Money@SET23/12/62ลงทุนอะไรดี&กลยุทธ์VIปี62

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 1

Money@SET23/12/62ลงทุนอะไรดี&กลยุทธ์VIปี62

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัมมนา Money Talk@SET
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
ช่วงที่ 1 “ลงทุนอะไรดีปี 62?”

1) ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
2) ดร.สมจินต์ ศรไพศาล
3) คุณ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
_____________________

ลงทุนอะไรดีปี 62?
ดร.สุวรรณ
สมัยก่อนถ้าลงทุนหุ้น ถือไว้จะ side way up โตขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้คงลงทุนแบบขี้เกียจไม่ได้

ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ลงไปกว่า 7-8%
ระยะหลังติดตามดูตลาดนิวยอร์ค ก็ปรับตัวลดลงอย่างน่ากลัว
โดยที่จริงไม่ได้มีอะไรมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1.ผลประกอบการออกมาก็ค่อนข้างดี ไม่ได้มีวิกฤติแบบ hambergur crisis, subprime
2.บริษัทหลายแห่งก็ยังมีเงินสดเหลือจำนวนมาก
เช่น apple, google, microsoft, คุณปูบัฟเฟตต์ ก็มีเงินกันเป็นแสนล้านเหรียญ
3.ทรัมป์ลดภาษ๊นิติบุคคลทำให้บริษัทจดทะเบียนอัตรากำไรดีขึ้น
4.อัตราคนว่างงานลดลงเหลือ 3% กว่า

จากข้อมูลในอดีต ถ้าลงทุนระยะยาวในหุ้น
ผลตอบแทนเฉลี่ยจะโตเร็วกว่าฝากแบงค์ 8.06%
แต่ต้องพยายามจัดการความผันผวน ต้องตั้งสติให้ดี

หลายคนเข้าออกผิดเวลา ถ้าหากซื้อหุ้นอยู่นิ่งๆ 20 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.2%
แต่หลายคนเข้าๆออกๆ ผลตอบแทนเฉลี่ยเหลือเพียง 4.7%
ธรรมชาติคนทั่วไปเมื่อซื้อหุ้นวันแรกก็เก็งว่าหุ้นจะขึ้น (optimism)
แต่เมื่อหุ้นขึ้นมาดีใจ (elation)
พอหุ้นตกลงก็กระวนกระวายใจ (nervous)
พอตกลงไปอีกก็กลัว (fear) ทำให้หนีออกจากตลาด
ซึ่งหากอยู่ต่อไปหุ้นดีๆก็จะกลับขึ้นมาใหม่สูงกว่าเดิม
อย่างเช่น บัฟเฟตต์ที่ไม่เคยขายโคคาโคล่า

ดังนั้นต้องถามตัวเองว่า อยากเป็นนักลงทุน ก็ต้องถือยาว
หรือ เป็นนักค้า ก็ต้องถือสั้น
ในช่วงที่เกิดวิกฤติ หุ้นจะตกลงอย่างมาก ต้องเข้าใจธรรมชาติที่เคยเกิดในอดีต

ในการลงทุนมีบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือ ความผันผวนตลาด, อัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ
แต่สิ่งที่ควบคุมได้ คือ จะเลือกลงทุนแบบไหน ลงทุนหุ้น หรือลงทุนตราสารหนี้

บัฟเฟตต์บอกว่าเขาเป็นคนลงทุนระยะยาว
เมื่อจะลงทุนต้องถามตัวเองว่า ลงทุนยาว หรือ ลงทุนสั้น ?

การลงทุนระยะยาวดีกว่าลงทุนระยะสั้นเสมอ
ส่วนตัวซื้อ tmb set 50 ตอนนั้นขายออกเมื่อ 18 ปีก่อน ซื้อไป 140 ล้านบาท
และขึ้นรวดเร็วมาก ดัชนีต่ำมาก หลังต้มยำกุ้งใหม่ๆ ขึ้นจาก 10 เป็น 17 บาท
ถ้าหากเก็บไว้วันนี้จะเป็นเงิน 1400 กว่าล้านบาท

ไม่ว่าจะลงทุนแบบไหน เพื่อนที่ดีที่สุดคือเวลา
ต้องถามตัวเองว่าคุณะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
การลงทุนต้องเลือกตัวที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
เช่น tmb set 50 0.5%, voo ลงทุน s&p ที่อเมริกา 0.04%

จะมีเงินมากน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่จะมีความสุขหรือเปล่า

เคยคุยกับคนหนึ่งบอกว่าจีนปีหน้าจะน่ากลัวมาก
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากเกินไป เช่น รถไฟความเร็วสูงไปธิเบต จะมีคนใช้มากแค่ไหน?
อย่างในไทย ถ้ารถไฟฟ้าวิ่งจากบางใหญ่เข้าเมืองจ่าย 200 บาท
คนไม่มีเงินก็หนีไปขึ้นรถตู้แทน

ดร.สมจินต์
ถ้ามองย้อนหนึ่งปีที่ผ่านมา ในภาพการลงทุนในโลก
• อัตราดอกเบี้ยอเมริกาที่ปรับขึ้นมาเป็นปัจจัยสำคัญสุด
ควบคู่กับเศรษฐกิจอเมริกาที่ดีขึ้น ดอลลาร์ที่แข็งขึ้น
ทำให้เงินทุนไหลออกจาก emerging market ไปที่อเมริกามากขึ้น
ทำให้ผลตอบแทน emerging market สู้ไม่ได้
• desychronization growth คือ เศรษฐกิจในโลกเติบโตได้แตกต่างกันมาก
คือ อเมริกาโตเยอะ แต่ญี่ปุ่น ยุโรป โตน้อย

แต่ปีหน้าจะเปลี่ยนไป
กราฟข้อมูลจาก CIO East spring
เส้น US Dollar ขยับขึ้นไปพร้อมกับ เส้น MSCI emerging market ลดลงอย่างมาก
สิ่งที่คาดคือ จะเห็นดอกเบี้ย US สูงสุดแล้ว จะทำให้เกิด resychronization
คือ ดอลลาร์เริ่มเสถียรขึ้น และอาจจะมีเงินที่ไหลกลับมาที่ emerging market มากขึ้น

สิ่งที่รู้ว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆคือความผันผวน
ซึ่งแม้จะมีการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดตลอดเวลา แต่ไม่สามารถรู้จริงๆได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
FED Chairman เริ่มเปลี่ยนมาบอกว่าดอกเบี้ยขึ้นมาพอสมควร
เริ่มเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งปีหน้าอาจเป็นจุดสูงสุดของดอกเบี้ยอเมริกา
ส่วนของไทย ที่เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยไป ส่วนตัวมองว่าธปท.บริหารอย่างมีเหตุมีผล
ท่านผู้ว่าฯได้บอกว่าไม่ได้ตั้งธงว่าดอกเบี้ยต้องขึ้นไปที่ไหน แต่พิจารณาไปตามข้อมูล

สิ่งที่เราทำได้คือ
จัดทัพลงทุนให้มีน้ำหนักที่มีสัดส่วนหุ้น
ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากหน่อย ในช่วงที่เศรษฐกิจดี มีติดลบบ้างในบางช่วงเวลา
แต่เฉลี่ยแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากธนาคาร

จากข้อมูลผลตอบแทน 2017>>2018>>2019(F)
จีนอัตราผลอตอบแทน 6.9% >> 6.6% >> 6.2%
emerging 4.7%>>4.7%>>4.7%
อเมริกา 2.2%>> 2.9%>>2.5%
ภาพข้างหน้าอัตราเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตใกล้เคียงมากขึ้น ในระดับที่ต่ำลง

ผลกระทบจาก Trade war ที่อเมริกากับจีนเป็นตัวหลัก
เวลาที่มองถึงเศรษฐกิจไทยที่ดีในปีก่อนหน้าส่วนหนึ่งมาจากการท่องที่ยว
ซึ่งนักท่องเที่ยวจากจีนน้อยลง เราก็คิดว่ามาจากการดูแลความปลอดภัยไม่ดี
หรือมีพูดกระทบหมางใจกัน แต่ที่จริงแล้วปัจจัยอาจมาจากภายในประเทศจีนเอง
ที่มีอารมณ์อยากกินอยากเที่ยวลดน้อยลง

หากปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ทำให้เกิดความผันผวนและไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
ผลกระทบจะดีหรือแย่ก็อาจประเมินไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือ เตรียมใจและเตรียมตัว
มี portfolio ที่รับสภาพความผันผวนนี้ได้
หากขายออกไปแล้วรอ ถ้าหากตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องจะทำอย่างไร
ดังนั้น แนวคิดอย่าง อ.สุวรรณ ได้เล่าไว้นั้นสำคัญ
คือ “ลงทุนอย่างไร” สำคัญกว่า “ลงทุนอะไร”

ปัญหาความไม่แน่นอนคือเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอด้วย
ดังนั้น การมองตลาด ต้องมองแบบยอมรับว่าเราเห็นควาไม่แน่นอนทั้งหมดไม่ได้

ถัดมาคือ มองตัวเอง โดยให้มองแบบจัดทัพฟุตบอล
กองหน้า ทำประตูเพื่อชัยชนะ
กองหลัง รักษาประตูไม่ให้พ่ายแพ้
กองกลาง เสริมหน้าเมื่อได้เปรียบ ลงหลังเมื่อเพลี่ยงพล้ำ

ในการลงทุนก็สามารถแบ่งเงินตามหน้าที่ได้
เรามีวัตถุประสงค์การลงทุน 3 หน้าที่ใหญ่ๆ

1. กองหน้า สร้างความมั่งคั่ง มีบ้าน มีรถ มีเงินเกษียณ ส่งลูกไปลงทุนที่ดีๆ
เงินก้อนนี้ควรเป็นกองหน้า สร้างผลตอบแทนสูงๆในระยะยาว
ความเป็นจริงเครื่องมือที่ให้ผลตอบแทนสูงระหว่างทางจะผันผวนมาก
เป็นทรัพย์สินที่ high risk high return คือ หุ้น
ที่สำคัญต้องเป็นเงินทุน ลงทุนได้ยาว อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป
เป็นหนึ่งวงจรเศรษฐกิจตามตำรา
หากเข้ามาในช่วงตลาดดีมาก จะแพง หากออกไปในช่วงตลาดไม่ดี จะขาดทุนได้สูง

2. กองหลัง รักษาเงินต้น เอาไว้ใช้มีสภาพคล่อง
อาจเป็นเงินฝากที่มีระยะเวลา หรือ กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน,
กองทุนรวมตราสารระยะสั้นหรือระยะกลางที่ไม่ผันผวนมาก

3. กองกลาง พันธบัตร,ตราสารหนี้
แต่ระยะหลังเมื่อมี hamburger crisis
การลงทุนในพันธบัตรได้ผลตอบแทนน้อยและยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนด้วย
จึงมีทางเลือกของทรัพย์สินอีกประเภทคือ income asset
ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, REIT,
กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ
เครื่องมือกลุ่มนี้อาจมีความผันผวนบ้าง แต่ก็อยู่ระหว่าง หุ้น และเงินฝาก

ในสถานการณ์ที่หากเงินกองหลังใช้หมดลง เราก็อาจเอากองกลางขายมาใช้ได้
ในทางกลับกัน ถ้าสภาพตลาดมีโอกาสเกิดขึ้น
ก็สามารถเปลี่ยนกองกลางมาเป็นกองหน้าในการลงทุนได้
เรียกว่า การจัดทัพลงทุนโดยมุ่งวัตถุประสงค์

คำสัญ คือ "สอดล้องวัตถุประสงค์"
ต้องรู้เรารู้เขา รู้ว่าเงินของเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร
รับความเสี่ยงได้แค่ไหน เครื่องมือที่จะหยิบมาใช้
มี risk return profile อย่างไร มีผลตอบแทน ความผันผวนอย่างไร

การที่จัดเงินไปกองหน้า อย่าให้มีความเสี่ยงกระจุกตัว concentration risk
เช่น เลือกหุ้นตัวเดียวที่ดีสุด และหวังจะรวยจากตัวนี้ ซึ่งเราอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ประสบการณ์พบว่าความผิดพลาดสำคัญเกิดจากความเชื่อมั่นมากเกิดไป
ทำให้เกิดความเสียหายมากๆ ต้องกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ซึ่งหากกระจายความเสี่ยงเองไม่ได้
การลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนส่วนใหญ่

โค้ชหนุ่ม
ถ้าถามปีหน้าจะลงทุนอะไร จะถามกลับว่า
1.ลงทุนทำไม ?
2.รู้จักเครื่องมืออะไรบ้าง?
3.รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ?

ถ้าเอาตราสารหนี้ไปวางแผนเกษียณก็เสี่ยงนะ
ถ้าอายุน้อยๆลงทุนเกษียณด้วยตราสารหนี้ก็อาจไปไม่ถึง

ถ้าจะจัดการเงิน เงินที่เรามีควรจัดไว้สามส่วน
1.ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อย่างน้อยก็ 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
ลงทุนในทรัพย์สินมีสภาพคล่องคล้ายๆที่อ.สมจินต์บอก
2.เก็บเงินไว้สำหรับลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนดัชนี เริ่มต้นเท่าที่ไหวก่อน
3.สร้างอัตราเร่ง คือ เกษียณได้เร็วขึ้น

ส่วนตัวสร้างความมั่งคั่งจากอสังหาริมทรัพย์จึงอยากแชร์ในส่วนนี้
ช่วงที่ผ่านมามีการหลอกลวงในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
เด็กสมัยนี้ต้องการความเร็ว อยากมั่งคั่งตอนอายุน้อยๆ
มีเคสน้องคนหนึ่งลงทุนคอนโด 4 ห้องพร้อมกัน และมีการรับประกันว่าจะมีคนเช่า
ปรากฏซื้อจริงไม่มีคนเช่า ไม่มีเงินคืนให้

เมื่อหุ้นซึมๆก็จะมีคนหันไปหาช่องทางอื่น
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ก็ซึมๆเหมือนกัน
ข้อดี/ข้อเสีย อสังหาฯ
1. จับต้องได้ ถ้าลงทุนในหุ้นจะเห็นตัวอักษรไม่กี่ตัว
2. ใช้ leverage ได้ ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงด้วย
3. มีอำนาจในการควบคุมมากกว่า
อสังหาบางพื้นที่ก็ยังลงทุนได้ อย่างไปเชียงใหม่ตอนนี้ก็เจอคนจีนเต็มเลย
หรือ แถวสุขุมวิท แต่ละซอยก็แทบไม่เหมือนกัน
บางซอยเป็นญี่ปุ่น บางซอยเป็นคนต่างชาติมาทำงาน
อสังหาริมทรัพย์เราสามารถเลือก สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า
4. สภาพคล่องต่ำ ถ้าอย่างหุ้นยังซื้อเช้าขายบ่ายได้
แต่ซื้ออสังหาฯเหมือนแต่งงาน ไม่ได้ซื้อขายแล้วจบง่ายๆ

อสังหาฯลงทุนอะไรดี
คนส่วนใหญ่ก็คงคิดจะเล่นเก็งกำไรเหมือนหุ้น แต่น้อยคนจะมองเพื่อเก็บค่าเช่า
ช่วงนี้จะเก็งกำไรคงยากมาก เทียบกับสองปีก่อนจองไม่นานประกาศขายก็ทำกำไรได้
จะมีอสังหาฯกลุ่มที่ลงทุนเก็งกำไรได้ คือ กลุ่มตลาดบน
ราคาสิบล้านขึ้นไป หรือ รองลงมาราคาห้าล้านขึ้นไปก็พอได้
แต่ถ้าคอนโดราคาสองสามล้านบาทจะเหงาหน่อย

การลงทุนเน้นค่าเช่า ทำได้บางที่
ถ้าเจอทรัพย์ร้อยชิ้นคงมีสักยี่สิบชิ้นที่ทำกำไรได้
ซึ่ง yield ที่จะลงทุนได้คืออัตราดอกเบี้ย +2%

ปัญหาคือ เวลาจะลงทุนจริงได้ yield กี่ %
วิธีคิด คอนโด 5 ล้าน ปล่อยเช่า 4 หมื่น x 12 เดือน ได้ yield 9.6%
แต่นั่นคือ ผลตอบแทนค่าเช่า แต่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย
และถ้าหากซื้อด้วยเงินกู้ ผลตอบแทนก็จะเปลี่ยนไปอีก
นี่เป็นสิ่งที่อันตรายของการลงทุน ต้องศึกษารายละเอียด

ผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์
1.ถือครองไว้และจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
เช่น ซื้อบ้าน อยู่อาศัยไปเรื่อยๆ อยู่ไป อีก 20-30 ปี ราคาก็เพิ่ม
สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มคือ เงินเฟ้อ, ระยะเวลาถือครอง,
ความเจริญเติบโตของพื้นที่ ต้องดูว่าที่บริเวณนั้นทำให้ดำรงชีวิตได้ไหม
มีที่กินข้าว มีโรงพยาบาล ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ประกอบก็จะอยู่ได้
, Supply หากที่ตรงนั้นจะสร้างใหม่ไม่ค่อยได้แล้ว ก็จะยากที่ราคาจะตกลงไป
2. ให้กระแสเงินสด กลุ่มที่คิดว่าน่าจะทำผลตอบแทนได้
คือ ตลาดบนเช่น ชาวต่างชาติมาเช่า ซึ่งจะทำราคาได้สูง
3. ค่าเช่า ส่วนหนึ่งไปตัดหนี้หรือเงินต้น (equity build up)
อีกส่วนหนึ่งไปตัดดอกเบี้ย ใช้เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้

ในการลงทุนมักได้ยินข้อมูลที่ผิดเพี้ยน
เช่น คอนโดแนวรถไฟฟ้าลงทุนได้ >> ไม่จริง ไม่ได้ลงทุนได้ทั้งหมด
สำคัญคือ ต้องอยู่ใกล้จุดขึ้นลง
และต้องมีความคึกคักทางเศรษฐกิจด้วย อย่างเช่น สายสีม่วง
เทียบกับแถวตลาดหลักทรัพย์ต่างกัน

ความรู้ต้องแยกให้ได้ ว่าอะไรคือข้อคิดเห็น อะไรคือข้อเท็จจริง
บางแห่งตึกยังไม่มีเลย มีห้องตัวอย่าง แต่บอกได้หมดว่าจะได้ค่าเช่า ผลตอบแทนเท่าไร
ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิสูจน์ ไปดูพื้นที่จริง ไปดูตึกใกล้เคียง
ว่าขายได้เท่าไร ให้เช่าได้เท่าไร

ในช่วงปี 2008 เคยได้ประโยชน์จากวิกฤติ
ขายอสังหาฯได้ 10 ห้อง นำเงินไปลงทุนช่วงที่หุ้นตกพอดี
ได้เข้าซื้อหุ้นโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
ราคา 19.5 ซื้อไปสองปี ขึ้นไป 58 บาท ก็ขายหมด
ปรากฏขึ้นไปต่อก็ต้องกลับมาซื้อใหม่
พอรอบหลังกลับไปซื้อร้อยกว่าบาทหุ้นขึ้นก็ไม่ขายปรากฏราคาลง

การลงทุนยากทั้งซื้อและขาย อสังหาฯก็ยากเช่นกัน
เร่มตั้งแต่ดูว่าอสังหาฯดีไม่ดีดูอย่างไร การหาเงินกู้ ค่าธรรมเนียม
การถือครองทำอย่างไรให้เพิ่มมูลค่า ลดค่าใช้จ่าย
เมื่อมีคนมาขอซื้อจะขายอย่างไร หรือคนอื่นประกาศขายกันเราจะขายไหม

ประเด็นคือ รู้ไหมลงทุนทำไม และรู้จริงไหม
high understanding high return

ขอคำแนะนำในการลงทุน ปี 62 ?
ดร.สุวรรณ
สิ่งสำคัญคือ ต้องอ่าน ต้องดูข่าวให้มาก
บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ สามร้อยหน้าทุกวัน
ส่วนตัวทุกวันนี้อ่านสามสิบหน้าทุกวัน ได้สิบเปอร์เซ็นต์

ปี 62 อยากลงทุนในสิ่งที่ผลตอบแทนสูงแต่มีสภาพคล่อง
หุ้นที่ชอบปันผลสูง ,ยอดขาย/กระแสเงินสดดี,กรรมการบริษัทดี
ทรัพย์สินส่วนตัวที่ลงทุนคือ อสังหาฯที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ซื้อ 150 ล้านเป็น 800 ล้านบาท
,กองทุนอสังหา,ทองคำในช่วงสิบปีที่ผ่านมาหยุดซื้อไป ปันผลดอกเบี้ยก็ไม่มี
ทุกวันนี้อาจจะขาดทุน คนที่น่าซื้อมีอยู่คนเดียวคือคนที่จะไปหมั้นสาว,
ตราสารหนี้ก็หยุดซื้อไปสิบกว่าปี,
หุ้นกู้ซื้อครั้งสุดท้าย 12 ปีก่อน ของ ปตท. เป็น step up 5% และปรับขึ้นทุก 5 ปี
ตอนนี้ดอกเบี้ย 6.2% เหลืออีก 5 ปีสุดท้าย

คิดว่าวิชาที่ดีตอนนี้คือ วิชาจิตวิทยา และ behavior science
เหมือนสตีฟ จ็อบที่ออกไอโฟน
อย่างที่ไปเรียน havard เรียน 9 เดือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
แต่ตัวที่ทำให้เก่งคือประสบการณ์ทำงาน
หลายท่านมีเงินทุกวันนี้ใช้จนตายชาติหน้าก็ไม่หมด
แต่ได้ความสุขท้าทายลงทุนแล้วชนะ หลายสิ่งเงินซื้อไม่ได้

ดร.สมจินต์
ในเรื่องการลงทุนควรขึ้นถึง Core Investment เงินลงทุนที่เป็นแกน
และมี Satelite investment ส่วนเสริมเพื่อเพิ่มกำไร

เงินลงทุนที่เป็นแกน เช่น tmb set 50 การลงทุนแค่ในไทยทุกวันนี้อาจแคบเกินไป
ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และความผันผวนในโลก
จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ลงทุนวันนี้จะดีได้อีกในหลายสิบปีข้างหน้า
ดังนั้นการเลือกหาผู้จัดการกองทุนที่ดี เลือกหุ้นที่สมสมัย
มีกองทุนที่ดีแห่งหนึ่งคือ global quality growth
จะเลือกบริษัทที่ดี ขายของดี ได้ราคา คุมต้นทุนได้ดี เก็บเงินได้
วัด cash flow margin เป็น ตัววัดคุณภาพบริษัท ซึ่งต้องมาควบคู่การเติบโต
ถ้าหากราคาแพงไปก็ไม่เหมาะกับการลงทุน
และต้อง fair กับนักลงทุน มีกำไรก็แบ่งปันในรูปแบบเงินผันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน

การลงทุนในอสังหาฯ ความเสี่ยงคือสภาพคล่อง
ทางเลือกอีกแบบคือลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนอสังหาฯหลากหลาย
ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ คือ Property income plus
จ่ายปันผลไปแล้ว 15 ครั้ง กองทุนประเภทนี้การันตีเงินปันผลไม่ได้
แต่สินทรัพย์มักให้กระแสเงินสดค่อนข้างสเถียร

สิ่งสำคัญ ต้องมีการเตรียมใจและเตรียมตัว
มองเห็นการลงทุนภาพระยะยาวจะทำให้ผ่านปี 62 ไปได้

โค้ชหนุ่ม
การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เมื่อใช้ชีวิตเจอเรื่องดีก็มีกำลังใจ
เจอเรื่องร้ายก็ปลอบใจเดินหน้าต่อ
เครื่องมือที่เลือกลงทุนแต่ละพอร์ต กลยุทธ์สนับสนุนคืออะไร
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีวิธีจัดการอย่างไร
อย่างน้อยจะได้ไม่ตัดสินใจทำอะไรแปลกๆ

เมื่อตั้งกติกาได้ดีก็อยู่ได้ จนกระทั่งจุดตัดสินใจที่จะลงมือทำ
การที่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ในแต่ละพอร์ตจะทำให้เราอยู่ได้

เชื่อว่าข้างหน้าจะมีความผันผวน
ทุกครั้งที่ผิดพลาดน่าสนใจที่หันกลับมาหาสาเหตุ และพัฒนาความรู้ในการลงทุน

ถ้าเดินไปถามกูรูว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนไหม กลับมาเจออีกทีเขาขายไปแล้ว
หากเราไม่สามารถตัดสินใจได้เองก็ไม่เกิดประโยชน์

การลงทุนช่วงแรกเราไม่รู้จักมันดี พออยู่นานขึ้นเริ่มเห็นธรรมชาติ
เมื่อรู้ตัว ตัดสินใจได้เอง ทำให้เราอยู่กับการลงทุนได้มีความสุข

ยุคนี้อย่างไรก็ต้องอยู่กับการลงทุน และต้องอยู่แบบรู้
ไม่ใช่หุ้นขึ้นก็งง ลงงงกว่า ลงทุนแล้วกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็นความทุกข์

ต้องเข้าใจธรรมชาติ
การลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนไปตลอดชีวิต
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน

อ.สมจินต์
อย่างที่ดร.สุวรรณบอก ว่า เงินมีเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเรามีความสุขกับมันไหม
ปีนี้หนังสือเล่มใหม่ที่จะออกชื่อ happy money ฉลาดใช้มีความสุข

เวลาที่มีความสุขนอกจากเห็นเงินคือ เวลาแห่งการใช้เงิน
กลยุทธ์ระหว่างของกับประสบการณ์ ประสบการณ์ให้ความสุขที่ยาวนานกว่า
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ใช้เงินแล้วมีความสุข
ระหว่าง การซื้อรถป้ายแดง หรือ การนั่งทานข้าวกับครอบครัวหรือไปเที่ยวด้วยกัน ?

การที่ไปซื้อกาแฟลาเต้ วันแรกหอมหวลชื่นใจ หลังจากนั้นที่ดื่มทุกวันความหอมมันหายไป
สิ่งที่จะเรียกความสุขนั้นกลับมาได้คือ สร้างลาเต้เดย์ขึ้นมา แล้ววันอื่นไม่ต้องซื้อ
ทำให้เกิดการรอคอยและความตื่นเต้นจะเพิ่มขึ้น

การทำให้พิเศษขึ้นมามันมีรางวัลกับชีวิต
บางครั้งสิ่งที่ทำให้เป็นของตายจะหมดคุณค่าไป
เหมือนคู่ชีวิตที่แต่งงานกันไปห้าปีเจอทุกวันความตื่นเต้นมันหายไป
กลยุทธ์คือ หาเวลาแห่งสองเราสัปดาห์ละครั้ง เพื่อมาเจอหรือใช้ชีวิตร่วมกัน

สิ่งที่จะชี้ให้เห็นคือ การมีเงินพอสมควรเป็นสิ่งสำคัญ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความชาญฉลาดในการใช้เงิน
ถ้ารู้จักใช้เงินให้กับคนที่รักและห่วงใย เสริมความผูกพัน
ไม่ได้ใช้ในแบบที่เห็นแก่ตัว มันจะมีคุณค่า และไม่ได้ใช้เงินเยอะเกินไป
พอใช้อย่างชาญฉลาด จะเหลือเงินออมมากขึ้นด้วย
Merry christmas

ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้สรุปให้นะครับ
ขอบคุณไว้ที่นี้ด้วยครับ


Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 12 ม.ค. 62
ช่วง หนึ่ง เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวโน้มหุ้น ดร.ศุภวุฒิ
อ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ช่วง สอง กลยุทธ์ลงทุนและหุ้นเด่น ดร.ก้องเกียรติ,คุณนลินทร์,คุณมนตรี,ดร.นิเวศน์
อ.เสน่ห์, อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ

ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ ทีมงาน Moneytalk และแขกรับเชิญ
ทุกๆท่านที่ร่วมในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้และแนวทางการลงทุนที่ดี
หากมีความผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ที่นี้ด้วยครับ
สามารถติดตามสัมมนาฉบับเต็มได้ทาง Facebook live/Youtube Moneytalk ครับ
Go against and stay alive.
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2639
ผู้ติดตาม: 270

Re: Money@SET23/12/62ลงทุนอะไรดี&กลยุทธ์VIปี62

โพสต์ที่ 2

โพสต์

MoneyTalk ช่วงที่2 กลยุทธ์วีไอในปี62
วิทยากร


1.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
2.คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง (โจ ลูกอีสาน)
3.คุณพีรนาถ โชควัฒนา
4.คุณประชา ดำรงสุทธิพงศ์
5.นพ. พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี

ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

อ.เสน่ห์ เริ่มด้วยกลอนก่อนเข้ารายการ

ปีหกสอง ต้องยังไง ใคร่รู้นัก
หุ้นที่รัก จะยังไง ใคร่ทราบก่อน
เซียนวีไอ ไขกลยุทธ์ สุดทุกตอน
ไม่เดือดร้อน สบายใจ ทำไงดี
อนุรักษ์ นักลงทุน หุ้นเต็มพอร์ต
คือสุดยอด เข้าใจหุ้น ทุนวิถี
ฉายาโจ ลูกอีสาน ชำนาญมี
นายกวี ไอเก่า เขาแน่จริง
พีรนาท มาดสุขุม เขาลุ่มลึก
ข้อมูลปึ้ก เรื่องคอนโด โตหรือดิ่ง
ประสบการณ์ ผ่านมามาก จักอ้างอิง
ซื้อหรือทิ้ง หรือเก็บไว้ ยังไงกัน
ไล้ท์ประชา มาแรง แกร่งพอร์ตโต
พอร์ตติดโผ โตไว ขึ้นหลายขั้น
มีมุมมอง ที่ต้องฟัง อย่างครบครัน
กลยุทธ์ พร้อมประจัน ไม่หวั่นเกรง
หมอพงษ์ศักดิ์ รักความหล่อ หมอเล่นหุ้น
นักลงทุน หุ้นน้อยตัว ไม่กลัวเจ๊ง
หุ้นโตไว เก็บให้ทัน มันโตเอง
ช่วงไหนเร่ง ช่วงไหนช้า น่าสนใจ
ดร.นิเวศน์ เซียนเต่า เจ้าตำรับ
เขาพร้อมรับ สถานการณ์ ผ่านไปได้
คือของจริง มิแปรเปลี่ยน เซียนวีไอ
เขามาไกล ถึงวันนี้ เพราะฝีมือ
ปีหกสอง ปีกุนหมู หมู่หรือจ่า
โลกการค้า สงบไหม ไฉนหรือ
ไทยเลือกตั้ง หวังได้ไหม ให้ระบือ
คำตอบคือ เป็นอย่างไร ได้ฟังกัน


เริ่มจากคำถามแรก
มองหุ้นไทยปี62 อย่างไรและมองกลุ่มไหน
คำถามต่อไป
มองว่าตลาดหุ้นใน5ปีข้างหน้าเป็นอย่างไรและให้วิทยากรแต่ละท่าน
ให้คะแนนปีหน้าเท่าไหร่


เริ่มจากคุณพีรนาถเป็นท่านแรก

คุณพี มองในปีนี้ก่อน รับสารภาพ2ครั้งที่แล้วให้ 8 คะแนน
ในปี17 ทายถูก แต่ปี18 มองภาพผิด
ดัชนีSETลงมาต่ำกว่าปี17 ประมาณ8-9% หรือจากจุดHigh13% ซึ่งดูแล้วลงน้อย
มีข่าวร้ายที่ใหญ่กว่า เป็นข่าวที่สอง เคยได้ยินไหมว่า คนไทยจะตายห่_หมดแล้ว
นักลงทุนIPO นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนแนววีไอ ก็ตายห่_หมดแล้ว
ดังนั้นคุณพีก็บอกว่าตัวเองก็ตายเหมือนกันไม่รอด
สมมติมีคนใกล้ตัว เช่น คุณหนูลงทุน5ล้านบาท ตอนนี้ถ้าขายไปจะเหลือเงิน7แสนบาท
ปีนี้หนักสุดจะขายเอาเงินไปใช้ ดีกว่าไม่เหลืออะไรเลย มีคนในห้องสัมมนานี้คิดแบบนี้หรือไม่
ถ้ามี ผมก็จะดีใจ หรือ เราหมดหวัง การลงทุนไม่เหมาะกับเรา สู้ขายตอนนี้เอาเงินไปใช้ดีกว่า
สภาพของผมก็เลวร้ายกว่า ติดลบมากกว่าตลาดหุ้น
เมื่อเราอยู่สถานการณ์แบบนี้เราต้องตั้งสติ อย่าหมดหวัง
ตอนนี้เหมือนอยู่ในภาวะวิกฤต
ตั้งตัวและคิดใหม่ ถ้าเราเกิดใหม่ และย้อนกลับมาคิด เรายังดีกว่าทีมหมูป่าที่ติดถ้ำ
ถ้าเราตกใจ ลนลาน ก็จะออกมาจากถ้ำไม่ได้
เราไม่ต้องเสียดาย หรือ อาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่ผ่านมา
สภาวะแบบนี้เราจะต้องสู้กับข่าวลบมากมาย ไม่มีข่าวดีเลย
เราจะเชื่อข่าวลบทั้งหมดไหม บางอย่างก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจริงหรือไม่
ปีที่แล้ว มีแต่ปัจจัยดีหมดเลย สิ่งนั้นอยู่ในใจผมที่ทุกอย่างดูดี น่าจะมีอะไรที่ไม่ดี
แต่ตอนนี้ ไม่ว่ามองมุมไหนก็มีแต่เรื่องไม่ดี มีปัจจัยลบรอบด้าน
หลังตื่นจากฝันมา ยังโชคดีที่ผมยังอยู่ในประเทศไทย ก็ลงทุนในไทยต่อไป
ปกติตลาดหุ้นไม่มีอะไรที่พอดี ไม่ดีเกินไปก็ร้ายเกินไป
มีคำถามในใจว่า มันใช่หรือไม่ที่จะขายล้างพอร์ต ถ้าใช่ ตอนนี้ก็คือเวลาซื้อ
ตรงนี้ต้องพิจารณาดูว่าเวลาเกิดความกลัวสุดๆ ไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้ นั่นคือจุดสิ้นสุด
ดูจากบทความดร นิเวศน์ หัวข้อต่างๆช่วงนี้ได้แก่ อวสานนักลงทุนวีไอ อวสานนักลงทุนรายย่อย

ดร นิเวศน์บอกว่า เริ่มมีคนติงไว้ว่าจะมีอะไรที่อวสานอีก

คุณพีพูดต่อว่า วันนี้เราอยู่ในจุดได้เปรียบสำหรับคนที่มีเงินสด แต่ยังไม่ซื้อ
มีโอกาสดีกับการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
เวลากลับมา ก็จะกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะมีเงินสดรอซื้ออยู่
เวลาเราประเมิน KYC ติ๊กว่ารับความเสี่ยงจากหุ้นลงได้50%แต่ตอนนี้ลงไปแค่10%เอง
ตอนนี้มาพิจารณาว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า เวลาหุ้นลดลงไปก็มีโอกาสลงทุน
แต่บางครั้งถ้าตอนเวลาอยู่ใกล้ตลาดไม่เจอมุมมองที่กว้างกว่า อาจเกิดbiasเชื่อตัวเองมากเกินไปด้วย
ดังนั้นในจุดนี้พยายามทบทวนตัวเองว่าอยู่สถานะไหนในช่วงนี้
จิตวิทยาของคนจีนที่เห็นGDPของจีนลดจาก 6.5% ไปที่ 6.2% ลดลงไปนิดเดียว
ก็ตกใจและไม่กล้าลงทุน
พูดในแง่ดีบ้าง การศึกษาของคนไทยยังสู้เวียดนามไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ลงทุนในต่างประเทศ
สนใจลงทุนแต่ในประเทศไทย
จริงๆคอนโดที่ดีอยู่ที่ Locationที่ดี เช่น สยามคอนโดข้างSupertower มีแค่8ชั้น
แต่ไม่มีผู้ปกครองคนไหนสามารถทำให้เพื่อนบ้านให้อยู่กันอย่างกลมเกลียว
ถ้าตกลงกันได้ และให้ขายไป และให้ทุบตึกทิ้งและสร้างขึ้นมาใหม่
แบบ Mix used ทำจำนวนห้องมากขึ้น เจ้าของเดิมก็มาอยู่ได้

สมมติจำลองเหตุการณ์เหมือนหลังเลือกตั้ง
ให้คนที่ได้รับเลือกมีความกลมเกลียวมากขึ้น
เหมือนกับเราติดอยู่ในถ้ำ ไม่ได้รับรู้ข่าวสารเช่น บทความของอวสานของกลุ่มต่างๆ
รับรู้ข้อมูลแต่Factที่เป็นจริง ว่าหลายบริษัทอาจถูกdisruptไป เราต้องเลือกบริษัทให้ถูก

หมอพงษ์ศักดิ์ มองหุ้นไทยว่า เราคงอยู่ในช่วงผลตอบแทนต่ำสักระยะนึง
เพราะตั้งแต่ปี 2008 เกิดวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ทั่วโลกมีการลดดอกเบี้ยลงทำให้
asset priceราคาสูงขึ้น
ตอนนี้กลับข้าง ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ดังนั้นvaluationของสินทรัพย์เสี่ยงก็ถูกปรับลดลง
เราอยู่ในช่วงLow return ของตลาดโดยรวม
ผมพูดต่อจากพี่พีรนาถ ตลาดเหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมาตามโอกาสและความเสี่ยง
ไม่สามารถทำนายได้ว่า จะแกว่งไปทางไหน พอเราไม่รู้ เราก็หาต่อว่าสิ่งไหนที่เรารู้ละ
ซึ่งก็คือตำแหน่งที่เราอยู่ ได้แก่ เรื่องValuation 20ปีที่ผ่านมา
PE อยู่ที่ 13.5 เท่า ,P/B 1.3เท่า
Div yield 4%
Earing yield gap 4.4เท่า
ปัจจุบัน 21 ธค 2561
PE 15.5 เท่า , P/B = 1.8 เท่า
Div yield 3.0%
Earing yield gap 4 เท่า

ถ้าเราวัดด้วยวิธี valuation เรายังมี optimiseอยู่นิดหน่อย ค่าประมาณ มากกว่า5
มองภาพใหญ่เราไม่ได้อยู่ตรงกลาง แต่อยู่ไปทางบวกนิดหน่อย
ทำให้เรารู้ว่าโอกาสที่จะลงทุนที่ดีที่สุดอยู่ที่ตำแหน่งที่ 0
ความเสี่ยงน้อยสุดคือช่วงเวลาที่คนมองโลกในแง่ ร้ายสุด
แต่เราอยู่ไปทางคะแนนกลางค่อนข้างดี ความเสี่ยงไม่มาก แต่ก็ไม่ดีมาก
จุดนี้ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่แย่มาก
การลงทุนในหุ้นตอนนี้น่าจะดีกว่าถือเงินสด ตอนอยู่ที่จุดคะแนนเท่ากับ10
คือช่วงที่พีค แต่ความเสี่ยงก็สูงสุดด้วย
เราลงทุนในแนววีไอหมายถึงลงทุนในแต่ละบริษัท เราไม่ใช่นักลงทุนในเศรษฐกิจ
หน้าที่เราคือวิเคราะห์ในแต่ละบริษัทให้ดี เราต้องรู้มากกว่าคนอื่น แต่เราต้องแน่ใจว่าเรารู้จริงหรือไม่
ถ้าเรารู้ในบริษัทนั้นอย่างแท้จริง เราก็จะมีโอกาสกำไร
ในความคิดของผม ปีหน้าเราต้องวิเคราะห์หุ้นในportและโอกาสของแต่ละบริษัทว่าเป็นอย่างไร
มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง ห้ามใช้อารมณ์ในการถือหุ้นซึ่งยากเพราะปกติเรามีbiasในบริษัทที่ถือ
ปีที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้พอสมควร
ถ้าเรากลับไปreview ในเวลาที่หุ้นอยู่ในสภาวะที่ดีเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรสักเท่าไหร่
ปีหน้าลงทุนได้แต่ต้องระมัดระวัง เพราะมีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นหรือลง
เหมือนอย่างที่หมอพงษ์ศักดิ์บอกว่า ลูกตุ้มก็มีoptimise

อ โจ พูดในปี61 ปกติเดือน ธค ค่อนข้างนิ่ง แต่ปีนี้ เหมือนสิ้นใจ
Portตัวเอง นับแล้วว่าเป็นปีทีสองที่ติดลบและแพ้ตลาด
ผมถือหุ้น 45 ตัว มีหุ้นแค่5ตัวกำไร
ที่เหลือขาดทุน ผมขาดทุนบางตัวมากกว่า50%
แต่ตัวที่ชนะถือเยอะหน่อยถือว่าโชคดี
ผมถือในบริษัทขนาดกลางและเล็ก ที่เคยได้ผลตอบแทนสูง
แต่มีจุดอ่อนคือ ปีที่ผ่านมาเป็นวิกฤตของศรัทธาหุ้นขนาดเล็ก บางตัวลงถึง 80%
ถ้าลงทุนหุ้นกลุ่มSET50 ลงไม่เยอะ ติดลบแค่6%
ลงในหุ้นกลุ่มsmall cap กลุ่มนี้ลงเยอะมาก
ที่ดัชนีติดลบไม่มากเพราะมีหุ้นขนาดใหญ่เช่น ptt pttep hmpro bdms
ค้ำไว้ แต่หุ้นที่เหลือ ขาดทุนยับเยิน
วอร์เรนเคยขาดทุน 50%มา5ครั้ง ดังนั้นเราไม่ควรท้อ
เราไม่เจ๊งหรือไม่ตาย อีกสัปดาห์ก็ถึงปีใหม่ก็ลืมเรื่องเก่าไป
จากมุมมองของคุณพี และ หมอ มองตลาดค่อนข้างไม่ดี
ถามว่าทำไมเราถึงคิดเหมือนๆกัน เพราะเราดูทีวี FB,LINEเหมือนๆกัน เป็นไปได้ว่าเราคิดเหมือนกัน
เวลาหุ้นลงๆไปเรื่อยก็คิดว่าลงต่อ แต่มันไม่แน่ ทรัมป์กับคิมทะเลาะกันสุดท้ายก็จับมือกัน
ตลาดหุ้นมันย้อนแย้ง เล่นเรา สุดท้ายคาดเดาไม่ได้ ไม่ว่าเรื่อง Trade war , ขึ้นดอกเบี้ย หรือหยุดQE
ถ้าหุ้นที่เราถือ PE 6เท่า หรือ มีเงินสด80% ของ mkt เราจะกลัวทำไม
ตลาดหุ้นในระยะยาว เหมือนล่องเรือ ทุกๆปีพายุพัดมาก็มีคนตกเรือ
หมายถึงคนที่ล้มเลิกการลงทุน สุดท้ายเหลือไม่กี่คน ซึ่งต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
ถึงปีนี้พอร์ตติดลบ10%แต่ปีนี้ผมจะได้เงินปันผลสูงสุดในประวัติศาสตร์ Yieldจะได้สัก4%
ไม่รวมกับเงินกำไรที่บริษัทเก็บไว้
เวลาที่สับสน สิ่งที่เราปฎิบัติ ทำจริง จะแยกเราได้ว่าเราเป็นนักลงทุนจริงหรือเป็นแค่นักเก็งกำไร

คุณประชาบอกว่า ดีใจที่ผมอายุน้อยสุดในเวที ปีหน้าจะเป็นอย่างไร
ความคิดของวิทยากรคล้ายกัน คุณโจบอกว่า เราเสพสื่อ ทีวี นสพเหมือนกัน
เรามักคิดว่า ปีหน้าดูเหมือนจะไม่ดี
แต่การคาดการณ์เป็นรายปี จะสั้นไปหน่อย
เราส่วนใหญ่ลงทุนแบบวีไอ ซึ่งเราจะโฟกัสเป็นรายบริษัทและมองเป็นระยะยาว
การคาดการณ์ในปีหน้าจะยาก แต่ถ้าดูจากกูรูทางด้านเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี
ผมมองปีหน้าโดยมองภาพปีที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรบ้าง
คุณแอนโทนี โบลตันเคยเขียนในหนังสือ Investing Against The Tide
ซึ่งคุณพรชัยแปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า มันไม่สำคัญว่า
อะไรจะเกิดขึ้น แต่มันจะลงถึงจุดไหนต่างหาก
ตอนนี้ราคาหุ้นลงมาผสมกับมีข่าวร้าย ความกลัวและข่าวร้ายเข้ามาเรื่อยๆ
เพื่อนๆล้างพอร์ตหลายคน คิดว่าจะเกิดวิกฤตในปีหน้า
เราไม่เคยคาดการณ์ตลาดได้ถูกเลยในช่วงที่ผ่านมา แต่ราคาปัจจุบันสะท้อนข่าวร้ายไปแค่ไหน
ถ้าเรื่องที่คาดการณ์เกิดขึ้นจริง หุ้นน่าจะลงระดับนึง จะลงมากกว่าถ้าเจอเหตุการณ์มากกว่าที่คาด
ปีเตอร์ ลินซ์ เคยพูดในสัมมนาบนเวทีของบารอน มีการทำนายภาพรวมเศรษฐกิจคล้ายกัน
แต่คนที่ทำผลตอบแทนได้ดี โดยมีวินัยในการสะสมหุ้นที่โฟกัสเป็นรายบริษัท
ทุกครั้งที่เวลาตลาดหุ้นอยู่ในช่วงดี หุ้นที่ดีจะขึ้นมากกว่าปกติ หุ้นที่ไม่ดีก็จะทรงหรือขึ้นมากกว่าปกติ
แต่ช่วงที่ตลาดไม่ดี หุ้นที่ไม่ดี จะลงมากกว่าปกติ แต่หุ้นที่ดี ผลประกอบการดี แต่ราคาหุ้นขึ้นได้ไม่มากเท่าที่ควร
เหมาะกับกลยุทธ์การลงทุนแบบวีไอ ที่บางบริษัทที่ขึ้นน้อยกว่าผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น
หลายๆครั้งก็จะเจอแบบนี้ ปีถัดไปจะมีแนวโน้มจะเกิดตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์
Value investor ควรโฟกัสเป็นรายบริษัทและมองระยะยาว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เริ่มเหมาะสมมากขึ้นในปีหน้า

ดร นิเวศน์ บอกว่าหมอพงษ์ศักดิ์เปรียบเทียบเป็นลูกตุ้ม ผมก็มีเปรียบเปรย แข็งบนอ่อนล่าง
ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยบางคนพูดว่าดีมาก แต่อีกที่ หลายคนที่บอกว่าไม่ดี
ผมว่าสถานการณ์คล้ายกัน ตลาดลบ -9% ตัดปันผลก็ -6%
ลงทุนในSET50 ลบแค่-6% หักปันผลก็ลบแค่-3%
แต่ว่าเราลงทุนหุ้นขนาดเล็กและกลาง
กองทุนsmall cap ได้คะแนน -32%และปันผลนิดเดียว
ทำไมผลตอบแทนต่างกันมาก
ตลาดหุ้นMAI ก็ลบ30กว่า%
หุ้นตัวใหญ่ 10 ตัวแรกลบแค่3%
กลุ่มนึงที่ผมทำขึ้นมาเอง ดัชนีหุ้นนางฟ้า นี่คือหุ้นที่ฮอตมาก ราคาขึ้นเป็น 10เท่าและตกแรง
ปีนี้ 10 ตัวที่คัดเองดูจากราคาที่ขึ้นและลงแรง ปรากฏว่าลบโดยเฉลี่ยไป -52%ทำให้บางคนเจ็บมาก

ทำไมต่างกันอย่างนี้ เหมือนตลาดหุ้นบ้านเราแบ่งเป็นสองตลาด แต่อยู่ในตลาดเดียวกัน
ไม่มีใครแยกว่าเป็นคนละกลุ่ม หุ้นเล็กซึ่งถือโดยนักลงทุนรายย่อยเจ็บหนัก
มองย้อนหลัง อะไรหลายอย่างแยกเป็นสองอย่างเช่น
คนรวย รู้สึกดี แต่คนจนรู้สึกแย่มาก
ที่US คนกลุ่มนึง คิดว่าทำไมมีนโยบายแบบนี้ แต่อีกกลุ่มเชื่อในนโยบายแบบนี้
มีการแยกมาจากsocialแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม
นาทีนี้ถือว่าเป็นอวสาน หรือ รอบที่ขึ้นมาแรงที่ทำให้รายย่อยรวยขึ้นมาเร็ว
ตอนนี้เริ่มลงมา หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นมาสองปีซ้อน ปีนี้พึ่งมาลบ แนวโน้มที่รายย่อย
เจอยังไม่สุด ลูกตุ้มยังไม่สุด ต่อจากอวสาน ก็เอาไปฝัง
รายย่อยที่US โดนฝังไปแล้ว บ้านเราตอนนี้ นักลงทุนรายย่อยซื้อขายต่อวันน้อยกว่านักลงทุนต่างประเทศแล้ว
สุดท้ายนักลงทุนรายย่อยค่อยๆหายไป
ผู้หญิงจะค่อยๆเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยวิธีDCA (Dollar cost average)
ผู้ชายจะลงทุนลดลง เหมือนเมืองนอก ยอมรับความจริงที่โอกาสทองคล้ายน่าจะใกล้หมดแล้ว
โอกาสหวือหวามากๆจะยาก หุ้นขนาดใหญ่ๆจะเป็นตัวนำ ไม่มีใครลงทุนในหุ้นตัวเล็ก
หมดยุคทอง อวสานเรียบร้อย เป็นช่วงท้ายที่คนมาฟังสัมมนา มาเฮฮา มาสังคมกัน หวังเป็นเซียนน้อยลงมาก
ตอนเขียนหนังสือ ตีแตก ในช่วงที่ดี เคยพูดที่สิงคโปร์ คนตื่นตากันว่านักลงทุนรายย่อยทำไมได้ผลตอบแทนดีมาก
แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเราจะเป็นแบบนี้ แต่ต้องลดความทะเยอทะยาน เลือกหุ้นที่ปลอดภัยไว้ก่อน
วิธีการลงทุนก็เปลี่ยนไป อย่าไปเลือกหุ้นที่เชียร์กัน มองหุ้นที่มีอนาคตแน่นอน ราคาสมเหตุสมผล

คำถามที่สอง กลยุทธ์ในการลงทุน 1-5 ปีข้างหน้า และให้คะแนน
คุณพีรนาถ ไม่เปลี่ยนคำพูด ให้คะแนน 8 คะแนน เฉลี่ย8คะแนน อะไรที่แย่ที่สุด ไม่มีทางรู้ว่าเกิดเมื่อไหร่
ไม่มีทางที่จะรู้ความคิดของทรัมป์หรือ สีเจี้ยนผิง เราไม่คาดเดาเพราะเราตัวเล็กนิดเดียว
ทุกคนมองผลประโยชน์ของตัวเราเอง เรารู้ เขา (US)ก็รู้ แต่อาจได้ประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า
กลยุทธ์ในการลงทุน เสริมคุณโจ เมื่อก่อน เลือกหุ้นพีอีต่ำ ปันผลดี
แต่คำถามว่า บริษัทที่มีเงินสดเยอะไม่มีไอเดียในการลงทุนหรือเปล่า
อาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการลงทุนหรือเปล่า
หลายบริษัทที่มีการจัดtesting Hackatorn
ผู้บริหารใจเปิด มองการณ์ไกล มีเงิน นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เรามองมากกว่า Pe ต่ำ
เรื่องวัฒนธรรมองค์กร บาร์บีคิวturn มาจากcorporate culture
บริษัทที่เมืองจีน ที่มีการปรับปรุงจนทำให้การบริการที่ดี ทั้งที่ภาพพจน์การบริการไม่ดี
ดังนั้นทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนให้ทันกันหมด
จุดที่เลือกลงทุนจะละเอียดมากกว่า financial ratio
ดร ไพบูลย์บอกว่า เห็นเงินสดมาก ต้องคิดมากหน่อย

หมอพงษ์ศักดิ์
ถ้าเรามองตลาด2-3ปี ก็ยากแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
สมมติเราอยู่ปี 2008 ลูกตุ้มอยู่ต่ำสุด riskต่ำสุดแล้ว
แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 5.5-6 ตลาดเราไม่รู้อนาคตแต่รู้ว่าปัจจุบันอยู่ตรงไหน มีความเสี่ยงเท่าไหร่
เราหาวิธีลดความเสี่ยง เช่น เอาเงินออกจากตลาดหุ้นบ้าง
สมมติPEขึ้นไปเยอะ ถ้าvaluationให้สูงแสดงว่าคนมองโลกแง่ดีเกินไป market cycle repeatตลอด
เกิดซ้ำๆกัน 10ปีขึ้นไปจะกลับมา ดังนั้นต้นปี 2018 ตลาดขึ้นไป 1,850 ลูกตุ้มไปที่8อาจขึ้น10แต่ความเสี่ยงก็สูงขึ้น
คนมองโลกแง่ดีแง่ร้ายสลับกันไป เราต้องมีเหตุผลแทนอารมณ์ เราพยายามต่อต้านธรรมชาติซึ่งยากที่จะชนะตลาด
ผมมองว่า valuationของหุ้นไทยมันก็ไม่ถูก ค่อนข้างแพงเล็กน้อย ปีหน้าผมให้คะแนน4.5
แต่ไม่แนะนำให้ขายหุ้นและถือเงินสด เพราะมันไม่คุ้มที่ถือเงินสดซึ่งให้ผลตอบแทนน้อย
ขึ้นกับเราอยู่ณ จุดไหนของตลาด ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้
สำหรับคำถามที่ทำนายในอีก 5ปี ข้างหน้า
ไม่สามารถทำนายได้ ต้องดูแต่ละปี เช่นปีหน้าถ้าลงมาเยอะ อาจให้คะแนนปลายปีถึง 7-8 คะแนน
ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่อันตราย ถ้าเราไม่มีความรู้ อย่ามองอะไรที่positive
เราต้องระมัดระวัง ทุกอย่างมีความเสี่ยง ถ้าความเสี่ยงกล้าลงทุน ถ้าความเสี่ยงมากก็ไม่ลดทุน

คุณโจ บอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ในอีก5ปีข้างหน้า เลิกอ่าน นสพ และข่าวจากLine เพราะจะสร้างอารมณ์ร่วม
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งออมเงินที่ดีที่สุดสำหรับชนชั้นกลาง
ตลาดหุ้น มี market cap 15ล้านล้านบาทและมีเงินเติมเข้ามา 1 ล้านล้านบาท
ไม่อยากให้ต่างชาติถือ33% เราควรได้มากกว่านี้ แต่ตลาดหุ้นไม่ง่าย แถวนี้มันเถื่อน
ผมลงทุนมา19ปี ยอมรับว่าถ้าไม่มีความรู้จากอาจารย์ ผมไปตั้งนานแล้ว
ตลาดหุ้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น สนับสนุนให้ลงทุน หรือลงผ่านกองทุนรวมดัชนีSET50
ซึ่งจะล้อไปกับดัชนี รวมถึงเงินที่เพิ่มขึ้นมา 1 ล้านล้านบาท ทุกปี
อีกประเด็น 3-4ปีที่ผ่าน มีเทคโนโลยีใหม่ๆมาdisruptและพึ่งส่งผลมากๆในปีนี้
TVช่องนึงmarket cap แสนล้านบาท ตอนนี้เหลือแค่หมื่นล้านบาทเอง
สื่อสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ก็เจ็ง
เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม และไปทำงานที่เราถนัดก็ได้
แต่ถ้าอยากรวยมากๆ ต้องศึกษาหุ้น ดูOpp day ให้มากขึ้น
ผมให้ 8 คะแนน ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย ผมมีความสุขในการมองโลกในแง่ดี
บางตัวก็ลงไป 50% ก็น่าสนใจ

คุณประชา กำลังคำนวณหาค่าเฉลี่ยของวิทยากรอยู่ อนาคตคาดการณ์ยากเสมอ
มีสิ่งนึงที่คนวีไอเชื่อคือ ให้ผลตอบแทนในระยะยาว
แต่ต้องโฟกัสในรายบริษัท เราต้องทำเพิ่มขึ้น เพราะตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ที่น่าสนใจทั้งโลกและมนุษย์มีวิวัฒนาการ ผมชอบในเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์
ผมชอบติดตามความคิดของวอร์เรน ประมาณ20-30ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลง
ต้องตีความว่าคุณวอร์เรนทำแบบนั้นเพราะอะไร
หนังสือที่เขียนเมื่อ20กว่าปีบอกว่า เขาไม่สนใจ commodity ,technology
แต่ตอนนี้คุณวอร์เรนเคยซื้อ Petro china , IBM , Apple
เราควรตีความอะไร มัวแต่เพ่งว่าแกทำอะไร ผลก็คือจะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ให้ตีความว่าคุณวอร์เรน ปรับตัวได้ยอดเยี่ยมมาก
สิ่งที่ชอบแกมีวิวัฒนาการ มีการยืดหยุ่น
เวลาลงทุนควรมองแนวโน้มอนาคตเสมอ
เราควรทำเหมือนเดิม โฟกัสรายบริษัท แต่ควรเพิ่มในส่วน ว่าเราควรรู้ว่ามีแนวโน้มอะไรใหม่ๆเข้ามา
คุณวอร์เรนจะซื้อต่อเมื่อเข้าใจธุรกิจใหม่
อนาคตไม่รู้เกิดอะไรขึ้น แต่โฟกัสในรายบริษัทควรทำต่อไป
ปีหน้าและปีถัดไป มองโลกในแง่ดี อย่างระมัดระวัง ให้คะแนน 6 คะแนน

ดร นิเวศน์ บอกว่าคุยกันห้อง หุ้น FB ,Googleลง 40-50% ดังนั้นเราก็ไม่น่ารอด
ฝรั่งขายไปแล้วคนจีนสามแสนล้านบาท ปีหน้าอยากให้ลง ต่างชาติก็อาจขายไปห้าแสนล้านบาท
บริษัทอนาคตของโลกPE 14เท่า ดูถูกกว่าหุ้นไทยอีก
หุ้นขนาดใหญ่ของไทยยังไม่เคยลงหนัก ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพสูง
ตัวที่เจ็บหนักก็เป็นหุ้นที่รายย่อยถือ แต่เหตุการณ์ที่เลือดนองพื้นยังไม่เกิด
ตลาดหุ้นไทยก็ดูไม่น่ากลัว ยังมีคนมีเงินจะเข้ามาลงทุน ผู้หญิงก็จะเข้ามาลงทุน
ผมไม่positiveแต่ก็ยังถือหุ้นลงทุนอยู่ ปีที่แล้วทายไว้3คะแนน ถูกอยู่คนเดียว
ปีนี้จะขอทายให้สัก 4 คะแนน น้อยกว่าหมอพงษ์ศักดิ์หน่อยนึง
กลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงจากต่างประเทศ
แต่อีก4-5 ปี สังคมไทยจะแก่ตัวมากขึ้น สร้างเศรษฐกิจเฟื่องฟูได้ยาก
ซื้อของจากอาลีบาบาเยอะ จะหวังศก โตไวน่าจะจบแล้ว โต4%ก็พอใจแล้ว
ฟังแล้วอย่าไปขายหุ้น จริงๆเลือกให้ถูกตัว กระจายความเสี่ยง
เลือกบริษัทที่ไม่ถูกdisrupt ปันผลแค่3%ก็พอแล้ว


ขึ้นปีหมู อะไรดี มีความหวัง
หมูมีตังค์ หมูออมสิน กินอร่อย
เป็นหมูป่า ต้องตามหา ตั้งตาคอย
หมูจ๋อยจ๋อย คือหมูหยอง ร้องไม่เป็น
หมูง่ายง่าย ใครก็รู้ หมูในอวย
ถึงคราวซวย หมูเขี้ยวตัน พาลทุกข์เข็ญ
หมูสามชั้น มันผสม กลมกล่อมเช่น
เพราะตื่นเต้น ทำหมูหก ตลกร้าย
ใบโลกนี้ ไม่มีหมู กูรูบอก
อย่าจนตรอก จนวิกฤต คิดขวนขวาย
มีความรู้ จนหมูมา พาพริศพราย
หมูทั้งหลาย หมูโชคดี ปีใหม่เอย


สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ อ เสน่ห์
ทีมงานMoneyTalkทุกท่าน
โพสต์โพสต์