สัมมนา Better Trade 2018 ช่วงฉวยโอกาสจากนอกประเทศ ดร วิศิษฐ์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2636
ผู้ติดตาม: 269

สัมมนา Better Trade 2018 ช่วงฉวยโอกาสจากนอกประเทศ ดร วิศิษฐ์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัมมนา ฺฺฺBetter Trade 2018
ตอน ฉวยโอกาสจากนอกประเทศ
โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล

ดร วิศิษฐ์ได้นำกราฟperformanceของสินทรัพย์ทั่วโลกมาเปรียบเทียบระหว่างปีนี้( 25ตค 61) กับปีที่แล้ว
ปีที่แล้วตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ค่อนข้างดี ส่วนปีนี้ปรากฏว่าลบหมดทุกตลาดยกเว้นตลาดหุ้นสหรัฐบวกเพียง 1.2%
โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนลบ 21%
ส่วนcommodity เช่นน้ำมันเป็นขาขึ้น บวกไป 10.5% ส่วนทองคำติดลบไป 5.4% ช่วงเดือน ตค ทองคำดีดตัวขึ้นมาจากต่ำสุด
1180 มาที่ 1230 $ต่อออนซ์ ดร มองว่าทองคำน่าสนใจสำหรับปีหน้า

ราคาน้ำมัน perform (+10.5%) แต่ราคาcommodities อื่นๆไม่ perform เลยแปลว่าตลาดกังวลภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ต้องกลัว เพราะว่าจะมาแน่นอนเพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ และก็จะมีช่วงนึงที่ได้กำไรเยอะจากวิธีการ buy and hold ซึ่งควรจะทำในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี2019

ดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐ(Real US Bond Yield) ปรับตัวสวนทางกับราคาทองคำ เช่น ช่วงปี 2009 ดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวลดลง ทองกลับตัวเป็นขาขึ้นจนถึงปี 2011 และในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น ทองเปลี่ยนทิศกลายเป็น sideways ทันที

คำถามคือ ทำไมทองคำถึงจะเริ่มขึ้นได้จากนี้ไป ให้ดูดอกเบี้ยนโยบายจากเฟด เรามองว่าเฟดจะไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ไกล
ถ้าดูจาก guidance เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกซัก 2- 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็จะนิ่งดังนั้นจะทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่สามารถขึ้นต่อได้อีก
เฟดไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ยเพราะว่าถ้าขึ้นอีกเศรษฐกิจจะไปไม่รอด (ต้นทุนสูงจนทำผลตอบแทนไม่ทันดอกเบี้ยที่จ่าย)

รอบนี้เชื่อว่าเหมือน ปี2011(กรีซ) และปี 2016 (Brexit) เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน เดือนธันวาคมนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแต่เมื่อเดือนที่แล้วทุกคนมั่นใจว่าขึ้นดอกเบี้ย 90%แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 70%แล้ว
ซึ่งอีก 2 อาทิตย์ถัดไปอาจจะลดระดับความเชื่อมั่นลงอีก (หมายถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธค น่าจะลดลงอีก)

จีนเริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน คล้ายกับการทำ QE แต่จะไม่ใช้คำนี้เหมือนกับฝั่งอเมริกา

เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ หรือ QE นั้นตอนนี้ ECBและBOJ มีปริมาณเงินมากกว่าสหรัฐแล้ว

จากข้อมูลBloomberg และ Trinity research พบว่า แนวโน้มที่FEDจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก1ครั้งหลังจากนั้น
ก็คงดอกเบี้ยไว้ ส่วน ECB จะหยุดQEในช่วงธคปีนี้ และจะเริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้นในช่วง Q4 219

ถ้าplot กราฟของ Yield curve ผลต่างพันธบัตร10ปีลบด้วย Yieldผลต่างพันธบัตร2ปี พบว่า ถ้าต่ำกว่า0%มีโอกาสเกิดวิกฤต
เช่น ช่วงปี 2000 ( Dot com crisis ) และ ปี 2008 (Hamberger crisis)

ทุก 10 ปีมีเศรษฐีและทุก 10 ปีมีคนจน ที่พูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าดูจาก Yield curve ผลต่างพันธบัตร10ปีลบด้วย Yieldผลต่างพันธบัตร2ปี เมื่อไหร่ก็ตามขาลงมันจะบ่มการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง 1997 Lehman2007 เพียงแต่ระหว่างทางมีการทำQE ตลอดทางเพื่อทำให้การเกิดวิกฤตชะลอช้าลง ตอนนี้ยังมีการต่อเวลาอยู่ถ้าดูจาก yield curveล่าสุดลงมาที่ 3%และวกกลับ ดูอีกซัก 1 ปี แต่การต่อเวลาก็ยังมีโอกาสให้ทำกำไรได้ ซึ่งปีหน้าจะติดตามอย่างใกล้ชิด

ประเทศไทยมีหนี้รัฐบาลน้อยเมื่อก่อนภาคเอกชนของไทยอ่อนแอแต่ปัจจุบันแข็งแกร่ง กลับกันในภาคครัวเรือนเมื่อก่อนแข็งแกร่งแต่ปัจจุบันอ่อนแอ ในประเทศจีน ภาคครัวเรือน ภาครัฐแข็งแรง แต่ภาคเอกชนอ่อนแอดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือภาคเอกชน ถ้ามองไม่ผิดจีนต้องใช้นโยบายนี้

หุ้นไทยมองว่าดัชนี 1580-1600 ที่ลงมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นจุดต่ำสุดแต่ว่าขาขึ้นจะเป็นปลายไตรมาส 1 ต่อ ไตรมาส 2 ปีหน้า***

และถ้าเกิดจีนทำนโยบายการเงินแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ สินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดคือ ทองคำ ซึ่งถ้าถามว่าซื้อทองแล้วขึ้นเลยได้มั้ย คำตอบก็คือใช่ซื้อแถวนี้

คำถามคือจะหลุด 1580 -1600 มั้ยส่วนตัวคิดว่าหลุดไม่ง่าย เพราะว่า 1600 เมื่อก่อนเป็นแนวต้าน ถ้าไม่มีอะไรช็อคโลก ไม่น่าจะหลุด 1600 ตลาดเป็นไซด์เวย์ ยังไม่เป็นขาขึ้น 1900ได้ต้องเป็นเหตุการณ์ช๊อคโลกซึ่งมาจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน ซึ่งจีนจะเริ่ม relax นโยบายทางการเงินซึ่งจีนจะเริ่มลด RRR (required reserve ratio) คือการตั้งสำรองลดน้อยลงมาเพื่อให้เงินมีในระบบมากขึ้น

ถ้าธันวาคมขึ้นดอกเบี้ยเสร็จแล้วพูดต่ออีกว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ให้หลบแสดงว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงกำลังจะขึ้นต่อและมีผลต่อสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งตอนนี้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.25 สิ้นปีจะขึ้นเป็น 2.50 ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเป็น 4% ทองคำก็ไม่รอด

SET Index รอบนี้ ถ้าดูจาก Earning Yield Gap (ส่วนกลับของPE ratio ) เคยลงไปที่3% ดัชนี1850 ซึ่งยืนอยู่ไม่ได้
จึงต้องหล่นลงมา ณ ที่ดัชนี 1600จุด EY = 4.35% ดูน่าจะเป็นแนวรับ ไม่น่าจะต่ำกว่านี้

ฝรั่งถือหุ้นเราแค่ 29%ถือว่าต่ำสุด นับตั้งแต่ปี 2004 แต่ก็ยังไม่สัญญาณว่าต่างชาติจะเข้ามาซื้อกลับ

ปีนี้ตัวที่ outperform จะเป็นหุ้นตัวที่มี high dividend yield เพราะว่ากระทรวงการคลังเก็บภาษีกองทุนพวก fixed income 15 เปอร์เซ็นต์ทำให้กองที่ลงทุนย้ายมาเปลี่ยนเป็นลงทุนใน Equity High dividend yield แทน

สไลด์ประกอบการบรรยาย

https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 4232617862
Nek
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 255
ผู้ติดตาม: 1

Re: สัมมนา Better Trade 2018 ช่วงฉวยโอกาสจากนอกประเทศ ดร วิศ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์