแถมเรื่องเกี่ยวกับกองเรืออังกฤษเอาชนะฝรั่งเศสได้ในสมรภูมิแห่งแม่น้ำ Nile
มาด้วย เค้าก้อเลยซื้อๆมา

... และเค้าก็เริ่มพลิกๆหนังสือดู เหมือนตอนที่เค้าพลิกอ่านหนังสือ Fortune magazine สมัยหาเรื่องทำวิทยานิพนธ์นั่นเอง!

ขนลุกเลยเนาะ


ตอนต่อไป The Revolution of Index Fund
ผักกาด
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 11

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 6

โพสต์

โอ๊ะ ลง ปีผิด สมัยที่อังกฤษรบฝรั่งเศสต้องเป็น 1798 นะคะ ขอโทษค่า _/\_

พิมพ์จนมึน >\\<
ผักกาด
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 11

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 7

โพสต์

The Revolution of Index Fund


“The search for winning fund managers is a tough and ultimately unrewarding strategy for the vast majority of investors.”




ก่อนอื่นมาดูผลงานกันก่อนค่ะ
Disruptor2.jpg
Vanguard size2.png
ค่าใช้จ่ายของกองทุนในกลุ่ม Vanguard มีค่า Investment expenses และ operating expenses คิดเป็น 0.02% ในปี 2018
ลดลงมาถึง 94% จากปี 1977 ที่ตอนนั้นก็บอยู่ที่ 0.35%
Vanguard expense2.png
ลองนับดูเล่นๆแล้ว ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนขึ้นมาในปี 1975 จนถึงปัจจุบัน (2018) ผู้ถือหน่วยลงทุนของ Vanguard สามารถประหยัดเงินค่าธรรมเนียมไปได้ถึง $217 billion!!! แม่จ้าว


###

ถ้าที่พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญเป็นเรื่องจริง เรื่องราวของ Jack ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นแบบรูปธรรม (อันนี้ไม่มีในหนังสือนะคะ มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของเรา)


Paul A. Samuelson ได้รับรางวัลโนเบลจากการวิจัยของเค้า และงานวิจัยของ Paul ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสาร The Journal of Portfolio Management ในเดือนตุลาคม 1974 เรื่อง “The Challenge of Judgement”

Dr. Samuelson could find no “brute evidence” that fund managers could systematically outperform the returns of the S&P 500 Index “on repeatable, sustained basis”
…he demands that someone, somewhere, start an index fund modeled on the S&P 500. “As yet, there exist no convenient fund that aps the whole market, requires no load, and keep commission…fees to the feasible minimum”


ผลงานวิจัยของ Paul ระบุว่า เค้าไม่สามารถหาหลักฐานเพื่อที่จะพิสูจน์ได้ว่าจะมีผู้จัดการกองทุนคนใดที่สามารถบริหารกองทุน แล้วได้ผลตอบแทนชนะ S&P 500 index อย่างเป็นระบบ, ยั่งยืน โดยเป็นผลที่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำได้เลย

Paul บอกว่าต้องการให้มีใครสักคน ที่ไหนก็ได้ในโลก สร้างกองทุนที่เป็น index fund ไปลงแบบ S&P 500 โดยที่เก็บค่าธรรมเนียมให้ต่ำที่สุด
Challenge to Judgement.png
JackBoglePaulVolcker.jpg
... เชื่อมั้ยคะ ว่า Jack ได้อ่าน paper นี้ไม่กี่วันหลังจากที่เค้าเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้ง Vanguard ขึ้นมา .. เรื่องที่ Paul ทำวิจัยก็ไปสอดคล้องกับวิทนานิพนธ์ที่เค้าเขียนเมื่อ 24 ปีก่อน ตอนที่เค้าจะจบจาก Princeton “Mutual fund may make no claim to superiority over the market averages” ในวิทยานิพนธ์ของ Jack เขียนว่า ไม่มีกองทุนรวมใดในโลกที่สามารถอ้างได้ว่าทำผลตอบแทนชนะค่าเฉลี่ยของตลาด

หลักฐานคือ Jack ได้รวบรวมสถิติ annual return ของแต่ละกองทุนรวมที่มีอยู่ในสมัยนั้นย้อนไป 30 ปี (1945-1975) เทียบผลตอบแทนกับ S&P 500 เพื่อนำเสนอใน proposal เพื่อขอ board อนุมัติการจัดตั้งกองทุน “The First Index Investment Trust” (ชื่อเดิมของ Vanguard 500 Index Fund)

ผลตอบแทนเฉลี่ยของ S&P 500 Index = 11.3%
ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนรวมหุ้น = 9.7%


ถ้าใส่เงิน $1,000,000 ลงใน S&P 500 Index จะได้ $25,020,000
แต่ถ้าใสเงิน $1,000,000 ลงในกองทุนรวมหุ้นทั่วไปจะได้ $16,390,000

Board เห็นตัวเลขก็ทึ่ง แต่ยังกังวลว่า Vanguard จะทำได้เหรอ เพราะมีข้อกำหนดที่โดนแบน ห้ามทำนู่น นี่ค้ำคออยู่ Jack บอกว่า ก็ไม่ได้ทำอะไรนิ แค่ไปถือหุ้น 500 ตัวใน S&P 500 Index แค่นั้น

** Jack ได้ลองรัน model ซ้ำอีกทีในปี 2016 ใช้ข้อมูลช่วง 1985-2015 พบว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของ S&P 500 Index ยังคงสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของ actively managed large-cap blend funds อยู่ 1.6 percentage point.




บางตอนของหนังสือ Jack พูดถึงกองทุน Magellan Fund ของ Peter Lynch แห่ง Fidelity
จากที่เคยเล่าถึงมุมมองของ Jack ต่อ Go-Go era ไปแล้วนั้น กองทุนนึงที่ outperform คือ Magellan Fund หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากช่วงฟองสบู่แตกใน Go-Go era กองทุนนี้เปิดขายครั้งแรกปี 1963 แต่ Magellan ทำผลงานได้น่าประทับใจ สามารถเอาชนะ S&P 500 ได้ถึง 22. 5 percentage point ต่อปี ในช่วง 1975-1983 และทำผลงานดีต่อเนื่องอีกช่วง 1984-1993 โดยชนะ S&P 500 ได้ 3. 5 percentage point ต่อปี

แต่หลังจากที่ Peter Lynch ลาออก ผลงานของกองทุนเริ่มถดถอย และเริ่มแพ้ตลาดถึง 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 24 ปีหลังจากนั้น

Magellan ที่เคยมีสินทรัพย์สูงถึง $110 billion ในปี 2000 แต่ถึงปัจจุบัน 2018 เหลือสินทรัพย์เพียง $17 billion (หายไป $93 billion)

Jack ปิดท้ายว่า “He who lives by the sword shall die by the sword.”

** Note ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2018 ระดับ market share ของ Fidelity เริ่มนิ่งเพราะเข้ามาทำ Index funds ที่คิดเป็น 25% ของ Fidelity ‘s equity fund assets



###

2 ตอนสุดท้ายนี่จะออกดราม่าหน่อยๆ นะคะ และมีการพาดพิงบุคคลที่ 3 ถ้าอยากเคลียร์ยังไง
ให้ตามไปเคลียร์กับ Jack Bogle คนเขียนนะคะ เราเป็นคนอ่านที่เค้าเขียน แล้วเอามาเล่าให้ฟังค่ะ ^^

Please do not kill the messenger

Section นี้ยาวที่สุดในหนังสือ เล่าเรื่องประวัติความเป็นมาและผลการดำเนินงานของกองทุนหลายๆกอง รวมไปถึงช่วงเวลา ว่าผ่านมาได้อย่างไง แต่เราไม่มีเจตนาที่จะแปล หรือสรุปหนังสือ ดังนั้น มันอาจจะไม่ครบ แต่ถ้าสนใจไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ


###

ตอนต่อไป เป็นตอนจบที่เราจะเล่า (แต่ไม่ใช่ตอนจบของหนังสือนะคะ)

Future of Investment Management – Bogle’s view
Nono
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 90
ผู้ติดตาม: 2

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณมากครับ เป็นfood for thougที่ดีมากๆเลย
ผักกาด
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 11

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ฮูเร่ ขอบคุณมากค่ะ ดีต่อใจ


The Challenge to the S&P 500 Index Fund


"... funds should be managed and operated in the best interests of their shareholders,
rather than in the interests of advisers, underwriters, and others... The [Vanguard] funds are promiting this goal."


- SEC Administrative Proceeding File No. 3-5281, Feb 1981-


###

Jack Bogle ทำสถิติของ market share แต่ละ house ไว้ให้เราดูตามรูปนี้ค่ะ นับช่วงเวลาที่แต่ละ house
ถือครองสินทรัพย์สูงที่สุด และจำนวนสินทรัพย์ในปีปัจจุบัน
Funds mkt share.jpg
บางกองในเครือของ Vanguard ก็ติดอันดับกองทุนหุ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งชาติตั้งแต่สมัยก่อน (1985) เลยค่ะ
อย่างเช่น Windsor Fund ที่บริหารโดย John Neff

Jack เล่าว่า John Neff เป็นคนที่ทั้ง conservative และ aggressive เพราะ conservative ในแง่ที่จะเลือกหุ้นอย่างพิถีพิถัน
สาย VI แนว contrarian ชัดเจน... ถือรอได้ กว่าตลาดจะให้มูลค่าก็ต้องถืออยู่พักใหญ่
ส่วนเป็นพวก aggressive ในแง่ที่กว่ากล้าทำพอร์ตแบบ concentrate นั่นเอง
John Neff.jpg

Vanguard เป็น mutual fund complex แห่งเดียวที่ใช้ fund ดูแลตัวเอง Jack บอกว่ากองทุนรวมอื่นๆจะทำงานร่วมกับคนนอก
โดยเค้าจะทำกันได้ 3 แบบ คือ

1) privately owned
2) publicly owned หรือ
3) owned โดย domestic หรือ foreign financial conglomerate

ซึ่งแต่ละแบบพยายามที่จะเก็บค่าธรรมเนียมให้สูงที่สุดเพื่อที่จะ maximize profit ให้กับพวกของตัวเอง

เค้าเปรียบเทียบเทียบการออกกองทุนรวมก็เหมือนเด็ก มีพ่อแม่ (management company) คอยดูแลให้โต และออกไปใช้ชีวิต
ทำงาน สร้างธุรกิจของตัวเอง แต่กองทุนรวมจะต่างจากเด็กตรงที่จะไม่มีวันเป็นอิสระ และเติบโตด้วยตัวเองได้

เค้ายกตัวอย่าง ความพยายามที่เค้าจะไปทำแบบเดียวกันนี้ให้กองทุนอื่นนะ วันนึงโอกาสที่ Jack รอคอยก็มาถึง ในปี 1994
เมื่อ IBM ซึ่งมีโครงการกองทุนรวมสำหรับพนักงานที่เกษียณ โดยมีบริษัทในเครือชื่อ IBM Credit Investment Management ดูแลอยู่
ตอนนั้นมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ $950 million ทีนี้ IBM ต้องการจะอัพสเกลขึ้นไปเป็นระดับ public เลยต้องการคนมาจัดโดยที่ทาง
IBM Credit Investment Management ยังคงเป็นที่ปรึกษาอยู่ โดยทาง IBM ต้องการให้คนที่เสนอราคาสูงสุดเป็นคนดำเนินงาน

พอ Jack รู้ก็เข้าไปเสนอ proposal โดยที่บอกทางบริษัทลูกของ IBM ว่าจะไม่ให้อะไรกับทาง IBM และ และเค้าก็จะเก็บค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด
ซึ่งจะทำให้สามารถประหยัดเงินของผู้ถือหน่วยลงทุน (ซึ่งก็คือบรรดาพนักงานของ IBM และคนที่เกษียณไปแล้ว) ได้ถึง $ 1.2 million ในปีแรก
และอีกหลายล้านในปีต่อๆไป ... ไม่แปลกในเลยที่ผลสรุปคือ Jack ก็กินแห้วไป
ส่วน IBM Credit Investment Management ขายให้กับ Rhode Island’s Fleet Financial group ที่ราคา $ 14 million
**Note ว่าตอนหลังกองนี้กลายมาเป็น IBM 401(K) retirement fund ซึ่งเป็น index fund ที่เก็บค่าธรรมเนียมเพียง 0.12% เท่านั้นค่ะ

มีอยู่ 2-3 ประเด็นที่ Jack มองว่าเป็นความท้าทายในอนาคตค่ะ
มันมาจากประสบการณ์ของเค้าที่ทำแต่กองทุนรวมมาตั้งแต่เรียนจบเลย .. ทำมาทั้งชีวิต
เรื่องแรก คือสิทธิการโหวต ด้วยความที่กอง index fund ได้รับความนิยม และขยายตัวขึ้นเรื่อย
จากเดิมอยู่ที่ 2% ของ สินทรัพย์ใน equity fund ตอนปี 1987 กลายมาเป็นมีขนาดครึ่งนึง มันทำให้ Wall steet journal
ออกมาเขียนบทความว่ากอง index fund ที่เป็นพวก passive fund ไม่ควรจะมีสิทธิ์ มีเสียงในการโหวตในบริษัที่เค้าไปถือหุ้นอยู่
และควรจะยกสิทธิ์การโหวตให้กับพวกกองทุน active funds ... Jack บอก ไร้สาระที่ stock owners ต้องยกสิทธิ์ให้ stock renters
แต่เค้าไม่กังวลเท่าประเด็นต่อไป

ประเด็นต่อไป คือเรื่อง “common ownership” คือมันมี paper นักวิชาการจาก University of Chicago Law School
รวมไปถึงจากทุนวิจัยของ Yale ก็ดีระบุว่า กองทุนมักจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของหลายๆบริษัท ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า
บางกองไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่เป็นคู่แข่งกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน .. แล้วพวกกองทุนดันไปห้ามไม่ให้บริษัทมาแข่งกัน (ถือหุ้นใหญ่ไงคะ มีสิทธิ์พูด แสดงความเห็น)
ยกตัวอย่างกองเดียวกัน ไปถือหุ้นใหญ่ในหุ้นสายการบิน 2-3 ที่เป็นคู่แข่งกัน แล้ว paper ยังระบุว่า นักวิชาการแนะนำให้กองทุนเลือกถือหุ้นตัวเดียวของแต่ละอุตสาหกรรม
ณ. ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าการถือหุ้นใหญ่ของกองทุน ไปกีดกันการแข่งขัน

Jack บอกว่าอันนี้น่าเป็นห่วง เพราะถ้าเกิดใครบ้าจี้ เอาไปออกเป็นกฎหมายจริงจะเกิดปัญหาทันที เพราะว่าจะกองทุนถูกบังคับให้ต้องขายหุ้นบางตัว
เพื่อที่จะเหลือถือหุ้นแค่บริษัทเดียวในแต่ละ sector ซึ่งหุ้นหลายๆตัวเค้าถือมาตั้งนานนนนนแล้ว ทุนคือต่ำมาก แล้วอยู่ๆจะมาบังคับให้ขาย เพื่อต้องเลือก
แล้วกระทบกับผู้ถือหน่วยลงทุนอีก เพราะถ้ากองขายหุ้นออกมา ก็ต้องเสียภาษี อีกอย่างมันจะกระทบกับแนวทางการลงทุนแบบ diversify portfolio อีกด้วยค่ะ

ต่อมาคือปัญหา Oligopoly ในหมู่กองทุนรวม Jack บอกว่ามันไม่ได้เป็น Oligopoly เพราะว่ามี barrier of entry แต่เพราะค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากๆ
ทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากเข้ามาทำ เพราะไม่ได้อะไร อย่างตอนนี้แค่ 3 บริษัทแรก ก็กิน market share ไป 80% ของ index fund assets แล้วค่ะ

Vanguard 50%
BlackRock 20%
State Street Global 10%

ทีนี้พอมีผู้เล่นไม่กี่ราย ก็จะเป็นเป้าที่จะโดนคนของทางการเพ่งเล็งได้

นอกจากนี้ Jack ยังพูดถึงกฎหมายที่จะออกมาควบคุมในอนาคตค่ะ แต่เราไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้ ถ้าท่านใดสนใจ สามารถไปอ่านรายละเอียดเพื่มเติมได้ค่ะ

just buy hay stack.jpg
เรื่องที่จะเล่าก็ขอจบประมาณนี้ค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เเวะเข้ามาอ่าน, กด + และให้กำลังใจนะคะ
มันดีต่อใจคนโพสมากเลยค่ะ เพราะตั้งใจเขียนมากๆ ^^

ถ้าลงอันไหนผิด ขออภัยด้วยนะคะ
Buffett on Jack Bogle.jpg
nu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 446
ผู้ติดตาม: 15

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 10

โพสต์

สุดอยอดไปเลย

ขอบคุณมากครับคุณผักกาด
ภาพประจำตัวสมาชิก
nuthjira
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 240
ผู้ติดตาม: 73

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณครับคุณผักกาด
....ความโลภจะนำนักลงทุนส่วนมาก ไปแสวงหาทางลัดเพื่อความสำเร็จในการลงทุน
แทนที่จะคาดหวังผลตอบแทนทบต้นที่เหมาะสมในระยะยาว ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
SawScofield
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 7

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณมากครับทั้งส่วนของหนังสือและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพิ่มเติม
แถมหยิบยกและลำดับเรื่องราวได้ยอดเยี่ยมเลยครับ

รู้ตัวอีกตัวกดสั่งหนังสือมาประดับชั้นวางหนังสือ เอ้ย สั่งมาอ่านแล้วครับ 555+
Respect, Persistence then Deserve
halogenza
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 1

Re: “Stay The Course” / หนังสือเล่มสุดท้ายของ Jack Bogle

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณมากครับ ความรู้ล้วน ๆ
โพสต์โพสต์