LS

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

LS

โพสต์ที่ 1

โพสต์

http://market.sec.or.th/public/ipos/IPO ... sID=229231

หนังสือชี้ชวนตราสารทุน
รายละเอียดตราสาร
ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน)
ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน)
วันที่ยื่น Filing version แรก : 04/12/2561
วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : -
วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : -
วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : -
วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : -
ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ
ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน
ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) / N.A.
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 2

โพสต์

LS : บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน)
ประเภทธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ
ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
กลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค
สถานะ Filing
จำนวนหุ้นที่ IPO 132,432,288 หุ้น
ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a
ราคา IPO n/a
ราคา PAR 0.50 บาท
วันที่เริ่มซื้อขาย n/a
ที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ข้อมูล Filing www.latexsystems.com
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 3

โพสต์

*"เลเท็กซ์ ซิสเทมส์"ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO 132.43 หุ้น ใช้คืนเงินกู้-สร้างโชว์รูม-ขยายธุรกิจ
Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th)

Thursday, December 06, 2018 10:24


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ธ.ค. 61)--บมจ. เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) version แรก เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2561 เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 29.43 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยแบ่งเป็นเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นของบมจ. ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) (TRUBB) ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้นแต่ไม่เกินร้อยละ 20 หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้
นอกจากนี้ เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกินร้อยละ 90 หรือไม่เกิน 119,189,059 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายในครั้งนี้จะเสนอขายให้แก่ประชาชน โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจากการลงทุนซื้อโรงงานในจังหวัดระยอง, เพื่อลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม, เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ระยะเวลาที่ใช้เงินโดยประมาณในปี 2562-2564

--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/วิลาวัลย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 4

โพสต์

*(เพิ่มเติม) "เลเท็กซ์ ซิสเทมส์"ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO 132.43 หุ้น ใช้คืนเงินกู้-สร้างโชว์รูม-ขยายธุรกิจ
Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th)

Thursday, December 06, 2018 11:30


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ธ.ค. 61)--บมจ. เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ (LS) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.61 เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น คิดเป็น 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
การจัดสรรหุ้น IPO แบ่งเป็นการ การเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นของ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) (TRUBB) ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้น แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้น IPO ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ และเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปไม่ต่ำกว่า 80% หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกิน 90% หรือไม่เกิน 119,189,059 หุ้นของจำนวนหุ้น IPO
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจากการลงทุนซื้อโรงงานในจังหวัดระยอง, เพื่อลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม, เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ระยะเวลาที่ใช้เงินโดยประมาณในปี 62-64
LS ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอนที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ ปัจจุบันมีโรงงานผลิตสินค้า 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานที่ 1 ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โรงงานที่ 2 ตั้งอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา ส่วนโรงงานที่ 3 ตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง อยู่ระหว่างการทดสอบการผลิตสินค้า มูลค่าการลงทุนราว 243.00 ล้านบาท จะเริ่มการผลิตสายการผลิตที่ 1 ในไตรมาส 1/62 และสายการผลิตที่ 2 ในไตรมาส 1/63
ในปี 61 โรงงานแห่งที่ 1 และ โรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตที่นอน รวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี และ มีกำลังการผลิตหมอน รวม 1,980,000 ชิ้นต่อปี และคาดว่าหากรวมกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหมอน จะมีกำลังการผลิตหมอนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,136,000 ชิ้นต่อปี
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนลงทุนก่อสร้างอาคารโชว์รูม Flagship เริ่มจากกรุงเทพมหานคร พัทยา และภูเก็ต บริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอาคารโชว์รูมได้ราวไตรมาส 3/62 คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 3/64 เริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ในราวไตรมาส 4/64 โครงการนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 50 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี 58-60 บริษัทมีรายได้จากการขาย จำนวน 399.07 ล้านบาทในปี 58, จำนวน 428.56 ล้านบาทในปี 59 และจำนวน 752.97 ล้านบาทในปี 60 ส่วนรายได้รวมจำนวน 399.52 ล้านบาทในปี 58, จำนวน 429.40 ล้านบาทในปี 59 และจำนวน 753.47 ล้านบาทในปี 60 ด้านกำไรสุทธิ 68.18 ล้านบาทในปี 58, จำนวน 62.50 ล้านบาทในปี 59 และจำนวน 114.07 ล้านบาทในปี 60
ณ วันที่ 30 ก.ย.61 มีสินทรัพย์รวม 1,086.03 ล้านบาท หนี้สินรวม 617.61 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 468.42 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนแรกของปี 61 บริษัทมีรายได้จากการขาย 658.94 ล้านบาท รวมได้รวม 664.30 ล้านบาท ต้นทุนขาย 429.43 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 121.40 ล้านบาท
ณ วันที่ 19 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 79,391,928.00 บาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 79,391,928.00 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 8,592,200 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 9.24 บาท โดยเมื่อวันที่ 20 ก.ค.61 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทมีมติอนุมัติแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai โดยเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 9.24 บาท เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ TRUBB ถือหุ้น 178,368,960 หุ้น คิดเป็น 56.17% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 39.64% รองลงมาคือ กลุ่มครอบครัววงศาสุทธิกุล ถือหุ้น 60,884,208 หุ้น คิดเป็น 19.17% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 13.53%
ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมของครอบครัววงศาสุทธิกุล ให้แก่ TRUBB จำนวน 16.00 ล้านหุ้น เพื่อแก้ไขโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และให้เป็นไปตามเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 39/2559 โดยทาง TRUBB จะถือหุ้นทางตรงจำนวน 194,368,960 หุ้น คิดเป็น 43.20% และกลุ่มครอบครัววงศาสุทธิกุล จะถือหุ้นทางตรงจำนวน 44,884,208 หุ้น คิดเป็น 9.97% และถือหุ้นทางอ้อมผ่าน TRUBB จำนวน 42,915,271 หุ้น คิดเป็น 9.54% รวมถือหุ้น 87,799,479 หุ้น คิดเป็น 19.51%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 5

โพสต์

TRUBB ดันบ.ย่อย “เลเท็กซ์ ซิสเทมส์” Spin-Off เข้า mai ประกาศยื่นไฟลิ่ง ตั้ง KGI เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย
Source - Local Press Release (Th/Eng)

Thursday, December 06, 2018 13:22

กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--IR PLUS

"เลเท็กซ์ ซิสเทมส์" ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวของจากยางพาราธรรมชาติ 100% คุณภาพสูง ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ ยื่นไฟลิ่งขออนุญาตเสนอขายหุ้น ไอพีโอ 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หวังระดมทุน ชำระคืนเงินกู้ซื้อโรงงานหมอนในจ.ระยอง - ก่อสร้างโชว์รูม - เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่งตั้ง บมจ. บล.เคจีไอ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย
นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ LS ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยมี KGI เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูง พร้อมทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากว่า 15 ปี อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพารา พร้อมทั้งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้จนเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิต จำหน่ายหมอนและที่นอนยางพาราของประเทศไทย ที่ได้การยอมรับอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2561 มาจาก ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ แบบไม่ติดตราสินค้า ผลิตให้กับผู้ค้าส่ง และผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ประมาณร้อยละ 96.82% และ สัดส่วนประมาณ2.37% มาจาก ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ 0.81% ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนขยายตลาดภายใต้ตราสินค้าของบริษัทมากขึ้น ทั้งตราสินค้า "Latex System" และมีแผนใช้ตราสินค้า "Sleepertist" เพื่อรองรับลูกค้าระดับกลางถึงบน ตราสินค้า "Nap&Night" เพื่อรองรับลูกค้าระดับกลางลงมา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ธุรกิจของ LS เป็นธุรกิจที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกยางพารา โดยการนำน้ำยางพารามาผลิตที่นอนและหมอนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและนำรายได้เข้าประเทศไทยอีกด้วย
ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 LS มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานที่ 1 ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จ.กรุงเทพฯ ผลิตเฉพาะสินค้าประเภทหมอนยางพารา โรงงานที่ 2 อยู่บนถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 36 จ.ฉะเชิงเทรา ผลิตสินค้าประเภทที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ล่าสุดเข้าซื้อโรงงานแห่งที่ 3 อำเภอแกลง จ.ระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบการผลิตสินค้า ทั้งนี้ในปี 2561 โรงงานแห่งที่ 1 และโรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตที่นอนเต็มที่ รวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตหมอนเต็มที่ รวม 1,980,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งหากรวมกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหมอนจะสนับสนุนให้กำลังการผลิตหมอนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,136,000 ชิ้นต่อไป รองรับการขยายตลาดและโอกาสการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ถือหุ้นสัดส่วน 56.17% , กลุ่มครอบครัว วงศาสุทธิกุล ถือหุ้นรวม 19.17% กลุ่มครอบครัววรประทีป 10% , กลุ่มครอบครัว เต็มฤทธิกุลชัย 8% , กลุ่มครอบครัว ศรีหิรัญรัศมี 2% , ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆ รวมอีก 4.66% ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO สัดส่วนการถือของผู้ถือหุ้นกลุ่มดังกล่าวลดลงเหลือร้อยละ 39.64% , 13.53% , 7.06% , 5.65% , 1.41% และ 3.29% ตามลำดับ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 LATEX มีทุนจดทะเบียนจำนวน 225,000,000 ล้าน และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 158,783,856 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 317,567,712 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า LS ได้ยื่นขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน119,189,059หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 – 2560 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 399.52 ล้านบาท , 429.40 ล้านบาท และ 753.47 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 37.33% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 68.18 ล้านบาท , 62.50 ล้านบาท และ 114.07 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 664.30 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 34.64% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 121.40 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 131.64% โดยในช่วง 9 เดือนปี 2561ที่ผ่านมา LS มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นเฉลี่ยประมาณ 34.83% และ มีอัตราส่วนกำไรสุทธิเฉลี่ย 18.27% มีสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าชาวจีน, เกาหลีใต้ ที่นิยมผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% และความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกในภูมิภาคเอเชียเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน การจำหน่ายสินค้าในประเทศก็มีการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการขายสินค้าให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ผลจากนโยบายอุดหนุนการใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางพาราธรรมชาติของภาครัฐ นอกจากนี้โครงสร้างประชากรโลกที่มีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
โดยวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไป ชำระคืนเงินกู้ยืมที่ใช้เพื่อลงทุน ซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม , เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 6

โพสต์

“เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ (LS)” ยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหุ้น ตั้ง KGI เป็นที่ปรึกษา

นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวของจากยางพาราธรรมชาติ 100% คุณภาพสูง ยื่นไฟลิ่งขออนุญาตเสนอขายหุ้น ไอพีโอ 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หวังระดมทุน ชำระคืนเงินกู้ซื้อโรงงานหมอนในจ.ระยอง - ก่อสร้างโชว์รูม - เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่งตั้ง บมจ. บล.เคจีไอ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย
- ขณะนี้ ได้ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ LS ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยมี KGI เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูง พร้อมทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากว่า 15 ปี อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพารา พร้อมทั้งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้จนเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิต จำหน่ายหมอนและที่นอนยางพาราของประเทศไทย ที่ได้การยอมรับอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ
   - ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2561 มาจาก ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ แบบไม่ติดตราสินค้า ผลิตให้กับผู้ค้าส่ง และผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ประมาณร้อยละ 96.82% และ สัดส่วนประมาณ2.37% มาจาก ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ 0.81% ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนขยายตลาดภายใต้ตราสินค้าของบริษัทมากขึ้น ทั้งตราสินค้า “Latex System” และมีแผนใช้ตราสินค้า “Sleepertist” เพื่อรองรับลูกค้าระดับกลางถึงบน ตราสินค้า “Nap&Night” เพื่อรองรับลูกค้าระดับกลางลงมา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ธุรกิจของ LS เป็นธุรกิจที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกยางพารา โดยการนำน้ำยางพารามาผลิตที่นอนและหมอนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและนำรายได้เข้าประเทศไทยอีกด้วย
- ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 LS มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานที่ 1 ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จ.กรุงเทพฯ ผลิตเฉพาะสินค้าประเภทหมอนยางพารา โรงงานที่ 2 อยู่บนถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 36 จ.ฉะเชิงเทรา ผลิตสินค้าประเภทที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ล่าสุดเข้าซื้อโรงงานแห่งที่ 3 อำเภอแกลง จ.ระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบการผลิตสินค้า ทั้งนี้ในปี 2561 โรงงานแห่งที่ 1 และโรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตที่นอนเต็มที่ รวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตหมอนเต็มที่ รวม 1,980,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งหากรวมกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหมอนจะสนับสนุนให้กำลังการผลิตหมอนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,136,000 ชิ้นต่อไป รองรับการขยายตลาดและโอกาสการเติบโตในอนาคต
- โครงสร้างการถือหุ้นก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ถือหุ้นสัดส่วน 56.17% , กลุ่มครอบครัว วงศาสุทธิกุล ถือหุ้นรวม 19.17% กลุ่มครอบครัววรประทีป 10% , กลุ่มครอบครัว เต็มฤทธิกุลชัย 8% , กลุ่มครอบครัว ศรีหิรัญรัศมี 2% , ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆ รวมอีก 4.66% ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO สัดส่วนการถือของผู้ถือหุ้นกลุ่มดังกล่าวลดลงเหลือร้อยละ 39.64% , 13.53% , 7.06% , 5.65% , 1.41% และ 3.29% ตามลำดับ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 LATEX มีทุนจดทะเบียนจำนวน 225,000,000 ล้าน และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 158,783,856 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 317,567,712 ล้านหุ้น
มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น
- นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า LS ได้ยื่นขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน119,189,059หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้
- ผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 – 2560 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 399.52 ล้านบาท , 429.40 ล้านบาท และ 753.47 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 37.33% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 68.18 ล้านบาท , 62.50 ล้านบาท และ 114.07 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 664.30 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 34.64% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 121.40 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 131.64% โดยในช่วง 9 เดือนปี 2561ที่ผ่านมา LS มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นเฉลี่ยประมาณ 34.83% และ มีอัตราส่วนกำไรสุทธิเฉลี่ย 18.27% มีสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าชาวจีน , เกาหลีใต้ ที่นิยมผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% และความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกในภูมิภาคเอเชียเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน การจำหน่ายสินค้าในประเทศก็มีการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการขายสินค้าให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ผลจากนโยบายอุดหนุนการใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางพาราธรรมชาติของภาครัฐ นอกจากนี้โครงสร้างประชากรโลกที่มีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
- โดยวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไป ชำระคืนเงินกู้ยืมที่ใช้เพื่อลงทุน ซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม , เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 7

โพสต์

STI เคาะราคาไอพีโอ 6.30 บาทต่อหุ้น อิงพี/อี 29.76 เท่า

efinanceThai.com
"สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์" สรุปราคาไอพีโอที่ 6.30 บาท/หุ้น คิดเป็นค่า P/E ที่ 29.76 เท่า เปิดจองซื้อ 6-7 และ 11 ธ.ค. พร้อมเข้าเทรดเอ็ม เอ ไอ 19 ธ.ค.นี้ จ่อนำเงินระดมทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร ระบบเทคโนโลยี เผยงานในมือทะลัก 770 ลบ. หนุนการรับรู้รายได้ในระยะยาว ด้าน"เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ "-"แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้"-"อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์"-"รพ.อินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ" ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นปีหน้า

*** เคาะราคาไอพีโอ 6.30 บาท/หุ้น

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวานิชธนกิจด้านตลาดทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กล่าวว่า กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 6.30 บาทต่อหุ้น
ราคาไอพีโอคิดเป็นอัตราส่วนต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ที่ 29.76 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ตั้งแต่ไตรมาส 4/60 ถึงไตรมาส 3/61

*** เปิดจอง 6-7 และ 11 ธ.ค. เทรดเอ็ม เอ ไอ 19 ธ.ค. นี้

โดยเปิดจองซื้อวันที่ 6-7 และ 11 ธ.ค. 61 พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 19 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประมาณ 51 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ไม่เกิน 10.20 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 6.80 ล้านหุ้น

*** นำเงินระดมทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนา

นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กล่าวว่า สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน 428.40 ล้านบาท จะนำไปลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนา อบรมทักษะความรู้สำหรับพนักงานราว 40 ล้านบาท, ลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงาน และการเงิน-การบัญชี 30 ล้านบาท และลงทุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 20 ล้านบาท ที่เหลือใช้เงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 770.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 114 โครงการ สะท้อนการรับรู้รายได้ของกลุ่ม STI อย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ และสนับสนุนรายได้ในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ หนึ่งในงานดังกล่าว คือ โครงการ One Bangkok โครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เป็นโอกาสของกลุ่ม STI ให้ได้รับงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การประมูลงานใหม่ๆ เพื่อสร้างการรับรู้รายได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
STI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง รวมทั้งให้บริการออกแบบสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ตกแต่งภายใน และอนุรักษ์โบราณสถาน มีทุนจดทะเบียน 134 ล้านบาท พาร์ 0.50 บาท เตรียมขายไอพีโอ 68 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.37% ของทุนจดทะเบียน โดยมี บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาการเงิน และมี บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นแกนนำการจัดจำหน่าย โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 3 แห่ง ได้แก่ บล.เอเซีย พลัส, บล.เคที ซีมิโก้ และ บล.กรุงศรี

*** "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 105 ล้านหุ้น เข้า SET

บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 105 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.79% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) มี บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ ทั้งการขยายสาขาร้าน Index LivingMall,ขยายสาขาคอมมูนิตี้มอลล์,ขยายสาขาเทคโนโลยี Younique, ขยายร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็ก รวมทั้งโครงการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน และโครงการอื่น อีกทั้งจะใช้เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
บริษัทมีแผนขยายสาขาร้านค้า Index Living Mall เพิ่ม 2-3 สาขาต่อปี ซึ่งภายในเดือน ก.พ.62 จะเปิดร้าน Index Living Mall สาขาชัยพฤกษ์ พื้นที่ขาย 3,200 ตารางเมตร และส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่เช่าสำหรับร้านค้าอื่น ๆ คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 233 ล้านบาท และในปี 62 ขยาย 3 สาขา คือ สาขาจันทบุรี พื้นที่ขาย 3,500 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุน 160 ล้านบาท เปิดบริการ ก.ค.62 สาขาสุขาภิบาล 3 พื้นที่ขาย 3,500 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุน 160 ล้านบาท เปิดบริการ พ.ย.62 และสาขารามอินทรา พื้นที่ขายและพื้นที่ให้เช่า 9,200 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท เปิดบริการ ธ.ค.62
ในปี 62 บริษัทมีแผนเปิดโครงการ Little Walk อย่างต่อเนื่องอีก 1 สาขา ได้แก่ สาขาถนน 345 โดยอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท เปิดบริการ ธ.ค.62 และจะขยาย Younique เพิ่มเติมในสาขาร้าน Index Living Mall ใช้เงินลงทุน 70 ล้านบาท เปิดให้บริการ ธ.ค.62
บริษัทมีแผนจะขยายร้านค้าในรูปแบบดำเนินการและบริหารด้วยบริษัทฯ เอง (Company Owned Company Operated - COCO) ในรูปแบบ Standalone พื้นที่ขาย 1,000-1,700 ตารางเมตร ภายใต้ชื่อร้าน "Winner Furniture Center"จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ WINNER ซึ่งเป็นสินค้าที่มุ่งเน้นในการตอบโจทย์ลูกค้าระดับ Mass เป็นหลัก อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบร้านและจัดหาพื้นที่ โดยในปี 62 คาดว่าจะสามารถเปิดร้านค้าดังกล่าว 5 สาขา ใช้เงินลงทุน 72 ล้านบาท

*** "เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ "ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 132 ล้านหุ้น เข้า mai

นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวของจากยางพาราธรรมชาติ 100% คุณภาพสูงยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นไอพีโอ 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หวังระดมทุน ชำระคืนเงินกู้ซื้อโรงงานหมอนในจ.ระยอง - ก่อสร้างโชว์รูม - เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่งตั้ง บมจ. บล.เคจีไอ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย
วัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไป ชำระคืนเงินกู้ยืมที่ใช้เพื่อลงทุน ซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม , เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า LS ได้ยื่นเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 132.43 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน119,189,059 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้

*** "แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 1.8 พันล้านหุ้น

บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัท (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องหรือเพื่อการสนับสนุน ยื่น Filing ให้แก่สำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุมัติเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 1,818 ล้านหุ้น พร้อมแต่งตั้ง บล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หวังระดมทุนใช้ขยายโครงการต่างๆ ของกลุ่มบริษัทฯ ชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นางสาวจิรฐา ทรงเมตตา ประธานกรรมการบริหาร ACE กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องหรือเพื่อการสนับสนุน โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงใช้เชื้อเพลิงพลังงานสะอาดเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศ โดยมีวิสัยทัศน์จะเป็นเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดต้นแบบของโลกที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะมุ่งขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน อาทิ โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ โรงไฟฟ้าขยะชุมชน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและความได้เปรียบในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่เป็นคู่ค้าและชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมเป็น 1,000 MW ภายในปี 2567
นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACE กล่าวว่า ปัจจุบัน บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ มีบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 12 บริษัท โดยมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว (ณ วันที่ 30 กันยายน 2561) จำนวน 11 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 209.45 เมกะวัตต์ (MW) และปริมาณไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา (PPA) รวม 166.5 MW ซึ่งแบ่งตามเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 1,818 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 16.60 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้
บริษัทมีทุนจดทะเบียน 5,487,999,980 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 10,975,999,960 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 4,578,999,980 บาท ส่วนในการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนในโครงการของกลุ่มบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง ลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนาและโครงการในอนาคต ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

***"รพ.อินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ" ยื่นไฟลิ่งขายIPO 55 ล้านหุ้น เข้า mai

บริษัท โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ จำกัด (มหาชน) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลฉบับแรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 55 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.58% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.โกลเบล็ก เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
บริษัทดำเนินกิจการโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ ซึ่งมีการให้บริการตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพปัจจัยเสี่ยง การตรวจสุขภาพก่อนเข้างาน ด้วยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน สามารถให้บริการตรวจสุขภาพทั้งในสถานที่และนอกสถานที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ผ่านทางสาขาจำนวน 5 แห่งได้แก่ ราชพฤกษ์ (ที่ตั้งสำนักงานใหญ่) สาขาปทุมธานี สาขาพระนครศรีอยุธยา สาขาชลบุรี และสาขาระยอง และนอกสถานที่ครอบคลุมทั่วประเทศผ่านทางรถเอ็กซ์เรย์พร้อมทีมแพทย์และพยาบาลเคลื่อนที่
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง LS ขาย IPO 132.43 ล้านหุ้น ระดมทุนตลาด mai ขยายธุรกิจหนุนผลงานโต

นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง ของ LS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย LS วางแผนเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้

โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้น แ ต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้กับประชาชนสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน 119,189,059 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้

สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุน จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จากการลงทุนซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต

ทั้งนี้ จุดเด่น LS คือการเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูง ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากว่า 15 ปี อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพาราธรรมชาติ 100% มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และแผนการขยายตลาด โดยเฉพาะในประเทศจีน เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ

นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS กล่าวว่าบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมเครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% ในระดับสากล และมุ่งหวังที่จะเป็นผู้ผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ผ่านการมุ่งเน้นการพัฒนาในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านการบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการบริหารต้นทุน และด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เป็นต้น

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% แบบไม่ติดตราสินค้า (ธุรกิจ Non-Brand) โดยในปี 2561บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวประมาณ 96.86% ของรายได้จากการขายรวม และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอน, หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ (ธุรกิจ Brand) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นในการรุกตลาดดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 3.14% ของรายได้จากการขายรวมในปี 2561 เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการแตกต่างกัน

โดยปัจจุบันบริษัทฯ ใช้ตราสินค้า “Latex Systems” และมีแผนใช้ตราสินค้า “Sleepertist” เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้สูง ตราสินค้า “TNF” เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้ปานกลาง อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนใช้ตราสินค้า “Nap & Night” เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้น้อย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ สามารถครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ปัจจุบัน LS มีโรงงานผลิตสินค้า ประกอบด้วย โรงงาน กม.36 ตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 36 จังหวัดฉะเชิงเทรา ผลิตสินค้าประเภทที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนสำหรับเด็ก หมอนรองคอ เบาะพิงหลัง เบาะรองนั่ง และ หมอนข้าง เป็นต้น และโรงงานที่จังหวัดระยอง ผลิตสินค้าประเภทหมอนยางพารา ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการและรับโอนทรัพย์สินโรงงานดังกล่าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโรงงานลาดกระบัง ผลิตสินค้าประเภทหมอนยางพารา ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติไม่ต่อสัญญาเช่าและหยุดการผลิตแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2561 เนื่องจากเป็นโรงงานดั้งเดิม โดยสายการผลิตหมอนโรงงานระยอง จะมาทดแทนสายการผลิตหมอนโรงงานลาดกระบัง ส่งผลให้ในปี 2561 LS มีกำลังการผลิตที่นอนรวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี และมีกำลังการผลิตหมอนจากน้ำยางธรรมชาติอยู่ที่ 2,071,000 ชิ้นต่อปี

ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2559 – 2561 จำนวน 429.40 ล้านบาท 753.47 ล้านบาท และ 831.73 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 24.65% สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าผู้ใช้สินค้าชาวจีน จากกระแสความนิยมในผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ และความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องนอนยางพาราที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2559 – 2561 เท่ากับ 62.50 ล้านบาท 114.07 ล้านบาท และ 113.75 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิในปี 2561 มีการปรับตัวลดลงจากปี 2560 คิดเป็นสัดส่วน 0.28% เป็นผลมาจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 เกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลง และการจำหน่ายสินค้าล้างสต๊อกในช่วงปลายปี

อย่างไรก็ตามจากนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล ในช่วงปลายปี 2561 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน เริ่มฟื้นตัวและกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนดังกล่าว จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพาราโดยรวม ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้จำแนกตามแหล่งที่มาของรายได้ตามประเทศที่สั่งซื้อสินค้า ดังนี้ รายได้จากการขายภายในประเทศ 68.71% ประเทศจีน 24.66% ประเทศเกาหลีใต้ 5.89% และ ประเทศอื่นๆ 0.74%

“บริษัทฯ เดินหน้าตามแผนการระดมทุนเพื่อเสริมการเติบโตทางธุรกิจ โดยเครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติเป็นที่นิยมในตลาดโลก ตามการขยายตัวของประชากร เศรษฐกิจ และกระแสการรักสุขภาพมากขึ้น จึงมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในธุรกิจ Non Brand และธุรกิจ Brand รับโอกาสการเติบโต รวมถึงแผนการรุกตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลกจากปัจจุบัน เราเป็นผู้ผลิตเครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติ 100% ที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำ มีความแข็งแกร่งในตลาดจีน และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ LS นับเป็นบริษัทเครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติรายแรก ที่เตรียมเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai” นางปทุมพร กล่าว
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 9

โพสต์

รู้จักกับ “เลเท็กซ์ ซิสเทมส์”ว่าที่น้องใหม่ตลาด mai

efinanceThai.com
บมจ.เลเท็กซ์ซิสเทมส์ (LS) หนึ่งในผู้นำการผลิตที่นอนและหมอนจากยางพาราธรรมชาติ 100% เตรียมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาด mai ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว

แม้ “เลเท็กซ์ ซิสเทมส์” จะเป็นน้องใหม่ในวงการตลาดหุ้น แต่หากดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ หลายคนน่าจะรู้จัก บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (TRUBB) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ในสัดส่วน 56%
นอกจากนี้ ที่นอนยางพาราหลายแบรนด์ดังที่วางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า จริงๆ แล้วมี LS เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการผลิต
“ปทุมพร ตรีวิศวเวทย์” กรรมการผู้จัดการ LS จะมาเล่าถึงเรื่องราวของบริษัท แผนการใช้เงิน และโครงการในอนาคต เพื่อให้นักลงทุนได้รู้จักกับบริษัทน้องใหม่แห่งนี้มากขึ้น

*หนึ่งในผู้นำที่นอนยางพาราธรรมชาติ 100%
บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ เป็นหนึ่งในผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องนอนยางพาราที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% เปิดดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2546 หรือประมาณ 15 ปีมาแล้ว และมีโรงงานผลิต 2 แห่งคือที่บางนา กม.36 และที่ จ.ระยอง
ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (TRUBB) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ธุรกิจของบริษัทแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ธุรกิจผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แบบไม่ติดตราสินค้า ( ธุรกิจ Non-Brand ) และ 2. ธุรกิจผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ( ธุรกิจ Brand )

*รายได้ส่วนใหญ่จะมาจาก ธุรกิจ Non-Brand
“ปทุมพร” เล่าว่ายอดขายเกือบ 70% เป็นในประเทศและอีก 30% เป็นต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในสัดส่วนของยอดขายในประเทศนั้นก็จะมีฐานเดียวกัน คือ ส่งออกต่างประเทศ มีปลายทางที่ประเทศจีน และเกาหลี
หากแบ่งตามประเภทสินค้าในด้านปริมาณจะเป็น “หมอน” เพราะขายง่ายส่วนที่นอนเป็นชิ้นใหญ่ขายยากกว่า แต่หากวัดที่มูลค่า “ที่นอน” จะทำยอดขายได้มากกว่าและเป็นรายได้หลักของบริษัท
โครงสร้างรายได้กว่า 90% มาจาก ธุรกิจ Non-Brand หรือรับจ้างผลิตให้แบรนด์อื่น แต่ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เริ่มเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่เป็น Brand ของตัวเองมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้แบรนด์ LS เป็นที่รู้จักในตลาด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องเตรียมแผนขยายการลงทุนสร้างโชว์รูมเพื่อนำเสนอสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ได้แก่ Latex Systems,Sleepertist,TNF และ Nap & Night
“จุดยืนของเราก็ยังเป็นผู้ผลิตอยู่ เพียงแต่ว่าส่วนหนึ่งเราจะแบ่งมาทำ Brand เพราะเราต้องการมีตัวตนในตลาด ความภูมิใจของเราคือ เราต้องการมีสินค้าที่จะขายในตลาด ให้ผู้บริโภคได้ใช้สิ่งที่เราตั้งใจทำ”
เขาเล่าว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 15-20% ส่วนกำไรปี 59 อยู่ที่ 62 ล้านบาท ส่วนปี 60-61 มีกำไรใกล้เคียงกันราว 114 ล้านบาท
สาเหตุที่ปี 61 กำไรทรงตัวจากปี 60 เนื่องจากเผชิญกับสถานการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต ซึ่งกระทบตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มฐานลูกค้าของ LS ที่มักจะซื้อของฝาก เช่น หมอนยางพารา ให้ลดน้อยลง
“ธุรกิจเราค่อนข้างเกี่ยวเนื่องกับคนจีนและก็ตลาดทัวร์พอสมควร คู่ค้าของเราจะขายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อมีเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต ตามด้วยสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนมันก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทำให้ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีที่แล้วดรอปลง”

*เตรียมเสนอขาย IPO จำนวน 132 ล้านหุ้น
บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 132 ล้านหุ้น โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ TRUBB ตามสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% และที่เหลือประมาณ 80% แต่ไม่เกิน 90% เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป
วัตถุประสงค์ของการระดมทุน คือ 1.ชำระหนี้สถาบันการเงิน หลังจากกู้มาลงทุนซื้อโรงงานที่ จ.ระยองปลายปีก่อน 2.ลงทุนก่อสร้างโชว์รูม และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
สำหรับโชว์รูมได้ตั้ง Target ไว้ที่แหล่งท่องเที่ยว ตามภาคต่างๆ ของไทยน่าจะเป็นภาคใต้ ตะวันออก หรือภาคกลาง เช่น ภูเก็ต พัทยา ซึ่งทั้ง 3 แห่งนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 50 ล้านบาท
“เราจะทำแบรนด์ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและความมีตัวตนของ เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ในตลาด เราจึงต้องลงทุนสร้างโชว์รูม...ส่วนโรงงานที่ จ.ระยอง ซื้อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 61 ไว้รองรับตลาดหมอนที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น”

*ตลาดที่นอนยางพารา มีโอกาสโตได้อีกมาก
เมื่อถามถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจเครื่องนอนยางพารา เขามองว่า ยังมีอีกมากเนื่องจาก ปัจจุบันมีผู้บริโภคที่ใช้ที่นอนยางพารายังไม่ถึง 10% ดังนั้นอีก 90% จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาด และมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้สินค้าของบริษัท เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งจะดีต่อธุรกิจของบริษัท ดีต่อผู้ถือหุ้น และที่สำคัญดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา
“ความตั้งใจของเรา คืออยากจะทำเป็น Product of Thailand ถ้าพูดถึงเมืองไทยใครๆ ก็ต้องรู้จักเครื่องนอนยางพารา เพราะว่าเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของประเทศไทย”

*คู่แข่งที่ไซส์เท่ากัน มีไม่มาก-ไม่เล่นสงครามราคา
ส่วนการแข่งขันในธุรกิจ แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดค่อนข้างมาก แต่จะเป็นรายกลางและรายเล็กเสียส่วนใหญ่ ขณะที่รายใหญ่ที่มีขนาดธุรกิจใกล้เคียงบริษัท ยังมีไม่มากนัก
“รายเล็กๆ ที่อยากจะเข้ามา เพราะว่าความต้องการหมอนมีอยู่สูง เหมือนกับว่ามันเป็นแฟชั่นด้วย เพราะนักท่องเที่ยวจีนมาในไทยต้องซื้อ ดังนั้น เขาก็อยากจะเข้ามาลงทุนเก็บเกี่ยวตรงนี้ ในช่วงที่กำลังฮิต แต่ก็เป็นรายเล็กๆ ซึ่งก็ไม่มีผลอะไรกับธุรกิจเรา”
สำหรับธุรกิจขนาดใกล้เคียงกับบริษัท ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นนั้นยังไม่มี จึงนับได้ว่า LS จะเป็นบริษัทแรกที่ของผู้ผลิตเครื่องนอนยางพาราที่จะเข้าจดทะเบียนและหากมองด้านการแข่งขัน บริษัทไม่เล่นสงครามราคาเพราะสินค้าเรามีคุณภาพดีอยู่แล้ว ราคาต้องเหมาะสมกับคุณภาพ

*ปัจจัยเสี่ยงหลักคือความผันผวนของน้ำยางพารา
เขากล่าวว่า ราคาวัตถุดิบซึ่งก็คือน้ำยางพาราซึ่งใช้ในการขึ้นรูปสินค้า เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่จะมีผลกระทบต่อการขึ้นลงของกำไรมากที่สุด เพราะราคายางมีความผันผวน หากราคายางปรับขึ้นกำไรบริษัทจะลดลงแต่ไม่ขาดทุนเพราะมีการป้องกันความเสี่ยงไว้อยู่แล้ว แต่ถ้ากลับกันราคายางปรับลงบริษัทจะได้กำไรมากขึ้น
“แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง เรากันความเสี่ยงตรงนั้นไว้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสินค้าที่เราขายไป ก็จะไม่ขาดทุน อาจจะขาดทุนกำไร แต่ว่าไม่ได้ติดลบ นอกจากนี้ เรามีการวางแผนในการซื้อน้ำยางและซื้อจากหลาย supplier ให้เขามาแข่งขันราคากัน ก็ประมาณ 3-4 รายในไทย โดยไม่ได้พึ่งพิงแค่รายใดรายหนึ่ง และ TRUBB ก็เป็นหนึ่งใน supplier เรา ”

*ตั้งเป้าผู้นำระดับโลก-โตอย่างมั่นคง
เมื่อถามถึงเป้าหมายทางธุรกิจ ภายหลังจากการระดมทุนในตลาดหุ้นแล้ว เขากล่าวว่า มุ่งหวังการเป็นผู้นำในด้านของเครื่องนอนยางพาราในระดับโลก นำเสนอสินค้าที่เป็น “Product of Thailand” ที่มีจุดเด่นในเรื่องการใช้วัตถุดิบน้ำยางพารามาผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเกี่ยวกับสุขภาพให้กับผู้บริโภค
“อนาคตยังมีตลาดอีกมากที่จะให้เราเข้าไป และสิ่งต่างๆ ที่เราวางแผนเอาไว้ ก็จะนำพาให้บริษัทเราเจริญเติบโตอย่างก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องรักษาผลกำไรเอาไว้ แล้วให้มีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง”
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 47266
ผู้ติดตาม: 400

Re: LS

โพสต์ที่ 10

โพสต์

คอลัมน์: IPO Reviews: 2 หุ้นไอพีโอ LS-MITSIB เข้าตลาด mai รุกระดมทุนขยายธุรกิจ
Source - การเงินธนาคาร (Th)

Thursday, May 16, 2019 09:43


สำหรับภาพรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาส 1/2562 พบว่า SET Index เพิ่มขึ้น 4.8% จากสิ้นปี 2561 แม้ว่าชะลอตัวลงเล็กน้อยในเดือนมีนาคม โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย และมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงจากเดือนก่อน เนื่องจากนักลงทุนรอความชัดเจนทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่มูลค่าการระดมทุน (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยยังคงสูงที่สุดในอาเซียนในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
LS : บมจ.เลเท็กซ์ ซิสเทมส์
กลุ่มสินค้าอุปโภค
บมจ.เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ หรือ LS ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 132,430,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% แบบไม่ติดตราสินค้า และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ชื่อว่า “Latex Systems” และมีแผนใช้แบรนด์ที่หลากหลายเพื่อรองลูกค้าแต่ละระดับ สร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท สามารถครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ด้านผลประกอบการในปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 114.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.50 ล้านบาท ขณะที่ปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิ 113.75 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในปี 2561 มีการปรับตัวลดลงจากปี 2560 เป็นผลมาจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 เกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลง และการจำหน่ายสินค้าล้างสต๊อกในช่วงปลายปี? อย่างไรก็ตาม จากนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล ในช่วงปลายปี 2561 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน เริ่มฟื้นตัวและกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพาราโดยรวม
ส่วนรายได้ปี 2560 มีรายได้รวม 753.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2559 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 429.40 ล้านบาท ขณะที่ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 831.73 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าผู้ใช้สินค้าชาวจีน จากกระแสความนิยมในผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ และความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องนอนยางพาราที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 225,000,000 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 158,783,856 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 317,567,712 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 225,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 450,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
อย่างไรก็ดี การเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้จะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้น แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้กับประชาชนสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน119,189,059 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้
สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุน จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จากการลงทุนซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต
ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
MITSIB : บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง
กลุ่มธุรกิจการเงิน
บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง หรือ MITSIB ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายและให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยเน้นการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถแท็กซี่เป็นหลัก เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 167,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท/หุ้น โดยมี บล.คันทรี่ กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
MITSIB เริ่มดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์พร้อมจัดไฟแนนซ์ ต่อมาบริษัทได้เปลี่ยนมาประกอบธุรกิจให้บริการเช่าซื้อรถยนต์โดยมุ่งเน้นรถยนต์รับส่งสาธารณะประเภทแท็กซี่และให้บริการเสริมต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และได้ขยายบริการไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจให้บริการเช่าซื้อใหม่ (รีไฟแนนซ์) เป็นต้น เดิมชื่อ บริษัท มิตร 10 ลิสซิ่ง จำกัด ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท มิตรสิบ ลิสซิ่ง จำกัด โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีสาขาจำนวน 4 สาขา
ด้านผลประกอบการในปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 39.38 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.27 ล้านบาท ขณะที่ปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.77 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่ลดลงในปี 2560 เป็นผลมาจากบริษัทใช้บริการจากสถาบันการเงินรายใหม่ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกในปี 2559 รวมถึงบริษัทมีการตั้งค่าสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มมากขึ้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ สำหรับกำไรสุทธิปี 2561 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2560 เป็นผลมาจากรายได้จากการขายและการให้บริการ และรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
ส่วนรายได้ปี 2560 มีรายได้รวม 444.43 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2559 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 491.18 ล้านบาท ขณะที่ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 491.24 ล้านบาท โดยรายได้ที่ลดลงในปี 2560 เป็นผลมาจากรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2559 สูงกว่าปกติ เนื่องจากบริษัทจำหน่ายรถแท็กซี่ราคาถูกกว่ารถแท็กซี่ที่ปรับภาษีสรรพสามิต ทำให้รถแท็กซี่ของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดี ในขณะที่ยอดขายรถแท็กซี่ในปี 2560 สำหรับรายได้ปี 2561 ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากบริษัทเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Dealer) มากราย

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 333,500,000 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว 250,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 333,500,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 667,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
สำหรับวัตถุประสงค์จากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ เพื่อขยายการให้สินเชื่อและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

--การเงินธนาคาร ฉบับที่ 445 พฤษภาคม 2562----จบ--
โพสต์โพสต์