MoneyTalk@SET17/11/61หุ้นเด่น&เพจดังแฟนปังนับล้าน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 295
ผู้ติดตาม: 1

MoneyTalk@SET17/11/61หุ้นเด่น&เพจดังแฟนปังนับล้าน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Moneytalk@SET 17/11/2561

หัวข้อ 1 “จับตาหุ้นเด่น”
1. นพ. ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ / CEO THG
2. คุณ จิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล / ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงิน TKN
3. คุณ จรีพร จารุกรสกุล / CEO WHA
4. คุณ วงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล / ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารและพัฒนาธุรกิจ KAMART
อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์ ดำเนินรายการ

THG
ภาพรวมธุรกิจ
ก่อตั้งกว่า 40 ปี ทำธุรกิจโรงพยาบาล ขยายอย่างต่อเนื่อง เน้นด้านจริยธรรมและคุณภาพ
รายได้หลัก 90% มาจากธุรกิจโรงพยาบาล
มีโรงพยาบาลในประเทศ 4-5 แห่ง
- โรงพยาบาลธนบุรี, ธนบุรี 2
- บ.ร่วม 2 แห่ง : โรงพยาบาลสิริเวช จ.จันทบุรี,โรงพยาบาลอุบลรักษ์ จ.อุบลราชธานี
- รับจ้างบริหาร : รพ.อบจ.ภูเก็ต 129 เตียง คนไข้ 700-800 และ รพ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

มีธุรกิจดูแลผู้สูงวัยชื่อโครงการ Jin Wellbeing เฟส 1 มูลค่าประมาณ 2.5 พันล้านบาท กำลังจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.
ปัจจุบันมียอดจอง 168 จาก 498 unit คาดว่าสิ้นปีน่าจะมี backlog 200
อัตรากำไรน่าจะดีกว่าโรงพยาบาล รวมถึงรายได้ด้านค่ารักษาพยาบาลในโครงการที่ต่อไปก็สามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้น
ที่มาของโครงการเกิดจากระยะหลัง ecosystem ใน Health care เปลี่ยนไป คนไทยสูงอายุมีมากขึ้น
- ปัญหาคือป่วยน้อยเกินไปที่จะนอนโรงบาล ป่วยมากเกินไปที่จะอยู่คนเดียว
- ถ้านอนโรงพยาบาลต้องมีวันละหมื่นถึงสองหมื่นบาท เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หรือต้องมีคนคอยดูแลอุ้มเข้าห้องน้ำ
แต่ถ้าอยู่บ้านดูแลตัวเองได้ แต่เริ่มหลงๆลืมๆ ต้องจ้างผู้ช่วย ปัญหาคือ หาผู้ช่วยได้ยาก
- ที่พักเป็น Universal design สามารถอยู่ไปได้ 10-20 ปีโดย ไม่ต้องปรับปรุงอะไรกับห้องเลย
หากต่อไปเป็นมนุษย์ล้อก็สามารถใช้ชีวิตไปได้ทั่วโครงการ ชมสวน เข้าฟิตเนส เข้าโรงพยาบาลในโครงการได้
- ทำเลอยู่แถวรังสิต เป็น low rise เปรียบเทียบหากไปซื้อคอนโดในสุขุมวิท infrastructure ในบ้านเราไม่เอื้ออำนวย
ราคาตรม.ละ 1 แสนบาท ห้องขนาด 43 ตรม. 4 ล้านบาท ค่าส่วนกลาง , มี call center 24 hr., มี Tracking system เดือนละ 1500 บาท
- Concept คือ ให้คนสูงวัยอยู่ได้วันละ 5-6 ชม. มีพื้นที่สีเขียว ราคาในระดับสามารถจับจองได้ มีกิจกรรม ยามเช้า/ยามเย็น เช่นไทเก็ก
เหมาะกับกลุ่ม ที่เป็น semi retire คือทำงานซัก 3-4 ชม.ต่อวัน ใช้ชีวิตเงียบๆ อยากอยู่กับเพื่อน กลางคืนไปทำกิจกรรมห้องเพื่อนได้


ผลดำเนินงานล่าสุดและแนวโน้ม
- รายได้จากโรงพยาบาล 1749 ล้านบาท รวมทุกธุรกิจ 1800 ล้านบาท เติบโต 11.3% QoQ
- กำไรสุทธิ 96 ล้านบาท ลดลง YoY เนื่องจากมีโครงการที่กำลังพัฒนายังไม่ได้รับรู้รายได้
- โรงพยาบาล Wellyประเทศจีน ลงทุน JV ถือหุ้น 58% มูลค่า 1.5 พันล้านบาทคาดว่า EBITDA จะถึงจุดคุ้มทุนปี 2019
- โรงพยาบาล Aryu International ประเทศเมียนมาร์ ลงทุน JV ถือหุ้น 40% เริ่มเปิดดำเนินการบางส่วน
- โรงพยาบาล ที่บำรุงเมือง เป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร นำเทคโนโลยี Hightech เข้ามาใช้ มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท
- การซื้อบ้านเกิดขึ้นในสองสามช่วงอายุในชีวิต ช่วงต้นเริ่มทำงานซื้อคอนโด พอมีครอบครัวก็ซื้อบ้าน และพอ 60-70 ปีก็ย้ายที่อยู่อีกครั้ง
มูลค่ารวม Earning บริษัทอสังหาริมทรัพย์ราว 1 แสนกว่าล้านบาท ถ้าความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่เป็นสัดส่วนราว 5%
มูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 7 พันล้าน ถึง 1 หมื่นล้านบาท เป็นที่มาของ Product ที่ mix ระหว่าง ป่วย กับ wellness (โครงการ Jin Wellbeing)


TKN
ภาพรวมธุรกิจ
- ธุรกิจเกิดจากความชอบของเจ้าของ คุณต๊อบ เริ่มจากเกาลัด จนมาทำสาหร่าย พอธุรกิจเติบโต ก็มีความฝัน
อยากให้บริษัทไทยมีชื่อเป็นบริษัทระดับโลก เป้าหมายที่เข้าตลาดปี 2015 อยากมีรายได้ 10,000 ล้านในปี 2024
- รายได้ปี 2017 5.1 พันล้าน ปีนี้คาดว่าเติบโต 12-13% สัดส่วน ส่งออก 60% ในประเทศ 40%
ยอดขายจีนปัจจุบันคิดเป็น 39-40% ใกล้เคียงกับ ประเทศไทยแล้ว
- การทำตลาดในจีนเมื่อก่อนเป็น organic growth เมื่อก่อนมีหนัง lost in Thailand คนจีนมาเที่ยวไทย ก็มี shopping list อย่างหนึ่งคือ เถ้าแก่น้อย
โดยปี 2018 เราเริ่มมีการใช้พรีเซ็นเตอร์ คือ วง SBfive และมีค่าใช้จ่ายในการเปิดสำนักงานตัวแทนในจีน เมื่อ ก.ย.61
- ตลาดในประเทศไทย ขนมขบเคี้ยว จากข้อมูล AC Neilsen เติบโต 3-4% แต่สาหร่ายโต 6% TKN โต 8% สูงกว่าตลาด
มูลค่าตลาดรวม 1 หมื่นล้านบาท อันดับ 1 มันฝรั่ง,อันดับ 2 แป้งขึ้นรูป(Extrude),อันดับ 3 ถั่ว, อันดับ 4 สาหร่าย (มูลค่า 2.8-3 พันล้านบาท), อันดับ 5 Fish snack
- ประเทศจีนแบ่งสัดส่วนตลาดเป็นตาม Tier ของเมือง Tier 1 เมืองหลัก ปักกิ่ง,กวางโจว Tier 2 เมืองท่องเที่ยวรอง หางโจว
ปัจจุบันเราขายใน Tier 1 ผ่าน distributor ยังเติบโต แต่ช่วงที่ผ่านมายอดขายตกลง เพราะ distributor ที่เซี่ยงไฮ้
มีปัญหาในการจ่ายเงิน/ผิดสัญญา จึงหารายอื่นมาทดแทนได้ช่วงปลายไตรมาส 3
โดยปัจจบันรับ order ต่อจากรายเก่าได้ราว 70-80% แล้ว จึงทำให้ยอดขาย drop ไปเพียง 6%
- แนวโน้มการเติบโตภาพรวมบริษัท อย่างน้อยปีละ 10% ขึ้นไป โดยประเทศจีนจะโตได้น้อยลงเพราะเมื่อก่อนฐานต่ำ
โดยยังเปิดหา Distributor เพิ่มเพื่อไปในตลาดที่ไม่ทับซ้อนกัน อย่างตลาด Tier 2 ก็มีกำลังซื้อเยอะ ส่วนใหญ่อยู่ภาพตะวันตก ซึ่งเรายังไปไม่ถึง
- ต้นทุนสาหร่าย ประเมินว่า Supply น่าจะมีเพียงพอให้สร้างยอดขาย 8000-9000 ล้านบาท
วัตถุดิบสาหร่ายคิดเป็นสัดส่วน 40% ของต้นทุนรวม ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ปลูกได้ในน้ำลึกมี 3 ประเทศคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
โดยเราซื้อจาก เกาหลี 90% ซึ่งจีนเริ่มเพาะปลูกในระยะหลัง วิกฤติเกิดขึ้นช่วง 2016/2017 เกิด global warming ทำให้ราคาเพิ่ม เกือบ 20%
ซึ่งช่วงนั้นจีนทดลองปลูกสาหร่ายโดยใช้พันธุ์ใหม่แต่ไม่สำเร็จ ทำให้มี supply หายไป 30-40% จึงมีการไปซื้อสาหร่ายเกาหลีกัน
ปกติสาหร่าย ปลูก ธ.ค. ถึง มีค. และทำสัญญา ซื้อขายทั้งปี

ผลดำเนินงานล่าสุดและแนวโน้ม
- รายได้ 9 เดือน 4.2 พันล้านบาท อัตรากำไร 10 กว่า% คาดว่าทั้งปี ยอดขายทำได้ตามเป้า 5.6-5.7 พันล้านบาท
- อัตรากำไรขั้นต้น ช่วงต้นปีถูกลง 10% โดยไตรมาส 3 GPM 32% เทียบกับ ครึ่งปีแรกได้ GPM 30%
เนื่องจากต้นทุน lot ใหม่ที่ถูกลงเริ่มส่งผลในไตรมาส 3 คาดว่าทั้งปีน่าจะได้ GPM มากกว่า 30% โดยเป้าในอนาคตอยู่ที่ 35%
และเป้าหมายในการออกสินค้าใหม่ก็ต้องมี GPM 35% ขึ้นไปเช่นกัน
- อัตรากำไรสุทธิ ที่ลดลง เนื่องจากโดนปรับเรื่องขยะอุตสาหกรรม ที่เรา outsource ให้บริษัทภาพนอกดำเนินการ
ซึ่งต้องมีการกลบฝัง ซึ่งโดยร้องเรียนว่ากลบฝังไม่ถูกต้อง รวมถึงต้องมีใบอนุญาต
ตอนนี้ดำเนินการแก้ไข outsource ที่มีใบอนุญาตที่ถูกต้องแล้ว และมีการทำ TQM, KM ด้าน Compliance ให้ถูกต้อง
- ธุรกิจที่ไม่ใช่สาหร่าย เช่น ทินเท็น เป็นปลาหมึกแผ่น เคลือบซอส/ไข่เค็ม , หนังปลา ก็อยู่ระหว่างศึกษา
, Whey protein นอกจากสำหรับกลุ่มคนออกกำลังกายแล้วยังพัฒนาสำหรับแทนมื้ออาหาร รวมถึงขาย shot drink ใน 7-11
- ประเด็นนักท่องเที่ยวจีนลดลง มีผลกระทบ แต่สัดส่วนไม่มาก ยอดขายจากนักท่องเที่ยวมีสัดส่วน 10-15% ซึ่งคาดว่าจะฟื้นกลับมา


WHA
ภาพรวมธุรกิจ
- ก่อตั้งปี 2003 เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทในเครือกว่า 60บริษัท มีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 6 แห่ง มูลค่ารวมราว 1.7 แสนล้านบาท
- WHA เข้าตลาดราว 6 ปี จากเดิมมูลค่า 6.7 พันล้านบาทส่วนหนึ่งก็เติบโตจากการซื้อกิจการ hemraj ปัจจุบัน แบ่งเป็น 4 ธุรกิจ
1. Logistics เริ่มจากการ มองภาพประเทศไทยมีประเด็นในการแข่งขัน ค่าแรงเริ่มไม่ถูก ต้นทุนสำคัญอย่างหนึ่งคือ Logistics cost 18% ของ GDP
แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว อยู่ราว 9% จึงมองโอกาสในพัฒนาที่เหมาะกับเราคือ คลังสินค้า ซึ่งเมื่อก่อนคนทำแต่โกดัง
แต่เราทำแบบ Built to Suit เราจึงสร้าง เป็นศูนย์กระจายสินค้า เพื่อกระจายให้เร็วที่สุด ลดสินค้าคงคลัง ลดต้นทุน operation
ทุกวันนี้ธุรกิจ e-commerce ก็ต่างจาก ศูนย์กระจายสินค้าทั่วไป
ธุรกิจของบริษัทให้เช่าไม่ได้ขาย สัญญาระยะยาว 10-15 ปี
โดยออกแบบ สร้าง ให้เช่า แต่ละสินค้าออกแบบไม่เหมือนกันเพื่อช่วยลด cost และเพิ่มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังช่วยดู facilities, ระบบ rack, smart logistics เช่น Automation, Robotics ,Drone ตรวจในคลังสินค้า ซึ่งจะเป็นภาพในอนาคต
ทางบริษัทได้ขอยื่นเขตประกอบการ E-commerce park ใน EEC

2. นิคมอุตสาหกรรม มี 10 แห่ง โดย 9 แห่ง อยู่ในอีอีซี พื้นที่มี 5 หมื่นกว่าไร่ ขายไปแล้ว 3 หมื่นกว่าไร่ เหลือหมื่นกว่าไร่เป็น backlog
ตั้งเป้าหมายขายปีละ 1 พันกว่าไร่ โดยแต่ละปีจะมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติม ถ้าจะให้ได้ eos ต้องซื้อ 2 พันไร่ขึ้นไป ล่าสุด JV กับ IRPC
ซึ่งเป็นที่ดินของเขาเพิ่มเติมอีก 2 พันกว่าไร่ อยู่ระหว่างออกแบบ master plan และขอ EIA ปีหน้า และขายที่ดินได้ในปีถัดไป

ธุรกิจโรงงานลูกค้ามักจะซื้อที่ดินและสร้างเอง และ
นิคมอุตสาหกรรมของเราได้ประกาศเขต 10 cluster ของ EEC แล้ว
แต่ถ้าเป็นธุรกิจ logistics มักเป็น 3rd party asset ลูกค้าจึงมักจะเช่า ถ้าออกแบบได้เหมาะกับสินค้าเขา ก็มักจะตกลง

3. WHAUP
- Utilities สาธารณูปโภค น้ำ, บำบัดน้ำเสีย รวมกันราว ร้อยกว่าล้าน ลบม. เป็นรายได้หลายพันล้านบาท ,
ขายแก๊ส เดิมท่อส่ง จากปตท.ไปที่ลูกค้า อย่างล่าสุดก็ต่อท่อจากปตท.ขายเอง
- Power ไฟฟ้า IPP, SPP, Solar roof รวม 560 Equity MW
ถ้าเป็น IPP ต้องขายไฟฟ้า 100% ให้การไฟฟ้า ส่วน SPP 90 MW ขายให้การไฟฟ้า 30-40 MW
ทำเป็นไอน้ำขายให้ลูกค้า ในราคาที่ต่ำกว่าและมีความสเถียรกว่าด้วย

4. Digital platform ยังเริ่มต้นแต่มองว่าเป็นอนาคต คือทำ Data center, Fiber optic ในนิคมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้มีต่างประเทศ คือ logistics ใน อินโดนีเซีย, นิคมอุตสาหกรรมใน เวียดนาม กำลังเริ่มต้น และ มีโรงไฟฟ้าHydro ที่ลาว เป็น 10 ปีแล้ว

สัดส่วนรายได้แต่ละกลุ่มใกล้เคียงกัน
ซึ่งสถานการณ์ 3-4 ปีที่ผ่านมา FDI ในบ้านเราลดลงมาก จากขาดการส่งเสริมด้านภาษี ปัญหาภายในประเทศ
และต้นทุนค่าแรงก็ไม่ได้ถูก เม็ดเงินจึงไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อ 10 ปีก่อน Infrastructure ไทยอยู่อันดับ 20 กว่า แต่ตอนนี้อันดับ 40 กว่า ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเห็นภาพมีกระตุ้น EEC
ทำ Infrastructure รถไฟความเร็วสูง,ทางด่วน,มาบตราพุดเฟส 3,สนามบินอู่ตะเภา นอกจากนี้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ประกาศเขตรวมเป็น 12 cluster กระตุ้นสิทธิพิเศษให้เป็น the best of Asean ซึ่งนักลงทุนสนใจมาก
ทำให้ไทยกลับมาในแผนการลงทุน ปี 2017 FDI 9.1 Billion US จากปี 2016 3 Billion

ผลดำเนินงานล่าสุดและแนวโน้ม
- รายได้9เดือน 7 พันกว่าล้านบาท กำไร 1.4 พันล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบ YoY
แต่มีรายการพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนและภาษี โดยคิดกำไรปกติเติบโต 17%
- เป้าขายที่ดิน 1400 ไร่ เป็นเป้าหมายในไทย 1250 ไร่ ซึ่งยอดขายที่ดินบางครั้งจะเข้าเป็นไตรมาส
ซึ่งมีลูกค้ารายใหญ่คาดเซ็นสัญญาเดือนนี้ 300 ไร่ ในสิ้นปีนี้ยอดขายจะได้ตามเป้าไหม
ขึ้นกับว่าลูกค้าจะซื้อขายได้ทันหรือไม่ หากไม่ทันก็อาจเลื่อนไป 1-2 ไตรมาส
- ปีนี้ได้ประโยชน์จาก Trade ward ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งจากจีนมาที่ไทย
- ยอดขายกับยอดโอน ที่ประกาศเป็นคนละยอดกัน โดยยอดขายจะเกิดตอนเซ็นสัญญาและมัดจำ
โดยหลังจากนั้นต้องมีขอ BOI, ปรับ infrastructure จนมาเป็นยอดโอน
- สัญญาเช่าอาคาร ปกติ 1.5-2 แสนตรม. ต่อปี แต่ปีนี้คาดว่าน่าจะมากกว่า 2.5 แสน ตรม.
เนื่องจากไตรมาส 3 มีลูกค้าเช่าไป 1.3 แสนตรม.แล้ว และยังมีรอเซ็นสัญญาอีกหลายหมื่น ตรม.
- เรามีทำ e-commerce park ที่บางนา-ตราด และ logistics ให้ลูกค้าอื่นที่ link กัน
รวมถึงช่วย sme โดยสร้างศูนย์ training และ warehouse
- การคาดการณ์รายได้ของ WHA ต้องมองเป็นรายได้ บริษัทมีรายได้ที่เป็น recurring ค่าเช่า,ค่าสาธารณูปโภค
และ Non-recurring คือขาย asset และขายที่ดิน ซึ่งบริษัทพยายาม balance 50:50


KAMART
ภาพรวมธุรกิจ
- เป็นผู้นำเข้า ผลิต จัดจำหน่าย เครื่องสำอางค์ รวมถึงอุปโภคบริโภค
แบรนด์ใต้ KAMART มีกว่า 10 แบรนด์ เช่น เดที่ดอล
- ส่วนส่วนรายได้หลักจาก เครื่องสำอาค์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 80-90%
- ช่องทางจัดจำหน่าย
1. ค้าส่ง ร้านตาม มาบุญครอง
2. โมเดรินเทรด ช็อปต่างๆ เช่น ร้านวัตสัน
3. คามาร์ทช็อป เป็นแฟรนไชส์
4. ส่งออก เริ่มตั้งแต่ปี 2013 ขยายไปกว่า 14 ประเทศ
5. e-commerce เริ่มปี 2017 ขายผ่าน market place, website บริษัท รวมถึงจะมี App ต่างๆ

ระยะหลัง บริษัท มีการทำตลาดมากขึ้นเพื่อเสริมภาพลักษณ์บริษัทและทำให้ลูกค้า,คู่ค้ารู้จักแบรนด์
ช่องทางปัจจุบันที่สร้างรายได้มากสุดคือ modern trade และรองมาเป็นค้าส่ง , ส่งออกมีสัดส่วนราว 10%
ประเทศหลักคือ CLMV รองลงมา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน
ระยะหลังเริ่มมีตะวันออกกลาง ที่จัดจำหน่ายและร่วมกันทำสินค้าตามความต้องการลูกค้า
ช่องทางที่เติบโตดีสุด คือ modern trade และ export

การผลิต เองอยู่ที่ 35% ของ จำนวนสินค้าที่มี แต่เป็น contribution ที่สำคัญ เพราะช่วยลดต้นทุน
ทำให้อัตรากำไรดีขึ้น และมีเม็ดเงินไปทำโฆษณามากขึ้น

จุดเด่นของบริษัทมีการคิดสินค้าที่เป็น Innovative มาเรื่อยๆ
เป็นศิลปะบวกกับวิทยาศาสตร์ เราเป็นเจ้าแรกๆที่ นำ ที่นำ ส่วนผสมของ Skin care มารวมใน Makeup
เพื่อทำให้ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น เช่น แป้งเราที่ช่วยบำรุงผิว

Product champion แต่ละกลุ่ม
Skin care - Ready to white ทาแล้วขาวกระจ่ายใส
Makeup – Lips product, แป้ง,รองพื้น,คิ้วบ์
สินค้าหลายตัวที่ออกแล้ว ทำตลาดต่อเนื่องก็มีคู่แข่งระดับโลกลงมาแข่งด้วยเช่นกัน
ซึ่งเราเด่นใน packaging หรือตัวอุปกรณ์ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้ลูกค้าใช้ได้ง่าย เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ทุกวันนี้คนให้ความสำคัญกับเครื่องสำอางค์มากขึ้น
ตั้งแต่เริ่มเราก็เจาะไปที่กลุ่มที่เริ่มใช้ ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป คือแบรนด์เคที่ดอล
ทำให้ผู้บริโภคกล้าใช้เครื่องสำอางค์มาขึ้น และสินค้าเราราคาเข้าถึงได้
ซึ่งกลุ่มนี้ loyalty ต่ำ เราจึงมีการพัฒนาและออกแบบสินค้าใหม่ทุกเดือน
ให้เขาอยากลองอยากซื้อสินค้าตลอด

สินค้ามาก SKU มากก็ส่งผลให้ต้องจัดการ บริหารจัดการเข้าออก ตั้งระดับstockที่ไม่ให้สูงเกินไป
มีสินค้าเข้าใหม่ และสินค้าที่ต้องเคลียร์ เช่นทำ promotion
หรือ การทำ Logistics ที่ต้อง มีความเร็วในการตอบโจทย์ลูกค้า และต้นทุนดำเนินการที่ต่ำ

ผลดำเนินงานล่าสุดและแนวโน้ม
- รายได้เติบโต 2-3% YOY ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20%
สาเหตุหลักจากภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่ค่อยเติบโต รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงก็มีผลกระทบบ้าง
- กำไร ลดลงจากค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาด และมีรายได้จากขายที่ดินเป็น 1 time
- สินค้าผลิตเอง 20-30% ของ SKU ที่มี โดยใช้ที่ดินเดิมซึ่งเรามีตั้งแต่ทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าเดิม
- ภาพข้างหน้าเน้นพัฒนาสินค้าใหม่ที่ไม่ช่นในตลาด โดยการเติบโตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
อย่างในต่างประเทศจะเน้นที่ประเทศเพื่อนบ้านและใกล้เคียงก่อน โดยในระยะยาวก็มองว่าอยากเป็น global brand เหมือนกัน

____________________________________________________________________________________________

ช่วงที่ 2 “ชุมนุมเพจหุ้นดังแฟนปังนับล้าน” พร้อมประสบการณ์ลงทุน
1. คุณ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ / FINNOMENA
2. คุณ กิตติศักดิ์ โภคา / ลงทุนศาสตร์
3. คุณ อลงกฏ มโนรุ่งเรืองรัตน์ / Buffet Code
4. คุณ มนสิช จันทนปุ่ม / แมงเม่าคลับ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ


คุณแบงค์ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ / FINNOMENA
เริ่มต้นโพสต์กะทู้พันทิพและทำเพจส่วนตัว ชื่อ เพจสินธร โดย Mr.Messenger
โดยเขียนเป็นไดอารี่ส่วนตัว และแชร์ให้คนอื่น ตั้งแต่ 18 ปีก่อน โดยคุณเจษฏา เป็นคนเริ่มทำเพจนี้และยกให้

ต่อมาคุยกับคุณเจษฏากันว่าออนไลน์เป็นเทรนด์อยากชวนมาร่วมทำอะไรจริงจังด้วยกัน จึงก่อตั้งเพจ Finnomena

เรียนจบปริญญาตรีวิทยาศาสตร์สถิติที่ ม.ธรรมศาสตร์ และจบปริญญาโท MBA Finanance ม.มหิดล
ต่อมาทำงานที่ธนาคาร ไทยพาณิชย์,กสิกรไทย, UOB,Citibank,กรุงศรีอยุธยา เป็นที่สุดท้าย

แฟนเพจ Finnomena 1.6 แสน, เพจสินธร 1.7 แสนคน

เพจ FINNOMENA
แนวคิดในเพจขึ้นกับ Blogger ซึ่งมาจากสิ่งที่เขารู้สิ่งที่เขารัก
จึงอยู่ที่ชอบกูรูคนไหน ก็ให้ติดตามเนื้อหาเอาเอง
นอกจากนี้มี Line Official account
ธุรกิจหลักของ FINNOMENA คือให้คำแนะนำผ่านกองทุนรวม
ปรัชญาคือ Unlock your potential ถ้าจะประสบความสำเร็จ
นักลงทุนต้องมีทักษะ ความรู้เป็นของตัวเอง เราจึงให้ความรู้และให้เขาไปหาทางเอง

เนื้อหาบทความก็มีสิ่งที่นักลงทุนหาไม่ได้ แต่จะหาได้จากเรา
เช่น Feedback จากลูกค้าที่บอกว่าไม่มีใครเขียน

Painpoint ของคนลงทุนในกองทุนรวม LTF มี 70 กว่ากองทุน
ดูผลตอบแทนย้อนหลังตัวไหนดีสุด ปรากฏซื้อไปแล้วผลตอบแทนกลับค่อยลดลง
แสดงว่าผลตอบแทนย้อนหลัง ไม่ได้ทำให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีข้อมูลในมุมอื่น
FINNOMENA จึงใช้หุ่นยนต์วิเคราะห์ เช่น ดูความผันผวน, Sharp ratio, Information ratio,
Maximum drawndown, ค่า Fee ของกองทุน, ขนาดของกองทุน
และจัดเป็นทางเลือกให้ลูกค้า โดยจะได้เงินจากทาง บลจ. เหมือนกับค่านายหน้าที่ธนาคารได้เมื่อมีการซื้อกองทุน

Style การลงทุน
คุณแบงค์
ชอบวิเคราะห์เทคนิคอล ตั้งระบบเทรด เชื่อในสิ่งที่มีสถิติย้อนหลัง
เนื่องจากชีวิตตัวเองอยู่ใกล้ตลาดหุ้น อยู่กับข้อมูล
ถ้าเป็น VI เห็นหุ้นที่เคยบวก 20% แล้วหากมันลงใจไม่เป็นสุข
จึงไปหาทางที่เหมาะกับตัวเอง
ชอบวัด elliott wave, ทำ back testing ใน Metastock
ทดสอบย้อนหลังว่าวิธีการลงทุนใช้ได้ไหม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คุณมดเสนอในเพจ

การลงทุนใน FINNOMENA ก็ให้นักลงทุนโดยใช้ระบบ วิเคราะห์ข้อมูลจริงๆที่ไม่ได้ใช้อารมณ์
รวมถึงข้อมูลพื้นฐาน ก็มีการ plug in กับฐานข้อมูล Morning star vmmx และ Bloomberg terminal

ถ้าจะใช้ข้อมูลจาก Morning star ที่ให้ดาวมาลงทุนอาจไม่เพียงพอเพราะเป็นการให้จากผลตอบแทนย้อนหลัง
ก็จะมีหลายกองทุนที่ดาวก็ลดลงได้ ก็ต้องพิจารณาดีๆ

เงินลงทุนปัจจุบันก็ลงทุนเอง ตอนนี้มาอยู่ในกองทุน ถ้าจังหวะที่หุ้นดีก็จะโยกเงินกลับไป
ในมุม Conflict of interest ถ้ามองคนที่อยู่ในทุก platform ของเราสัปดาห์ละ 3 ล้านกว่าคน
ก็เคยคุยกับคุณเจษฏาว่า ถ้าเราเป็น platform ที่ซื้อขายหุ้นเอง เราจะซื้อหุ้นไม่ได้เพราะจะเกิด conflict เพราะซื้อก่อนลูกค้าได้
จึงเป็นที่มาว่าตอนนี้เราจึงเป็นผู้แนะนำอย่างเดียว


คุณเบส กิตติศักดิ์ โภคา / ลงทุนศาสตร์
ทำธุรกิจครอบครัวโรงงานยา,ร้านขายยาแผนโบราณ/สามัญประจำบ้าน,ทำงานประจำที่บ้าน
รวมถึงเป็นนักเขียนและนักลงทุน
เรียนจบป.ตรี เภสัช ที่ม.มหิดล เรียนจบได้เงิน 1 ก้อนมาซื้อรถ แต่ไม่ซื้อจึงเอาเงินไปฝากธนาคาร
รู้สึกได้น้อยก็ไปฝากสลากออมสินได้รางวัลรู้สึกได้ยิน จึงเริ่มไปลงทุนกองทุนรวม และตลาดหุ้นตามลำดับ

เริ่มทำเพจลงทุนศาสตร์จากการที่คนรอบตัวไม่มีคนลงทุน จึงหาเพื่อน หาสังคมในการลงทุน
ชื่อเพจลงทุนศาสตร์ เพราะมองว่าเป็นศาสตร์ การลงทุนทำเป็นเรื่องเป็นราวมีเหตุมีผลได้
การทำเพจลงทุนศาสตร์วางตัวไม่ได้เป็นคนเก่ง มองว่าทุกเรื่องศึกษาได้ แลกเปลี่ยนกันในเส้นทาง
ระหว่างทางก็มีคนมาตักเตือน และเราก็ได้ปรับปรุงแก้ไข ทุกคนถ้ามีความพยายามก็ลงทุนได้เหมือนกัน

เพจลงทุนศาสตร์
เนื้อหาเพจจะเน้นการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นหุ้นรายตัว
กลุ่มที่เน้นเป็นผู้เริ่มต้นถึงปานกลาง เพราะปีแรกเป็นปีที่ยาก จึงช่วยแนะนำ ช่วยสรุปให้
แฟนเพจหลักๆ อายุ 25-35 ปี ผู้ชาย:ผู้หญิง 55 : 45
รายได้เพจมาจากค่าโฆษณา เช่น รีวิวสินค้าของผู้โฆษณา แต่ก็จะรีวิวตามความเห็นเรา

Style การลงทุน
คุณเบส
เป็นนักลงทุนแนวพื้นฐาน ชอบ valuation ชอบมองธุรกิจเน้นไปทาง business model มากกว่างบการเงิน
ให้น้ำหนักกับการเข้าใจกิจการมาก เช่น ซื้อหุ้นโรงพยาบาล ไปใช้บริการ ไปคุยกับบุคลากร หรือค้าปลีก ก็ไปดูที่ร้านจริง
เพื่อให้วิเคราะห์ได้ว่าอัตรากำไรจะทำได้จริงไหม
ตอนนี้เริ่มศึกษาหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากไทยอาจเติบโตช้าลง ไปดูประเทศหรือจังหวัดที่ GDP per capita ต่ำ
หรือไป scuttle butt เช่น เคยไปดูหุ้น TNP ดู distribution center ที่จะเปิดใหม่ เห็นตลาดหรือสินค้าที่ขาย
ว่าเครื่องสำอางค์ขายถูก ใช้พื้นที่กว่า 30% ในการขาย ซึ่งถ้าอ่านแค่ 56-1 จะไม่สามารถรู้ได้เลย (ปัจจุบันไม่มีหุ้นแล้ว)


คุณมาร์ช อลงกฏ มโนรุ่งเรืองรัตน์ / Buffet Code
จบป.ตรี สถาปัตย์ ที่บางมด ทำเกี่ยวกับการวิจัยในการออกแบบสินค้า
สมัยเด็กๆคุณพ่อลงทุนและเคยพาไปห้องเทรด จนได้ลองเล่นหุ้นเองช่วงปี 2007
ได้พบกับวิกฤติ Hamburger crisis และจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง อ่านหนังสือ ไป Opp day
จนรู้สึกชอบการลงทุนเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผล จึงเอาความสามารถในการค้นคว้าตัวเองไปใช้กับหุ้น

ที่มาเพจ Buffet code
ในช่วงแรกก็ศึกษาหลายสายทั้งเทคนิคอล,ฟันด์โฟลว์ กลับมาดูว่าตัวเองขาดทุนเพราะอะไร
และไปอ่านหนังสือบัฟเฟตต์พบว่าสิ่งที่เราทำผิดเขียนไว้หมดแล้ว แต่เราไม่ได้อ่านเอง
พอศึกษาเพิ่มไปทำให้พบว่าสิ่งที่น่าสนใจของบัฟเฟตต์ไม่ใช่แค่หลักการลงทุน แต่เป็นตัวเขาเอง
ที่เป็นจุดเริ่มต้นของหลักการ เป็นความประทับใจและนำมาเปิดเพจ

เพจ Buffet code
เนื้อหาเน้นหุ้นเป็นหลัก ช่วงหลังจะมีหุ้นเทคโนโลยี และหุ้นต่างประเทศด้วย
มาจากสิ่งที่อ่าน จับประเด็นที่น่าสนใจ มักโพสต์เป็นรูปภาพที่เป็น Slide show 2-3 นาที
เช่น อ่านข่าว มักจะให้ตัวเลขที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้บอกว่ามีผลอย่างไรกับหุ้นตัวนั้น
เราก็จะเอามาขยายความผลกระทบ 1,2,3,4 เป็นเชิงสรุปประเด็นให้อ่านง่ายๆ
เพจก็มีรายได้จากโฆษณา หรือหุ้นที่อยากจะ IPO ให้ทำบทความให้ ซึ่งก็จะบอกข้อมูลทั้งข้อดีข้อเสียตามที่เราเห็น

Style การลงทุน
คุณมาร์ช
เคยลงทุนหลายแบบ บางช่วงที่ซื้อไปแล้วราคาหุ้นลงจนนอนไม่หลับ
ตอนหลังจึงเน้นวิธีการลงทุนที่ทำให้นอนหลับสบาย หลายครั้งจะมองแบบ VI
มอง business model ที่ดี มีการเติบโต หาจุดเปลี่ยนแปลง และเข้าซื้อในจังหวะที่ได้เปรียบหน่อย ราคาถูกกว่า


คุณมด มนสิช จันทนปุ่ม / แมงเม่าคลับ
เรียนจบด้านดนตรี ที่ดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล ตอนสอบเข้า Major ร้องโอเปร่า Minor เล่นเปียโน
ที่จริงทีแรกก็อยากเรียนด้านธุรกิจด้านการลงทุน แต่ตอนนั้นชอบพี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก

ตอนเรียนก็รู้สึกชอบเรื่องหุ้นอยู่ และก็ทำวงดนตรีไปด้วย
พอเรียนจบมีความขัดแย้งก่อนเทปจะออก จึงวงแตก และหันเหมาทางหุ้นให้จริงจัง

ชื่อเพจแมงเม่าคลับ เกิดจากการพูดคุยกับแฟนว่าจะตั้งชื่ออะไรดี
เนื้อหาก็มาจากการศึกษาและจดไว้จะได้ไม่ลืม และแปล VDO clip และคนให้ขึ้นกะทู้แนะนำ
จึงทำมาเรื่อยๆ ซึ่งระยะหลังไม่ค่อยได้ทำแล้ว แต่มาเน้นทำเพจ SiamQuant
ที่มาจาพอศึกษาเยอะเข้าก็เริ่มสับสนวิธีการไหนที่ใช้ได้กันแน่ จึงไปศึกษาวิธีวิจัยของฝรั่ง
และเอาแนวคิดต่างๆมาวิจัย และทำเพจด้านนี้


เพจแมงเม่าคลับ
เน้นวิจัยเรื่องวิธีการเล่นหุ้น แบบไหนมีประสิทธิภาพ เช่น ลงทุน VI มีโอกาสเกิดภาวะอะไรขึ้นบ้าง
ถ้าก่อนลงทุนเรารู้ Profile การลงทุนพื้นฐานคือ buy and hold ถ้าทดสอบย้อนหลังไปจะพบว่า
โอกาสที่หุ้นจะตกสูงสุดได้ถึง 50% ซึ่งถ้าผู้ลงทุนเข้าใจกลยุทธ์ลงทุนได้
เคยออกหนังสือแมงเม่าคลับ แต่คนอ่านก็บ่นว่าทำไมตัวเลขเยอะจัง
ซึ่งถ้าเป็นแฟนคลับเราจะรู้ว่าเนื้อหาเราจะมีหลักฐานประกอบชัดเจน
เคยมีบลจ.ติดต่อมาให้ช่วยวิจัยกลยุทธ์ลงทุน พอจบโปรเจคนั้นก็มีฐานข้อมูลและนำมาทำข้อมูลใหม่ที่วิจัยได้ทั้งเทคนิคและพื้นฐาน
เป็น Siamquant สำหรับคนที่อยากพิสูจน์ว่ากลยุทธ์ตัวเองถูกต้องแค่ไหน และมีบลจ.มาติดต่อให้ช่วยวิเคราะห์ ไม่ได้มีรายได้จากตัว blog

Style การลงทุน
คุณมด
เมื่อจะลงทุนในตลาดไหน จะเริ่มจากศึกษาตลาดนั้นก่อนว่าว่าปัจจัยอะไร
ที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้(Market Anomaly) และสร้างกลยุทธ์บนปัจจัยนั้น
โดยนำมาสร้างเงื่อนไขบนปัจจัยนั้น เช่น Value investing มีปัจจัยคือ มูลค่า
และการเติบโต ก็นำมาสร้างเงื่อนไขในการวิเคราะห์ ถ้าปัจจัยที่ไม่มีผลก็จะไม่สนใจ
ไม่จำเป็นต้องเป็นเทคนิคหรือพื้นฐาน
ประเด็นสำคัญคือ สมมติฐานที่เอามาคิดมันครอบคลุมถึงความเป็นจริงได้มากแค่ไหน
เช่น ในงานวิจัยวิชาการ บางที ไม่ได้รวมถึง Volume/สภาพคล่อง ในหนึ่งวัน ซื้อได้เท่าไร ขายได้เท่าไร
ในการวิจัยเราต้องเข้มงวดตั้งแต่แรก
ตัวอย่างที่เคยวิจัยในแนว value investing จากหนังสือตีแตก
เช่น การซื้อขายหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าเยอะๆ PBV ต่ำๆ ในระยะยาวให้ผลตอบแทนดี
หรือ การเติบโตก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่ถ้าซื้อหุ้นราคาถูกอาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง


ปิดท้าย
การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้มากก่อนการตัดสินใจลงทุน


MoneyTalk@SET ครั้งถัดไป
อาทิตย์ที่ 23 ธ.ค.61 จองเสาร์15 ธ.ค.61
หัวข้อ 1 ลงทุนอะไรดีปี 62
แขกรับเชิญ ดร.สุวรรณ, ดร. สมจินต์,จักรพงษ์ โค้ชหนุ่ม,
ผู้ดำเนินรายการ อ. เสน่ห์,อ. ไพบูลย์

หัวข้อ 2 กลยุทธ์VI ปี 62
แขกรับเชิญ ดร. นิเวศน์,คุณโจ,คุณประชา,หมอพงษ์ศักดิ์,คุณพีรนาถ
ผู้ดำเนินรายการ อ. เสน่ห์,อ. ไพบูลย์

ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ พี่หมอเค ทีมงาน Moneytalk ที่จัดงานสัมมนา
และขอบคุณผู้บริหารที่ให้ข้อมูล และแขกรับเชิญทุกท่านที่มาแบ่งปันประสบการณ์ความรู้

หากข้อมูลที่สรุปคลาดเคลื่อนไปอย่างไร ขออภัยไว้ที่นี้ครับ
ติดตามดู VDO ฉบับเต็มได้ทางช่องทีวี,Facebook,youtube ย้อนหลัง
Go against and stay alive.
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2618
ผู้ติดตาม: 259

Re: MoneyTalk@SET17/11/61หุ้นเด่น&เพจดังแฟนปังนับล้าน

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์